Monday, 20 May 2024
Econbiz

ไทยทะยานขึ้นอันดับ 1 ของแอปฯ จองที่พักระดับโลก ‘Airbnb’ เผย!! ปี 65 นทท. แห่เที่ยว กรุงเทพฯ, พัทยา, เชียงใหม่ และภูเก็ต

‘Airbnb’ แพลตฟอร์มจองที่พักออนไลน์ระดับโลก เผยนักท่องเที่ยวพุ่ง กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ปลายทางสุดฮอต ปี 65 ทัวริสต์เยือนไทยอันดับ 1

(19 เม.ย.66) นายเนธาน เบลชาร์ซิค ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของ แอร์บีเอ็นบี (Airbnb) แพลตฟอร์มจองที่พักออนไลน์ระดับโลก เปิดเผยว่า ปัจจุบันการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากภูมิภาคนี้ได้รับความนิยมจากนักเดินทางทั่วโลกมาโดยตลอด

ซึ่งประเทศไทยติดอันดับ 1 ของประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดบนแอร์บีเอ็นบี ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2565 โดยเมืองยอดนิยม ได้แก่ กรุงเทพฯ, พัทยา, เชียงใหม่ และภูเก็ต

สำหรับประเทศสหรัฐอเมริการั้งอันดับ 1 ของนักเดินทางต่างชาติที่เยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2565 ตามด้วยประเทศออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร เยอรมนี และเกาหลีใต้ ซึ่งการเดินทางแบบกลุ่มกำลังได้รับความนิยม เป็นผลมาจากการที่ครอบครัวจำนวนมากเลือกจองที่พักบน แอร์บีเอ็นบี เพิ่มขึ้น 60% ในปีที่แล้วเปรียบเทียบกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากมีความคุ้มค่าและสเปซของที่พัก

‘กสทช.’ ไฟเขียว!! ‘เอไอเอส’ ซื้อหุ้น ‘แจสฯ-3BB’ ชี้!! ยกเป็นแนวทางเดียวกับการควบบริษัท ‘ทรู-ดีแทค’

บอร์ด กสทช. ไฟเขียว เห็นชอบหลักการ กรณี  ‘เอไอเอส’ ซื้อหุ้น แจสฯ - 3BB ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับ ‘ทรู-ดีแทค’ เบื้องต้น เตรียมดันเข้าที่ประชุมบอร์ด 

(19 เม.ย.66) นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จํากัด (มหาชน) หรือTTTBB และซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF ว่า 

ทีม ศก.ปชป. ชู 'เร่งเมกะโปรเจกต์ 4 โครงการไฮไลท์ ดัน หาดใหญ่ เชื่อมไทย-เชื่อมโลก'

ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวทีมเศรษฐกิจประชาธิปัตย์สัญจร ครั้งที่ 2 “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจปลายด้ามขวานไทย” นำโดย ดร.พิสิฐ  ลี้อาธรรม อดีตรมช.กระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯกทม. ผู้เชี่ยวชาญด้านคมนาคมขนส่งโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการขนาดใหญ่ และม.ร.ว. ศศิพฤนท์ จันทรทัต อดีตซีอีโอ บล. กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายนิพัฒน์ อุดมอักษร ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมด้วย ณ โรงแรมคริสตัล หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 

ดร.สามารถ โชว์วิสัยทัศน์ “เร่งเมกะโปรเจกต์ ดันหาดใหญ่ เชื่อมไทย-เชื่อมโลก” โดยกล่าวว่า หาดใหญ่มีทำเลยุทธศาตร์ในการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภาคใต้ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องขับเคลื่อนหาดใหญ่ด้วยระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันให้หาดใหญ่เป็นขุมทองทางเศรษฐกิจของปลายด้ามขวานไทย โดยพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในหาดใหญ่ และพื้นที่ใกล้เคียงดังนี้

1. โมโนเรล คือรถไฟฟ้า ที่วิ่งคร่อมรางโดยใช้รางเดี่ยว หรืออาจจะแขวนห้อยอยู่ใต้รางก็ได้ แต่ที่นิยมใช้กันมากก็คือแบบคร่อมราง โดยหาดใหญ่เช่นเดียวกับเมืองใหญ่อื่น ๆ ที่มีปัญหารถติดในชั่วโมงเร่งด่วน องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา สมัยนายนิพนธ์ บุญญามณี เป็นนายก อบจ. จึงได้ริเริ่มโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเดี่ยวหรือโมโนเรลขึ้น โดยระยะที่ 1 มีระยะทางยาว 13 กิโลเมตร วงเงินประมาณ 16,000 ล้านบาท มี 15 สถานี ประกอบด้วยสถานีควนลัง แยกสนามบิน รถตู้ หาดใหญ่ใน ชุมทางรถไฟหาดใหญ่ ตลาดกิมหยง น้ำพุ หาดใหญ่วิทยาลัย บิ๊กซี คอหงส์ มอ. คลองเรียน เซ็นทรัล คลองหวะ และบ้านพรุ ระยะที่ 2 จะขยายเส้นทางจากสถานีน้ำพุไปยังถนนลพบุรีราเมศร์ และจากสถานีคอหงส์ไปยังสวนสาธารณะหาดใหญ่ ส่วนระยะที่ 3 จะมีเส้นทางเชื่อมระหว่างสถานีหาดใหญ่ในกับสถานีคลองเรียนโดยวิ่งผ่านโรงเรียนพัฒนศึกษาและศูนย์การค้าไดอาน่า โมโนเรลจะไม่ส่งผลกระทบต่อรถตุ๊กตุ๊ก รถสองแถว   และวินมอเตอร์ไซค์ที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน ในทางกลับกัน โมโนเรลจะช่วยให้รถตุ๊กตุ๊ก รถสองแถว และวินมอเตอร์ไซค์มีเส้นทางการให้บริการเพิ่มขึ้น ได้แก่ เส้นทางระหว่างแหล่งที่อยู่อาศัยกับสถานีโมโนเรล และเส้นทางระหว่างแหล่งทำงานและสถานศึกษากับสถานีโมโนเรล 

ดร.สามารถ ให้ความมั่นใจว่า “เวลานี้ผมมีผลการศึกษา และแบบเบื้องต้นอยู่ในมือแล้ว การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ก็ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว พรรคประชาธิปัตย์จะผลักดันให้โมโนเรลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหารถติดในเมืองหาดใหญ่ได้เป็นอย่างดี” 

2. รถไฟทางคู่หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ รถไฟทางคู่หมายถึงทางรถไฟที่ประกอบด้วยเหล็กรางรถไฟ 4 ราง หรือใช้เหล็กรางรถไฟ 4 เส้น รถไฟทางคู่จะช่วยประหยัดเวลาการเดินทางและการขนส่งสินค้าได้มาก เพราะรถไฟสามารถวิ่งสวนทางกันได้ ไม่ต้องรอสับหลีกที่สถานี รถไฟทางคู่เปรียบเหมือนกระดูกสันหลังของโครงข่ายรถไฟ พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ริเริ่มโครงการรถไฟทางคู่ขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2536 และจะเดินหน้าก่อสร้างรถไฟทางคู่ต่อไปให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยจะเร่งผลักดันโครงการรถไฟทางคู่หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ซึ่งเป็นรถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เพื่อรองรับรถไฟจากประเทศมาเลเซียที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเช่นเดียวกัน หากมีชาวมาเลเซียนั่งรถไฟนี้มาหาดใหญ่วันละ 2,000 คน หรือปีละ 730,000 คน สมมติว่าคนหนึ่งมีค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาที่อยู่ในหาดใหญ่ 15,000 บาท ก็จะมีเงินหมุนเวียนในหาดใหญ่ปีละประมาณ 11,000 ล้านบาท อีกทั้ง รถไฟทางคู่หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ จะช่วยกระตุ้นให้การค้าชายแดนระหว่างไทยกับมาเลเซียพุ่งสูงขึ้นจากเดิมในปี พ.ศ. 2565 ที่มีมูลค้าการค้า 660,392 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าการค้าชายแดนที่สูงที่สุดของประเทศ ทั้งนี้รถไฟทางคู่หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กิโลเมตร มีมูลค่าโครงการประมาณ 6,700 ล้านบาท เส้นทางนี้จะเชื่อมต่อไปสู่กรุงเทพฯ โดยจะบรรจบกับรถไฟทางคู่ที่เวลานี้สร้างมาถึงชุมพรแล้ว เมื่อมีรถไฟทางคู่จากหาดใหญ่ถึงกรุงเทพฯ เวลาการเดินทางจะลดลงจาก 16 ชั่วโมง เหลือเพียง 8-10 ชั่วโมงเท่านั้น ประหยัดเวลาลงได้ครึ่งหนึ่ง

‘บิ๊กป้อม’ เร่งส่งออกน้ำมันปาล์ม-ประกันรายได้ปี 65-66 ช่วยเหลือ-บรรเทาความเดือดร้อน ‘เกษตรกรสวนปาล์ม’

(21 เม.ย.66) ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 เพื่อเร่งขับเคลื่อนกลไกสร้างสมดุลน้ำมันปาล์ม 

โดยที่ประชุมเห็นชอบโครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์ม เพื่อลดผลผลิตส่วนเกินปี 2566 ซึ่งมีเป้าหมาย CPO ปริมาณ 150,000 ตัน โดยมีเงื่อนไข สต็อก CPO ในประเทศสูงกว่า 250,000 ตันและราคา CPO ในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลก เพื่อประสิทธิภาพการบริหารสมดุลย์น้ำมันปาล์มภายในประเทศ และเห็นชอบโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันปี 65-66 ที่ราคาประกันผลปาล์มทะลาย (น้ำมัน 18%) ราคา 4.00 บาทต่อกิโลกรัม ไม่เกิน 25 ไร่ต่อครัวเรือน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม!! ‘สื่อญี่ปุ่น’ ยกไทยเป็นแหล่งน่าลุงทุนระดับภูมิภาค ด้านฐานการลงทุนในการผลิตชิ้นส่วน-รถยนต์ไฟฟ้า

(22 เม.ย.66) เฟซบุ๊ก ‘ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี - PMOC’ ได้โพสต์ถึง ‘บิ๊กตู่’ ปลื้มใจ สื่อญี่ปุ่นยกให้ไทยเป็นจุดหมายที่น่าลงทุนด้านฐานการลงทุนในการผลิตชิ้นส่วน และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยระบุว่า

สื่อญี่ปุ่นยกให้ไทยเป็นจุดหมายสำคัญที่นักลงทุนสนใจ ด้านฐานการลงทุนในการผลิตชิ้นส่วน และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญในภูมิภาค

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่สำนักข่าว Nikkei ของญี่ปุ่น มองว่าไทยกำลังกลายเป็นจุดหมายที่สำคัญของนักลงทุนญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ สำหรับฐานการผลิตชิ้นส่วน และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยมีบริษัทหลายแห่งกำลังพิจารณาการลงทุน และเพิ่มกำลังการผลิตในไทยเพิ่มเติม

สำนักข่าว Nikkei ได้เปิดเผยว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้กลายเป็นฐานสำคัญสำหรับการผลิต EV ที่สำคัญ โดยผู้ผลิต EV หลายรายจากญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ กำลังแข่งขันกันเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค ซึ่งได้เริ่มสร้างโรงงาน หรือกำลังมีแผนสำหรับผลิตชิ้นส่วน และประกอบรถยนต์ EV ในไทย ทั้งบริษัท Kuraray ผู้ผลิตพลาสติก และบริษัท Murata Manufacturing ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่น ที่ได้สร้างโรงงานในประเทศไทย รวมถึงวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไทย หลังจากได้แรงจูงใจจากนโยบายการส่งเสริมการผลิต EV เพื่อผลิตให้กับบริษัท EV ในประเทศไทย 

‘พงษ์ภาณุ’ ชี้ ไทยต้องมีมาตรการกระตุ้น ศก. หลังถดถอยหนักช่วงโควิด - เติบโตไม่ทันเพื่อนบ้าน

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้ให้มุมมองต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 66 โดยระบุว่า ประเทศไทยจำเป็นจะต้องมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทุกภาคส่วน โดยภาครัฐจะต้องดำเนินการด้วยความรวดเร็ว เพราะอย่างที่ทราบการดีว่า การจะใช้เงินของภาครัฐนั้นมีขั้นมีตอนที่ต้องรอการอนุมัติ

ก่อนหน้านี้ ประเทศไทยเคยดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการลงทุนภาครัฐประสบความสำเร็จมาแล้ว เมื่อราวปี 2551 ซึ่งขณะนั้น เศรษฐกิจของประเทศติดลบประมาณ 7% ดังนั้น ทางรัฐบาลจึงได้ดำเนินโครงการ “ไทยเข้มแข็ง” โดยวางงบประมาณเอาไว้ประมาณ 1 ล้านล้านบาท เพื่อนำไปใช้ลงทุนก่อสร้างภาครัฐในระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ และทางรัฐบาล ได้ดำเนินการด้วยความรวดเร็ว และได้ใช้งบประมาณไปเพียง 4 แสนล้านเท่านั้น เศรษฐกิจก็กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง

และอย่างที่ทราบกันดีว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว เพราะฉะนั้น หากต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศไทยกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง เหมือนก่อนการเกิดโรคโควิด – 19 ที่ทำให้เศรษฐกิจของไทยถดถอยมาถึง 3 ปี ทางรัฐบาลต้องอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และที่สำคัญต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วด้วย เพราะโครงการรัฐขนาดใหญ่บางโครงการต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน

แต่อย่างไรก็ตาม การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใส่เม็ดเงินจำนวนเข้าไปในระบบนั้น จะต้องดูช่วงเวลา จะทำแบบพร่ำเพรื่อไม่ได้ เพราะเงินที่นำมาใช้เป็นเงินภาษีทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เกิดโรคโควิดด้วยการช่วยเหลือประชาชนผ่านโครงการต่างๆ รวมถึงกระตุ้นผ่าน โครงการคนละครึ่ง โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจของประเทศจะถดถอยมากกว่านี้

ทั้งนี้ หากมองถึงสภาพเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน นายพงษ์ภาณุ มองว่า เศรษฐกิจของไทยที่เติบโตในระดับ 3% นับว่ายังเติบโตน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อพิจารณาถึงศักยภาพของประเทศ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเติบโตได้สูงกว่า เพราะฉะนั้นประเทศไทยจำเป็นต้องมีกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ เพราะเศรษฐกิจของไทยหดตัวอย่างมากตั้งแต่เกิดโควิด-19 เมื่อ 3 ปีก่อน 

แน่นอนว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพและได้ผลนั้นคงต้องอาศัยมาตรการด้านการคลัง อย่างที่หลาย ๆ ประเทศได้ดำเนินการไปแล้วก่อนหน้านี้ เช่น สหรัฐ อเมริการ ที่ใช้เงินถึง 25% ของจีดีพี กระตุ้นเศรษฐกิจช่วงโควิดที่ผ่านมา ส่วนประเทศไทยหากจะกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ จะต้องอัดฉีดเม็ดเงินก้อนใหญ่แบบรวดเร็ว ไม่ใช่ทำแบบทีละนิด เพราะจะไม่เกิดประโยชน์ตามเป้าหมาย ที่สำคัญต้องสามารถนำเงินออกมาจากคลัง แล้วใส่ไปในกระเป๋าประชาชนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เพื่อให้เงินหมุนเวียนเข้าระบบเศรษฐกิจด้วยความรวดเร็วจะรอเป็นปีไม่ได้

นายพงษ์ภาณุ ย้ำว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น จะต้องมีเป้าที่ชัดเจน ว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนใด เพราะคำว่าเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่กว้างมาก ยกตัวอย่าง หากเน้นไปที่โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ก็ต้องใส่เม็ดเงินลงทุนไปในด้านการก่อสร้าง แม้จะไม่กระต้นได้โดยเร็ว แต่จะนำมาซึ่งการจ้างงาน สร้างรายได้ของประชาชน แต่หากต้องการกระตุ้นที่การบริโภค รัฐต้องอัดฉีดเงินเข้ากระเป๋าประชาชน แล้วให้นำออกมาจับจ่ายใช้สอยเร็วที่สุด พร้อมกับกำหนดให้ชัดเจนว่าเงินที่ให้ไปนั้นใช้จ่ายอย่างไร ซื้ออะไรได้บ้าง โดยไม่ให้นำเงินไปเก็บไว้ ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ

และหากจะมองลึกลงไปว่า ประเทศไทยควรจะกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนใดนั้น นายพงษ์ภาณุ มองว่า ในช่วงที่ผ่านมาภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างมาก เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกที่ติดลบติดต่อกันหลายเดือน เพราะฉะนั้น หากเงินที่จะอัดฉีดให้ประชาชนนำไปสู่การใช้จ่ายซื้อสินค้าที่ลงไปสู่ภาคการผลิตโดยตรงเป็นสิ่งที่ควรดำเนินการโดยเร็ว ส่วนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนั้น มีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว

‘บิ๊กตู่’ หนุน ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ ต่อยอด ศก.ดันไทยสู่ศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพ

(24 เม.ย. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่งเสริมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ ด้วยความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง สร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

นายอนุชา กล่าวว่า ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ Thailand Center of Excellence for Life Sciences (TCELS) ภายใต้การกำกับดูแลของ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้บูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมให้อุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ติดอันดับ 1 ใน 10 อุตสาหกรรมหลักของประเทศ

โดยจะผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง สร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ ที่นำองค์ความรู้ทางด้านชีววิทยาศาสตร์มาใช้ประโยชน์ในการผลิตเป็นสินค้าหรือบริการที่ตอบสนองและความต้องการ เพื่อให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น จึงเป็นโอกาสของ SMEs มากกว่า 6,000 ราย โดยในช่วงต้นเดือนเมษายน 2566

ที่ผ่านมา ได้มีการจัดงาน TCELS Life Sciences Beyond Aspiration ซึ่ง TCELS ได้ระบุข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในปี 2565 ผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์ของไทย มีมูลค่าตลาดประมาณ 2.4 แสนล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 3-5% แบ่งเป็น การผลิตในประเทศ 30% และนำเข้า 70% ซึ่งมีมูลค่าการตลาดที่สูง  จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะขยายศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) บูรณาการทำงานร่วมกับภาครัฐ และเอกชน เพื่อให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับสากล

ซึ่งปัจจุบันมีการดำเนินการจากหลายภาคส่วน เช่น

EA เผย ธุรกิจด้านพลังงานมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง คาด!! รายได้ ปี 66 ทะยานแตะ 4 หมื่นล้านบาท

(24 เม.ย.66) ผู้ถือหุ้น บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ลงมติจ่ายเงินปันผลงวดปี 2565 เป็นเงินสด อัตราหุ้นละ 0.30 บาท มีมูลค่ารวม 1,119 ล้านบาท หรือคิดเป็น 54.03% ของกำไรสุทธิ (งบเฉพาะกิจการ) กำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 พร้อมอนุมัติวงเงินออกหุ้นกู้ใหม่ 20,000 ล้านบาท เตรียมชำระคืนหุ้นกู้เดิม และใช้เป็นเงินลงทุนของกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ ฟากผู้บริหาร ‘อมร ทรัพย์ทวีกุล’ ระบุปีนี้ปักหมุดรายได้แตะ 4 หมื่นล้านบาท รับอานิสงส์ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าคึกคัก คาดส่งมอบยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์กว่า 4,000 คัน ตั้งงบลงทุน 10,000 ล้านบาท ลุยขยายโรงงานแบตเตอรี่เพิ่มกำลังผลิตเป็น 4GW

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ ดำเนินการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2565 ให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.30 บาทต่อหุ้นโดยจ่ายจากกำไรสะสมสำหรับกิจการที่ไม่ได้รับส่งเสริมการลงทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,119 ล้านบาท คิดเป็นอัตรา 54.03% ของกำไรสุทธิ (งบเฉพาะกิจการ) โดยกำหนดให้วันที่ 13 มีนาคม 2566 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 (Record Date) และสิทธิในการรับเงินปันผลประจำปี 2565 โดยกำหนดการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2565 ดังกล่าวในวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 

ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้อนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ (ใหม่) ในวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์ ทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดชำระ ชำระเงินกู้เดิมของบริษัทฯ และใช้ในการดำเนินงานหรือเป็นเงินทุนและสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทในเครือ ซึ่งอายุหุ้นกู้ไม่เกิน 15 ปีนับตั้งแต่ออกหุ้นกู้ในแต่ละคราว ส่วนอัตราดอกเบี้ย ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดในขณะที่ออกและเสนอขายหุ้นกู้หรือตามข้อตกลงและเงื่อนไขของหุ้นกู้ที่ได้ออกในคราวนั้น 

"สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้รวมราว 40,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 27,546 ล้านบาท ซึ่งรายได้กว่า 50% หรือราว 20,000 ล้านบาท จะมาจากธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ ส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจอื่น อาทิ ธุรกิจไบโอดีเซล ธุรกิจโรงไฟฟ้า ธุรกิจพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ เป็นต้น โดยประเมินว่า ปีนี้จะมีการทยอยส่งมอบยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์กว่า 4,000 คัน ทั้งรถบัสไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า กระบะไฟฟ้า รวมไปถึงรถขยะไฟฟ้า เป็นต้น สอดคล้องกับความต้องการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับเรื่องของการลดคาร์บอนมากขึ้น จึงเริ่มปรับเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น" นายอมรกล่าว

พัฒนา ‘ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส ระยอง’  เดินหน้าธุรกิจโรงแรมรับ นักลงทุน-ท่องเที่ยวฟื้น

‘วัน ออริจิ้น’ ต่อยอดแผนเติบโต Origin Infinity จับมือพันธมิตรทางธุรกิจกับ ‘เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์’ หรือ เอนโก้ (EnCo) บริษัทในกลุ่ม ปตท. ลุยพัฒนาโปรเจกต์โรงแรม ‘ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส ระยอง’ รับกระแสนักลงทุนต่างประเทศ-นักท่องเที่ยวคัมแบ็ก พร้อมเสริมศักยภาพทำเล ผลักดันให้เป็น New CBD ของระยอง และจุดนัดพบอันทันสมัยแห่งใหม่ใน EEC คาดเปิดให้บริการในไตรมาส 2/2566 นี้

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า จากแผนการเติบโตไม่สิ้นสุด หรือ แผน Origin Infinity ที่เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ประกาศไว้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทยังคงเร่งเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนตามแผนงานดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ในเครือ บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ได้บรรลุข้อตกลงความร่วมมือกับ บริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด (EnCo) บริษัทพัฒนาและบริหารจัดการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรในกลุ่ม ปตท. ร่วมทุนกันใน บริษัท วันดิสทริคท์ ระยอง 2 จำกัด สัดส่วนฝั่งละ 50% เพื่อร่วมกันก่อสร้างและดำเนินโครงการโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส ระยอง (Holiday Inn Express Rayong) เป็นโรงแรมสูง 8 ชั้น จำนวนห้องพัก 204 ห้อง บริเวณแยกเนินสำลี ในพื้นที่โครงการระดับเมกะโปรเจกต์ ออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง (Origin Smart City Rayong)

นายปิติ จารุกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ Origin Smart City Rayong เฟสแรกไปแล้ว ตอนนี้ วัน ออริจิ้น จึงมาสานต่อการเนรมิตเฟสถัดไป ให้ Smart City ขนาด 24 ไร่แห่งนี้อุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยการนำเชนโรงแรมระดับโลกอย่าง Holiday Inn Express ในเครือ Intercontinental Hotels Group (IHG) มาให้บริการ พร้อมทั้งจับมือกับ EnCo เครือ ปตท. ซึ่งเป็นเครือธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปักหลักดำเนินธุรกิจในระยองมาอย่างยาวนาน มีความเข้าใจความต้องการในพื้นที่เป็นอย่างดี มาร่วมกันเนรมิตโรงแรมแห่งนี้ให้ตอบโจทย์ความต้องการของทั้งภาคธุรกิจและภาคการท่องเที่ยว และพลิกโฉมแยกเนินสำลีให้กลายเป็น New CBD ของระยอง ที่ผ่านมา จังหวัดระยองถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงทั้งด้านการท่องเที่ยวและการลงทุนภาคอุตสาหกรรม และเป็นหนึ่งในจังหวัดสำคัญของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาโรงแรมแห่งใหม่ในจังหวัดระยองที่เป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงในระดับสากล จึงถือเป็นการรองรับความต้องการของนักลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรองรับภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์ COVID-19 และกลายเป็นจุดนัดพบสมัยใหม่แห่ง EEC คาดว่าน่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 2/2566 นี้

นายชาญศักดิ์ ชื่นชม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่วิศวกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ ประธานกรรมการ บริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด (EnCo) เปิดเผยว่า ปตท. มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่การเติบโตในธุรกิจพลังงานอนาคต และธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน ตามวิสัยทัศน์ ‘Powering Life with Future Energy and Beyond’ เพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มความเปลี่ยนแปลง และกระแสของโลกในอนาคต การเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการการขนส่ง หรือ Logistics ของประเทศเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่สำคัญ โดย ปตท. ได้เล็งเห็นโอกาสในการใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมเพื่อบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ ต่อยอดสินทรัพย์ของ ปตท. ที่มีอยู่ อาทิ ที่ดิน อาคาร สิ่งปลูกสร้าง ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อการดำเนินธุรกิจ สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม โดยการร่วมทุนระหว่างบริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด หรือ EnCo บริษัทในกลุ่ม ปตท. กับ วัน ออริจิ้น ในเครือ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวหนึ่ง ในการต่อยอดศักยภาพทางธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของ EnCo เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตของลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้อย่างครอบคลุม พร้อมทั้งรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต

‘บิ๊กตู่’ เผย!! จุดพลิกฟื้นความสัมพันธ์ ‘ไทย-ซาอุฯ’ สำเร็จในรอบ 32 ปี คุยกันแบบตรงไปตรงมาครั้งแรกกับ MBS ตั้งแต่ปี 62 ในงาน G20

(24 เม.ย. 66) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ให้สัมภาษณ์ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ ในรายการข่าวเจาะย่อโลก ทางช่องไทยพีบีเอส โดยช่วงหนึ่ง ‘บิ๊กตู่’ ได้พูดถึงประสบการณ์ที่ได้มีโอกาสพบกับเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด (MBS) มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2562 ในการประชุม G20 ที่นครโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งวันนั้นทั้งสองได้มีโอกาสพูดคุยกันถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยและซาอุดีอาระเบีย จนนำมาสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญด้านความสัมพันธ์ของสองประเทศจวบจนปัจจุบันนี้

พล.อ.ประยุทธ์ ได้เล่าว่า “ตอนนั้นเราต่างคนต่างมอง ผมก็สงสัยว่าท่านเป็นใคร ท่านก็สงสัยว่าผมเป็นใคร จนกระทั่งได้มีการพูดคุยกันแนะนำตัวกันว่าผมมาจากประเทศไทย ส่วนท่านก็มาจากซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณทาง ‘บาห์เรน’ ที่ก่อนหน้านี้พยายามเชื่อมสัมพันธ์ให้เรากับซาอุฯ กลับมาคบกันให้ได้ด้วย”

แน่นอนว่า บทสนทนาในวันนั้น เป็นบทสนทนาของผู้มีอำนาจสูงสุดของแต่ละฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าชายซาอุฯ ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจในประเทศทุกด้านอย่างชัดเจน และด้วยท่าทีที่ตรงไปตรงมาของทั้งคู่ การพูดคุยในวันนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ก่อให้เกิดการสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยและซาอุดีอาระเบียขึ้นอีกครั้งในรอบ 32 ปี

“ท่านคุยกับผมวันนั้นเลยว่า เรากลับมาสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศกันอีกครั้งดีกว่า เรื่องเก่า ๆ เลิกหมด อะไรต้องแก้ไขก็แก้กันไปให้ได้ เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไป จนทุกวันนี้เกิดการลงทุนจากทางซาอุฯ หลายแสนล้าน โดยเฉพาะเรื่องพลังงานทดแทน พลังหมุนเวียนต่าง ๆ สร้างเม็ดเงินให้กับประเทศชาติได้อย่างมหาศาล” พลเอกประยุทธ์ กล่าวทิ้งท้าย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top