Tuesday, 7 May 2024
GoodVoice

กาฬสินธุ์ตลาดไหมแพรวาสุดเฟื่องส่งต่อรุ่นใหม่ขายออนไลน์ยอดพุ่ง

บรรยากาศการจำหน่ายผ้าไหมแพรวา ราชินีแห่งไหม และผลิตภัณฑ์จากผ้าไหมแพรวาทอมือบ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ยังเฟื่องฟูและลื่นไหล ผู้ประกอบการยุคบุกเบิกยังดำเนินกิจการต่อเนื่อง ขณะที่หลายรายส่งไม้ต่อให้ลูกหลานสืบสาน เป็นมรดกตกทอดทางภูมิปัญญาล้ำค่า จำหน่ายทั้งหน้าร้านและทางออนไลน์ รายได้ไม่น้อยกว่าเดือนละ 4 ล้านบาท

(6 ธ.ค. 65) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการจำหน่ายผ้าไหมแพรวา ราชินีแห่งไหม และผลิตภัณฑ์จากผ้าไหมแพรวา ที่ได้จากการทอด้วยมือชาวผู้ไทบ้านโพน ต.โพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ ยังได้รับความนิยมจากลูกค้าใกล้ไกลไม่เสื่อมคลาย ซึ่งพบว่าในทุก ๆ วัน มีทั้งเดินทางมาเลือกซื้อด้วยตนเอง และติดต่อซื้อขายทางออนไลน์ โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ 8 ราย ได้เปิดช่องทางการตลาดผ่านโซเชียลในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เฟซบุค กลุ่มไลน์ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการยังระบุว่ายอดจำหน่ายสูงกว่าขายหน้าร้านหลายเท่าตัว รายได้รวมวันละ 1 แสนถึง 1 แสน 5 หมื่นบาท หรือเดือนละ 3 ล้านถึง 4 ล้าน 5 แสนบาท

นางสาวอุมาพร ลามุล อายุ 31 ปี เจ้าของร้านมรดกภูไท เลขที่ 149 หมู่ 2 บ้านโพน ต.โพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า เดิมครอบครัวตนเปิดร้านขายอุปกรณ์และสินค้าทางการเกษตร ควบคู่กับปลูกพุทราและผลไม้ ต่อมาเห็นตลาดผ้าไหมแพรวาเฟื่องฟูมาก ประกอบกับตนเป็นคนรุ่นใหม่ จึงมีแนวคิดว่าผ้าไหมแพรวา ต้องไม่ใช่แค่ผ้าซิ่นหรือสไบ ผ้าไหมแพรวาต้องไปไกลกว่านี้ ตลาดต้องกว้างไกลกว่าที่ผ่านมา ทุกเพศ ทุกวัย สามารถตัดเย็บเป็นเดรสสูท หรือเสื้อผ้าสวมใส่ได้ทุกโอกาส ในปี 2561 จึงได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการค้าขายมาจำหน่ายผ้าไหมแพรวา รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากผ้าไหมแพรวา เพียงระยะเวลา 4 ปี ประสบผลสำเร็จทั้งยอดขาย จำหน่ายทั้งหน้าร้านและทางออนไลน์ สามารถพูดได้ว่าถึงแม้ที่ผ่านมาสภาพเศรษฐกิจจะอย่างไร หรือประสบสถานการณ์โควิด-19 ยังไง แต่การค้าขายผ้าไหมแพรวาไม่กระทบ ยังไปได้เรื่อย ๆ ภูมิใจที่ผ้าไหมแพรวา สามารถสร้างอาชีพและรายได้สู่ชุมชน ไม่ต่างจากเปลี่ยนอาชีพจากไร่นาสู่ผ้าทอ ทำให้ชาวบ้านโพนมีรายได้ยั่งยืน

'อลงกรณ์' ปาฐกถานานาชาติชูนโยบายเทคโนโลยีเกษตร4.0 ยกระดับการผลิตภาคเกษตรของไทยสู่เป้าหมาย 3 สูง 'ประสิทธิภาพสูง มาตรฐานสูง รายได้สูง' ภายใต้แนวทางเศรษฐกิจใหม่ BCG โมเดล

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร4.0 ได้ให้เกียรติ เป็นองค์ปาฐกในงานการอบรมเชิงปฏิบัติการนานาชาติว่าด้วย 'การจัดการฟาร์มแบบอัจฉริยะอย่างยั่งยืน' (Sustainable Smart Farming Workshop) จัดโดย SUNSpACe ERASMUS+ CBHE Project ณ Bamboo Whisper Garden เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ โดยมี นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานคณะกรรมการบริหาร CTPI, Professor Yacine Ouzrout, Director of IUT, University Lumiere Lyon 2 และ Professor  Aicha SEKHARI SEKLOULI, ผู้ประสานงานโครงการ SUN Space ให้การต้อนรับ นายอลงกรณ์ ได้กล่าวปาฐกถาว่า ถือเป็นโอกาสอันดี ที่ภาคเอกชน ภาควิชาการ นานาชาติ ให้ความสนใจและขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน และมีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ 'การจัดการฟาร์มแบบอัจฉริยะอย่างยั่งยืน' เป็นแนวทางหรือเครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้ ส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีวิสัยทัศน์ 'เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น ได้ขับเคลื่อนนโยบาย '3S' คือ ความปลอดภัยของอาหาร (Safety) ความมั่นคงของภาคเกษตรและอาหาร (Security) และความยั่งยืนของภาคการเกษตร (Sustainability) สนับสนุนการเปิดตลาดต่างประเทศใหม่ ๆ โดยกำหนด Model การค้าเพื่อให้เกิดระบบการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) รวมถึงการนำเทคโนโลยี Smart Farming มาใช้ในการพัฒนา Packaging และสร้างแบรนด์อีกด้วย โดย ได้จัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร (Agritech and Innovation Center: AIC) ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ เป็นศูนย์การศึกษา การวิจัยและพัฒนา การอบรมบ่มเพาะและ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร รวมทั้งยังจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Execellence: CoE) จำนวน 23 ศูนย์ ที่มีการคัดเลือกจากมหาวิทยาลัยให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทานการเกษตร ตั้งแต่ ต้นน้ำด้านการวิจัยและพัฒนา กลางน้ำ ด้านการแปรรูป และปลายน้ำ ด้านการตลาด การขาย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ โดยการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาคี เครือข่ายทั้งภาคเอกชน สถาบันเกษตรกร ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม  นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ส่งเสริมช่องทางการตลาด 'ตามนโยบายการตลาด นำการผลิต' ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนทั้งการค้าออนไลน์และออฟไลน์

นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า การขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเกษตรบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจ BCG Model (the Bio-Circular and Green Economic Model) ภายใต้เป้าหมายและทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจนซึ่งเป็นไฮไลต์ในการจัดประชุมAPECที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนที่แล้ว โดยเน้นการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตภาคเกษตรของประเทศไทยสู่ 3 สูง ได้แก่ ประสิทธิภาพสูง มาตรฐานสูง และ รายได้สูง ซึ่งประสิทธิภาพสูง คือการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมยกระดับผลผลิตเกษตร มาตรฐานสูง ด้วยระบบการผลิตที่ยั่งยืน ครอบคลุมทั้งด้านคุณภาพผลผลิต โภชนาการมีความปลอดภัย ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค และ รายได้สูง ด้วยการผลิตสินค้าเกษตรที่เน้นความเป็นพรีเมียม หรือตลาดเฉพาะ และสามรถกำหนดราคาขายได้ตามคุณภาพของผลผลิตเกษตร เพื่อให้การทำการเกษตรเป็นอาชีพที่สร้างความมั่นคง

CCP ผนึก WHALE LOGISTICS GROUP แตกไลน์ธุรกิจฟรีโซนโลจิสติกส์ ตั้งเป้ารายได้ 100 ลบ.

CCP จับมือพันธมิตร WHALE LOGISTICS GROUP จัดตั้ง บริษัท ชาลี ท็อป โลจิสติกส์ โซลูชั่น จำกัด ให้บริการการบริหารจัดการคลังสินค้า เขตปลอดอากร (Free Zone) ในโซนแหลมฉบัง และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พื้นที่รวม 22,000 ตร.ม. บนที่ดินทำเลศักยภาพกว่า 10 ไร่ รองรับความต้องการ กลุ่มลูกค้า Import-Export , Transit Shipment , ธุรกิจ E-Commerce , ผู้ประกอบการ / โรงงาน ที่ต้องการจัดตั้งเขตปลอดอากร (Free Zone) และอื่นๆ เผยแผนเพิ่มพื้นที่ให้บริการอย่างต่อเนื่อง 

นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) (CCP) เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมลงทุนกับ บริษัท ปลาวาฬ โลจิสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด  ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกลุ่มบริษัทในเครือ WHALE LOGISTICS GROUP  ผู้เป็น Professional Logistics Provider  ลำดับต้นๆ ในโซนแหลมฉบัง และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จัดตั้ง บริษัท ชาลี ท็อป โลจิสติกส์ โซลูชั่น จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการคลังสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ในเขตปลอดอากร (Free Zone)  มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 400 ล้านบาท  โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นแบ่งเป็น CCP 60 %  และ บริษัท ปลาวาฬ โลจิสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด  40 %   

สำหรับที่มาของการจัดตั้ง บริษัท ชาลี ท็อป โลจิสติกส์ โซลูชั่น จำกัด นั้น  เนื่องจากผู้บริหารทั้ง 2 บริษัท มองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจจากแนวโน้มความต้องการใช้คลังสินค้าในเขตปลอดอากร (Free Zone)  ที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่พื้นที่และผู้ให้บริการที่มีความเป็นมืออาชีพนั้นมีไม่เพียงพอ อีกทั้งแหลมฉบัง และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังเป็นทำเลยุทธศาสตร์สำคัญของธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ผนวกกับปัจจัยเสริมจากภาครัฐที่ต้องการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นแหล่งรองรับการลงทุนและการผลิตที่สำคัญของอาเซียน  จึงเป็นที่มาของความร่วมมือในครั้งนี้ 

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีความพร้อมของที่ดิน บนทำเลที่มีศักยภาพจำนวนมาก เพื่อพัฒนาสร้างคลังสินค้าและพื้นที่ลานจัดเก็บสินค้า รวมทั้งยังมีความเชี่ยวชาญด้านงานคอนกรีตรูปแบบต่างๆ สำหรับก่อสร้าง คลังสินค้า นิคมอุตสาหกรรม จึงทำให้สามารถบริหารจัดการควบคุมต้นทุนการก่อสร้างคลังสินค้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และใช้ระยะเวลาที่รวดเร็ว  

PROUD ส่งโปรโมชั่นสุดพิเศษ ส่งท้ายปี เตรียมฉลองปิดการขาย อินเตอร์คอนฯ เรสซิเดนเซส หัวหิน

พราว เรียล เอสเตท เตรียมจุดพลุฉลองปิดการขายโครงการ อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน ที่พักอาศัยบนพื้นที่ติดหาดผืนสุดท้ายใจกลางหัวหิน จัดโปรโมชั่นสุดเอ็กคลูซีฟ 10 ยูนิตสุดท้าย มอบส่วนลดสิทธิพิเศษมากมายก่อนปิดการขายโครงการภายในปี 2565 

ภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จํากัด (มหาชน) หรือ PROUD  ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ เปิดเผยว่า จากการเปิดอวดโฉมให้เข้าชมโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน หลังสร้างเสร็จ 100% ไปเมื่อวันที่ 3-5 ธันวาคม 2565 ในงาน The Pursuit of Living พร้อมปาร์ตี้สุดเอ็กคลูซีฟ กระแสตอบรับดีเกินคาดจากผู้ร่วมงาน บริษัทเดินหน้าจัดโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่องในช่วงโค้งสุดท้ายปี 

สำหรับ โครงการอินเตอร์ตอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน (InterContinental Residences Hua Hin) คอนโดบนพื้นที่ติดหาดผืนสุดท้ายใจกลางเมืองหัวหิน จัดโปรโมชั่นเตรียมปิดการขายสิ้นปีนี้ ซื้อตอนนี้ดีที่สุด ลดแรงเกินล้านบาท รวมถึงห้องสวย Exclusive Unit ในราคาสุดพิเศษส่งท้ายปลายปี 1 ห้องนอนราคาเดียว 8.19 ลบ.* และ 2 ห้องนอนราคาเดียว 18 ลบ.*  ซึ่งเหลือเพียงไม่กี่ยูนิตเท่านั้น จองเพียง 50,000 บ. ฟรีค่าทำสัญญาให้กับลูกค้า รับโค้งสุดท้าย LTV กู้เต็ม 100%

นอกจากนี้ ลูกค้าที่จองห้องและทำสัญญาซื้อ-ขาย ตั้งแต่วันนี้ - 31 ธ.ค. 2565 จะได้รับสิทธิเป็น IHG One Reward Membership – Diamond Elite เป็นระดับสูงที่สุดนาน 2 ปี แบบ Fast Track  และรับทันที B&O Speaker Beosound Emerge รุ่นใหม่ล่าสุดมูลค่า 36,000 บาท ก่อนใคร พร้อมสิทธิพิเศษในการซื้อสินค้าเครื่องเสียงระดับ ไฮ-เอนด์ ภายใต้แบรนด์ Bang & Olufsen (B&O) รวมถึงสิทธิพิเศษอีกมากมายจาก Proud Privilege  

ส่วนลูกค้าทั่วไปที่เข้าเยี่ยมชมโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธ.ค. 2565 สามารถซื้อและรับส่วนลดพิเศษ On-Top 5% ในการสั่งซื้อสินค้าแบรนด์ B&O ณ โครงการได้อีกด้วย 

'เฉลิมชัย' เดินหน้าพัฒนาประจวบคีรีขันธ์เป็นมหานครสับปะรดของโลก หลังไทยยืนหนึ่งแชมป์โลกส่งออกสับปะรด

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้เป็นประธานเปิดงานและบรรยายในการประชุมใหญ่ครั้งที่38ของสหกรณ์ชาวไร่สับปะรดสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมี นายมนตรี ปาน้อยนนท์ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ นายอำเภอสามร้อยยอด สหกรณ์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนราชการต่างๆ นายชาญชัย ธนะกมลประดิษฐ์ ประธานและคณะกรรมการอำนวยการสหกรณ์และสมาชิกให้การต้อนรับ โดยนายอลงกรณ์กล่าวบรรยายว่าสถานการณ์การเพาะปลูกและผลผลิตสับปะรดในปี 2565 มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 457,255 ไร่ คิดเป็นปริมาณผลผลิต 1.772 ล้านตัน โดยแหล่งผลิตสำคัญ ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี เพชรบุรี พิษณุโลกและระยอง 

ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 3 ปีที่ผ่านมาร้อยละ 0.39 ร้อยละ 2.68 และร้อยละ 2.27 ตามลำดับ ทางด้านราคาตั้งแต่ปี 2563 ถึงต้นปี 2564 ราคาอยู่ในเกณฑ์ดีทำให้เกษตรกรรายใหม่ขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นนายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า ศักยภาพของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกสับปะรดและผลิตภัณฑ์สับปะรดกระป๋องเป็นอันดับ1ของโลกด้วยมูลค่า2หมื่นล้านบาทครองสัดส่วนตลาดโลก32%ตามมาด้วยฟิลิปปินส์22% ซึ่งพื้นที่ปลูกสับปะรดมากที่สุดและมีโรงงานสับปะรดมากที่สุดคือประจวบคีรีขันธ์จึงเป็นเสมือนมหานครสับปะรดของไทยและของโลก โดยการบริหารจัดการสับปะรดเชิงโครงสร้างและระบบ และการกำหนดแผนและเป้าหมายการเป็นมหานครสับปะรดของโลก ภายใต้ คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติที่มีรองนายกรัฐมนตรีจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์เป็นประธาน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธาน ได้ปรับแผนเดิมเป็นแผนใหม่รับมือวิกฤติโควิด19เมรียกว่าแผนพัฒนาสับปะรดปี 2563-2565 พร้อมกับจัดทำแผนพัฒนาสับปะรด5ปี(2566-2570)เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตการแปรรูปและการตลาด

‘บิ๊กตู่’ ยินดี ‘OTOP City 2022’ กระแสตอบรับดี ผ่านครึ่งทาง มีผู้เข้าชม 8.6 หมื่นคน เงินสะพัด 243 ลบ.

‘พล.อ.ประยุทธ์’ ยินดี ครึ่งทางงาน OTOP City 2022 กระแสตอบรับดี คนเข้าชมงาน 8.6 หมื่นคน มียอดจำหน่ายแล้วกว่า 243 ล้านบาท สะท้อนผลสำเร็จนโยบายการพัฒนาสินค้า OTOP สอดคล้อง BCG ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดีที่ได้รับรายงานจากกรมการพัฒนาชุมชน ระบุการจัดงานงาน OTOP City 2022 ภายใต้แนวคิด 'มอบความสุขจากภูมิปัญญา ส่งต่อคุณค่าจากฝีมือคนไทย' ประจำปี 2565 ระหว่างวันที่ 17-25 ธันวาคม 2565 ที่อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็คเมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี มีกระแสตอบรับที่ดี ประชาชนให้ความสนใจเข้าชมงาน และหลังจากจัดงานมาได้ครึ่งทางคือระหว่างวันที่ 17-20 ธันวาคม 2565 มีจำนวนผู้เข้าชมงานสูงถึง 86,185 คน มียอดจำหน่ายสะสมแล้ว 243,332,107 บาท จากผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ผ้าและเครื่องแต่งกาย ของใช้ ของตกแต่งฯ  สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร OTOPชวนชิม ศิลปินOTOP ผ้าไทยใส่ให้สนุก OTOPขึ้นเครื่อง  OTOP Premium OTOP Brandname ของขวัญของฝาก เป็นต้น 

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ในงานนี้ด้วยยอดขายสะสมประมาณ 243 ล้านบาท คิดเฉลี่ยรายได้สะสม 95,574 บาทต่อผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่มีการสร้างรายได้จากงานนี้ให้กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วม 2,538 ราย และ 8 องค์กร และ 500 รายทางแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ Shopee ซึ่งประเภทผลิตภัณฑ์ที่มียอดจำหน่ายสะสมสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ผ้าและเครื่องแต่งกาย 95,937,722 บาท, ศิลปินOTOP 28,283,260 บาท, อาหาร 23,380,762 บาท, ของใช้ของตกแต่ง 22,412,832 บาท และ OTOPชวนชิม 13,733,452 บาท โดยข้อมูลวันที่ 20 ธันวาคมผลิตภัณฑ์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุด 5 อันดับ คือ เครื่องประดับทอง จากจ.สุโขทัย ทองรูปพรรณลายโบราณจากจ.สุโขทัย ผ้าไหมยกดอกจากจ.ลำพูน เครื่องประดับจากจ.สระแก้ว และเครื่องประดับอัญมณีจากกรุงเทพฯ

ททท.จัด 'มหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม' สัญจร ที่จังหวัดเชียงใหม่

ททท. ปลื้มมหกรรมเที่ยวเมืองไทยAmazing ยิ่งกว่าเดิมคึกคัก เดินหน้าจัดงานมหกรรม เที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม@เชียงใหม่ พบกับ กิจกรรมเจรจาธุรกิจใน Business Matching ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายกว่า 130 บริษัททั่วประเทศ ได้แก่ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวภาคเหนือองค์กรภาครัฐและเอกชน บริษัทนำเที่ยว โรงเรียนนานาชาติ และกลุ่มผู้จัดงานทั่วประเทศ หวังสร้างโอกาสทางธุรกิจ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

ในวันพุธ ที่ 21 ธันวาคม 2565 เวลา 08.30 - 13.00 น. ททท. จัดกิจกรรมการเจรจาทางธุรกิจ (B2B) ในโครงการ มหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม สัญจร ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  กล่าวเปิดงาน พร้อมด้วยนางสาวสุลัดดา ศรุติลาวัณย์ ผู้อำนวยการสำนักงานททท.สำนักงานเชียงใหม่  นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคใต้ นายพัลลภ แซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารศิริปันนา วิลล่า รีสอร์ทและสปาเชียงใหม่ และผู้ประกอบการท่องเที่ยว ร่วมกิจกรรม ณ โรงแรมดิเอ็มเพรส เชียงใหม่

นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการภูมิภาค ภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. กำหนดจัดงานมหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม @เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 20 – 21 ธันวาคมนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวในประเทศ สร้างโอกาสทางธุรกิจ เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืนขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย เตรียมพร้อมรองรับการท่องเที่ยวที่จะกลับสู่สภาวะปกติในปี 2566 ตามแนวคิดโครงการ Save Partner

โดยกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นการต่อยอดงาน 'มหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม' ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 15 – 18 ธันวาคม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ที่ผ่านมา ซึ่ง ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยการจัดงานตลอดทั้ง 4 วัน พบว่า มีผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดกว่า 50,000 คน เกิดการซื้อขายภายในงานกว่า 70 ล้านบาท  

สำหรับการจัดงานมหกรรมเที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม@เชียงใหม่ เป็นการจัดกิจกรรม การเจรจาธุรกิจ B2B (Business to Business) ในรูปแบบของ 'Business Matching' ระหว่าง กลุ่มผู้ซื้อ (Buyer) และผู้ขาย (Seller) จำนวนกว่า 130 รายจากทั่วประเทศ ประกอบด้วย กลุ่มผู้ซื้อ (Buyer) จากองค์กรจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน บริษัทนำเที่ยว กลุ่มการศึกษา โรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติ กลุ่มผู้จัดงาน เป็นต้น และ ผู้ขาย (Seller) ประกอบด้วย ผู้ประกอบการโรงแรม บริษัทนำเที่ยว ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ฯลฯ ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภูมิภาคภาคเหนือ ร่วมนำเสนอแพ็คเกจพิเศษการท่องเที่ยวสำหรับองค์กรและการจัดรายการนำเที่ยว

ผักในตลาด จ.สงขลา หลายชนิดเริ่มปรับราคา ส่งผลให้ปริมาณผักที่ส่งให้ลูกค้าต่างจังหวัดลดน้อยลง และยังมีแนวโน้มที่จะปรับราคาสูงขึ้น

วันนี้ (22 ธ.ค. 65) ตลาดผักที่ตลาดทรัพย์สินพลาซ่า เขตเทศบาลนครสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา ขณะนี้ผักหลายชนิดเริ่มปรับราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะผักบุ้งจีนราชบุรี จากเดิม กก.ละ 60 บาท ขึ้นเป็น กก.ละ 90 บาท ถั่วฝักยาว จากเดิมกก.ละ 60 บาทขึ้นเป็น 80 บาท ผักคะน้า จากเดิม กก.ละ 40-50 บาท ขึ้นเป็น 60 บาท ผักกวางตุ้งจากเดิม กก.ละ 40 บาทขึ้นเป็น 50 บาท มะเขือยาวจากเดิมกก.ละ 50 บาท ขึ้นเป็น 80 บาท มะเขือเปราะจากเดิม กก.ละ 50 บาทขึ้นเป็น 60 บาท ส่วนผักชียังคงราคาเดิม กก.ละ 250 บาท ต้นหอมยังคงราคากก.ละ 150 บาทและผักขึ้นฉ่ายยังคงราคา กก.ละ 150 บาท

PTT-OR แจงทำธุรกิจในเมียนมา ยึดหลักสิทธิมนุษยชนเคร่งครัด ไม่หนุนความรุนแรงในพม่า หลังมีข่าวกองทุนถอนลงทุน

ซีอีโอ PTT-OR แจงข่าวกองทุนถอนลงทุนจากประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนในเมียนมา ยืนยันดำเนินธุรกิจยึดหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด ด้าน OR ยันลงทุนคลังปิโตรเลียมในเมียนมาจริง แต่แสดงเจตนารมณ์ให้บริษัทร่วมทุนหยุดการดำเนินงานและไม่ชำระเงินทุนเพิ่มเติมแล้ว

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2565 นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตามที่มีข่าวระบุว่ามีกองทุนได้ประกาศถอนการลงทุนใน PTT และบริษัทในกลุ่ม เนื่องจากประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมานั้น บริษัทขอขี้แจงว่า ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ทั้งในส่วนที่ ปตท.ดำเนินการเองและลงทุนผ่านบริษัทในกลุ่ม ปตท. ได้ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืน

ซึ่งประกอบด้วยมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติการกำกับดูแล โดยมีการบูรณาการหลักสิทธิมนุษยชน ครอบคลุมสายโซ่อุปทานของบริษัท ตั้งแต่การตรวจสอบอย่างรอบด้าน การบริหารจัดการ ตลอดจนส่งเสริม ปกป้อง และให้ความเคารพด้านสิทธิมนุษยชนให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากลอย่างเคร่งครัด

นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล ทั้งนี้ ในการพิจารณาการลงทุนของ ปตท.นั้น ได้ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่มีการบังคับใช้ รวมถึงมีการตรวจสอบและวิเคราะห์สถานะของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว

ปตท.ยึดถือการเคารพสิทธิมนุษยชนเป็นหนึ่งในแนวปฏิบัติขั้นพื้นฐาน และมีความกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมียนมาภายหลังการรัฐประหารปี 2564 โดยสนับสนุนการแก้ไข ปัญหาวิกฤตอย่างสันติและเข้มงวดในการปฏิบัติตามกฎหมาย แนวปฏิบัติสากลในทุกพื้นที่ปฏิบัติการ

รวมถึงการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับปรุงกระบวนในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นการส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งพลังงานได้อย่างเท่าเทียม ปตท.หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ในเมียนมาจะคลี่คลายและกลับคืนสู่สภาวะปกติในเร็ววัน

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 19 – 23 ธ.ค. 65 จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ ชี้ แนวโน้ม 26 – 30 ธ.ค. 65

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 19 – 23 ธ.ค. 65 จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ ชี้ แนวโน้ม 26 – 30 ธ.ค. 65

ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์ล่าสุดเพิ่มขึ้นกว่า 1-2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อุปทานน้ำมันมีแนวโน้มตึงตัว โดยรองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย นาย Alexander Novak ประกาศจะลดการผลิตน้ำมันดิบลง 5-7% (ประมาณ 500,000-700,000 บาร์เรลต่อวัน) จากระดับการผลิตในปี 2565 ภายในต้นปี 2566 เพื่อตอบโต้สหภาพยุโรป (EU), กลุ่มประเทศ G7 และออสเตรเลีย ซึ่งกำหนดเพดานราคา (Price Cap) น้ำมันดิบรัสเซีย ตั้งแต่ 5 ธ.ค. 65 ทั้งนี้คาดว่ารัสเซียผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสท ในปี 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 10.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 220,000 บาร์เรลต่อวัน) อย่างไรก็ตามในช่วงปลายสัปดาห์ ราคาน้ำมันดิบลดลง จากความกังวลต่อจีน ซึ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 เพิ่มขึ้น และสภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจถดถอย กดดันอุปสงค์พลังงาน 

National Weather Service (NWS) ของสหรัฐฯ ประกาศประชาชนกว่า 200 ล้านคน (ประมาณ 60% ของประชากรทั้งหมด) กำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ Bomb Cyclone เกิดพายุหนาวจัดพัดรุนแรงหลายพื้นที่ ทำให้อุณหภูมิลดลงฉับพลัน โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 23 ราย และเตือนประชาชนอาจเผชิญวันคริสต์มาสที่หนาวเย็นที่สุดในรอบ 40 ปี ท่าอากาศยานนานาชาติเดนเวอร์ (Denver International Airport) ในรัฐ Colorado ทางตะวันตก อุณหภูมิลดลงจาก 5.56 องศาเซลเซียส สู่ -15 องศาเซลเซียส ภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง ทั้งนี้เว็บไซต์ข้อมูลการเดินทาง FlightAware.com ระบุเที่ยวบินในสหรัฐฯ ในช่วง 21-23 ธ.ค. 65 ถูกยกเลิกกว่า 2,000 เที่ยว เนื่องจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวน

อย่างไรก็ตาม เมื่อ 23 ธ.ค. 65 โรงกลั่นบริเวณอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐฯ กำลังรวมกว่า 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน หยุดดำเนินการ จาการกลั่นปกติที่ระดับ 9.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้การผลิตน้ำมันดิบในรัฐ North Dakota ทางเหนือ ลดลงประมาณ 300,000-350,000 บาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของระดับปกติที่ 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top