Saturday, 18 May 2024
เวียดนาม

‘NASA’ ชี้!! พบจุดความร้อนจากการเผาป่าใน 'กัมพูชา' จำนวนมาก อาจเป็นเหตุที่ทำให้ฝุ่น PM 2.5 ในกทม.และภาคกลางพุ่งสูงขึ้น

(30 ม.ค. 67) จากกรณี 13 จังหวัดภาคกลาง มีค่าฝุ่นเกินเกณฑ์มาตรฐานอยู่ในระดับสีแดงที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ และระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรสาคร สมุทรปราการ ปทุมธานี ราชบุรี นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา สมุทรสงคราม เพชรบุรี นครปฐม สระบุรี สุพรรณบุรี และฉะเชิงเทรา

ขณะที่ กรุงเทพฯ พบค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานทุกเขต โดย 49 เขต มีค่าฝุ่นเกินเกณฑ์มาตรฐานในระดับสีแดง ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ

ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบจากเว็บไซต์ของ NASA Firms ที่อัปเดตจุด hotspot ที่เผยจุดความร้อน จากการเผาป่า ไฟป่า ต้นเหตุควัน และฝุ่น PM2.5 พบว่ามีหลายจุดในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ที่พบจุดความร้อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ และพื้นที่ภาคกลางพุ่งสูงขึ้น

ขณะที่จุดความร้อน (Hot Spot) คือ จุดที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลก ซึ่งส่วนมากก็คือความร้อนจากไฟ แสดงในรูปแบบแผนที่เพื่อนำเสนอตำแหน่งที่เกิดไฟในแต่ละพื้นที่แบบคร่าวๆ การได้มาซึ่งข้อมูลจุดความร้อนอาศัยหลักการที่ว่า ดาวเทียมสามารถตรวจวัดคลื่นรังสีอินฟราเรดหรือรังสีความร้อนที่เกิดจากไฟ (อุณหภูมิสูงกว่า 800 องศาเซลเซียส) บนพื้นผิวโลก จากนั้นประมวลผลแสดงในรูปแบบจุด

'ไชยา' แจ้งข่าวดี 'เวียดนามไฟเขียว' ตลาดโค-กระบือไทย หลังผลักดันส่งออกโคทางเรือครั้งแรก นำร่องฟาร์มไทย 23 แห่ง

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีไทยเตรียมส่งโคมีชีวิตไปเวียดนามทางเรือครั้งแรก ว่า กรมปศุสัตว์ได้รับรายงานเบื้องต้นจากกระทรวงต่างประเทศ ถึงผลการพิจารณาการส่งออกโคกระบือจากไทยไปเวียดนามโดยขนส่งทางเรือ โดยกรมสุขภาพสัตว์เวียดนาม (DAH ) อนุญาตให้ไทยส่งออกโคและกระบือทางทะเลได้โดยต้องส่งออกจากท่าเรือไทยที่ได้รับการตรวจเชื้อโรคและควบคุมอย่างเข้มงวดก่อนการส่งออก พร้อมให้การรับรองฟาร์มโคและกระบือปลอดโรคปากและเท้าเปื่อย เพิ่มอีก 3 แห่ง ได้แก่ ชูชีพฟาร์ม เขียวขำเทรดดิ้ง2019 และอดิสรฟาร์ม88 รวมขณะนี้มีการรับรองฟาร์มที่มีการขึ้นทะเบียนเพื่อการส่งออกไปเวียดนามแล้วทั้งสิ้น 23 ฟาร์ม 

ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการดำเนินการด้านเอกสารระหว่าง กระทรวงการต่างประเทศและกรมปศุสัตว์ นายไชยากล่าวว่า  ถือว่าเป็นข่าวดีของพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงโคกระบือ เป็นการขยายตลาดเพื่อการส่งออกและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ซึ่งตนพยายามผลักดันเรื่องนี้มาตลอด นอกจากนั้น ยังได้มอบหมายกรมปศุสัตว์ใช้ศูนย์ผลิตอาหารของกรมเป็นฐานการผลิตหัวอาหารสัตว์เพื่อส่งจำหน่ายให้แก่กลุ่มสหกรณ์การเกษตร ทั้งโคเนื้อ โคนม สุกร เพื่อลดต้นทุนอาหารสัตว์ให้แก่เกษตรกร และเร่งพัฒนาโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันโรคระบาดสัตว์ให้มีประสิทธิภาพได้มาตรฐานสากลและสามารถส่งออกวัคซีนไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ รวมถึงจัดหาตลาดเพื่อรองรับปริมาณโคที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรงเชือดชุมชน โรงเชือดเพื่อการส่งออกตามมาตรฐานสากล เพื่อรองรับตลาดโคเนื้อ ทั้งโคมีชีวิตและผลิตภัณฑ์โคชำแหละ โดยเฉพาะตลาดใหญ่คือประเทศจีน ประเทศตะวันออกกลางและเวียดนามที่มีกำลังซื้อสูง เป็นการสร้างรายได้เข้าประเทศและเพิ่มมูลค่าสินค้าด้านปศุสัตว์ของไทย

ค่าแรงขั้นต่ำถูกกว่าจีน 2 เท่าครึ่ง ดัน 'เวียดนาม' ขึ้นแท่นโรงงานโลกแทนจีน แถมประสิทธิภาพการผลิตสูงสุดในอาเซียน ชนะสิงคโปร์ ทิ้งห่างไทย

(1 มี.ค.67) BTimes เผย เวียดนามกำลังขึ้นแท่นโรงงานโลกแทนจีน หลังค่าแรงขั้นต่ำถูกกว่าจีน 2 เท่าครึ่ง แถมประสิทธิภาพการผลิตเวียดนามแรงสูงสุดในอาเซียนชนะสิงคโปร์และทิ้งห่างไทย และในปีหน้าก็ตั้งเป้าพัฒนาแรงงานฝีมือดีให้ได้ถึง 30% เพื่อดันประสิทธิภาพการผลิตสูงต่อเนื่องอีกด้วย

สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ เปิดเผยว่าผลิตภาพ หรือผลผลิตต่อการผลิต หรือ Productivity ถือเป็นหัวใจสำคัญของการแข่งขันของทุกประเทศ ซึ่งการเพิ่มผลิตภาพไม่ใช่เพียงการทำให้ตัวเลขอย่าง GDP หรือ Output เพิ่มขึ้น แต่เป็นการดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือเอฟดีไอ ให้ไหลเข้าในประเทศอย่างยั่งยืน

เวียดนามถือเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีการผลักดันการเพิ่มผลิตภาพอย่างจริงจังและชัดเจน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลิตภาพของประเทศเวียดนามมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยอยู่ที่ 5.1% ต่อปี ส่งผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอาเซียน ที่สำคัญอยู่สูงกว่าสิงคโปร์และไทย 

ถึงแม้แต่ในช่วงปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เวียดนามยังคงมีอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานอยู่ที่ 4.7% ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เวียดนามมีอัตราการเติบโตของผลิตภาพสูง ได้แก่ แรงงานเวียดนามที่มีทักษะเพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลเวียดนามเน้นการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนแรงงานมีฝีมือในประเทศเป็น 30% ภายในสิ้นปี 2568

ด้านค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าคู่แข่งนั้น เวียดนามมีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าหลายประเทศ ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น ฮานอย, โฮจิมินห์ อยู่ที่ประมาณ 4,680,000 ด่งต่อเดือน หรือประมาณ 6,700 บาท ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำของจีนอยู่ที่ 1,420 หยวนต่อเดือน หรือประมาณ 17,000 บาท 

ปัจจัยต่อมา คือ นโยบายสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติ เวียดนามมีนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุนจากต่างชาติ ทั้งการลดกฎระเบียบในการดำเนินธุรกิจและอุปสรรคจากการค้า การให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีและยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร และวัตถุดิบ รวมถึงการเข้าร่วมเขตการค้าเสรีต่าง ๆ ซึ่งช่วยลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างประเทศ

ปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมาก อาทิ Adidas Nike IKEA Apple Foxconn Dell และ Samsung เป็นต้น ให้ความสนใจลงทุนและย้ายฐานการผลิตมาที่เวียดนามเพิ่มขึ้น จนอาจทำให้เวียดนามสามารถก้าวขึ้นมาเป็นโรงงานโลก (World Factory) แทนที่จีนซึ่งยังคงได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อพิจารณาจากมูลค่าการนำเข้าของสหรัฐฯ ในปี 2565 เวียดนามได้ก้าวข้ามเกาหลีใต้ขึ้นมาเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ในลำดับที่ 6 มูลค่าการนำเข้า 127.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนไทยอยู่ในลำดับที่ 14 มูลค่าการนำเข้า 58.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม การผลิตแรงงานทักษะสูงที่ไม่ทันต่อความต้องการ กระทรวงแรงงาน ผู้พิการ และสวัสดิการสังคมของเวียดนามในปี 2565 รายงานว่า มีแรงงานเพียง 26% เท่านั้นที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่แรงงานที่เหลือยังขาดทักษะและไม่สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรได้ ซึ่งองค์กรในเวียดนามถึง 57% กำลังประสบปัญหาในการสรรหาแรงงานทักษะสูงและถึงแม้เวียดนามจะสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานได้อย่างต่อเนื่อง แต่ผลิตภาพแรงงานกลับยังคงต่ำกว่าหลายประเทศ 

ด้าน Productivity Databook 2023 โดย APO รายงานว่า ในปี 2564 เวียดนามมีมูลค่าผลิตภาพแรงงานต่อคนที่ 20,500 เหรียญสหรัฐ (738,000 บาท) ในขณะที่มาเลเซียอยู่ที่ 60,900 เหรียญสหรัฐ (2,192,400 บาท) ไทยอยู่ที่ 33,000 เหรียญสหรัฐ (1,188,000 บาท) อินโดนีเซีย 26,300 เหรียญสหรัฐ (946,800 บาท) และฟิลิปปินส์ 23,600 เหรียญสหรัฐ (849,600 บาท) ซึ่งสะท้อนว่า อัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานของเวียดนามมีความเสี่ยงที่จะถูกก้าวข้ามได้ในอนาคต หากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียนมีนโยบายและมาตรการที่สามารถกระตุ้นอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงาน

สถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญส่งผลให้เวียดนามตัดสินใจผลักดันการเพิ่มผลิตภาพแรงงานเป็นแผนระดับชาติตามมตินายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งกำหนดเป้าหมายเป็น 1 ใน 3 ประเทศชั้นนำด้านอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานในภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2573 โดยเพิ่มอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยต่อปีเป็น 6.5% แบ่งเป็นภาคอุตสาหกรรมแปรรูปและผลิต 6.5 - 7% ภาคเกษตรกรรม ป่าไม้ และประมง 7 - 7.5% และภาคบริการ 7 - 7.5% เพื่อมุ่งให้ผลิตภาพแรงงานกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืน และทำให้เวียดนามสามารถใช้โอกาสจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

'สื่ออังกฤษ' ยก สนามบิน 'โหน่ยบ่าย' ดีที่สุดใน 'เอเชีย-อาเซียน' ส่วน 'ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ' ติดกลุ่ม 10 อันดับแย่ที่สุด

(3 มี.ค.67) เพจ 'BTimes' ได้รายงานว่า บิสสิเนส แทรเวลเลอร์ (Business Traveller) สื่อผลิตเนื้อหาและข้อมูลด้านการเดินทางและท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกจากอังกฤษมีอายุมาถึง 48 ปี และได้รับการยอมรับจากนักเดินทางและนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะนักธุรกิจและนักบริหาร เปิดเผยรายงานผลการจัดอันดับสนามบินนานาชาติดีที่สุดและแย่เลวร้ายที่สุดในทวีปเอเชียประจำปี 2023 พบว่า สนามบินนานาชาติทึ่ดีที่สุด ได้แก่ สนามบินโหน่ยบ่าย กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ขณะที่สนามบินที่แย่ที่สุด ได้แก่ สนามบินนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพ ประเทศไทย ส่วนสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ อยู่อันดับที่ 7 จากทั้งหมด 10 อันดับสนามบินนานาชาติที่แย่ที่สุด 

สำหรับสนามบินนานาชาติที่ดีที่สุด 10 อันดับในทวีปเอเชีย ปี 2023 มีดังนี้... 

อันดับ 1 สนามบินโหน่ยบ่าย (ฮานอย) เวียดนาม 6.80 คะแนน 
อันดับ 2 สนามบินชางฮี สิงคโปร์ 6.63 คะแนน 
อันดับ 3 สนามบินเช็คแลปก๊อก ฮ่องกง 6.48 คะแนน 
อันดับ 4 สนามบินฮาหมัด กาตาร์ 6.44 คะแนน 
อันดับ 5 สนามบินนาริตะ (โตเกียว) ญี่ปุ่น 6.23 คะแนน 
อันดับ 6 สนามบินฮาเนดะ (โตเกียว) ญี่ปุ่น 5.82 คะแนน 
อันดับ 7 สนามบินเกมเปโควทา (เบงกาลูรู) อินเดีย 5.56 คะแนน 
อันดับ 8 สนามบินไท่หยวน ไต้หวัน 5.29 คะแนน 
อันดับ 9 สนามบินฉัตรปตี ศิวาจี มหาราช (มุมไบ) อินเดีย 5.22 คะแนน 
และอันดับ 10 สนามบินอินทิรา คานธี (นิวเดลี) อินเดีย 4.60 คะแนน 

ทั้งนี้ สนามบินโหน่ยบ่าย (ฮานอย) เวียดนาม ที่ได้ 6.80 จาก 10 คะแนนในครั้งนี้นั้น ถูกยกย่องหลายด้านโดยเฉพาะระบบการจัดคิวผู้โดยสารที่ใช้บริการที่สนามบินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

สำหรับสนามบินนานาชาติที่เลวร้ายที่สุด 10 อันดับในทวีปเอเชีย ปี 2023 (คะแนนน้อยที่สุด คือยอดแย่ที่สุด จากคะแนนเต็ม 10) มีดังนี้...

อันดับ 1 สนามบินคูเวต คูเวต 1.69 คะแนน 
อันดับ 2 สนามบินอัลมาตี คาซัคสถาน 2.62 คะแนน 
อันดับ 3 สนามบินคิง อับดุลาซิ ซาอุดีอาระเบีย 2.72 คะแนน 
อันดับ 4 สนามบินนินอย อาคีโน ฟิลิปปินส์ 2.78 คะแนน 
อันดับ 5 สนามบินอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรต 2.88 คะแนน 
อันดับ 6 สนามบินเชนไน อินเดีย 3.00 คะแนน 
อันดับ 7 สนามบินสุวรรณภูมิ ไทย 3.25 คะแนน 
อันดับ 8 สนามบินดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรต 3.36 คะแนน 
อันดับ 9 สนามบินกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย 3.36 คะแนน 
และอันดับ 10 สนามบินดอนเมือง ไทย 3.45 คะแนน

เมื่อพิจารณาเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน พบว่า สนามบินนานาชาติที่ดีที่สุดในอาเซียนยังคงเป็นของสนามบินหน่อยไบ๋ (ฮานอย) เวียดนาม ตามด้วยสนามบินชางฮี สิงคโปร์ ขณะที่สนามบินนินอย อาคีโน ฟิลิปปินส์ เป็นสนามบินที่แย่ที่สุดในอาเซียน โดยมีสนามบินดอนเมือง กรุงเทพ ประเทศไทยรั้งรองสุดท้ายของอันดับสนามบินแย่ที่สุดในอาเซียน 

สนามบินคูเวต คูเวต ที่ได้คะแนนต่ำที่สุดที่ 1.69 จาก 10 คะแนน ส่งผลเป็นสนามบินนานาชาติที่ยอดแย่ที่สุดของโลก ที่สำคัญ เป็นเพียงสนามบินเดียวในทวีปเอเชียที่ทำคะแนนได้ต่ำกว่า 2 คะแนน พบว่า ผู้โดยสารแสดงความไม่พอใจอย่างมากกับกลิ่นเหม็น หรือกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาภายในสนามบิน นอกจากนี้ มีปัญหาด้านขั้นตอนการบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่องที่ช้ามาก 

ทั้งนี้ บิสสิเนส แทรเวลเลอร์ (Business Traveller) ทำการจัดอันดับรายงานดังกล่าวจากการเก็บข้อมูลโดยตรงจากการแสดงความคิดเห็นของผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินจากทุกสนามบินทั่วโลกผ่านแอร์ไลน์ควอลิตึ้ดอทคอม นอกจากนี้ ยังเป็นสื่อชั้นนําสําหรับนักเดินทางเพื่อธุรกิจที่มีการผลิตเนื้อหาถึง 14 ประเทศสำคัญ ได้แก่ สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา, เอเชีย-แปซิฟิก, ตะวันออกกลาง, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, เดนมาร์ก, ฮังการี, แอฟริกา, รัสเซีย, โปแลนด์, อิสราเอล และอินเดีย รวมถึงเว็บไซต์ต่างๆ

สตม.ทลายแก๊งพนันออนไลน์เวียดนามตั้งฐานเช่าบ้านหรูกลางเมือง

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2567 กก.1 บก.สส.สตม. ได้นำหมายค้นเข้าตรวจค้นบ้านหรูแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 เนื่องจากต้องสงสัยว่ามีแก๊งชาวต่างชาติใช้เป็นฐานเปิดบ่อนพนันออนไลน์ จนสามารถจับกุม น.ส.คิม (นามสมมติ) อายุ 21 ปี สัญชาติเวียดนาม พร้อมกับพวกรวม 18 คน (ชาย 10 คน หญิง 8 คน) โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน พร้อมตรวจยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของกลาง จำนวน 39 รายการ นำส่งพนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก ดำเนินคดี ตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บ้านพักแห่งหนึ่งหนึ่งย่านพระราม 9 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ 

กก.1 บก.สส.สตม. ได้รับการร้องเรียนว่าที่บ้านพักแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ มีกลุ่มชาวต่างชาติมีพฤติกรรมน่าสงสัยรวมกลุ่มจำนวนหลายคนอยู่ภายในบ้านดังกล่าว ลักษณะมีการเปิดไฟทำงานกันตลอดทั้งวันทั้งคืน และคนในบ้านไม่ค่อยออกไปไหน กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ทำการตรวจสอบแล้วเชื่อว่าน่าจะเป็นแก๊งชาวต่างชาติลักลอบเปิดเว็บพนันออนไลน์ และได้ทำการสืบสวนเฝ้าสังเกตพฤติกรรมคนภายในบ้านจนทราบว่าเป็นกลุ่มชาวเวียดนามจำนวนไม่ต่ำกว่า 10 คน และพบพยานหลักฐานว่ามีการลักลอบจัดให้มีการเล่นการพนันออนไลน์จริง จึงได้ยื่นคำร้องขอหมายค้นบ้านหลังดังกล่าวต่อศาลอาญาพระโขนงและทำการตรวจค้น 

ผลการตรวจค้นพบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านสองชั้น ชั้นที่ 1 จัดเป็นที่พักผ่อนและรับประทานอาหาร ชั้นที่ 2 เป็นห้องพัก ส่วนห้องโถง เป็นสถานที่ทำงานมีเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์ตั้งอยู่ จำนวน 10 ชุด มีพนักงานนั่งอยู่หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ซึ่งมีการเข้าระบบเว็บพนันออนไลน์ b29./cafe, b69./cafe, Choang/club99, kingfun./247 และเข้าระบบโปรแกรมสื่อสังคมออนไลน์เพื่อสนทนา ประกาศ ชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนันและติดต่อแก้ไขปัญหาในการเล่นการพนันออนไลน์ และพบไฟล์เอกสารตารางการทำงานและดูแลระบบเว็บพนันของพนักงานแต่ละคน จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบพนักงานทั้ง 18 คน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาทำงานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ และจากการสอบถามคนต่างด้าวทั้ง 18 คนให้การยอมรับว่าพวกตนทำงานเป็นแอดมินเติมเครดิตให้กับลูกค้าและชักชวนลูกค้าให้มาเล่นการพนันออนไลน์ โดยมีการแบ่งหน้าที่และช่วงเวลากันทำงานตลอด 24 ชั่วโมง มีนายทุนใหญ่เป็นชาวเวียดนาม ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนๆ ละ 20,000 บาท และเงินส่วนแบ่งที่ได้จากการชักชวนลูกค้าที่มาเล่นการพนัน โดยเช่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นฐานกระทำผิดมาตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2566

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

วิเคราะห์ความเป็นจริง 'อนาคตไทย-เยาวชนไทย' สาละวันเตี้ยลง พ่ายแพ้เยาวชนเวียดนาม ยับ!!

บทความนี้เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2564 เวียดนาม ประเทศสังคมนิยม เคยทำสงครามกับสหรัฐฯ วันนี้ เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และ กำลังก้าวขึ้นเป็น 'จีน 2' ในเอเชีย 

ทำไมเวียดนาม ถึงก้าวกระโดด? (ข้ามประเทศไทย) เพราะเขามีปัจจัยหลัก ดังนี้...

1. มีปริมาณ 'กำลังคน' ประชากรมีมากกว่าไทย มีคน 100 ล้าน และ ไม่ใช่แค่คนระดับใช้แรงงานเท่านั้น แต่ยังมีคนระดับชั้นมันสมองเพิ่มมากขึ้น จากการพัฒนาการศึกษา 'เชิงคุณภาพ' ต่อเนื่อง อย่างจริงจัง ขณะที่ไทย...สาละวันเตี้ยลง ต่ำลง

ลองพิสูจน์จากเด็กเวียดนาม ที่ได้รับทุน (ของไทย) มาเรียนปริญญาโท-เอก ที่คณะวิศวะลาดกระบัง ทุกคนทั้งเก่งคณิตศาสตร์ (มากกว่าเด็กไทย) ภาษาอังกฤษก็เข้มแข็งกว่า และ ยังขยันสุด ๆ น่ากลัวมาก อาจารย์ไทยชอบมาก เพราะทำงานวิจัยได้ยอด รับผิดชอบสูง น่าประทับใจ

นี่แค่ เด็กเวียดนามระดับกลาง ๆ เพราะระดับตัวท็อป จะไปเรียนต่อที่อเมริกา ซึ่งวันนี้ มีมากกว่า 24,000 คน!!! ซึ่งเน้นด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีขั้นสูง ขณะที่มีเด็กไทยเรียนอยู่ในอเมริกาเพียง 6,000 คน น้อยกว่าเวียดนาม 4 เท่า!!!! 

หมายความว่า เวียดนามกำลังมี 'คนระดับมันสมอง' โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งคือ รากฐานของการยกระดับประเทศ มากกว่าไทย (หลายเท่า) 

2. มีเงิน มีงบประมาณ เพราะเศรษฐกิจเวียดนาม ในปีที่ผ่านมา เติบโตที่สุดของโลก! ขณะที่ประเทศอื่น รวมทั้งไทย ติดลบ! และ เพียงแค่ครึ่งปีที่แล้วนี้ โตไปมากกว่า 5% แล้ว และจะร้อนแรงยิ่งขึ้น...

เพราะเกิดการลงทุน จากต่างประเทศมหาศาล (มากกว่าลงทุนในไทยไปนานหลายปีแล้ว) เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก มีบริษัทเกาหลี มาลงทุน 4,000 กว่าบริษัท ขณะที่มาไทยเพียง 400 บริษัท และ มีบริษัทชั้นนำของโลกทุกแขนง กำลังมุ่งสู่เวียดนาม

ทำให้เกิดการส่งออกสินค้า มูลค่าเพิ่มมหาศาล ซึ่งตอนนี้เวียดนามส่งออกมากกว่าไทยไปแล้วครับ และ กำลังจะทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ หากเราไม่คิดสู้!!

3. มีความรักชาติ เป็นชาตินิยมสูง ถือเป็นจุดแข็งของเวียดนาม เด็กเวียดนามทุกคนเรียนรู้ 'ประวัติศาสตร์ชาติ' รู้จัก 'การต่อสู้ของลุงโฮ' ท่านโฮจิมินห์ บิดาของชาติ รู้เรื่องราว การต่อสู้ ด้วยความทรหด อดทน ไม่ยอมแพ้ ให้ทั้งชีวิตเพื่อสร้างชาติ 

(ส่วนเยาวชนไทยจำนวนไม่น้อย ถูกอาจารย์ในมหาลัย ปลูกฝังความรู้สึกชังชาติ มีการยกเลิกการเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทย ฯลฯ อนาคตมีแต่ จะพาชาติตกต่ำ)

เวียดนาม ปลูกฝังค่านิยม การรักการอ่าน การขยันเรียนแบบสุดๆ โรงเรียนในเวียดนาม แม้ไม่ใหญ่ ไม่สวย เหมือนโรงเรียนไทย แต่คุณภาพไม่แพ้ใครในโลก ลองดูคะแนนมาตรฐาน PISA Score เด็กเวียดนามทำได้คะแนนสูงสุดในอาเซียน เกือบเท่าเด็กสิงคโปร์!!

คนอเมริกัน เชื้อสายเวียดนามในสหรัฐฯ ก็เรียนเก่ง (ที่ MIT ก็มีเด็กอเมริกันเวียดนามเยอะมาก) ประสบความสำเร็จสูงมาก แม้แต่คุณหมอ พญ. ดร. พริสซิลลา ชาน ภรรยาคนสวยของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก ก็เป็นคนเชื้อสายเวียดนาม คนเหล่านี้ยังสนับสนุนประเทศเวียดนามทุกรูปแบบ เต็มที่

ไม่อยากให้คนไทยมองข้ามเรื่องนี้ รุ่นพ่อแม่เราเกิดมา ก็ไม่แพ้เกาหลี วันนี้เกาหลีเป็นประเทศชั้นนำของโลกไปแล้ว พวกเราหลายคนเกิดมาก็ไม่แพ้สิงคโปร์ ไม่แพ้มาเลเซีย แต่วันนี้เขากระโดดไปไกลแล้ว 

และวันนี้ พวกเราหลายคนยอมรับว่า "ทำใจไม่ได้" ที่เรากำลังเป็นรองเวียดนาม 

แม้เราไม่ได้อิจฉาเวียดนาม และ ก็ไม่ได้ชื่นชมว่า เวียดนามจะดีเก่งกว่าไทยไปซะทุกเรื่อง เพียงแต่อยากให้ คนไทยเรียนรู้ข้อเท็จจริง เพื่อนำมาวางแผนสู้ พัฒนาชาติไทย ต้องไม่ยอมแพ้!!!

ปกติ #คนไทยไม่แพ้ใครในโลก และ # ถ้าจะทำ ก็ทำได้ 

ขอเป็นกำลังใจ ให้คนไทยทุกคนสู้ๆ 

ขอเสริมจุดที่สำคัญจุดอื่น ที่คนไทยหลายส่วน อาจจะไม่รู้ หรือ ลืมไป คือ...

1) เมื่อตอนไซ่ง่อนแตก คนเวียดอพยพไปสู่ 2 แหล่งสำคัญ คือ สายฝรั่งเศสและ สายอเมริกา 

2) สายฝรั่งเศส คือ กลุ่ม Elite พวกนายพลฝ่ายขวา ที่ยังพอหอบเงินไปตั้งตัวพอให้อยู่ได้บ้าง ส่วนสายที่ไปอเมริกานั้น เป็นคนจนล้วนๆ คือพวกไม่มีค่าเครื่องบินเลยหนีไม่ทันนั่นแหล่ะ

3) เมื่อทั้ง 2 สายไปถึงประเทศปลายทาง ทุกคนก็ต้องทำงานหนัก เพราะรัฐไม่ให้ใครอยู่เฉยๆ Elite ต้องหางานทำ มีตังหน่อย ก็เปิดร้านอาหารเล็กๆ อภิสิทธิ์เดิม ที่เคยได้จากระบบหมดสิ้น กลายเป็นผู้อพยพพลเมืองใหม่ ของประเทศ ทุกชนชั้นเลยต้อง Set zero คนเวียดนาม เรียกเวียดโพ้นทะเลว่า 'เวียดกิ่ว'

4) เวียดกิ่ว เมื่อจำเป็นต้องทำงาน รัฐก็ส่งไปเรียนหลากหลายอาชีพ เวียดกิ่ว เลยอยู่ในทุกวงการ  ไม่ใช่เน้นจับธุรกิจร้านอาหารอย่างเดียว เหมือนคนไทย

5)  เมื่อเด็กๆ เห็นพ่อแม่ลำบาก ก็เลยต้องตั้งใจเรียน  ยิ่งไปเป็นพลเมืองอพยพ ต้องเก่งกว่าคนในประเทศเป็น 2 เท่า เด็กเวียดกิ่ว เลยขยันเรียนหนังสือมากเป็นที่ 1 ของห้องเป็นส่วนใหญ่

6) เมื่อเด็กพวกนี้ สอบมหาวิทยาลัยในระดับกะทิได้  ก็มีหน้าที่การงานที่ดีตามมา ทั้งฝั่งอเมริกา และ ฝรั่งเศส ได้เป็นหมอ อจ.มหาลัย นักกฎหมาย นักวิทยาศาสตร์ พวกนี้ มักได้กลายเป็นมือขวาของนายฝรั่ง

7) ถึงแม้จะเป็นผู้อพยพ แต่ความคิดถึงแผ่นดินแม่  ยังคงแรง ยิ่งพวก Elite ที่ได้ไปรับรู้รสชาติชีวิต คนธรรมดา เลยทำให้เข้าใจว่า พวกตนเคยได้อภิสิทธิ์อะไรมา ส่วนคนจนลำบากยังไง เริ่มมีการกลับไปทำงานสังคม สร้างมูลนิธิ ช่วยคนยากจน สมาคมทันตแพทย์ในฝรั่งเศส ระดมหมอฟันเวียดกิ่วอาสา  400 กว่าคน บินมาลงพื้นที่ทำฟันให้ชาวบ้านฟรี ทุกปี หมอจ่ายค่าเดินทาง กินอยู่เอง

8) เมื่อรุ่นที่ 2 ทั้งเก่ง ทั้งแข็งแรง เริ่มอยากช่วยบ้านเกิด จึงเริ่มมาเปิดธุรกิจเอาไว้ พร้อมทั้ง เอาความสามารถของตัวเองมาลง Set up บริษัทในเวียดนาม  ศักยภาพของเวียดนาม เลยโตแบบก้าวกระโดด

9) คิดภาพนะ คนเวียดนาม มืออาชีพ ทำงานระบบฝรั่ง ทั้งชีวิตจากทั้ง 2 ฝั่งโลก รวมหลายแสนคนเดินทาง มาพัฒนาบ้านเค้า เทียบกับคนไทยไปเรียนเก๋ๆ กอดปริญญาสวยๆ จบก็กลับบ้าน ไม่เคยทำงานจริง ลองเทียบคุณภาพฝีมือกันดู (จะต่างชั้นกันมาก)

10) ถ้าวันนี้ เวียดนามจะไปไกลมาก ไม่ใช่เพราะแค่ฝรั่ง เห็นวัยรุ่นเยอะเลยจะมาใช้แรงงาน แต่เพราะมีคนเวียดนาม ระดับมือพระกาฬบินมาลงมือเองด้วย  ขนความรู้ระดับสูงจากทั้ง 2 ฝั่งโลก มาเทลงในประเทศเดียว เวียดกิ่ว USA ยังมีเขม่น กับเวียดกิ่ว France อยู่พอสมควร แต่เขาแข่งกันสร้างของดี ความดี...

11) ยังไม่รวม สายสัมพันธ์ที่คนเวียดกิ่ว จากทั้งอเมริกาและฝรั่งเศส มีกับรัฐบาลตัวเอง จะขออะไรก็ได้หมด แต่แน่นอน คนเวียดกิ่วไม่เอาจีน

12) 5 ปีที่แล้ว เด็กที่มาจากเวียดนาม สร้างปรากฏการณ์การสอบเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์ คณะทันตของฝรั่งเศส จากคะแนนสูงสุด 10 คน มี 7 คนมาจากเวียดนาม

ทุกวันนี้คนไทยหลายคน ยังหัวเราะเยาะ ดูถูกคนเวียดนาม (มองเพียงระดับคนขายแรงงานเท่านั้น)

มองอนาคตจากปัจจุบัน จะเห็นได้ชัดว่า เยาวชนไทย แพ้เยาวชนเวียดนาม แบบเกือบหมดทางสู้ในด้านการพัฒนาประเทศ

'ชุดนักเรียนไทย' เทรนด์สุดฮิตในหมู่ 'เด็กนักเรียนเวียดนาม' นำมาใส่ถ่ายภาพจบการศึกษา แล้วแอคท่าเหมือนหลุดมาจากซีรีส์ไทย

(24 มี.ค.67) Youtube ช่อง ‘ส่องโลกคอมเมนต์’ ได้ลงคลิปเกี่ยวกับ เรื่องที่นักเรียนเวียดนามแห่ใส่ชุดนักเรียนไทย โดยได้ระบุว่า ...

นักเรียนเวียดนามแห่ใส่ชุดนักเรียนไทย ถ่ายรูปวันจบการศึกษาโดยสวมชุดนักเรียนไทย ถ่ายรูปหมู่ และก็ไม่ใช่เป็นการถ่ายเล่นเล่นถ่ายกันเองด้วยกล้องมือถือ แต่จะเป็นการจ้างช่างภาพมืออาชีพใช้กล้องตัวใหญ่ เพื่อถ่ายเป็นเรื่องเป็นราวจริงจัง ถ่ายเป็นเซต ตามมุมต่างๆของโรงเรียนที่อยากบันทึกความทรงจําไว้กับเพื่อนๆ

การถ่ายภาพวันจบการศึกษา เป็นกิจกรรมสําคัญอย่างหนึ่งของเด็กม.ปลายเวียดนาม แค่คล้ายกับที่นักศึกษาไทยจะจ้างช่างถ่ายรูปมาถ่ายรูปวันรับปริญญา

และกระแสฮิตยอดนิยมในตอนนี้ ก็คือธีม การถ่ายภาพจบการศึกษาด้วยการใส่ชุดนักเรียนไทย มันมาเป็นอันดับหนึ่งเลยฮิตมากจริงๆ

นอกจากชุดนักเรียนไทยแล้ว เขาก็ยังถ่ายภาพด้วยมุมกล้อง ทำทางท่าโพสต์เลียนแบบมาจากซีรีส์ไทย คือให้มุมภาพมุมมองเนี่ย มันเหมือนกับว่าหลุดออกมาจากซีรีส์ไทยเลย ก็จะมีธีมการถ่ายภาพคอนเซปต์อื่นๆเช่นชุดประจําชาติเวียดนาม ชุดแฟนซี ชุดแฮร์รี่พอตเตอร์ หรืออื่นๆรองลงมา แต่การถ่ายภาพในคอนเซ็ปต์ชุดนักเรียนไทย ได้รับความนิยมสูงที่สุด 

โฆษณาการให้บริการถ่ายภาพวันจบการศึกษาใน ธีมชุดนักเรียนไทย ซึ่งที่นู่น เขาจะใช้คําว่าการถ่ายภาพวันจบการศึกษา คอนเซปต์ไทยแลนด์

อย่างเพจสตูดิโอ อันนี้ เขาก็โพสต์ว่าขอเชิญชวนน้องๆมัธยมมาถ่ายภาพวันจบการศึกษาในคอนเซปต์เครื่องแบบนักเรียนไทยที่สวยงามเรียบร้อย มีบุคลิกเหมือนกับในซีรีส์ไทย ความสดใสของเยาวชนรุ่นใหม่ จากคําโฆษณา เขาก็โพสต์ภาพผลงานการถ่ายภาพเซ็ตใหญ่ของน้องในโรงเรียนทันฮุงดาวที่เป็นภาพหมู่วันจบการศึกษาในชุดนักเรียนไทย

อีกราย ร้านเขาก็โพสต์ว่า มาร่วมบันทึกความทรงจําในวัยรุ่น มาบันทึกช่วงเวลาดีดีกับเพื่อนรัก แล้วทางร้านเราก็มีบริการ ชุดนักเรียนไทย ชุดพละ 

และก็มีรับงานถ่ายภาพกลางคืนพร้อมรถรับส่ง คือตามเพจสตูดิโอช่างภาพที่เวียดนามเท่าที่ หาข้อมูลแบบไวไว ก็จะกดเจอไม่น้อยกว่า 10 ร้านเลยที่ให้บริการถ่ายภาพวันจบการศึกษาในคอนเซปต์นักเรียนไทย

ชุดนักเรียนไทยได้รับความนิยมโดยเฉพาะอย่างในประเทศจีนเนี่ย ก็เห็นมานานแล้วนะ แต่ที่เวียดนาม เด็กนักเรียนมัธยมเวียดนามชอบชุดนักเรียนไทย ถึงขนาดเอาไปใส่ถ่ายภาพในวันจบการศึกษา ซึ่งเป็นวันสําคัญของเขาเลยแสดงว่านักเรียนเวียดนามเขาชอบชุดนักเรียนไทยมากจริงๆ

นี่คือซอฟท์พาวเวอร์ที่แท้จริง มันคือสิ่งที่คนอื่นชื่นชอบ โดยที่เราไม่ต้องไปโฆษณาขายสิ่งนั้นเลย ชุดนักเรียนไทยเข้าข่ายเต็มเป้าเลย 

ชุดนักเรียนไทยที่ดูเก๋กู๊ดดูน่ารักใส่แล้วดูดีในสายตาของน้องๆนักเรียนเวียดนามและจากกระแสอิทธิพลของซีรีส์ไทยที่เกี่ยวกับนักเรียนไทยที่เข้าไปฉายที่นู่น จนโด่งดังในเวียดนาม หลายต่อหลายเรื่อง ก็ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่นักเรียนใส่แล้วดูดีเข้าไปอีก ลองไปหาข้อมูลเพิ่ม ก็พบว่าจุดนักเรียนไทยเนี่ย มีวางขายอยู่เต็มเวียดนามเลย ไม่ว่าจะช็อปปี้ ลาซาด้าเวียดนามก็มีชุดนักเรียนไทยโพสต์ขายเต็มไปหมด

แต่น่าเสียดาย เท่าที่แอบกดดู เหมือนจะเป็นสินค้าจีน เพราะชุดนักเรียนไทยเนี่ย ส่งมาจากประเทศจีน มันก็ไม่น่าจะใช่นะ

เดี๋ยวเราลองไปดูกันว่า เด็กมัธยมเวียดนามเขาจะคิดเห็นคอมเมนต์ กันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับชุดนักเรียน

ภาพเซตนี้ดูดีมาก

ในชั้นเรียนของหนูก็ถ่ายรูป Concept นักเรียนไทยเหมือนกันน่ารักมาก ดูแล้วเหมือนภาพในหนังไทยเลย

หนังสือรุ่นเราเอาแบบนี้กันไหม

เอาไว้ เรียนจบฉันก็อยากใส่ชุดนักเรียนไทยแบบนี้บ้าง

โอ้พระเจ้าถ่ายรูปแบบนี้มันดูดีจริงๆ

ดูเจ๋งมากเลยเพื่อนๆเราก็ถ่ายแบบนี้กันดีกว่า

ชุดนักเรียนไทยน่ารักมาก

ชุดที่ฉันปรารถนา

น่ารักเกินไปไหม

ฉันชอบการถ่ายรูปนักเรียนไทยแบบนี้มันดูสนุกสนานสดใสสำหรับพวกเราวัยรุ่น

'ศาลเวียดนาม' จัดโทษประหาร Truong My Lan เจ้าแม่อสังหาฯ ผู้สร้างตำนานโกงแบงก์หมื่นล้าน

เมื่อวานนี้ (11 เม.ย. 67) ศาลนครโฮจิมินห์ ได้ตัดสินคดีฉ้อโกง 1.2 หมื่นล้านเหรียญ ของเจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ Truong My Lan ประธานใหญ่บริษัท Van Thinh Phat Group ที่ตอนนี้ถูกยกให้เป็นคดีประวัติศาสตร์ของเวียดนามเลยทีเดียว ด้วยมูลค่าความเสียหายจัดว่าสูงที่สุดในบรรดาคดีคอร์รัปชันทุกคดีในย่านอาเซียน 

และก็สมใจชาวเวียดนาม ที่ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดและคาดหวังให้ลงโทษสูงสุด เพื่อเป็นคดีตัวอย่างว่า รัฐบาลเวียดนามไม่ได้เก่งแต่เชือดไก่ เพราะลิงเบื่อแล้ว อยากดู 'หงส์' ถูกเชือดบ้าง 

โดยศาลเวียดนามก็จัดให้ หลังจากวินิจฉัยหลักฐานมานานกว่า 1 เดือน ด้วยการตัดสินให้ อดีตเศรษฐินีเบอร์ 1 ของเวียดนามต้องโทษสูงสุดถึง 'ประหารชีวิต' จากคดียักยอก ฉ้อโกง เงินจากธนาคาร Saigon Commercial Bank มานานกว่า10 ปี รวมมูลค่ากว่า 3 ร้อยล้านล้านดอง (1.24 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ) 

คดีนี้ จัดเป็นคดีที่ไม่ธรรมดา และไม่บ่อยนักที่ศาลเวียดนามจะตัดสินโทษถึงประหารชีวิตกับผู้ต้องหาหญิง ยิ่งเป็นระดับนักธุรกิจใหญ่ขนาดนี้ อีกทั้งยังเป็นคดีที่ต้องพิจารณาหลักฐานจำนวนมากมายมหาศาล ด้วยเอกสารอัดแน่นถึง 104 กล่อง ที่มีน้ำหนักรวมกันถึง 6 ตัน รวมกับพยานบุคคลที่ถูกเรียกตัวมาให้การอีกกว่า 2,700 คน และใช้อัยการรัฐถึง 10 คน กับทนายอีก 200 คน ที่ต้องลงมาทำคดีนี้ 

และนอกจาก Truong My Lan แล้ว ยังมีจำเลยที่เกี่ยวข้องในคดีฉ้อโกงนี้อีก 85 คน ทั้งหมดถูกตัดสินว่าผิดจริง และ ต้องโทษจำคุกไล่เลียงกันไปตั้งแต่ 3 ปี ไปจนถึงจำคุกตลอดชีวิต 

ซึ่งหนึ่งในผู้ต้องหามีสามีของ และ หลานสาวของ Truong My Lan รวมอยู่ด้วย และถูกตัดสินจำคุกเช่นกัน โดยสามีของเธอจำคุกนาน 9 ปี ส่วนหลานสาวผู้ช่วยต้องโทษจำคุกนานถึง 17 ปี 

เดวิด บราวน์ อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ไม่เคยเห็นคดีที่มีการไต่สวนครั้งใหญ่ขนาดนี้มาก่อนในยุครัฐบาลคอมมิวนิสต์เวียดนาม จึงพูดได้ว่านี่เป็นคดีที่น่าทึ่งที่สุดในแคมเปญการต่อต้านการทุจริตของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามยุคใหม่ ภายใต้การนำของเลขาธิการพรรค เหงียน ฟู้ จ่อง

โดย เหงียน ฟู้ จ่อง เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายปราบปรามการทุจริต คอร์รัปชัน จากกระแสความไม่พอใจของชาวเวียดนามที่มีต่อพรรคคอมมิวนิสต์ พรรคที่ผูกขาดอำนาจอย่างยาวนานในเวียดนาม 

เหงียน ฟู้ จ่อง เห็นว่าหากปล่อยปละละเลยต่อไป ไม่ช้าความไม่พอใจ ก็จะเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นของประชาชน ที่จะนำไปสู่การลุกฮือต่อต้าน ซึ่งนั้นหมายถึงภัยคุกคามของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม 

และเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม แคมเปญต่อต้านคอร์รัปชันจึงเกิดขึ้นในช่วงปี 2016 เกิดการล้างบางทุจริตในวงราชการครั้งมโหฬาร และส่งข้าราชการในตำแหน่งติดคุกมาแล้วหลายร้อยคน แถมสะเทือนถึงคนระดับผู้นำประเทศ เพราะทำให้ประธานาธิบดีถูกกดดันให้ลาออก จากข้อหาคดีคอร์รัปชันมาแล้วถึง 2 คน 

ซึ่งล่าสุด ประธานาธิบดีเวียดนาม ที่ถูกหางเลขจากนโยบายปราบโกงของพรรคจนต้องลาออกก็คือ หวอ วัน เถือง หลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียง  1 ปี เท่านั้น นับเป็นประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดของเวียดนาม 

มาวันนี้ คดีของเจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ Truong My Lan กลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนาม ที่สามารถจารึกใน Hall of Fame ของพรรคได้เลย 

และ ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวเวียดนามว่า รัฐบาลเวียดนามเอาจริง ทำผิด คิดโกง ก็ติดคุกได้หมด ไม่สนลูกใคร ไม่ใช่เก่งแค่กับคนระดับไก่กาอาราเล่ และยอมรับว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกอิจฉาเวียดนาม ว่าเขาไปไกลกว่าเราจริง ๆ 

‘เวียดนาม’ ระอุ!! อากาศร้อน ทำปลานับแสนตัวตายคาอ่าง แถมชาวบ้านในพื้นที่ ต้องเผชิญปัญหาจากกลิ่นเน่าเหม็น

(2 พ.ค.67) เอเอฟพี รายงานว่า ปลาหลายแสนตัวลอยตายเกลื่อนในอ่างเก็บน้ำจังหวัดด่งนาย ทางตะวันออกเฉียงใต้ ของประเทศเวียดนาม หลังสภาพอากาศร้อนจัดต่อเนื่อง เช่นเดียวกับหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สื่อท้องถิ่นระบุว่า พื้นที่ตอนกลางและตอนใต้ของเวียดนามเผชิญหน้ากับการทำลายล้างของคลื่นความร้อนรุนแรง ปลาทั้งหมดในอ่างเก็บน้ำซ้องไมยตายเพราะขาดน้ำ และชาวบ้านในอำเภอจั๋งโบมกำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากกลิ่นเน่าเหม็นของปลาตาย

จากภาพถ่ายเผยให้เห็นปลาตายลอยแพเกือบเต็มอ่างเก็บน้ำซ้องไมยซึ่งมีพื้นที่ราว 1,875 ไร่ และบางส่วนแห้งขอดมีซากปลาตายติดกรัง เนื่องจากไม่มีฝนตกเป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว และปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำต่ำเกินไปสำหรับสิ่งมีชีวิตที่จะอยู่รอดได้

ทั้งนี้ อุณหภูมิในจังหวัดด่งนาย เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา พุ่งสูงถึง 40 องศาเซลเซียสและทำลายสถิติอุณหภูมิสูงสุดที่บันทึกไว้ในรอบ 26 ปี ตั้งแต่ปี 2541

‘พีเค’ ขอโทษ ยอมรับผิด ลั่น!! อยากเดินหน้าจีบ ‘อดีตภรรยา’ ชี้!! คนที่ตนอยากเห็นหน้าในทุกเช้าคือ ‘โยเกิร์ต’ 

(12 พ.ค.67) กลายเป็นข่าวที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์สนั่นโลกโซเชียล กับเรื่องราวของพิธีกรหนุ่ม ‘พีเค ปิยะวัฒน์’ ที่ก่อนหน้านี้ถูกนางแบบสาวชาวเวียดนาม ‘โจลี่ เหงียน’ ออกมาแฉว่าเป็นสตอล์กเกอร์

ก่อน พีเค จะออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ขอเลิกยุ่งกับ ‘โจลี่ เหงียน’ 100 % ซึ่งที่ผ่านมาเคยคบกับ ‘โจลี่ เหงียน’ หลังจากหย่ากับ ‘โยเกิร์ต’ และฝ่ายหญิงก็เคยแนะนำตัวเองว่าเป็นแฟนกับเพื่อนๆเขา พร้อมยืนยันตัวเองไม่ใช่สตอล์กเกอร์อย่างที่ถูกอีกฝ่ายแฉ

ล่าสุดทาง ‘พีเค ปิยะวัฒน์’ ก็ได้ออกมาพูดถึงโอกาสที่จะกลับมารีเทิร์นกับ ‘โยเกิร์ต’ โดยพีเคได้เปิดใจว่า “เรายังคุยกันตลอด ยังดูแลหมาด้วยกัน ตนถามเสมอว่าจีบใหม่ได้ไหม”

ซึ่งทาง โยเกิร์ต ก็ตอบว่า “ยังไม่ใช่ตอนนี้ ถามว่าตนมีหวังไหม มันก็หวังจะได้ใช้ชีวิตด้วยกัน โยคือคนที่ตนอยากเห็นหน้าในทุกเช้า ตนยังหวังดีและรักเขาเหมือนเดิม ที่ผ่านมาตนรู้ว่าตนพลาด ตนขอโทษและยอมรับความผิดตลอดเวลา ตนยอมรับทุกๆอย่าง”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top