Monday, 20 May 2024
เศรษฐาทวีสิน

‘นายกฯ เศรษฐา’ บินลัดฟ้า หารือทวิภาคีกับ ‘ฮ่องกง’ หวังเดินหน้า EEC เชื่อมโยง เขตเศรษฐกิจ GBA

(9 ต.ค.66) ณ ทำเนียบผู้บริหารสูงสุดฮ่องกง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พบหารือทวิภาคีกับนายจอห์น ลี คา-ชิว (The Honorable John Lee Ka-chiu) ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีมุ่งส่งเสริมพลวัตความร่วมมือของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ การแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน และความเชื่อมโยง ประเทศไทยและฮ่องกงเป็นพันธมิตรทางการค้า และการลงทุนที่สำคัญ อีกทั้งต่างยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของกันและกันอีกด้วย รวมถึงได้ชื่นชมความสะดวกสบายในการดำเนินธุรกิจ (ease of doing business) ของฮ่องกงด้วย หวังให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือน พร้อมเชิญผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงเยือนไทยด้วย

ด้านผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง กล่าวว่า ไทยและฮ่องกงมีความสัมพันธ์ที่ดี และเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะมิติด้านเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี เพื่อเป็นศูนย์กลางการดำเนินธุรกิจ และจุดหลอมรวมระหว่างตะวันออก และตะวันตกอีกทั้งประตูสู่จีนแผ่นดินใหญ่ จึงเป็นโอกาสที่ดีให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันต่อยอดผลประโยชน์เศรษฐกิจ และการเงินการธนาคาร ในสภาวะความท้าทายที่โลกกำลังเผชิญกับเศรษฐกิจที่ตกต่ำในขณะนี้

โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือที่มีความสนใจร่วมกัน ดังนี้นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ฮ่องกงมีบทบาทที่สำคัญ เชื่อมจีนกับส่วนอื่น ๆ ของโลก ตลอดจนบทบาทในฐานะศูนย์กลางภูมิภาคด้านการค้า การเงิน และบริการ

โดยไทยสามารถเป็นประตูสู่ภูมิภาคอาเซียนให้แก่ฮ่องกง และจีนได้ ซึ่งรวมถึงการเป็นประตูสำหรับธุรกิจ ตลอดจนสินค้า และบริการจากฮ่องกง และจีนได้ จึงหวังที่จะกระชับความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งการค้า การลงทุน และความเชื่อมโยง

ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งฮ่องกงมีความเชี่ยวชาญ และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศไทย เชิญชวนฮ่องกงมาลงทุนในไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่าย

โดยไทยหวังที่จะเดินหน้าความร่วมมือเชิงลึกกับฮ่องกง เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยง และนโยบายการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อประสาน และเชื่อมโยง EEC กับเขตเศรษฐกิจอ่าวกวางตุ้ง - ฮ่องกง - มาเก๊า (Greater Bay Area: GBA)

‘นายกฯ’ ห่วงคนไทยในเขตสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ สั่งเจ้าหน้าที่อพยพพลเมือง-ช่วยเหลือตัวประกันเร่งด่วน

(11 ต.ค. 66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้เพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่อดูแล ช่วยเหลือคนไทย โดยได้ชี้แจงถึงการทำงานรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งการ เริ่มทำงานตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง 

นายชัย กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีชี้แจง ว่า สำหรับสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ดำเนินอยู่นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของประชาชนคนไทย ในการเตรียมแผนอพยพคนไทยมีความคืบหน้าเพิ่มเติม 2 ทาง

ทางแรก กลับมาโดยสายการบินพาณิชย์
ทางที่สอง กลับโดยเครื่องบินกองทัพอากาศไปรับ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ชุด 
1. อพยพออกมาพรุ่งนี้ถึงไทยวันที่ 12 ต.ค. 66 ประมาณ 15 คน ชุดแรกนี้เป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและแรงงานที่อพยพจากพื้นที่เสี่ยงภัย 
2. อพยพประมาณ 140 คน ออกจากไทยในวันที่ 14 ต.ค. 66 เป็นการส่งเครื่องบินกองทัพอากาศ Airbus A340 ไปรับ และจะไปถึงกรุงเทลอาวีฟ นครหลวงของอิสราเอลในวันที่ 15 เพื่อเตรียมพร้อมรับคนไทยกลับบ้านทันทีที่ได้รับอนุญาตจากทางการอิสราเอล 
3. ส่งคนไทยจำนวน 80 คนกลับทางเครื่องบินพาณิชย์ โดยจะถึงกรุงเทพฯในวันที่ 18 ต.ค. 66

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลพยายามอพยพคนไทยกลับให้เร็วที่สุดโดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ในส่วนของผู้ที่ถูกจับเป็นตัวประกันนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการพูดคุยกับบรรดามิตรประเทศต่าง ๆ ตลอดจนองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง และอยากขอให้ความมั่นใจว่า เราได้ทำทุกทาง และจะพยายามอย่างสูงสุดเพื่อช่วยเหลือ โดยคำนึงถึงอิสรภาพของคนไทยที่ถูกจับตัวไปเป็นสำคัญที่สุด

โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเสริมข้าราชการไปสนับสนุนข้าราชการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟในภารกิจช่วยเหลือพี่น้องชาวไทย

“ผมขอให้ทุกฝ่ายร่วมกันเป็นกำลังใจให้ญาติ เพื่อน ของพี่น้องชาวไทยที่กำลังจะกลับมา และอยู่ในพื้นที่ รวมทั้งเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ที่ร่วมกันปฏิบัติงาน อย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือดูแล คนไทยทุกคน” นายชัย กล่าว

'ทูตอิสราเอล' รับปาก 'นายกฯ' เร่งอพยพ 6 พันคนไทย ยัน!! ถ้ามีเครื่องบินพอ ก็สามารถออกมาได้หมด

เมื่อวานนี้ (13 ต.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ร่วมหารือกับ น.ส.ออร์นา ซากิฟ เอกอัคราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย เพื่อขอความช่วยเหลือในการดูแลคนไทยในสถานการณ์สู่รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส

ภายหลังการหารือ นายเศรษฐา แถลงว่า ในส่วนแรงงานไทยที่เสียชีวิต ได้ขอร้องผ่านเอกอัครราชทูตไปว่า ขอให้นำกลับมายังประเทศไทยโดยเร็วที่สุด ซึ่งได้รับปากว่าจะช่วยอย่างเต็มที่ เนื่องจากปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตเป็นพันศพ จำเป็นต้องมีการชันสูตรและพิสูจน์ทราบ แต่การยืนยันว่าจะให้ความสำคัญอย่างเต็มที่ สำหรับคนไทยจำนวนหนึ่งที่แสดงเจตจำนงกลับประเทศไทยกว่า 6 พันคน ซึ่งทางเอกอัครราชทูตยืนยันว่า มีเครื่องบินมารับเท่าไร ก็พร้อมจะนำส่งกลับออกมาทันที จุดใหญ่วันนี้คือเครื่องบินที่จะต้องไปรับกลับมาให้ได้

นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องสุดท้ายคือเรื่องของตัวประกัน ขอให้ดูแลและขอร้องให้เร่งเจรจาเพื่อนำตัวออกมาให้ได้ และตัวประกันไม่ได้ของชาติไทยเพียงชาติเดียว คนเหล่านี้ต้องถูกปล่อยออกมาโดยเร็วที่สุด

เมื่อถามว่า ความคืบหน้าการนำคนไทยไปพักไว้ในประเทศที่ 3 นายเศรษฐา กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศกำลังหารืออยู่ ซึ่งน่าจะมีประเทศอียิปต์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเมืองจิดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย หากเข้าไม่ได้ก็จะพักคอยไว้ เมื่อมีสายการบินสามารถบินเข้าออกได้ก็ให้รับมาเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว

“จากการพบกับทูตอิสราเอล ผมมีความสบายใจขึ้นมานิดนึง เพราะท่านทูตยืนยันว่าไม่ต้องห่วงตอนนี้พร้อมหมด ถ้ามีเครื่องบินพอก็สามารถออกมาได้หมด ขณะนี้สามารถขนย้ายคนมาอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว “นายกฯ กล่าว

‘เศรษฐา’ ยินดี!! อพยพคนไทยกลับถึงประเทศลุล่วง พร้อมสั่ง ‘ก.แรงงาน’ หางานเหมาะสมรองรับ

(6 ต.ค. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ให้สัมภาษณ์ก่อนเป็นประธานการประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 11/2566 หลังเครื่องบินกองทัพอากาศอพยพคนไทยในอิสราเอลจำนวน 130 คน ถึงยังท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 ดอนเมือง เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ว่า ก็ดีใจที่คนไทยได้เดินทางกลับประเทศ หลังจากนี้ให้กระทรวงแรงงานช่วยหางานที่เหมาะสมให้ประกอบอาชีพ ส่วนเรื่องการอพยพคนไทยที่เหลือก็พยายามทำอย่างเต็มที่และจะดำเนินการให้เร็วที่สุด

ส่วนเที่ยวบินที่รับคนไทยเดินทางกลับยังยืนยันว่าเป็น 32 เที่ยวใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า อย่างน้อย ต้องมี 32 เที่ยวบิน และจะต้องเพิ่มขึ้น

‘เศรษฐา’ เข้าเฝ้า ‘มกุฎราชกุมารซาอุฯ’ กระชับความสัมพันธ์สองชาติ ด้าน ซาอุฯ รับปากจะช่วย ‘ตัวประกันไทย’ ในสงครามอย่างเต็มที่

เมื่อวานนี้ (20 ต.ค.66) ณ โรงแรม Ritz Carlton กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าเฝ้าฯ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด (His Royal Highness Prince Mohammed bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย ในโอกาสการหารือทวิภาคี ระหว่างการเข้าร่วมการประชุม ASEAN – GCC Summit โดยนายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรีและมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีฯ ต่างยืนยันความตั้งใจร่วมกันในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยว รวมถึงพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนไทยและซาอุดีฯ ให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในวิสัยทัศน์ของพระราชาธิบดี รวมถึงมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีฯ ที่ทรงวางรากฐาน นำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศ โดยไทยยืนยันมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือด้าน ต่าง ๆ ให้พัฒนายิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมแก่ประชาชนไทยและซาอุดีฯ

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและ มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีฯ หารือประเด็นความร่วมมือดังนี้

ด้านความสัมพันธ์ ทั้งสองฝ่ายหารือถึงการดำเนินความสัมพันธ์ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะควรส่งเสริมการค้าและการลงทุนซึ่ง นายกฯ เสนอการจัดทำ Thai-GCC FTA รวมทั้งแสดงการสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพ Expo 2030 จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2034 ของซาอุดีอาระเบีย รวมถึงแนวทางความร่วมมือและประเด็นที่คั่งค้างในด้าน 1) การเมืองและการกงสุล 2) การลงทุน 3) ความมั่นคงและการทหาร 4) วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และ 5) เศรษฐกิจและการค้า โดยไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภาความร่วมมือซาอุดี - ไทย (Saudi – Thai Coordination Council: STCC) ครั้งที่ 1 เพื่อทบทวนการดำเนินความสัมพันธ์ และกำหนดแนวทางความร่วมมือทั้ง 5 ด้าน

ด้านความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายพร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งที่ผ่านมามีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง เพื่อเข้าร่วมงานนิทรรศการด้านการป้องกันประเทศของทั้งสองฝ่ายแล้วในงาน Defense and Security ของไทย และงาน World Defense Show ของซาอุดีฯ ซึ่งทำให้ไทยและซาอุดีฯ มีโอกาสขยายความร่วมมือในด้านความมั่นคงมากยิ่งขึ้น ซึ่งไทยจะให้ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เร่งรัดความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมต่อไป

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณรัฐบาลซาอุดีอาระเบียที่ดูแลคนไทยกว่า 6,000 คน ที่อยู่ในซาอุดีอาระเบีย และแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล ซึ่งมีคนไทยเสียชีวิต บาดเจ็บ และถูกลักพาตัว ซึ่งซาอุดีอาระเบียรับที่จะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการให้ความช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับกุมตัว

‘นายกฯ’ ซัด!! นายจ้างอิสราเอลหัวหมอ ใช้เงินล่อให้อยู่ต่อ วอน!! คนไทยรีบกลับ พร้อมโทรเคลียร์ทูตอิสราเอลให้

(24 ต.ค. 66) สื่อต่างประเทศรายงานว่ากองทัพ อิสราเอลเดินหน้าโจมตีฉนวนกาซา อย่างหนัก ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตจำนวนมาก โดยอิสราเอลยกระดับการโจมตีในช่วงสองคืนที่ผ่านมา ซึ่งทางกลุ่มฮามาส ระบุว่ามีบ้านเรือนพังทลายไปกว่า 30 หลัง และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 80 คน จากการโจมตีพื้นที่ตอนกลางของฉนวนกาซา ที่ห้องเก็บศพ ของโรงพยาบาลเต็มไปด้วยร่างของผู้เสียชีวิต ซึ่งมีเด็กรวมอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก เวลานี้ห้องเย็นเก็บศพ ของโรงพยาบาลมีพื้นที่ไม่เพียงพอที่จะเก็บศพ เพื่อรอการพิสูจน์อัตลักษณ์ได้ ทำให้มีศพจำนวนมากที่ถูกนำไปฝัง โดยที่ยังไม่มีการตรวจพิสูจน์

ขณะที่สำนักงานของสหประชาชาติเพื่อผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ก็เปิดเผยว่า การโจมตีของอิสราเองช่วง 2 วันที่ผ่านมา ทำให้มีเจ้าหน้าที่สำนักงานเสียชีวิตไปถึง 29 คน

ด้าน นายโยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล เตือนว่า สงครามบดขยี้กลุ่มฮามาส จะต้องใช้เวลานานหลายเดือน ซึ่งอิสราเอลจะโจมตีไปจนกว่ากลุ่มฮามาส จะไม่เหลือซาก ท่ามกลางความกังวลของหลายฝ่ายที่เกรงว่าการสู้รบจะขยายวงกว้างออกไป และเมื่อวานนี้การโจมตีของอิสราเอลเกิดความผิดพลาด ทำให้กองกำลังป้องกันชายแดของอียิปต์หลายนายได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ซึ่งอิสราเอลกล่าวยอมรับ และได้ขอโทษทางการอียิปต์แล้ว

>> โรงพยาบาลขาดเชื้อเพลิง

ส่วนการจัดส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์เข้าไปในฉนวนกาซา เมื่อวานนี้ มีการจัดส่งเพิ่มอีก 17 คันรถ หลังจากเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมามีการจัดส่งลอตแรกจำนวน 20 คันรถ ทางการอียิปต์เปิดเผยว่าในวันนี้จะมีการจัดส่งเพิ่มอีก 40 คันรถ ขณะที่สหประชาชาติระบุว่าจะต้องจัดส่งถึงวันละ 100 คันรถ จึงจะเพียงพอต่อความต้องการของชาวปาเลสไตน์ 2.4 ล้านคนในฉนวนกาซา และจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการจัดส่งเชื้อเพลิงเข้าไปเลย ขณะที่โรงพยาบาลในกาซา จะมีเชื้อเพลิงใช้ในการปั่นไฟได้อีกเพียง 3 วันเท่านั้น

>> บุกช่วยตัวประกัน

พลเรือตรีแดเนียล ฮาการี โฆษกกองทัพอิสราเอล แถลงยืนยันมีทหารอิสราเอลสิ้นชีพหนึ่งศพ และบาดเจ็บอีก 3 นาย ขณะพยายามบุกช่วยตัวประกันที่ถูกกลุ่มฮามาสควบคุมตัวไว้ที่เมืองข่านยูนิส ในดินแดนฉนวนกาซา และสาเหตุมาจากถูกกลุ่มฮามาสโจมตีด้วยจรวดต่อต้านรถถัง

ก่อนหน้านี้ กลุ่มฮามาสเปิดเผยว่า ได้มีการปะทะกับกองกำลังทหารอิสราเอลใกล้เมืองข่านยูนิส ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา และกลุ่มฮามาสสามารถทำลายรถถังของกองทัพอิสราเอลไปได้ 1 คัน และรถแทรกเตอร์เกลี่ยดินอีก 2 คันในการสู้รบกัน

สำหรับความพยายามบุกช่วยตัวประกันในครั้งนี้ของทหารอิสราเอล เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจบุกช่วยตัวประกันที่ถูกกลุ่มฮามาสบุกลักพาตัวไปกว่า 200 คน ตั้งแต่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา ขณะกลุ่มฮามาสระดมยิงจรวดหลายพันลูกมาโจมตีอิสราเอลอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้มีผู้เสียชีวิตในอิสราเอลกว่า 1,300 ศพ ในขณะที่สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสที่ดำเนินมาอย่างดุเดือด ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 6,000 ศพแล้ว

>> แฉนายกจ้างยิวยื้อจ่ายค่าจ้าง

เวลา 15.07 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและคลัง เป็นประธานการประชุมศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินความไม่สงบในอิสราเอล-กาซา เพื่อติดตามความคืบหน้าในการช่วยเหลือแรงงานไทยที่ประสงค์เดินทางกลับประเทศ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมอย่างพร้อมเพียงกัน โดยใช้เวลาในการประชุมเพียง 20 นาที

ต่อมา นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า วันนี้เป็นการประชุมติดตามความคืบหน้าของสงครามฮามาสกับอิสราเอล ข้อมูลปัจจุบันมีผู้แสดงความประสงค์จะกลับไทย 8,500 คน และถึงวันนี้มาได้ประมาณ 3 พันกว่าคน ขีดความสามารถในการนำคนไทยกลับมาได้ประมาณ 800 คนต่อวัน และสามารถเพิ่มได้อีก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ การที่มีคนเปลี่ยนใจไม่กลับมาเยอะพอสมควรเหมือนกัน เหตุผลหลักคือ ทางนายจ้างอิสราเอลดึงเรื่องการจ่ายเงินไปเป็นวันที่ 10 พ.ย. และมีการอัพค่าจ้างออกไปเพื่อเป็นแรงจูงใจให้แรงงานไทยอยู่ แต่ทางเราได้ประชุมกันแล้ว ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายการทหาร ฝ่ายการต่างประเทศ เรายืนยันว่าแม้ว่าข่าวเรื่องการถล่มจะเบาบางลงไป แต่จริงๆ แล้วความเข้มของสงครามไม่ได้ลดลงไปเลย มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น และอาจจะขยายวงอีกบางประเทศที่ใกล้เคียงด้วย

>> ห่วงคนไทยยังไม่ยอมกลับ

“ตรงนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงจริงๆ เป็นอะไรที่เรามั่นใจว่าคงจะเลวร้ายลงไป นี่ขนาดเรียกว่ายังไม่มีเรื่องของการปฏิบัติการภาคพื้นดินเลย ซึ่งมีข่าวว่าจะมีการปฏิบัติการภาคพื้นดินในอีก 2-3 วันนี้ ตรงนี้อยากขอเตือนพี่น้องว่ากลับมาเถอะครับ หากญาติพี่น้องอยู่ที่นี่ ขอให้บอกไปที่ญาติพี่น้องที่ทำงานที่นั่นให้กลับมา ต้องขอให้กลับมา เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่ยังกลับได้อยู่ ถ้าเกิดมีการปฏิบัติการภาคพื้นดินเกิดขึ้น การกลับเข้ามาก็จะลำบาก เรื่องการเดินทางเข้าสู่ศูนย์อพยพเพื่อที่จะไปสนามบินก็จะลำบาก อันนี้รัฐบาลเห็นตรงกัน เป็นเรื่องที่เราจำเป็นต้องพูดและสื่อสารให้พี่น้องทุกคนได้ทราบ”นายเศรษฐา กล่าว

>> เร่งนำตัวกลับบ้านเกิด

นายเศรษฐา กล่าวว่า ในที่ประชุมตนได้มอบหมายให้ รมว.แรงงาน ซึ่งรับปากจะไปดูแลแรงงานที่กลับเข้ามา โดยเพิ่มแรงจูงใจให้รีบกลับเข้ามา เพราะคนที่กลับเข้ามาได้วันละประมาณ 15,000 บาท ก็จะมีการเพิ่มค่าแรงให้อีก เพื่อให้กลับเข้ามาได้อีกเป็นจำนวนที่มากขึ้น ขณะที่ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ก็เป็นห่วงและช่วยคิดวิธีการที่เวลาแรงงานไทยกลับเข้ามาแล้วจะให้ทำงานอะไร ซึ่งแรงงานไทยที่ไปทำงานอิสเราเอลส่วนมากเป็นแรงงานภาคเกษตร ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ฉะนั้น การกลับเข้ามา ทางกระทรวงเกษตรฯ อาจจะมีความต้องการที่จะใช้แรงงานตรงนี้ จึงพยายามประกาศออกไปให้ทราบว่าถ้ากลับมาก็มีงานให้ทำอยู่ จะได้รีบๆ กลับมา

>> ประสานช่วยเหลือทุกทาง

นายกฯ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เรื่องการประสานความช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล เราประสานทุกช่องทาง แต่ที่ไม่พูดเพราะเป็นเรื่องของความมั่นคง เราใช้ทุกวิถีทาง ทั้งผ่านนายกฯมาเลเซีย รวมถึงการที่ตนไปร่วมประชุมเข้าร่วมการประชุม ASEAN - GCC Summit ที่ซาอุดีอาระเบีย ตนก็ได้พูดคุยกับกษัตริย์โอมานและบาห์เรน รวมถึงมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย ซึ่งทุกท่านตระหนักดี และทราบถึงสถานภาพของคนไทย ซึ่งเราไม่ได้เป็นคู่กรณีหรือคู่ขัดแย้งเลย และเรามีการสูญเสียที่สูงมาก มีตัวประกัน 19 คน ซึ่งต้องยืนยันว่าเวลานี้ยังไม่รู้ชะตากรรม แต่ทุกเส้นทางเราพยายามทำงานกันอยู่ มีเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของเราบินออกไป แต่ไม่ขอเปิดเผยว่าบินไปไหน และพบกับใคร แต่ยืนยันว่าเราทำทุกวิถีทางที่สามารถทำได้ พยายามทำอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่า ช่องทางที่จะนำคนไทยกลับ สะดวกมากยิ่งขึ้นใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีปัญหา รมช.ต่างประเทศยืนยันว่าเราพาคนกลับได้วันหนึ่ง 800-1,000 คนสบายๆ เพียงแต่ว่าบางคนเปลี่ยนใจ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนใจเรื่องการบริหารจัดการเครื่องบินก็มีปัญหา หากจะกลับถึง 1,000 คน เราก็สามารถจัดการได้ และอยากให้แจ้งมา และขอว่าอย่าเปลี่ยนใจเลย วงเงินแค่ไหนก็ไม่คุ้มกับชีวิตหรอก

เมื่อถามย้ำว่า เรื่องการปฏิบัติการภาคพื้นดิน จุดนี้คือสิ่งที่นายกฯห่วงมากใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ถูกต้อง หากมีการปฏิบัติภาคพื้นดินเกิดขึ้น การลำเลียงคนออกมาจากโซนต่างๆ มายังศูนย์พักพิงจะยากยิ่งขึ้น ทีนี้จะทำให้เกิดปัญหา

เมื่อถามถึงกรณีมีแรงงานบางคนเดินทางไปทำงานอย่างไม่ถูกต้อง และไม่กล้ากลับ เพราะกลัวถูกดำเนินคดีนั้น นายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้เรามาพูดกันทีหลังได้ ไม่มีปัญหา จัดการได้หมด ขอให้กลับมา อย่างแรกคือความปลอดภัยของแรงงานไทย ทุกคนต้องกลับมาอย่างปลอดภัย เรื่องอื่นเป็นเรื่องรองหมด อย่าเป็นห่วงในเรื่องนั้น ขอให้เป็นห่วงชีวิตความเป็นอยู่ที่ต้องกลับมาโดยเร็ว และขอยืนยันว่าถ้ามารายงานตัวกลับเจ้าหน้าที่ไทยกลับได้แน่นอน ไม่มีปัญหา

เมื่อถามว่า มีข้อสังเกตถึงรูปแบบการเสียชีวิตของคนไทยที่ดูเหมือนถูกกระทำอย่างโหดเหี้ยม นายกฯ กล่าวว่า ขอสรุปอย่างนี้ดีกว่า ต้องให้เกียรติญาติพี่น้องและครอบครัว การที่จะพูดเรื่องพวกนี้ บางทีจะเป็นการกระทบกระเทือนจิตใจ การสูญเสียครั้งนี้ถือเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของครอบครัวอยู่แล้ว วิธีการที่เสียชีวิตเกิดขึ้นจากสงครามแล้วกัน ตนคิดว่าสรุปตรงนั้นดีกว่า อย่าไปลงรายละเอียดกันเลยว่าเป็นอะไร ต้องเห็นใจครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วย อันนี้ต้องขอร้องเลย ข้อมูลเรามี แต่ไม่อยากเปิดเผย และอย่าเปิดเผยเลยดีกว่าตรงนี้ ตอนนี้ยืนยันว่าอยากให้คนไทยกลับประเทศ โดยฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานของรัฐทุกคนยืนยัน ขอให้กลับมา หากญาติพี่น้องที่ฟังการแถลงข่าวอยู่ อยากให้ไปโน้มน้าวจิตใจญาติของตัวเองให้กลับมา เงินเท่าไหร่ก็ไม่คุ้ม ทางเราก็จะพยายามดูแลให้ดีที่สุดก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายลงไปจนไม่สามารถพากลับมาได้

อย่างไรก็ตาม ภายหลังสัมภาษณ์รอบแรกเสร็จ นายเศรษฐาได้กลับมาให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมอีกครั้งว่า ขอตั้งข้อสังเกตถึงกรณีที่จะมีการจ่ายค่าแรงในวันที่ 10 พ.ย. ทั้งที่การจ่ายเงินควรจะต้องเป็นวันที่ 31 ต.ค. ทำให้ชวนคิดได้ว่าทำไมต้องไปจ่ายวันที่ 10 พ.ย. แสดงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าคิดและเราไม่ทราบเหตุผลว่าทำไม แต่คิดไปก็เป็นแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้น ในฐานะที่เป็นนายกฯหยิบประเด็นนี้มาพูดก็คิดว่าน่าจะเป็นประเด็น แต่ก็ต้องพูด เพราะจะจ่ายเงินวันที่ 10 พ.ย. แล้วถ้าก่อนหน้านั้นมีอะไรเกิดขึ้น จะได้กลับประเทศหรือไม่ ตนจึงขอให้แรงงานไทยคิดดีๆ ว่าจะอยู่หรือกลับ และตนจะโทรศัพท์หาเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญ ละเอียดอ่อน และอย่าเอาเรื่องเงินมาแลกกับชีวิตของคนไทย ต้องขอร้อง และเรื่องนี้ควรจะดูแลเราให้ดีกว่านี้ ถ้าเราอยากจะกลับวันไหนก็ควรจะต้องจ่ายค่าแรง ไม่ใช่เอาเงินมาล่อให้เราอยู่ ถ้ามีการสูญเสียเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องใหญ่

ผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่กลัวว่าจะเกิดเป็นประเด็นดรามาตีกลับในเรื่องนี้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ตีกลับก็ตีกลับ ผมก็ต้องรับ หน้าที่ผมคือดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องคนไทยทุกคน ซึ่งพร้อมน้อมรับ” เมื่อถามว่า จะต้องมีการคุยกับทางการอิสราเอลเพื่อพูดคุยกับนายจ้างด้วยหรือไม่ นายกฯ ย้ำว่า ตนจะโทรไปคุยกับทูตอิสราเอลว่ากรณีนี้ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ ส่วนจำนวนแรงงานที่ถูกยื้อเอาไว้นั้น ยังไม่ทราบว่ามีจำนวนเท่าไหร่ และขอย้ำว่าให้แรงงานไทยตัดสินใจให้แนวแน่ว่าจะเดินทางกลับหรือไม่กลับ เพราะถ้ามีปฏิบัติการภาคพื้นดินเมื่อไหร่ เส้นทางถนนถูกตัดขาด ไม่สามารถจะออกมาได้ เงินเท่าไหร่ก็ไม่คุ้ม

นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าแรงงานไทยที่เสียชีวิต ว่า ตอนนี้เราต้องประสานงานหลายๆ ทาง ซึ่งยังไม่มีความแน่ชัดว่าเป็นใคร คงต้องเริ่มเก็บดีเอ็นเอเพื่อตรวจสอบ ส่วนความยากในการพิสูจน์อัตลักษณ์นั้น เราต้องดึงเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการยืนยันตัวตนของแรงงาน ตนได้คุยกับกับสถาบันนิติเวชที่ไทยแล้ว ซึ่งยอมรับแนวทางการดำเนินการของอิสราเอล

เมื่อถามถึงความท้าทายในการพูดคุยกับเอกอัครราชทูตในเรื่องแรงงานไทย นายจักรพงษ์กล่าวว่า ต้องพยายามคุยกับเขา ว่าแรงงานเราเป็นคนตัดสินใจคนสุดท้าย หากทุดคนที่ประเทศไทยเป็นห่วง ทำให้เขารู้สึกว่าเขาต้องรีบกลับมา ก็น่าจะกลับมาได้

เมื่อถามว่า กลุ่มที่ออกมาสนับสนุนฮามาสในประเทศต่างๆ จะมีผลกระทบต่อประเทศไทยด้วยหรือไม่ นายจักรพงษ์กล่าวว่า ต้องมองหลายส่วน คงต้องสงวนท่าทีไว้

เมื่อถามว่า อีกไม่กี่วันจะมีการปฏิบัติการภาคพื้นดิน ได้เตรียมมาตรการเพื่อโน้มน้าวคนไทยให้เดินทางกลับหรือไม่ เพราะอาจจะส่งผลให้การประสานงานรับกลับยากยิ่งขึ้น นายจักรพงษ์กล่าวว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงไป ในเรื่องของรายได้ที่แรงงานยังไม่ได้ ซึ่งได้พูดคุยกับกระทรวงแรงงานแล้ว ว่าต้องพูดคุยกับนายจ้างอีก 10 กว่าบริษัทที่อิสราเอล เพื่อจะได้ไม่นำเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อให้แรงงานอยู่ต่อ

‘รองประธานฯ หอการค้าไทย’ มองภาพรวมผลงาน 2 เดือน ‘ครม.นิด 1’ ชี้!! ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ฟอร์มดี ตอบสนองเร็ว ผลงานเด่นชัด-จับต้องได้

เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 66 นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการประเมินผลงานการทำงานตลอดระยะเวลา 60 วัน ของรัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การบริหารของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 9 พ.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO/ MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมี นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าวรายการคุยถึงแก่น เป็นผู้ดำเนินรายการ

ทั้งนี้ นายวิศิษฐ์ ได้ให้มุมมองของภาคเอกชนต่อการบริหารงานของรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ว่ามีแนวโน้มหรือทิศทางในการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ ในแง่ของเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง ดังนี้…

เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ ได้เข้ามาบริหารประเทศในช่วงที่เศรษฐกิจไทยพยายามจะฟื้นตัว หลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกทั้งภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจส่งผลให้การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ไม่ง่ายเลย

ดังนั้น หากมองแบบกว้างๆ 2-3 แง่มุม เรื่องแรกคือ การลดภาระค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพต่างๆ ในภาคประชาชน ที่เห็นได้เด่นชัดเลยก็คือ ‘การลดค่าไฟ’ ที่ตลอด 3 เดือนนี้ อัตราค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย และ ‘การลดราคาน้ำมัน’ ที่ปรับลดราคาน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซล สูงสุดที่ 2.50 บาทต่อลิตร 

และที่เห็นชัดๆ อีกเรื่อง คือ ความพยายามในการลดราคาค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายสีแดงและสีม่วง ให้เหลือแค่ 20 บาทตลอดสาย

อีกเรื่องที่น่าจับตามอง คือ ‘หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ’ ซึ่งมีแนวทางนโยบายที่ต้องการจะช่วยยกระดับสุขภาพของประชาชนทั้งประเทศ… ก็คงต้องรอติดตามหลังจากนี้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

ในส่วนของเรื่องภาระหนี้สิน ที่จะเห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ ‘ภาคเกษตรกรรม’ ที่ได้รับการดูแลในเรื่องนี้ไปก่อนแล้ว คือ การพักหนี้เกษตรกร 3 ปี SME 1 ปี ในวงเงินที่ตั้งไว้ไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือว่าเป็นภาพรวมในการพยายามช่วยลดภาระต้นทุน ค่าครองชีพ ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและภาคกิจการ ที่รัฐบาลสามารถทำให้ได้

เรื่องที่ 2 การเพิ่มรายได้ อย่างที่ทราบกันดีว่า ในปัจจุบัน GDP ของประเทศไทยยังขึ้นอยู่กับ 2 เรื่องหลักๆ คือ ‘การส่งออก’ และ ‘การท่องเที่ยว’ ดังนั้น เรื่องที่เห็นได้ชัดเจน ในการเพิ่มรายได้ หรือการพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจในแง่มุมต่างๆ คือ ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มรายได้เข้าประเทศได้รวดเร็ว และง่ายที่สุด อีกทั้งยังเป็นช่วงจังหวะที่นักท่องเที่ยวในหลายๆ ประเทศสามารถ ‘เที่ยวล้างแค้น’ ได้ หลังจากที่ต้องหยุดท่องเที่ยวไป 3 ปี เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงทำให้มีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ยังอยากจะเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยอยู่ หรือแม้แต่การที่คนไทยเดินทางไปเที่ยวที่ต่างประเทศเองก็เช่นกัน

โดยมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่เห็นเด่นชัดที่สุด คือ ‘นโบายฟรีวีซ่า’ ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากในการกระตุ้นความอยากเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีน เนื่องจากสามารถเดินทางมาได้อย่างง่ายดาย ส่งผลให้ยอดนักท่องเที่ยวชาวจีนและคาซัคสถานเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงยอดนักท่องเที่ยวชาวอินเดียและรัสเซียก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน

แม้จะเกิดปัญหาที่ไม่คาดไม่ถึง เช่น สงครามระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ที่ส่งผลทำให้ภาคธุรกิจเกิดการขาดความเชื่อมั่นพอสมควร เนื่องจากการที่ช่วงก่อนหน้านั้น ผู้บริโภคในประเทศต่างๆ ประสบปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ทำให้รัฐบาลในแต่ละประเทศประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงเพื่อกดเงินเฟ้อ ทำให้ประชาชนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ซึ่งถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่ต้องติดตามและแก้ไขต่อไป

การเพิ่มรายได้ อีกเรื่องหนึ่งที่อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย แต่มีความน่าสนใจและจำเป็นต้องทำอย่างมากในยุคสมัยนี้ คือ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ซึ่งอาจจะเห็นตัวอย่างของหลายๆ ประเทศที่ผลักดันเรื่องของซอฟต์พาวเวอร์ได้ดี และประสบผลสำเร็จมาแล้ว เช่น ประเทศเกาหลีใต้ ที่สามารถสอดแทรกเรื่องราวต่างๆ ไว้ในภาพยนตร์ หรือซีรีส์ ยกตัวอย่างเช่น อาหาร ซึ่งส่งผลต่อวัฒนธรรมการกินไปทั่วโลก ทำให้เห็นว่าเรื่องของซอฟต์พาวเวอร์ไทย ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สมควรต้องผลักดันอย่างมากในหลากหลายแง่มุม

ซึ่งซอฟต์พาวเวอร์นี้ถือเป็นเข็มมุ่งสำคัญที่รัฐบาลชุดนี้ มีความพยายามที่จะเอาจริงจังในการผลักดันอย่างมาก โดยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติขึ้นมาดูแลในส่วนนี้โดยเฉพาะ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องรอติดตามผลงานกันต่อไป

เมื่อถามถึงอีกหนึ่งนโยบายสำคัญที่ประชาชนทั้งประเทศจับตามองและพูดถึงมากที่สุด คือ ‘นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท’ ว่าจะมีผลอย่างไรบ้าง ในมุมมองของเศรษฐกิจ นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า…

ในส่วนของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เชื่อว่าอาจจะสามารถเริ่มต้นดำเนินนโยบายได้ในปีหน้า คือ 2567 ปกติการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเติมเงินในกระเป๋าในประชาชน ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมี เราก็เคยมีมาแล้วในหลายรูปแบบและหลายจังหวะ แม้แต่ในช่วงเวลาที่ประชาชนแทบจะไม่สามารถทำมาหากินได้ หรือทำขึ้นมาเพื่อช่วยในยามที่ภาคการค้าขายมีความยากลำบาก การเติมเงินเข้ากระเป๋าของประชาชนจึงช่วยกระตุ้นทำให้ผู้คนกล้าออกมาจับจ่ายซื้อใช้สอยมากขึ้น ภาคกิจการก็สามารถผลิตสินค้าออกมาขายได้เรื่อยๆ

สำหรับมุมมองของภาคเอกชนที่มีความคิดเห็นต่อ ‘นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต’ ของทางภาครัฐนั้น คือ ต้องการให้มีการมุ่งเป้าเฉพาะเจาะจงให้ชัดเจน ว่ากลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับสิทธิ์ ควรจะเป็นผู้ที่มีรายได้น้อย เพราะเมื่อกลุ่มคนเหล่านี้ได้รับสิทธิ์แล้ว เขาก็จะสามารถมีกำลังในการดูแลตัวเองและครอบครัว รวมถึงช่วยเติมเต็มด้านเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการหมุนเวียนการซื้อขาย

อีกหนึ่งมุมมองของภาคเอกชนที่อยากจะฝากทางภาครัฐ คือ ในส่วนของแอปพลิเคชันของดิจิทัลวอลเล็ตนั้น เนื่องจากต้องดำเนินนโยบายด้วยระยะเวลาที่ค่อนข้างเร่งด่วน จึงอยากแนะนำว่า ในส่วนของแอปพลิเคชันนั้น หากสามารถใช้แอปฯ ตัวเดิมที่เคยมีอยู่ก่อนแล้วได้ ก็จะเป็นการดีที่สุด เพราะได้มีการทดสอบการใช้งานและการแก้ไขข้อบกพร่องมาแล้วพอสมควร หากต้องมาเริ่มต้นลองผิดลองถูกกันใหม่ อาจเกิดความเสี่ยงค่อนข้างสูง

นอกจากนี้ นายวิศิษฐ์ ยังได้กล่าวถึงความตั้งใจอีกหนึ่งเรื่องของตัวนายกฯ เศรษฐา คือ เรื่องของการเป็น ‘เซลล์แมนของประเทศไทย’ ที่ได้มีภารกิจเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ รวมถึงเข้าร่วมงานประชุมระดับโลกมาพอสมควร เหมือนเป็นการขายความพร้อมและแสดงศักยภาพของประเทศไทย ทั้งในแง่ของการเชิญชวนต่างชาติเข้ามาลงทุนทำกิจการในประเทศไทย หรือเชิญชวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ลองมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย ซึ่งการเดินทางไปพรีเซนต์ประเทศต่อนานาชาติด้วยตัวเอง นับว่าเป็นการแสดงความตั้งใจ และความจริงใจ ซึ่งถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากในการสื่อสารกับประชาคมโลก

เมื่อถามถึงการให้การให้คะแนนในช่วง 2 เดือนของการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ นายวิศิษฐ์ ได้ให้ความคิดเห็นว่า แม้ว่าระยะเวลาเพียง 2 เดือนแรกในการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้นั้นจะยังไม่สามารถสรุปอะไรได้ แต่หากพิจารณาจากผลงานที่เป็นรูปธรรมทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ควบคู่กับสถานการณ์โดยรวมที่อาจพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว ตลอดจนบริบทต่างๆ ของเศรษฐกิจโลก รัฐบาลชุดนี้สามารถตอบสนองและตั้งรับต่อเรื่องต่างๆ ได้ดีพอสมควร

‘เศรษฐา-สุริยะ’ เยือนสหรัฐฯ ลุยโรดโชว์ ‘แลนด์บริดจ์’  ดึงนักธุรกิจต่างชาติร่วมทุน ดันเส้นทางขนส่งแห่งใหม่ระดับภูมิภาค

เมื่อวานนี้ (11 พ.ย.66) นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันที่ 12 พ.ย. ซึ่งก็คือวันนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะ จะเดินทางเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 30 (2023 APEC Economic Leaders’ Meeting) และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 12-19 พฤศจิกายน 2566 ณ นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

การเข้าร่วมการประชุมฯ ของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เป็นโอกาสเพื่อนำเสนอนโยบาย สร้างความเชื่อมั่น รวมถึงสานต่อผลลัพธ์ของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปี 2565 โดยยังจะเป็นโอกาสให้ได้พบหารือเพื่อสร้างความร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจเอเปค และภาคเอกชนเอเปค โดยประเด็นที่ไทยผลักดัน อาทิ 

1.การค้าการลงทุน ย้ำความมุ่งมั่นต่อระบบการค้าพหุภาคีที่มีองค์การการค้าโลกเป็นแกนกลาง 
2.ความเชื่อมโยง ผ่านการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเป็นศูนย์กลางขนส่งในภูมิภาค เชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดียผ่านโครงการ Landbridge 
3. ความยั่งยืน ผลักดันการสานต่อเป้าหมายกรุงเทพฯ 
4.เศรษฐกิจดิจิทัล 
5.ความครอบคลุมและความเท่าเทียม

ขณะที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายเศรษฐาและผม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะเดินทางไปจัดงาน Thailand Landbridge Roadshow ในวันที่ 13 พฤศจิกายน ณ โรงแรม Ritz Carlton เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐ

นายสุริยะกล่าวอีกว่า ในฐานะเจ้าภาพจัดงานจะร่วมกันให้ข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ของโครงการ อาทิ โอกาสทางธุรกิจ รูปแบบการลงทุน ศักยภาพทำเลที่ตั้งของพื้นที่โครงการ และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ โดยมีนักลงทุนภาคธุรกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ให้ความสนใจเข้าร่วมงาน ทั้งสายการเดินเรือ ผู้บริหารท่าเรือ กลุ่มโลจิสติกส์ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มผู้ลงทุนด้านอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งกลุ่มนักลงทุนต่างให้ความสนใจประเด็นโอกาสในการลงทุนของโครงการ

นายสุริยะกล่าวว่า ในอนาคตโครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (ชุมพร-ระนอง) หรือแลนด์บริดจ์ จะเป็นช่องทางการค้าแห่งใหม่เพื่อใช้เป็นเส้นทางขนถ่ายสินค้าหลักระดับภูมิภาคและจะเป็นประตูสู่ภูมิภาคเอเชีย และช่วยลดระยะเวลาการขนส่งทางทะเลและลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ในพื้นที่ห่างไกลจากตัวเมือง อีกทั้งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาในพื้นที่ให้เป็นศูนย์กลางการค้า ประกอบด้วย เขตการค้า เมืองท่าและเขตอุตสาหกรรม และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

‘นายกฯ’ มั่นใจ!! ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ได้ใช้แน่ ส่วนโครงการดีเลย์เพราะต้องรับฟังทุกเสียง

(13 พ.ย.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแจกเงิน 10,000 บาท ที่สังคมมีทั้งคนเห็นด้วย เห็นต่างและสนับสนุน ว่า ต้องให้ข้อมูลที่ชัดเจน และไม่อยากให้สังคมไทย ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายตรงข้าม หรือพวกเดียวกัน ไม่อยากให้มีธง อยากให้รับฟังความคิดเห็นว่าข้อดีข้อเสียคืออะไร แล้วหยิบยกมาพูดคุยกัน 

ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุโครงการดังกล่าวอาจไม่เกิดขึ้นจริง และอาจไม่ผ่านสภา ประชาชนจะไม่มีโอกาสได้รับเงินจริง นายเศรษฐา กล่าวว่า “ผมมั่นใจว่าเสียงของผม อย่างพรรคร่วมรัฐบาลมี 320 เสียง ผมว่าเสียงของผมมั่นคง และเราทำงานเป็นทีม เชื่อว่าผ่าน” 

เมื่อถามย้ำว่า คนไทยจะมีโอกาสได้ใช้เงิน 10,000 บาท หรือไม่ นายกฯ กล่าวย้ำว่า มั่นใจ เป็นหน้าที่ผู้นำรัฐบาลต้องรับฟังเสียงประชาชน โครงการดีเลย์จากที่ประกาศไว้เพราะทีมงานของเราต้องรับฟังความเห็นทั้งหมด ทั้งเรื่องการออก พ.ร.บ. กำหนดเกณฑ์คนรวย การจำกัดรายได้ที่พูดคุยและถกเถียงกัน

เมื่อถามว่าโครงการนี้จะมีอุบัติเหตุที่จะทำให้สะดุดหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า มั่นใจว่านโยบายนี้เป็นนโยบายที่ดี เหมาะสม และไม่เกี่ยวกับเรื่องเทคนิคหรือกฎหมาย รัฐบาลยืนยันว่าทำถูกต้องทั้งหมด และทางคณะกรรมการกฤษฎีกาคงจะให้ข้อคิดเห็นในเชิงที่เป็นบวกและเราสามารถทำโครงการนี้ได้ แต่มีจุดเดียวคือ มีคำถามว่าตอนนี้เราอยู่ในวิกฤต หรือไม่ได้อยู่ในวิกฤต มีวิกฤตและความจำเป็นที่ต้องทำหรือไม่ ถ้าบอกว่ามีวิกฤตและความจำเป็นคือเรามีจีดีพีติดลบ แบบนั้นคงไม่ต้องทำ เพราะจีดีพียังไม่ติดลบ แต่ 9-10 ปี ที่ผ่านมา จีดีพีแค่ 1.9% ต่อปี เราไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ประเทศอื่นโตกว่าเรา 2 เท่า คู่แข่งของไทยทั้งประเทศเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีการเติบโต สมัยก่อนอาจจะอยู่ในโลกของเราคนเดียวได้แต่ปัจจุบันอยู่ในโลกการแข่งขัน ถ้าไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ วันหนึ่งอาจไม่มีใครอยากมาลงทุนที่ไทย รัฐบาลเชื่อว่าเราอยู่ในวิกฤตที่ต้องการการกระตุ้น แม้คนอื่นจะบอกว่าไม่จำเป็น ไม่ต้องใช้เงินขนาดนี้ กระตุ้นแค่คนจนที่มีรายต่ำจริงๆก็พอ หากเถียงกันไปอย่างนี้ก็ไม่จบ

ผู้สื่อข่าวถามว่าโหวตเตอร์พรรคเพื่อไทยบางส่วน รู้สึกผิดหวัง ที่ไม่เข้าเกณฑ์ได้รับเงิน เนื่องจากมีเงินเก็บเกิน 5 แสนบาท ทั้งที่เกิดจากวินัยการออม และมีรายรับไม่เกิน 7 หมื่นบาท นายเศรษฐา กล่าวว่า เข้าใจและเห็นใจแต่ต้องรับฟังทุกภาคส่วน ทั้งสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย มีความชัดเจนไม่ให้แจกคนรวย และมีการสอบถามถึงกำหนดเกณฑ์คนรวย โดยจะต้องกำหนดตัวเลขให้ชัดเมื่อถึงจุดหนึ่ง โดยคนที่มีรายได้เกิน 7 หมื่นบาท และเงินเก็บเกิน 5 แสนบาท รัฐบาลได้ออกโครงการอีรีฟัน หากมีการใช้จ่ายจะได้เงินคืนประมาณ 1 หมื่นบาท เทียบเท่ากับเงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ทีมงานคิดมาแล้ว รวมถึงโครงการระยะยาวในกองทุนส่งเสริมการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมใหม่ เป้าหมาย เช่น รถอีวี ไมโครชิพ จำนวน 1 แสนล้านบาท ที่จะเริ่มใช้ในเดือนมิ.ย. 2567 ที่ต้องทำเร่งด่วน

เมื่อถามว่ากรณีที่ประชาชนมีข้อสงสัยว่าเงินฝาก 5 แสนบาท รวมไปถึงสลากออมสิน หุ้นกู้ กองทุนรวม และเงินเกษียณ ด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า นับเฉพาะเงินฝากอย่างเดียว ไม่นับกองทุนรวมเพราะตรวจสอบไม่ได้ ส่วนเงินเกษียณ ถ้าไปในบัญชีก็นับรวมด้วย ส่วนเงินสดที่เก็บอยู่ที่บ้านไม่นับ โดยจะเริ่มตรวจสอบว่ามีเงินในบัญชีตั้งแต่เดือน ก.ย.66 ทั้งนี้ เมื่อครั้งรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เติมเงินในแอปพลิเคชันเป๋าตังค์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่พบว่า 15 % ไม่มีการใช้จ่ายเพราะคนไม่ได้ใช้ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าประชาชนไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะมีเงินพอที่จะนำมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งที่ก่อนหน้านี้ประชาชนเชื่อว่าพรรคเพื่อไทย หาเงินได้ ใช้เงินเป็น นายกฯ กล่าวว่า “ผมเป็นนายกฯ ที่มาจากพรรคอะไร พรรคเพื่อไทย สื่อก็บอกว่าหาเงินได้ใช้เงินเป็น ผมก็มั่นใจว่าผมหาเงินได้ใช้เงินเป็น ส่วนเรื่องที่มาของการออกจะเป็น พ.ร.บ. เงินกู้ ทางผู้ว่าธปท.ได้บอกเองว่านายกฯ กู้ดีกว่า ตอนนี้จาก 61% เป็น 64% เพราะเพดานเงินกู้อยู่ที่ 70% ให้กู้เลย ถ้านำมาใส่โครงการฯบวกกับโครงการอื่น และหากยกระดับจีดีพีขึ้นไป สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะลดตามไป แม้หนี้จะเพิ่มแต่ถ้าจีดีพีมากกว่าหนี้จะลดลง”

‘นายกฯ’ ยัน ไม่ทอดทิ้งรถยนต์สันดาป ‘ญี่ปุ่น’ ในไทย พร้อมเล็งเปิดฟรีวีซ่าของทั้ง 2 ชาติ เอื้อนักธุรกิจลงทุน

(16 พ.ย.66) ที่โรงแรมเดอะริทซ์คาร์ลตัน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงการหารือทวิภาคี กับนายคิชิดะ ฟูมิโอ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 30 ว่า หารือเรื่องของความสัมพันธ์ที่มีมานาน 50 ปี และหารือเรื่องการใช้รถยนต์สันดาป โดยตนให้ความมั่นใจกับทางญี่ปุ่นไปว่าจะไม่ทอดทิ้ง มีการพูดคุยกันว่าให้การประกอบรถยนต์สันดาปของญี่ปุ่น และกระบวนการจัดการผลิตอยู่ได้ ขณะที่รถไฟฟ้า (อีวี) ที่มีความต้องการสูง และได้พูดในหลายเวทีว่าประเทศญี่ปุ่นมีการลงทุนในประเทศไทยสูงที่สุดในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา จึงต้องมาดูแลช่วยเหลือกัน และทางญี่ปุ่นยืนยันว่าธุรกิจยานยนต์เป็นธุรกิจสำคัญและจะพัฒนาต่อในประเทศไทย และในระหว่างวันที่ 16 - 18 ธ.ค.นี้ ตนจะเดินทางไปร่วมประชุมอาเซียน ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นอกจากนั้นยังพูดคุยอีกหลายเรื่อง เช่น การฟรีวีซ่าสำหรับนักธุรกิจของสองประเทศ ที่ทั้งสองฝ่ายมีการตกลงเห็นตรงกันว่าไม่จำเป็นต้องขอเพื่อให้นักธุรกิจ ติดต่อธุรกิจและไปมาหาสู่สะดวกมากขึ้น เป็นเรื่องที่ดีที่สองฝ่ายเห็นตรงกัน 

ผู้สื่อข่าวถามเรื่องวีซ่านักธุรกิจ จะจำกัดจำนวนวัน ในการเข้ามาพำนักเพื่อประกอบธุรกิจหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่มี เป็นหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศต้องไปศึกษา โดยการทำธุรกิจต้องใช้เวลานานเล็กน้อย ส่วนรายละเอียดคาดว่าจะตกลงกันได้ในระหว่างการไปร่วมประชุม 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top