Monday, 20 May 2024
เศรษฐาทวีสิน

‘แพทย์’ แนะ!! ‘เศรษฐา’ ให้พักผ่อนมากขึ้น หลังผลตรวจพบภาวะ ‘เครียด-ตื่นเต้น-กดดันสูง’

เมื่อวานนี้ (3 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระหว่างลงพื้นที่ตรวจการดำเนินงานตามมาตรการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติด ‘หนองบัวลำภูโมเดล’ และการดูแลผู้ป่วยจิตเวชจากการใช้ยาเสพติด และตรวจเยี่ยมกระบวนการบำบัดรักษาผู้ป่วยจิตเวช ที่โรงพยาบาลสุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู

โดยช่วงหนึ่ง นายกรัฐมนตรีได้เข้าไปตรวจสภาพร่างกายเบื้องต้น บนรถโมบายเคลื่อนที่ ของกรมสุขภาพจิต ประจำโรงพยาบาลสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ซักประวัตินายกรัฐมนตรี โดยผลการตรวจร่างกายพบว่า นายกรัฐมนตรีมีสภาวะเครียดสูง ตื่นเต้น และกดดัน ทำให้ระบบประสาทไม่สมดุลกัน ทั้ง 2 ด้าน

ทำให้นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเสริมว่า เนื่องจาก นายกรัฐมนตรี มีภารกิจเยอะ จะไม่เครียดได้อย่างไร รวมถึงความเหนื่อยล้าของสภาพร่างกาย ทำให้นายกฯ ถึงกับขั้นหัวเราะเสียงดัง เปรียบเสมือนการยอมรับความจริง ซึ่งแพทย์ก็แนะนำให้นายกรัฐมนตรีนอนหลับพักผ่อนให้มากขึ้น

ก่อนที่เดินลงมาถ่ายภาพร่วมกับคณะแพทย์และโรงพยาบาล และรับฟังบรรยาย ระบบการใช้อุปกรณ์รถเคลื่อนที่ ในการรักษา

‘นายกฯ’ สั่งคมนาคมเร่งดูแลผู้ประสบเหตุรถทัวร์มรณะ หลังเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ข้างทาง คร่าชีวิต 16 ศพ

(6 ธ.ค.66) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต กรณีเหตุรถทัวร์โดยสารประจำทางสายกรุงเทพฯ-นาทวี ประสบอุบัติเหตุเสียหลักตกไหล่ทางชนต้นไม้ริมถนนเพชรเกษม หน้าอุทยานแห่งชาติหาดวนกร หมู่ที่ 7 ตำบลห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 14 รายและที่โรงพยาบาล 2 ราย 

นางรัดเกล้า ยังระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับความปลอดภัยบนท้องถนนมาโดยตลอดไม่ว่าจะช่วงเทศกาลหรือไม่ใช่ช่วงเทศกาลจะมีการรณรงค์เรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียขึ้น ขณะเดียวกันกระทรวงคมนาคมยังมีมาตรการคุมเข้มอุบัติเหตุช่วงเทศกาลเพื่อ ‘ลดตาย’ ในส่วนของรถโดยสาร 2 ชั้น ได้เปิดจดทะเบียนรถโดยสารสาธารณะ 2 ชั้นแล้วที่ต้องมีความสูงไม่เกิน 4 เมตร จากเดิมไม่เกิน 4.3 เมตร แต่รถทัวร์ 2 ชั้นในระบบจดทะเบียนวิ่งให้บริการได้เหมือนเดิม พร้อมบังคับติดตั้งระบบจีพีเอส เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมผู้ขับรถ ปรับปรุงสภาพรถ ซ่อมตัวถังรถ ต้องปรับระดับความสูงของรถเหลือไม่เกิน 4 เมตร ซึ่งจะมีอายุการใช้งานไปอีกประมาณ 4-5 ปี และจะปิดตำนานรถ 2 ชั้นในเมืองไทย

"นายกรัฐมนตรี ขอให้กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอำนวยความสะดวกกับผู้ประสบเหตุและญาติ ดังนั้นจะเห็นว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างมาก มีการรณรงค์ในทุกเทศกาล เพื่อลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น" นางรัดเล้า กล่าว

นางรัดเกล้า ยังกล่าวชื่นชมประชาชนในที่เกิดเหตุที่ให้ความช่วยเหลือ ด้วยการเปิดห้องพักในระแวกนั้นให้ญาติผู้ประสบเหตุที่มาติดต่อรับศพ หรือมาเยี่ยมผู้บาดเจ็บได้พักครอบครัวละ 1 ห้องฟรี เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน และขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เข้าช่วยเหลือ

'รัฐบาลเศรษฐา' เดินหน้า เร่งดัน EEC เฟส 2  มั่นใจ!! ดึงเงินลงทุนจริง 5 แสนล้าน ใน 5 ปี

เมื่อวานนี้ (6 ธ.ค.66) โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี (EEC) ที่เป็นเรือธงในการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ผ่านมา ได้ถูกหยิบยกมาสานต่อในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้ง 

ทั้งนี้ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้มีการพิจารณาเห็นชอบ ร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (2566-2570) ที่เป็นกรอบดำเนินงานหลักของอีอีซี เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ร่วมบูรณาการในการพัฒนาเชิงพื้นที่ในทุกมิติ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม

ถือเป็นการต่อยอดการพัฒนาอีอีซี จากระยะที่ 1 (2560-2565) ที่มีมูลค่าอนุมัติการลงทุนไปแล้วราว 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจากการหารือทางที่ประชุมได้ให้หน่วยงานต่างๆ กลับไปจัดทำร่างแผนปฏิบัติการและการดำเนินงาน รวมถึงขอรับการจัดสรรงบประมาณให้ที่ประชุมพิจารณาอีกครั้งในเดือนมกราคม 2567

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี เปิดเผยว่า ในการประชุมบอร์ดอีอีซีล่าสุด ได้เห็นชอบร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2566-2570 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ และจัดทำร่างแผนปฏิบัติการและการดำเนินงาน

รวมถึงขอรับการจัดสรรงบประมาณ โดยจะนำร่างแผนดังกล่าวสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบภายในเดือนธันวาคม 2566 นี้

แหล่งข่าวจากสกพอ.กล่าวว่า ร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (2566-2570) เป็นการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนจริงในพื้นที่อีอีซีระยะที่ 2 ให้ได้ โดยมีเป้าหมายไว้ราว 5 แสนล้านบาทในระยะเวลา 5 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 1 แสนล้านบาท

ทั้งนี้จะช่วยสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมของพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Gross Provincial Cluster Product : GPCP EEC) ขยายตัวเฉลี่ย 6.3% และดัชนีความก้าวหน้าของคน (Human Achievement Index) ในพื้นที่ได้แก่ ดัชนีย่อยด้านชีวิตการงานและดัชนีย่อยด้านเศรษฐกิจ มีอัตราเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2%

“ในปี 2564 GPCP EEC เท่ากับ 2.36 ล้านล้านบาท คิดเป็น 14.6 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (ปี 2560-2562) เศรษฐกิจอีอีซีมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 2.1 % จากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเป็นหลัก”

สำหรับการผลักดันเป้าหมายดังกล่าว จะดำเนินงานภายใต้การพัฒนา 5 แนวทางประกอบด้วย 

1.ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายและบริการแห่งอนาคต ที่ตั้งเป้าหมายให้ได้มูลค่าความตกลงสิทธิประโยชน์ปีละ 2.5 แสนล้านบาท มีจำนวนโรงงานอุตสาหกรรมเป้าหมายเพิ่มขึ้น 3.5 % ต่อปี สัดส่วนรายได้ของธุรกิจเอสเอ็มอีในอุตสาหกรรมเป้าหมายต่อจีดีพีในอีอีซีไม่น้อยกว่าปีละ 7 % รวมถึงจำนวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอุตสาหกรรมเป้าหมายเพิ่มขึ้นปีละ 3.5 %

2. เพิ่มประสิทธิภาพ และการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค โดยมีเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลัก ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา แล้วเสร็จกว่า 90% ในปี 2570 การก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F1 แล้วเสร็จในปี 2570 

ขณะที่การก่อสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ช่วงที่ 1 แล้วเสร็จในปี 2569 โดยจะมีปริมาณการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มขึ้นปีละ 5% มีปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดไม่น้อยกว่า 5 % ในปี 2570 และมีปริมาณนํ้าต้นทุนเพียงพอต่อความต้องการใช้ในปี 2570 ที่ 2,888 ล้านลูกบาศก์เมตร

3. ยกระดับทักษะแรงงานให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและนวัตกรรม มีเป้าหมายผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นปีละ 2.5% อัตราการว่างงานเฉลี่ยไม่เกินปีละ 0.83% มีแรงงานที่ได้รับการพัฒนาทักษะตามความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมายไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคนต่อปี

4. พัฒนาเมืองให้มีความทันสมัย น่าอยู่อาศัยและเหมาะสมกับการประกอบอาชีพ มีเป้าหมายการพัฒนาเมืองใหม่และเมืองเดิมได้รับการพัฒนาตามแผน 2 เมือง มีอัตราการส่งต่อผู้ป่วยออกนอกพื้นที่ลดลงปีละ 10 % ปริมาณการล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง 20% ในปื2570 เมื่อเทียบกับปีฐาน และมีสัดส่วนการนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ไม่น้อยกว่า 15 % ต่อปี

5.เชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสู่ความยั่งยืนของชุมชน ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนไม่น้อยกว่า 5 % ต่อปี

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ขณะที่แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการพัฒนาอีอีซี ระหว่างปี 2566-2570 ที่ผ่านมาได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปแล้ว ภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประกอบด้วย

1.การเพิ่มขีดความสามารถของระบบรางและทางนํ้า และเชื่อมต่อกับการขนส่งสินค้ารูปแบบอื่น
2.การยกระดับโครงข่ายคมนาคมรองรับการเดินทางของประชาชนอย่างไร้รอยต่อ และ
3.ยกระดับโครงข่ายคมนาคมด้วยมาตรการเชิงรุกและเทคโนโลยีที่ทันสมัย

ทั้งนี้ กำหนดให้มีการดำเนินโครงการทางด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งจำนวน 77 โครงการ วงเงินรวม 337,797.07 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่เริ่มดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2566 จำนวน 29 โครงการ วงเงินรวม 125,599.98 ล้านบาท แบ่งเป็นวงเงินปี 66 ประมาณ 25,425.65 ล้านบาทและโครงการที่เริ่มดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2567-2570 จำนวน 48 โครงการ วงเงินรวม 212,197.09 ล้านบาท

สำหรับโครงการตามแผนปฏิบัติการฯ พ.ศ. 2566-2570 รวม 77 โครงการ วงเงินรวม 337,797.07 ล้านบาท แบ่งเป็น

ภาครัฐลงทุน จากงบประมาณแผ่นดิน เงินกู้ และงบรัฐวิสาหกิจ จำนวน 61 โครงการ วงเงินรวม 178,578.07 ล้านบาท (52.87%)
ภาคเอกชนลงทุน และการร่วมทุนระหว่างภาครัฐ และเอกชน (PPP) จำนวน 16 โครงการ วงเงินรวม 159,219 ล้านบาท ( 47.13%)

ทั้งนี้เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 295,710.49 ล้านบาท ( 87.5%) ระบบสาธารณูปโภค 38,382.58 ล้านบาท ( 11.4%) และมาตรการส่งเสริม 3,704 ล้านบาท ( 1.1%)

ส่วนกรณีที่อีอีซีมีแผนจะขยายพื้นที่จังหวัดในระยะที่ 2 ออกไปนั้น ยืนยันว่ายังไม่มีแผนดังกล่าว เพราะการขยายพื้นที่ในระยะที่ 2 จะต้องออกกฎหมายเพิ่มเติมหรือออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เนื่องจากตามกฎหมายในปัจจุบันกำหนดให้อีอีซียังดำเนินการภายในพื้นที่ 3 จังหวัดตามเดิม ประกอบด้วย ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา

'นายกฯ เศรษฐา' นัดเจอทีมงานเทศกาลดนตรี EDM ระดับโลก Tomorrowland  ดึงจัดในไทย 10 ปี หวังกระตุ้น 'เศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวไทย' ไปยาวๆ

(7 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ทวิตข้อความ ระบุว่า...

"แฟนๆ EDM อยากไปเทศกาลดนตรี Tomorrowland ไหมครับ เมื่อคืนมีนัดทานข้าวกับทีมงาน เรารอไปสนุกกับเทศกาลระดับโลกพร้อมกันนะครับ ไม่ใช่แค่ปีเดียว แต่อาจจะถึง 10 ปีเต็มเลย"

สำหรับเทศกาลทูมอร์โรว์แลนด์ (Tomorrowland) เป็นเทศกาลดนตรีแนวดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ (EDM) ที่จัดขึ้นที่เมืองบูม ประเทศเบลเยียม โดยเริ่มจัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2005 และกลายเป็น 1 ในเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก มีแฟนเพลงเข้าร่วมนับหมื่นคน มักจะขายบัตรหมดภายในไม่กี่นาที

ทั้งนี้ ถือว่า นายกฯ เป็นผู้มีรสนิยม และเข้าใจถึงดนตรีที่มีความหลากหลาย ซึ่งเป็นศิลปะหนึ่งในหลายแขนง ทำให้เกิดโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศไทยได้อย่างมาก เป็น Music Festival ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยมาร่วมงาน ทำให้มีเงินหมุนเวียนจากกิจกรรมนี้อย่างเดียวหลายพันล้านบาท

การให้ความสำคัญ และเปิดโอกาสให้มีกิจกรรมดนตรีและศิลปะที่หลากหลายมากขึ้น จะเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวและการส่งออกผลงานทางศิลปะได้มากขึ้นตามไปด้วย

‘นายกฯ’ ไม่เห็นด้วยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 2-16 บาท ลั่น!! ซื้อไข่ลูกนึงยังไม่ได้ เล็งคุยทบทวนใหม่

(9 ธ.ค.66) ที่ศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทย อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี คณะกรรมการไตรภาคี มีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 2-16 บาท ว่า ค่าแรงขั้นต่ำของเราไม่ได้ขึ้นมานานมาก ขึ้นมาน้อยมาก ขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน โดยรัฐบาลพยายามทำหลายวิธี ที่จะให้ ลดค่าใช้จ่าย ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน พักหนี้เกษตรกร และอีกหลายอย่างเพื่อช่วยเหลือบรรเทา ความทุกข์ของประชาชน รวมไปถึงการแก้ไขหนี้นอกระบบ และหนี้ในระบบ รัฐบาลพยายามทำอยู่ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ขณะที่เรื่องของการเพิ่มรายได้ก็สำคัญ โดยประชาชนหลายสิบล้านคน ต้องพึ่งค่าแรงขั้นต่ำจำนวนมาก บางจังหวัดขึ้นแค่ 7-12 บาทเท่านั้นซึ่งน้อยเกินไป ทั้งที่รัฐบาลพยายามที่จะยกระดับ ให้ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมไฮเทค ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น

ตนเดินทางไปต่างประเทศเพื่อที่จะดึงบริษัทใหญ่มาลงทุนในไทย ไปเปิดตลาดค้าขายใหม่ในต่างประเทศ ที่ไทยยังไม่มีสนธิสัญญาทางการค้า สิ่งเหล่านี้รัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่แต่ผู้ประกอบการหรือนายจ้าง ต้องขอวิงวอนและขออ้อนวอน ว่าพี่น้องแรงงาน คือผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เมื่อมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น อีกทางหนึ่งรัฐบาลพยายามทำทุกทาง แต่การขึ้นรายได้ ผู้ประกอบการต้องพยายามทำ ไม่ใช่มากดค่าจ้าง แล้วนายจ้างไม่ได้พัฒนา กิจการของตัวเองเลย ผู้ประกอบการต้องพัฒนาตัวเอง เพราะปัจจุบันนายจ้างก็ได้ประโยชน์ จากการลดค่าไฟ ค่าน้ำมันและอีกหลายอย่าง ตามมาตรการของรัฐบาล วันนี้เราจะยอม ให้แรงงานประชาชนคนไทย ต่ำติดดินแบบนี้หรือ ประเทศที่ใกล้เคียงกับไทยเช่นสิงคโปร์หรือเกาหลี สิงคโปร์ค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน 1,000 บาท เราจะยอมให้พี่น้องประชาชนของเราเป็นพลเมืองชั้น 2 ชั้น 3 ของโลกหรือในเมื่อค่าแรงขั้นต่ำติดดินขนาดนี้ เมื่อรัฐบาลพยายามยกระดับภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการ ก็ควรที่จะทำไปพร้อมๆกัน ถ้าทำเพียงฝ่าย เดียวเป็นไปไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าในเรื่องค่าแรงจะมีโอกาสทบทวนใหม่หรือไม่นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องขอทบทวนใหม่ เดี๋ยวจะต้องไปพิจารณาดูถึงแนวทางความเหมาะสมเพราะเพิ่งทราบข่าวเรื่องนี้ แต่คงไม่ใช่การสั่งการ แต่เป็นการพูดคุยร่วมกัน เราต้องพูดถึงองค์รวมของเศรษฐกิจ และการทำธุรกิจ ไม่ใช่แค่ขึ้นค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการหรือนายจ้างอย่างเดียว แต่ยังมีการเพิ่มรายได้เปิดตลาดที่มากขึ้น ที่ผ่านมาผู้ประกอบการหรือนายจ้างก็ได้ประโยชน์ไปแล้ว ถึงเวลาต้องคืนให้กับคนที่เป็นกำลังสำคัญ ในภาคผลิตด้วยหรือเปล่า พอพ้นจากวันหยุดก็จะมีการเรียกคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เชื่อว่าเรื่องนี้ทุกคนมีความกังวลหมด ขอให้คิดถึงใจเขาใจเรา

เมื่อถามย้ำว่าในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้รับการปรับขึ้น มานานแต่ขณะนี้ปรับเพียงแค่ 2 บาทจะมีการพิจารณาใหม่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ตนก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้คุยกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้พูดคุยกันเรื่องนิคมอุตสาหกรรม การพัฒนาท่องเที่ยว การเปิดด่านสะเดา มีการลงทุนสร้างสะพานไปยังมาเลเซีย สิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไม ถึงขึ้นแค่ 2-3 บาท ยอมรับว่าตนไม่สบายใจ ถึงอยากใช้เวทีนี้สื่อสาร ไปถึง และขอความเป็นธรรมให้กับพี่น้องแรงงาน ไม่อย่างนั้นจะติดกับรายได้ต่ำ ต้องคุยทั้งกับไตรภาคี และในครม.เพราะเรื่องค่าแรงขั้นต่ำเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า การปรับขึ้นค่าแรงที่เป็นธรรมควรจะอยู่ที่ตัวเลขเท่าไหร่ นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องขึ้นไปสูงกว่านี้ โดยจะต้องฟังเหตุผล ของเขาเหมือนกัน อย่างที่บอก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้น 2-3 บาท ซื้อไข่ลูกหนึ่งยังไม่ได้ เมื่อถามย้ำว่าผู้ประกอบการจะอ้างเรื่อง ผลประกอบการไม่ดีเพราะสภาพเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา นายกกล่าวว่า รัฐบาลก็พยายามช่วยอยู่ โดยเฉพาะการลดค่าไฟที่ภาคอุตสาหกรรม ได้ประโยชน์ จากที่ 4.50 บาทต่อหน่วย ลดมาเหลือ 3.99 ดังนั้นขอให้คืนกับประชาชนบ้าง ขอย้ำว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลักอยู่แล้ว 

เมื่อถามว่าหากมีการปรับเพิ่มขึ้นจำนวนมากอาจจะมีปัญหาเรื่องของการย้ายฐานผลิตออกจากประเทศไทย นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่มีหรอกครับอันนี้เป็นวาทกรรม ไม่มีใครย้ายเพราะค่าแรงขึ้น จาก 300 เป็น 400 บาทไม่มีหรอก รัฐบาลยังมี มาตรการส่งเสริมด้านภาษี มีระบบสาธารณสุขที่ดี สถานศึกษาก็ดี โครงสร้างพื้นฐานและสนามบินก็ดี ท่าเรือน้ำลึกก็มี ที่ตนเดินทางไปต่างประเทศก็ได้เซ็น MOU กับหลายบริษัทใหญ่ๆ ทั้งโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ถ้าผู้ประกอบการไม่ช่วยกันก็ไปลำบาก

เมื่อถามว่า รัฐบาลจะพยายามทำให้ได้ถึง 400 บาทตามนโยบายที่รัฐบาลได้ประกาศไว้หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องดูตามความเหมาะสม ในจังหวัดใหญ่อาจจะได้ถึง 400 แต่จังหวัดเล็กอาจจะไม่ถึง ต้องดูความเหมาะสม ขอย้ำว่าสิ่งต่างๆ ที่รัฐบาลพยายามทำเพื่อให้ นายจ้างสามารถส่งสินค้าออกไปได้และยังอำนวยความสะดวก เพื่อลดค่าใช้จ่าย ให้ผู้ประกอบการ

เมื่อถามว่านายกจะสื่อสารไปยังผู้ใช้แรงงานอย่างไรเพื่อไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหว นายเศรษฐากล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และประกาศชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย ขอให้ผู้ใช้แรงงาน ดูการกระทำ ว่าตนมีความจริงใจขนาดไหนอย่างไร เราให้ความสำคัญสูงสุด การที่ตนไปพูดที่หอการค้าไทย ขอให้ฟังดูว่าเขาดีใจหรือไม่ที่รัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับสภาอุตสาหกรรม รัฐบาลพยายามสร้างความมั่นใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน และเข้ามาอยู่ในประเทศไทยง่ายและปลอดภัยขึ้น ทั้งหมดเพื่อสร้างความมั่นใจ

"วันนี้ผมไม่ได้มาหาเสียง เพราะการหาเสียงจบไปแล้วแต่เราพูดถึงความเป็นจริงว่าชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ต้องได้รับการดูแลควบคู่กันไปด้วย ขออ้อนวอนไปถึงนายจ้างให้ความเป็นธรรมกับผู้ใช้แรงงานด้วย"

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีการนำเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมครม. จะพิจารณาอย่างไร นายกกล่าวว่า ต้องดูว่ามีความจำเป็นว่าจะเสนอเข้ามาหรือไม่ ถ้าเสนอเข้ามา ตนไม่ยินยอมไม่เห็นด้วย แน่นอน ตนเชื่อว่า นโยบายค่าแรงขั้นต่ำเราดูที่ความเหมาะสม เราเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ หลายประเทศ ค่าแรงขั้นต่ำเขามากกว่านี้ วันนี้เราชนะสิงคโปร์ในแง่ดึงดูดนักลงทุน บริษัทใหญ่เข้ามาสร้าง Data Center เป็น เป็นนิมิตใหม่อันดีว่าประเทศเรามีศักยภาพสูง แต่ทำไมจึงไปกดผู้ใช้แรงงานที่จะมาช่วยพัฒนาประเทศ

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรี รู้สึกเหมือนมีความฉุนเฉียวที่พูดถึงเรื่องนี้ นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับฉุน เพราะการที่เป็นนายกรัฐมนตรีต้องดูแลประชาชน 60 ล้านคน ไม่ใช่ดูแลแค่มาเอาคะแนนเสียง กับผู้ใช้แรงงานอย่างเดียว แต่นายจ้างและผู้ประกอบการ ก็ไปรับฟังความเห็นตลอด และพร้อมจะช่วยเหลือ สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างเป็นรูปธรรมอยู่แล้ว

‘เศรษฐา’ บุกกาญจนบุรี ยกคณะฟังเสียงประชาชน ท่ามกลางชาวบ้านชูป้ายต้อนรับ - หนุนเงินดิจิทัล

(9 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดกาญจนบุรี โดยจุดแรกที่ศูนย์ประสานงานอำเภอท่ามะกา ต.ตะคร้ำเอน อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี เพื่อพบปะประชาชนชาวกาญจนบุรี โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม ในฐานะอดีตนายก อบจ.กาญจนบุรี เจ้าของพื้นที่เก่า และสส.กาญจนบุรี ให้การต้อนรับ ได้แก่ นายอัครนันท์​ กัณณ์กิตตินันท์ สส.เขต 1 พรรคเพื่อไทย​ นายชูศักดิ์​ แม้นทิม สส.เขต 2 พรรคเพื่อไทย นายยศวัฒน์​ มาไพศาลสิน​ สส.เขต 3 พรรคภูมิใจไทย นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์​ สส.เขต 4 พรรคเพื่อไทย​ และ นายพนม​ โพธิ์แก้ว​ สส.​เขต 5 พรรคเพื่อไทย

รวมถึงประชาชนที่มาต้อนรับพร้อมถือป้ายขอสนับสนุนเงินดิจิทัล ข้อความ ยินดีต้อนรับท่านนายกฯ ชาวกาญจน์รักนายกฯ นิด, เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท รออยู่นะคะท่าน ขณะที่บางส่วนเขียนข้อความที่เป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยเคยประกาศไว้กับประชาชน 8 เรื่อง โดยทันทีที่นายกฯ มาถึงได้เดินทักทายประชาชนที่มาให้กำลังใจและมอบดอกกุหลาบให้

จากนั้นนายกฯ กล่าวกับประชาชน ว่า ยินดีมากที่ได้กลับมา จ.กาญจนบุรี อีกครั้ง หลังจากการเลือกตั้งผ่านไปแล้ว ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ที่จะครบในวันมะรืนนี้ที่รัฐบาลเข้ามาบริหาร พบว่าบ้านเมืองเรามีปัญหาเยอะ แต่เรามีรัฐมนตรีและทีมงานที่พร้อมจะรับใช้ประชาชนอย่างเต็มที่เสียงสะท้อน เสียงเรียกร้อง เสียงวิงวอนตอนที่มาเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนที่มาที่นี่เสียงก็เป็นเหมือนกันหมดคือเรื่องของปากท้อง เรื่องปัญหาหนี้สิน ปัญหายาเสพติด พื้นที่ทำกิน ราคาเกษตร การค้าขายระหว่างพรมแดนทั้งหลาย รัฐบาลนี้ไม่ได้นิ่งนอนใจ

นายกฯ กล่าวว่า เรื่องของหนี้สิน เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ตนและ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกาศเป็นวาระแห่งชาติหนี้นอกระบบต้องหมดไป จะเป็นการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ มีการเซ็ตเป้าหมายที่ชัดเจนระหว่างนายอำเภอกับผู้กำกับทุกจังหวัด เมื่อมีเสียงเรียกร้องหรือมีปัญหากับการถูกเรียกทวงหนี้อย่างไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นแก๊งมอเตอร์ไซค์ หมวกกันน็อก ออนไลน์ หรือการข่มขู่เจ้าหน้าที่ เราทุกคนพร้อมที่จะให้บริการกับพี่น้องประชาชน ฉะนั้นอย่ากลัว ให้เดินออกมาพูดคุยกัน รัฐบาลให้ความเป็นธรรมและคุ้มครองเจ้าหนี้และลูกหนี้ที่ทุกอย่างจะต้องถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย บ้านเมืองมีขื่อมีแป เราไม่ยอมรับการรีดไถที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม เรื่องนี้รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุด

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนเรื่องปัญหายาเสพติด เรามาพูดกันที่นี่ไปแล้วเมื่อตอนเลือกตั้งว่าเป็นปัญหาที่กัดกร่อนสังคมไทยมานานมาก เรื่องของวงจรการค้ายาเสพติด ไม่ว่าจะจากชายแดน เราได้มีการบริหารจัดการโดยแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงเข้ามาจัดการประสานงานกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ และพื้นที่ ซึ่งเราให้ความสำคัญสูงสุด เรื่องยาบ้าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เรื่องการ ทำลายสมัยก่อนใช้เวลานาน แต่คราวนี้เร่งรัดวงจรในการทำลาย จับได้พิสูจน์ทราบทำลายทันทีเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของสังคม

นายกฯ กล่าวอีกว่า เรื่องการค้าการลงทุนยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องเป็นที่ประจักษ์ดีรัฐบาลนี้ทำงานอย่างเข้มแข็ง มีการเดินทางไปต่างประเทศ ไปเปิดการค้าระหว่างประเทศ ดึงนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่พี่น้องประชาชน ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเข้มแข็งขึ้น และเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม

“มีเรื่องที่ทำให้ผมไม่สบายใจคือเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ เชื่อว่าพี่น้องหลายคนเป็นห่วงอยู่ตรงนี้ โดยความเห็นส่วนตัวและถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำจะต้องถูกยกระดับขึ้นมา เรายอมรับไม่ได้ที่มีการประกาศกันเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม เดี๋ยวคงจะต้องมีการพูดคุยกันในเวทีที่เหมาะสม โดยใช้เหตุผลคุยกันตรงนี้ เป็นเรื่องที่เรายอมรับไม่ได้และต้องแก้ไขกันต่อไป” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่หลังจากการเลือกตั้งยังไม่มีรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมาเยี่ยมเยียนที่จังหวัดกาญจนบุรีเลย จึงถือเป็นมิติใหม่หลังจากได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องให้เข้ามาบริหาร และเดินทางมารับฟังพูดคุยปัญหาที่พี่น้องทุกคนมีอยู่วันนี้พร้อมมีรัฐมนตรีมาหลายคน ฝากการสื่อสารเข้ามาด้วยว่าอยากให้เราทำอะไรบ้าง ขอให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลนี้พร้อมและทำงานอย่างเต็มที่

'นายกฯ' เผย 'พิพัฒน์' ดึงกลับขึ้น 'ค่าแรงขั้นต่ำ' หวังให้เหมาะกับสถานการณ์มากขึ้น ยัน!! ทันปีใหม่

(12 ธ.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ว่า เรื่องของแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน ได้นำเสนอต่อที่ประชุม ครม.โดยนายพิพัฒน์ได้สรุปเอง บอกว่าจะต้องนำกลับไปตั้งข้อสังเกตและพิจารณาสูตรการคิดค่าแรงใหม่ ท่านนำมาเสนอและดึงกลับไปเอง จึงแจ้งเพื่อทราบ

เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ นายกฯ กล่าวว่าเป็นการตั้งข้อสังเกตไปแล้ว ซึ่งก็ต้องแล้วแต่และต้องให้เกียรติคณะกรรมการไตรภาคี พูดได้แค่นี้ เมื่อถามว่าจะทันช่วงปีใหม่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนคิดว่าอาทิตย์หน้าอาจจะนำเข้าที่ประชุมครม.หรือไม่เกิน 2 อาทิตย์อาจจะเป็นวันที่ 25 ธ.ค.หรืออะไรสักอย่างตรงนั้น น่าจะเอาเข้ามาทันได้

เมื่อถามว่า ตัวเลขที่นายกฯ ตั้งใจไว้อยู่ที่เท่าไหร่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ไม่ใช่ตัวเลขปัจจุบันนะ แต่ก็ต้องฟังเขาก่อน มันมีข้อกฎหมายอะไรหลายๆ อย่าง ที่ทักท้วงเข้ามา แต่สิ่งที่ตนต้องการไม่ใช่ตัวเลขจำนวนนี้

เมื่อถามว่า จะได้ตัวเลข 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศหรือไม่ นายเศรษฐา ไม่ตอบคำถามพร้อมกับกล่าวว่า “คำถามต่อไปครับ”

ด้านนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.วันนี้ มีมติรับทราบมติคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 หรือบอร์ดไตรภาคี ที่เห็นชอบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2567 เพิ่มขึ้นวันละ 2-16 บาท หรือเฉลี่ย 2.37% แต่เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสถานการณ์มากขึ้น กระทรวงแรงงานจึงขอเสนอกลับไปพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมอีกครั้ง คาดว่าจะนำกลับเข้ามาในครม.ก่อนสิ้นปี 2566 นี้

“วันนี้กระทรวงแรงงาน เสนอมติของคณะกรรมการค่าจ้างเข้ามาครม.ตามกำหนด แต่ในการประชุมก็ได้มีการตั้งข้อสังเกตและขอนำกลับไปพิจารณาเพิ่มเติม เพราะส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการนำหลักการคำนวณค่าแรงขั้นต่ำ โดยใช้ฐานปี 2563-2564 มาเป็นสูตรคำนวณ โดยจะเสนอไปยังคณะกรรมการค่าจ้าง พิจารณาเพิ่มเติมใหม่อีกครั้ง” นายพิพัฒน์ กล่าว

เมื่อถามว่าในการพิจารณาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรอบนี้เมื่อนำกลับไปพิจารณาใหม่ จะทำให้เกิดความล่าช้าหรือไม่ นายพิพัฒน์ กล่าวยอมรับว่า การดำเนินการจะทำให้เร็วที่สุดและจะได้ข้อสรุปให้เดือนธันวาคม 2566 เพื่อให้การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567

'นายกฯ' เผย JETRO ขอไทยช่วยดูแลระบบเปลี่ยนผ่านสู่ EV หลังหลายบริษัทฯ รับปากจะพิจารณามาลงทุนไทยเร็วขึ้น

(16 ธ.ค.66) ที่บริเวณหน้าลานพระราชวังอิมพีเรียล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงผลการหารือกับผู้บริหารองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) และผู้บริหารบริษัทคูโบต้าว่า JETRO ซึ่งเป็นกลุ่มนักธุรกิจที่ติดต่อจะไปลงทุนที่ประเทศไทย ก็ได้มาขอบคุณรัฐบาลที่ช่วยดูแลนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น โดยเราหวังว่าจะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนได้ให้ความมั่นใจว่าการลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่นจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยต่อไป พร้อมย้ำว่า ที่ผ่านมาเรามีความสัมพันธ์ดีมากกับญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีชาวญี่ปุ่นกว่าแสนคนและกว่า 6,000 บริษัทที่มาทำงานในประเทศไทย ฉะนั้นตรงนี้ทุกอย่างมองตาก็รู้ใจอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า JETRO อยากให้รัฐบาลสนับสนุนอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ก็ดูแลในเรื่องระบบที่กำลังเปลี่ยนผ่านเป็นระบบรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลไทยก็มีการสนับสนุนอยู่แล้ว และจากที่เมื่อวานนี้ (15 ธ.ค.) ได้พบกับ 7 บริษัทยานยนต์ญี่ปุ่น ตนก็ได้ให้ความชัดเจนเรื่องของนโยบายที่จะสนับสนุน พร้อมชี้แจงว่าอยากให้เข้ามาลงทุนเร็วขึ้น โดยหลายบริษัทก็รับไปพิจารณาต่อ

ทั้งนี้ ไทยยืนยันในเรื่องของสนธิสัญญาทางการค้า (FTA) ระหว่างไทย อียู และสหราชอาณาจักร ที่ขับรถพวงมาลัยขวาตรงนี้ก็มีการยืนยันว่าจะเร่งเจรจาให้ได้โดยเร็ว เพื่อรักษาระดับการส่งออกรถยนต์ที่ผลิตในไทย เพราะโดยเฉลี่ยในประเทศใช้เอง 30% ส่งออก 70% ดังนั้นการที่เราเร่งในเรื่องนี้ให้เยอะขึ้น ก็จะเป็นการย้ำว่าปริมาณการส่งออกรถยนต์ของญี่ปุ่นสามารถควบคุมได้

ส่วนการเปลี่ยนขยับไปทำเรื่องโรงงานอีวี ก็เร็วขึ้นในบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถกระบะของอีซูซุ และโตโยต้า

ส่วนการหารือกับผู้บริหารคูโบต้า จะมีความร่วมทางด้านเทคโนโลยีเพื่อมาใช้กับเกษตรกรไทยอย่างไรบ้างนั้น นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการหารือกับผู้บริหารคูโบต้าถือเป็นการประชุมที่ดีมาก ซึ่งเราเข้าใจผิดว่าคูโบต้าขายแต่รถไถอย่างเดียว แต่เขามีเทคโนโลยีเรื่องของการอัดแน่นซังข้าวโพดที่ไปทำถ่านไร้ควันและเชื้อเพลิง รวมถึงการเก็บเกี่ยวพืชของอนาคต และปัจจุบันในเรื่องของการไถและเก็บเกี่ยวข้าว ซึ่งทางคูโบต้าทำได้ดีอยู่แล้ว แต่พืชในอนาคตของประเทศไทย เช่น ถั่วเหลืองไทยนำเข้าปีละล้านตัน แต่เราผลิตเองได้เพียงหลังหมื่น เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการเก็บเกี่ยวที่ไม่คุ้มต้นทุน ฉะนั้น จึงพูดคุยกับทางคูโบต้าที่มีเทคโนโลยี เครื่องจักรที่ช่วยลดต้นทุนได้ รวมถึงการทำระบบชลประทานในภาคการเกษตร ซึ่งระบบครบวงจรเกษตรกรรมทางคูโบต้าดำเนินการอยู่ มีการตกลงว่าไทยจะไปดูสถานที่ และให้ทางคูโบต้ามาช่วยกันพัฒนา ตรงนี้จะเป็นช่องทางที่ทำให้เราเพิ่มรายได้เกษตรกรเป็นสามเท่าภายในสี่ปี ถือเป็นเรื่องใหญ่และเรื่องดี อีกทั้งทางประธานใหญ่คูโบต้าก็ให้การสนับสนุนเต็มที่

นายกรัฐมนตรี เปิดเผยต่อว่า ตนได้ขอให้คูโบต้าทำเรื่องการให้เงินกู้กับสัญญาเช่าซื้อมากกว่าการขายอย่างเดียว และให้ราคาดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ทำให้เกษตรกรไทยมีรายได้อย่างแท้จริง หลังจากนี้ ทีมงานก็จะไปคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย
 

'นายกฯ' กำชับ 'ท่องเที่ยว' ทำงานเชิงรุก เพิ่มมิติการท่องเที่ยวไทย พร้อมเชิญ 'กัมพูชา-ลาว-เวียดนาม' ถกกระตุ้นท่องเที่ยวระดับภูมิภาค

(19 ธ.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในการประชุม ครม.ได้สั่งการให้ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เป็นเจ้าภาพใหญ่ในการเชิญประชุมรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจากประเทศกัมพูชา. ลาว, เวียดนาม เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ โดยที่เราเป็นเจ้าภาพหลัก และตนจะเจอ ‘ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม’ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในวันที่ 26 ธันวาคมนี้ ซึ่งตนจะถามด้วยว่ามาเลเซียสนใจหรือไม่?

พร้อมกันนี้ นายกฯ ยังได้สั่งการให้ รมว.ท่องเที่ยวฯ จัดการทำงานในหลายๆ เรื่อง ทั้งการทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำกับดูแลการตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท่องเที่ยวให้ดูแลความปลอดภัยกับนักท่องเที่ยว และสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย รวมถึง กทม.ให้ความสำคัญดูแลเรื่องความสะอาด ดูแลห้องน้ำให้เพียงพอกับนักท่องเที่ยว และยังได้สั่งการให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ร่วมกับสำนักงานประกอบธุรกิจประกัน ให้ดูแลทำประกันภัยให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนครอบคลุมการเสียชีวิต ชดเชยไม่เกิน 1 ล้านบาท กรณีอุบัติเหตุชดเชยตามจริงแต่ไม่เกิน 5 แสนบาท รวมทั้งหารือกับกระทรวงสาธารณสุขจัดระเบียบด้านสาธารณสุขและประกันสุขภาพสำหรับนักท่องเที่ยว หากมีความจำเป็นต้องใช้งบกลางให้เร่งเสนอตามขั้นตอนตามความต้องการ

นอกจากนี้ ยังให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ เรียกประชุมและมอบนโยบายให้กับหน่วยงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทั้ง 30 แห่งทั่วประเทศทำงานเชิงรุก ให้ความรู้ช่วยกันโฆษณาประเทศไทยดีอย่างไรควรจะมาท่องเที่ยวอย่างไร

นายกฯ กล่าวอีกด้วยว่า ได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมดูพื้นที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ที่เคยคุยกันไว้จะให้มาทำเป็นศูนย์แสดงสินค้าโอทอป เพราะไปดูที่ญี่ปุ่นได้ไอเดียมาเยอะ จะได้เร่งจัดการกันไป 

‘เศรษฐา’ เล็งหนุนกฎหมายสมรสเท่าเทียมเต็มที่

(19 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ (X) ว่า…

“ผมเชื่อว่าความรักไม่มีนิยามตายตัว เราทุกคนมีสิทธิรักใครสักคนหนึ่งในฐานะ ‘มนุษย์คนหนึ่งรักมนุษย์อีกคน’ โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องใดทั้งสิ้น กฎหมายนี้จะทำให้บุคคลเพศเดียวกันสามารถหมั้น และสมรสกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งจะทำให้มีสิทธิ หน้าที่ และสถานะทางครอบครัวเท่าเทียมกับคู่สมรสที่เป็นชายและหญิง

เรื่องสมรสเท่าเทียม ไม่ใช่การทำให้ความรักของคนสองคนถูกกฎหมาย แต่เราให้ความสำคัญกับเรื่องของสิทธิ และเสรีภาพในการแต่งงานของคนรักกันที่ควรได้รับเหมือนกันทุกคน

วันนี้เรามีความก้าวหน้าไปอีกขั้น ในการเสนอร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งจะบรรจุเข้าพิจารณาวาระที่ 1 วันที่ 21 ธ.ค.นี้แล้ว” 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top