Tuesday, 21 May 2024
เวียดนาม

‘ชาตรามือ’ ของไทย โกอินเตอร์ไปเวียดนามแล้ว เปิดขายวันแรก ต่อคิวซื้อกันยาว ล้นออกมาถึงถนน

เฟซบุ๊ก Thailand Lover ได้โพสต์ข้อความ ถึงร้านชาตรามือ ของคนไทย ที่ไปเปิดร้านขาย ใจกลางนครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม โดยมีใจความว่า ...

ก่อนหน้าที่ 'ชาตรามือ' ชาแบรนด์ดังจากประเทศไทยจะเปิดอย่างเป็นทางการที่เวียดนาม เรียกได้ว่านักท่องเที่ยวเวียดนามคนไหนที่เคยเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยต่างต้องแวะซื้อชาตรามือกลับไปฝากญาติพี่น้องแทบทั้งสิ้น 

แต่วันนี้ไม่ต้องแล้ว เมื่อชาเจ้าดังจากประเทศไทยมาเปิดที่เวียดนามอย่างเป็นทางการครั้งแรกวันนี้ (9 มิ.ย. 66) ใจกลางนครโฮจิมินห์ โดยร้านชาตรามือตั้งอยู่ที่ บ้านเลขที่ 52 ถนนโงดึ๊กเก๋ เขต 1 นครโฮจิมินห์ เพื่อน ๆ สามารถแวะไปอุดหนุนกันได้ ตามโลเคชั่นด้านล่าง

Location: https://goo.gl/maps/3Y5Axqvyrh24d38G6

BLACKPINK จัดคอนเสิร์ตที่ฮานอย 2 วัน ดึงเงินเข้าเวียดนามได้ถึง!! 920 ล้านบาท

(7 ส.ค. 66) คอนเสิร์ตครั้งแรกในเวียดนามของวงเกิร์ลกรุ๊ปเคป็อบระดับโลกอย่าง BLACKPINK สำหรับ ‘BORN PINK WORLD TOUR’ ซึ่งจัดขึ้น 2 รอบ เมื่อวันที่ 29 - 30 กรกฏาคมที่ผ่านมา ณ My Dinh National Stadium ในกรุงฮานอย มีผู้เข้าชมกว่า 170,000 คน ส่วนยอดจำนวนของผู้เข้าชมจากต่างประเทศอยู่ที่ 30,000 คน

โดยการท่องเที่ยวของฮานอยรายงานว่า มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 8% ในช่วงที่จัดคอนเสิร์ต BLACKPINK ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงิน 26.5 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 920 ล้านบาทไทย จากชาวต่างชาติที่เข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นของประเทศเวียดนามได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ คอนเสิร์ตของ BLACKPINK ยังส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการบริการของฮานอยด้วย เช่น โรงแรมในบริเวณใกล้เคียง My Dinh National Stadium ซึ่งมีอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นที่ 20% ในขณะที่ ‘BORN PINK WORLD TOUR’ ยังสร้างสถิติใหม่เป็นทัวร์คอนเสิร์ตของกลุ่มศิลปินหญิงที่สร้างรายได้สูงสุด โดยมีรายได้อยู่ที่ 78.5 ล้านดอลลาร์ จากการแสดงคอนเสิร์ต 26 รอบ ตามรายงานของ Touring Data

แฟนวอลเลย์บอลเวียดนาม โดนวิพากษ์วิจารณ์สนั่น!! หลังโห่ใส่ ‘นักกีฬาทีมชาติไทย’ ในศึก ซี วี.ลีก 2023

(7 ส.ค. 66) ควันหลงหลังจากที่ ‘วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย’ เอาชนะ ‘เวียดนาม’ ไป 3-1 เซต (22-25, 25-20, 28-26 และ 25-17) ในศึกวอลเลย์บอล ซี วี.ลีก 2023 (SEA V.League) สัปดาห์แรก นัดสุดท้าย ส่งผลให้นักตบสาวไทยเก็บชัยชนะ 3 นัดติด คว้าแชมป์ไปครอง

อย่างไรก็ตาม หลังจบเกมแฟนวอลเลย์บอลเวียดนามบางส่วนโดนวิจารณ์อย่างหนัก หลังส่งเสียงโห่ใส่นักกีฬาทีมชาติไทยตอนที่กำลังจะเสิร์ฟ หลายคนมองว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม โดยระบุว่า "กองเชียร์เวียดนาม เราเห็นนะ ตอนน้องบุ๋มบิ๋มกำลังจะเสิร์ฟ พวกคุณส่งเสียงโห่ แบบนี้ไม่น่ารักเลยนะคะ"

จากนั้นก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นบนโพสต์ดังกล่าวมากมาย อย่างเช่น 

"ใช่ค่ะ ไม่น่ารัก ไม่เจอแบบนี้ที่สนามไทยแน่นอน"
"ถ้าเขามาบ้านเรา เราก็ไม่ต้องทำเหมือนเขา เป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับทุกทีม แบบนี้เขาเห็นก็จะละอายไปเองแหละ"
"ฝีมือพัฒนาขึ้น แต่การเชียร์อยู่ในระดับพัฒนาลง"
"อยากไประดับโลกแต่พฤติกรรมยัง...."
"ใช่ค่ะ น่าเกลียดมาก ส่วนของเรากองเชียร์น่ารัก แข่งระดับโลกเขายังชอบเลย ทีมไหนเราก็เชียร์"
"ใช่แล้วค่ะ เห็นด้วยกับโพสต์นี้ แต่ขอชมเชยน้องบุ๋มบิ๋มสงบนิ่ง เสิร์ฟได้ดีมาก”
"จริง มารยาทแย่ โห่ตอนเสิร์ฟได้ไง

'เหงียน' คิดใหญ่!! มุ่งสู่ 'ประเทศ ศก.ดิจิทัล-หลุดรายได้ปานกลาง' พา 'เวียดนาม' เป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2045 

รัฐบาลเวียดนาม เดินหน้า Road Map ยกระดับประเทศกำลังพัฒนารายได้ปานกลาง สู่ประเทศรายได้สูงที่ขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล ตั้งเป้าในการเป็นสังคมดิจิทัล 100% ภายในปี 2030 ที่จะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจ Start-ups และผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีใหม่ และจะช่วยการยกระดับรายได้ประชาชนในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม

การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมดิจิทัลของเวียดนาม เป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ชาติที่รัฐบาลเวียดนามได้ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2020 ที่จะผลักดันภาคเศรษฐกิจดิจิทัลให้โตขึ้นจากเดิม 14% ของ GDP ให้ได้ถึง 20% ของ GDP ภายในปี 2025 โดยเชื่อว่า หากรัฐบาลสามารถบรรลุเป้าหมายในการสร้างประเทศที่ขับเคลื่อนโดยเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ จะสามารถพาเวียดนามขึ้นสู่ประเทศที่มีรายได้สูงในอีกไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า

ตัวเลขเหล่านี้ รัฐบาลเวียดนาม อ้างอิงจากการคาดการณ์ของ World Bank ที่กล่าวว่า หากภาคธุรกิจดิจิทัลโตได้ถึง 10% ในแต่ละปี ตั้งแต่ปีนี้ (2021) จะสามารถสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้มากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ภายในปี 2045 ซึ่งเกือบเท่ากับ GDP ของเวียดนามในปัจจุบัน

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลเวียดนามจึงตัดสินใจปูพรมมุ่งสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ด้วยการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจดิจิทัลรุ่นใหม่ สร้างศูนย์ฝึกอบรม Start-ups ในหลายเมือง อาทิ ฮานอย, ดานัง, โฮจิมินห์ ซิตี้ อัดฉีดงบประมาณเพื่อการศึกษา พัฒนา นวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์ ให้ได้ 1% ของ GDP

จึงเกิดปรากฏการณ์ธุรกิจดิจิทัลบูมอย่างมากในเวียดนาม จากตัวเลขผู้ประกอบการธุรกิจในเวียดนามตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา พบว่ามี Start-ups หน้าใหม่เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า และมีบริษัทด้านธุรกิจ IT ทั้งฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และ สร้างสรรค์คอนเทนต์ดิจิทัลเกือบ 14,000 บริษัท จากเดิมที่หากมองย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีก่อน ในเวียดนามแทบไม่มีธุรกิจประเภทนี้เลยในประเทศ

และตอนนี้เวียดนามกำลังเป็นประเทศที่น่าจับตาที่ดึงดูดนักลงทุนด้านธุรกิจดิจิทัลจากทั่วโลก โดยล่าสุดเวียดนามขึ้นมาอยู่ในอันดับ 3 ของประเทศที่มีการตกลงทำสัญญาในธุรกิจด้านเทคโนโลยีมากที่สุดในอาเซียน และมีธุรกิจที่มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ หรือที่เรียกว่า 'ยูนิคอร์น' ถึง 4 บริษัท ได้แก่ VNG, VNPay, MoMo และ Sky Mavis

ถึงแม้รัฐบาลเวียดนามจะทุ่มเทอย่างเต็มที่สำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัล แต่ก็ยังมีอุปสรรคบางประการที่อาจทำให้เวียดนามไปไม่ถึงเป้า และยังเป็นจุดที่นักลงทุนกังวล คือ การปรับกรอบข้อกฎหมายใหม่ให้เข้ากับธุรกิจในยุคดิจิทัล เช่น การจัดเก็บภาษี การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การป้องกันฐานข้อมูลสำคัญ หรือการเข้าแทรกแซงของภาครัฐ อีกทั้งปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในประเทศที่มีทักษะในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลในระดับสูง ที่จะรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบของประเทศ

แต่ก็นับว่าเวียดนามเป็นเสือซุ่มที่น่าจับตาในอาเซียน ด้วยวิสัยทัศน์ที่มองไกล และตั้งเป้าไว้สูงของรัฐบาลเวียดนามนั้น ทำให้ไทยเราต้องเร่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันในด้านเศรษฐกิจดิจิทัล หากไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

‘พนง.เวียดนาม’ เห็นคุณยายขายลอตเตอรี่มือสั่น-กินข้าวคนเดียว รีบมาช่วยหั่นไก่-คุยแก้เหงา ชาวเน็ตซึ้ง แห่ชี้พิกัดอุดหนุนคุณยาย

(9 ก.ย. 66) กระแสไวรัลในโลกออนไลน์เวียดนาม กำลังแห่ชื่นชมพนักงานบริการที่ทำเอาอบอุ่นใจไปทั่วโซเชียล หลังคลิปวิดีโอแสดงภาพหญิงชราคนหนึ่งกำลังนั่งกินข้าวคนเดียวอยู่ในร้าน ซึ่งสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายและเดินเท้าเปล่า อีกทั้งขณะตักอาการด้วยความแก่ชรา เธอจึงมือสั่น แทบไม่มีแรงตักอาหารเข้าปาก

เมื่อเห็นเช่นนั้น พนักงานในร้านอาหารฟาสฟู้ดก็รีบวิ่งไปช่วยเหลือลูกค้าผู้สูงอายุทันที พนักงานสาวช่วยคุณยายหั่นบะหมี่และไก่ทอดให้กินง่าย ๆ พร้อมพูดคุยกับคุณยายอย่างเป็นกันเองเพื่อให้คุณยายไม่เหงา การกระทำของพนักงานบริการรายนี้ได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง

นับตั้งแต่เรื่องราวดังกล่าวถูกแชร์ก็มียอดดูมากกว่า 6 ล้านครั้งในเวลาไม่กี่ชั่วโมงพร้อมมีชาวติ๊กต็อกเข้ามาคอมเมนต์เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ชื่นชมความมีน้ำใจของพนักงานร้านไก่ทอดหญิง อาทิ

“การกระทำเล็กๆ น้อยๆ แต่สมควรได้รับการยกย่องอย่างยิ่ง”
“ไลฟ์สไตล์และทัศนคติเป็นสิ่งสำคัญมาก มันแสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีของแต่ละคน ไม่ใช่ว่าคุณต้องทำอะไรที่ใหญ่โตเกินไป”
“ขอบคุณ Jollibee ขอบคุณทีมงาน การกระทำของคุณน่ารักมาก”
“มองดูแล้วน้ำตาฉันก็ไหล เธอเดินคนเดียวเท้าเปล่า เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย มือสั่น หากคุณยังคงมีแม่หรือญาติอยู่โปรดถนอมพวกเขาไว้”
“เธอไม่สวมรองเท้าแตะด้วยซ้ำ 😔”

ต่อมามีคนจำคุณยายได้ว่า เธอสู้ชีวิตเอาชนะความชราเพื่อความอยู่รอดโดยดำรงชีพด้วยการขายลอตเตอรี่ที่สี่แยกเมืองกายเหล่ย จังหวัดเตี่ยนซาง ประเทศเวียดนามทุกวัน ซึ่งหหลังจากชมวีดีโอชาวเน็ตจึงชวนกันมาซื้อสลากและอุดหนุนเธอ

‘ไบเดน’ ซุ่มเจรจาค้าอาวุธครั้งใหญ่กับ ‘เวียดนาม’ อาจทำข้อตกลงปีหน้า คาด!! ‘จีน-รัสเซีย’ มีเคือง

เมื่อวานนี้ (24 ก.ย. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์ อ้างอิงแหล่งข่าว รายงานเมื่อวันเสาร์ (23 ก.ย.) ว่า รัฐบาลไบเดนกำลังหารือกับรัฐบาลเวียดนามเกี่ยวกับข้อตกลงซื้ออาวุธครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ระหว่างอดีตศัตรูในยุคสงครามเย็น ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจให้จีนและกีดกันซัพพลายอาวุธรัสเซีย

ข้อตกลงดังกล่าวที่อาจมีขึ้นในปีหน้า อาจช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลวอชิงตัน และรัฐบาลฮานอย ด้วยการขายเครื่องบินรบ F-16 ของสหรัฐ เนื่องจากเวียดนามเผชิญความตึงเครียดกับรัฐบาลปักกิ่ง ในข้อพิพาททะเลจีนใต้

แหล่งข่าวรายหนึ่ง เผยว่า ข้อตกลงนี้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น และยังมีเงื่อนไขไม่แน่นอน หรือไม่อาจบรรลุสัญญา แต่ถือเป็นประเด็นสำคัญในการพูดคุยอย่างเป็นทางการระหว่างสหรัฐ-เวียดนาม ในกรุงฮานอย, นิวยอร์ก และกรุงวอชิงตันเมื่อเดือนก่อน

แหล่งข่าวอีกรายบอกว่า รัฐบาลวอชิงตันกำลังพิจารณาเงื่อนไขโครงสร้างทางการเงินแบบพิเศษของอาวุธราคาแพง เพื่อช่วยฮานอยหลีกเลี่ยงการพึ่งพาอาวุธต้นทุนต่ำของรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของทำเนียบขาวและรัฐมนตรีต่างประเทศของเวียดนาม ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นใด ๆ

ส่องคอมเมนต์ชาวเวียดนาม หลังไทยคว้าเหรียญทองเอเชียนเกมส์ การเป็นเจ้าเหรียญทองซีเกมส์ ทำไมช่างดูไร้ความหมาย

(29 ก.ย. 66) ผลสรุปการแข่งขัน ‘เอเชียนเกมส์ 2022’ ครั้งที่ 19 นครหางโจว ที่ประเทศจีน

- อันดับ 1 ยังเป็น จีน เจ้าภาพที่คว้าเหรียญทอง ไปแล้ว 90 เหรียญทอง 51 เหรียญเงิน 26 เหรียญทองแดง
- อันดับ 2 เกาหลีใต้ 24 เหรียญทอง 23 เหรียญเงิน 39 เหรียญทองแดง
- อันดับ 3 ญี่ปุ่น มี 18 เหรียญทอง 30 เหรียญเงิน 30 เหรียญทองแดง

ส่วนทีมชาติไทย ได้เพิ่มมา 1 เหรียญทองแดง จากกีฬาเทนนิส ประเภทชายคู่ โดย ‘ณัฐ ปรัชญา อิสโร’ และ ‘แม็กซ์ แม็กซิมัส ภราพล โจนส์’

ล่าสุด ทีมเซปักตะกร้อหญิงไทย คว้าเหรียญทองมาให้ทัพนักกีฬาไทยเพิ่มอีก 1 เหรียญ จากการแข่งขันเซปักตะกร้อหญิง ที่ทีมชาติไทยลงสนามพบกับทีมตะกร้อหญิงเกาหลีใต้ โดยทีมชาติไทย เอาชนะเกาหลีใต้ไปได้ 2-0 เซตรวด 21-13, 21-4 คว้าเหรียญทองได้อีกสมัย

ทำให้ทัพนักกีฬาไทย ได้มา 7 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน 9 เหรียญทองแดง อยู่อันดับที่ 6 บนตารางเหรียญเอเชียนเกมส์ 2022

อย่างไรก็ตาม ไทย ยังมีลุ้นเหรียญทองในวันต่อๆ ไปจากการแข่งขันกีฬาประเภทอื่น เช่น มวยสากล, แบดมินตัน, กรีฑา, วอลเลย์บอลหญิง เป็นต้น

จากการผลสรุปการแข่งขันนี้ ทำให้ชาวเวียดนามได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก หลังจากที่ไทยคว้า 7 เหรียญทองมาครองได้สำเร็จ ในศึกเอเชียนเกมส์ 2022 โดยความคิดเห็นส่วนใหญ่แสดงให้เห็นถึงความผิดหวังในตัวนักกีฬาทีมชาติของเวียดนามเอง ที่ยังความพร้อมและทักษะในการแข่งขันกีฬาในระดับภูมิภาคเอเชีย อาทิ

- “ดูตารางเหรียญแล้วรู้สึกเศร้าแทนทีมกีฬาเวียดนาม”
- “เพราะเหตุใดในซีเกมส์ เวียดนามมักจะอยู่ในอันดับต้นๆอยู่เสมอ แต่ในเกมระดับเอเชียเวียดนามกลับอยู่ต่ำกว่าไทย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์เสมอเช่นเดียวกัน”
- “ผมไม่แน่ใจว่า นักกีฬาของเราจะสามารถแข่งขันในระดับทวีปได้หรือเปล่า แล้วเราจะไปโอลิมปิกได้อย่างไร”
- “บอกตามตรงนะ ผมคิดว่าเวียดนามไม่มีคุณสมบัติที่เพียงพอ”
- “50 เหรียญทองในซีเกมส์ยังไม่เทียบเท่ากับการได้ 1 เหรียญทองของเอเชียนเกมส์เลย นี่มันคงเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับเวียดนาม ในการคว้าเหรียญทองในการแข่งขันที่ไม่ใช่ระดับหมู่บ้าน”

- “ปัญหาทางด้านกีฬาของเวียดนามยังมีอยู่เป็นเวลานานแล้ว เราไม่มีการลงทุนที่เพียงพอ และที่สำคัญเราไม่สามารถเข้าถึงเงินทุน และทรัพยากรการลงทุนเหล่านั้นได้”
- “ในซีเกมส์ เวียดนามมีอันดับเหนืออินโดนีเซียและไทย แต่ทำไมในระดับเอเชียนเกมส์มันถึงแตกต่างกันมาก”
- “นี่เป็นผลจากการลงทุนน้อย และการลงทุนของเราก็เปล่าประโยชน์”
- “เมื่อออกทะเลใหญ่เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามหาสมุทรกว้างใหญ่ขนาดไหน โดยเฉพาะเมื่อเราเคยชินกับการพายเรือเล่นในหนองน้ำหมู่บ้าน”
- “ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ได้โปรดหยุดรอเวียดนามสักครู่…”

- “อยากจะเปลี่ยนเหรียญทองซีเกมส์ทั้งหมด มาเป็นเหรียญทองเอเชียนเกมส์ ไม่รู้จะได้หรือเปล่า?”
- “วงการกีฬาของเวียดนามควรจะมีการเริ่มต้นลงทุนได้แล้ว”
- “ในเรื่องการกีฬาการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจิตวิทยาของนักกีฬาของบ้านเรานั้นมันอ่อนแอ”
- “ไม่แน่ใจว่าพวกเขาเต็มใจที่จะอุทิศให้กับการกีฬาของประเทศมากน้อยเพียงไหน เหรียญทองคือบทพิสูจน์ที่สำคัญที่สุด”
- “รู้สึกว่าทีมกีฬาเวียดนามในครั้งนี้ ไม่ได้เตรียมตัวเป็นอย่างดีสำหรับการแข่งขันเหมือนกับครั้งที่แล้ว”

- “นักกีฬาหลายคนไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงความหวังรุ่นเหรียญรางวัล”
- “เวียดนามเก่งแค่ระดับหมู่บ้านเท่านั้น”
- “ออกมาสู่ระดับเอเชีย เห็นได้ชัดเลยว่าการอยู่อันดับ 1 ในกีฬาซีเกมส์นั้นมันไม่มีความหมาย”
- “เรารู้ตัวดีว่าระดับของเวียดนามอยู่ในระดับของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
- “เวียดนามจำเป็นต้องทบทวนกลยุทธ์การพัฒนากีฬาของตนให้ครอบคลุมมากขึ้น ตอนนี้เวียดนามกำลังล้าหลังอยู่”

- “เราใส่ใจแต่เหรียญทองซีเกมส์จนมากเกินไป ตอนนี้เหรียญโอลิมปิกก็เลิกฝันไปได้เลย”
- “หลายประเทศมีประชากรน้อยกว่าเวียดนาม แต่พวกเขาก็ได้อันดับที่สูงกว่า และนั่นคือสิ่งที่เราต้องคิดและทบทวน”
- “กีฬาระดับนี้ เป็นตัววัดถึงความสามารถ ของนักกีฬาได้ดีกว่าในระดับซีเกมส์เป็นอย่างมาก เรามาดูกันว่าเวียดนามจะอยู่ที่อันดับไหน”
- “นี่คือระดับที่แท้จริงของกีฬาเวียดนาม”
- “ถ้ายังเป็นแบบนี้ความหวังในการคว้าเหรียญโอลิมปิกคงจะไม่เกิดขึ้น”

- “ระดับเอเชียทำให้เห็นว่า กีฬาของเวียดนามยังอ่อนแอมาก ไม่รู้ว่าเราจะมาลงทุนกับ Tournament อย่างซีเกมส์ทำไม ยิ่งทำแบบนั้นเราก็ไม่สามารถไล่ทันไทยอินโดนีเซียหรือว่ามาเลย์ได้”
- “ผมรู้สึกเสียใจมากกับระดับเอเชียของเรา ถึงแม้ว่าจะได้แชมป์ซีเกมส์ แต่ว่าก็อ่อนแอมากในระดับเอเชีย นี่คือความน่าผิดหวังอย่างแท้จริง”
- “เอเชียนเกมส์ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเรายังตามหลังไทย อยู่มากไม่ต้องพูดถึงประเทศอื่นๆ ในเอเชียเลย”
- “พอไปสนามระดับเอเชีย เวียดนามแพ้ทุกประเทศในภูมิภาค เราเก่งเฉพาะในซีเกมส์เท่านั้น 
ประเทศไทยนำโด่งไปแล้วสำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
- “ประเทศเพื่อนบ้านของเราได้เหรียญทองกันหมดแล้ว แล้วเวียดนามล่ะ?”

- “เวียดนามแข็งแกร่งในกีฬาพื้นบ้าน ในขณะที่กีฬาที่มีการแข่งขันในระดับโอลิมปิกไม่สามารถสร้างผลงานให้ประสบความสำเร็จได้”
- “ได้โปรดเถิดนักกีฬาเวียดนาม โปรดสร้างผลงานอย่างเต็มที่ อย่าให้น้อยหน้าประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย”
- “ไทยและอินโดนีเซียได้เหรียญทองไปแล้ว เราไม่สามารถประเมินอะไรได้เลยจากการแข่งขันกีฬาพื้นบ้านอย่างซีเกมส์”
- “มันทำให้เราไม่รู้ตัวว่าเวียดนามยังไม่ดีพอ”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความคิดเห็นของชาวเวียดนามส่วนนึงเท่านั้น ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่วิพากษ์วิจารณ์ศักยภาพของนักกีฬา สมาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวงการกีฬาของประเทศเวียดนาม ถึงความไม่เตรียมพร้อม การบริหารจัดสรรงบประมาณ และขาดทักษะสำคัญๆ หลายประการ ในการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ

‘เวียดนาม’ ยิ้ม!! ‘ทุเรียน’ ผงาด 9 เดือนแรก ปี 66 แหล่งรายได้ใหญ่สุดในหมู่ ‘ผัก-ผลไม้’ ส่งออก

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, ฮานอย เผยว่า สำนักข่าวท้องถิ่นของเวียดนามรายงานว่า มูลค่าการส่งออกทุเรียนของเวียดนาม ในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ของปี 2023 ทะลุ 1.63 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 5.89 หมื่นล้านบาท) ส่งผลให้ทุเรียนกลายเป็นแหล่งรายได้เงินตราต่างประเทศขนาดใหญ่ที่สุด ในอุตสาหกรรมผักและผลไม้ของเวียดนาม

สำนักงานศุลกากรเวียดนามระบุว่า ตัวเลขข้างต้นสูงกว่าตัวเลขจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 14 เท่า

รายงานระบุว่า ยอดส่งออกทุเรียนแซงหน้าขนุน, แก้วมังกร, แตงโม, กล้วย และลิ้นจี่ จนขึ้นแท่นเป็นอันดับหนึ่ง ครองสัดส่วนร้อยละ 38.7 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของอุตสาหกรรมดังกล่าว

ปัจจุบัน ‘จีน’ ยังคงเป็นตลาดส่งออกทุเรียนที่สำคัญของเวียดนาม โดยเวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกทุเรียน 422 แห่ง และโรงบรรจุหีบห่อทุเรียน 153 แห่งที่ได้รับสิทธิส่งออกทุเรียนสู่จีน

อนึ่ง มูลค่าการส่งออกผักและผลไม้ของเวียดนาม ช่วงเดือนมกราคม-กันยายน สูงถึง 4.21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.52 แสนล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 72.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

เหตุการณ์สังหารหมู่ที่ ‘Mỹ Lai’ โศกนาฏกรรมแห่งสงครามเวียดนาม จากน้ำมือของ ‘ทหารอเมริกัน’ และการปกปิดความผิดโดยกองทัพสหรัฐฯ

‘Mỹ Lai’ เหตุการณ์สังหารหมู่โดยทหารของกองทัพบกสหรัฐฯ

มีภาพยนตร์ Hollywood มากมายที่คอยตอกย้ำให้คนชาติต่าง ๆ ซึ่งเป็นอดีตศัตรู ต้องตกเป็นผู้ร้ายมาโดยตลอด ไม่ว่าภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามต่าง ๆ การก่อการร้าย ฯลฯ โดยผู้ร้ายก็มักจะเป็นต่างชาติ เช่น เยอรมนี, ญี่ปุ่น, โซเวียต, อาหรับ, ตาลีบัน ฯลฯ แม้กระทั่งสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ในขณะนี้ สื่อตะวันตกต่างก็เสนอข่าวเพียงด้านเดียว กล่าวหาให้ร้ายปาเลสไตน์เป็นผู้ร้ายแต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้ง ๆ ที่ชาวปาเลสไตน์เป็นผู้ถูกกระทำโดยกองทัพอิสราเอลแท้ ๆ

เรื่องของการสังหารหมู่ที่ ‘Mỹ Lai’ เป็นการสังหารหมู่ชาวบ้านเวียดนามใต้ที่ไม่มีอาวุธมากถึง 504 คน โดยทหารสังกัดกองทัพบกสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 1968 ในระหว่างสงครามเวียดนาม Mỹ Lai เป็นหมู่บ้านหนึ่งของตำบล Son My ตั้งอยู่ในจังหวัด Quang Ngai ห่างจากตัวจังหวัด Quang Ngai ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 11 กม. พื้นที่นี้ได้รับการขนานนามโดยทหารสหรัฐฯ ว่า ‘Pinkville’ เนื่องจากมีสีแดงที่ใช้บ่งบอกถึงพื้นที่ Mỹ Lai ที่มีประชากรหนาแน่นบนแผนที่ทางทหาร

เมื่อ ‘กองร้อย Charlie’ แห่งกองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 20 กองพลทหารราบที่ 11 มาถึงเวียดนามในเดือนธันวาคม 1967 พื้นที่ ‘Pinkville’ ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘แหล่งซ่องสุม’ ของเวียดกงที่ใช้ในการหลบซ่อน ในเดือนมกราคม 1968 กองร้อย Charlie เป็น 1 ใน 3 กองร้อยที่ได้รับมอบหมายให้ทำลายกองพันที่ 48 ซึ่งเป็นหน่วยรบของเวียดกงที่มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ซึ่งหน่วยดังกล่าวปฏิบัติการในจังหวัด Quang Ngai ตลอดเดือนกุมภาพันธ์และต้นเดือนมีนาคม ทหารสังกัดกองร้อย Charlie ได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดและกับดักไปหลายสิบคน ทั้งยังประสบความล้มเหลวในการสู้รบกับกองพันที่ 48 หลังจากความพ่ายแพ้ของการโจมตีใน ‘ปฏิบัติการตรุษญวน’ (Tet) เวียดกงได้กลับมาใช้ยุทธวิธีการรบแบบกองโจร และพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรงกับกองกำลังสหรัฐฯ

‘ร้อยเอก Ernest Medina’ ผู้บังคับกองร้อย Charlie

หน่วยข่าวกรองของกองทัพสหรัฐฯ ได้รับข้อมูลว่า กองพันเวียดกงที่ 48 ได้เข้าไปซ่อนตัวในพื้นที่ของหมู่บ้าน Mỹ Lai (แต่ในความเป็นจริงแล้วกองพันเวียดกงที่ 48 ได้ฝังตัวในที่ราบสูง Quang Ngai ทางตะวันตก ซึ่งอยู่ห่างออกไปมากกว่า 65 กม.)

ในการบรรยายสรุปเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ‘ร้อยเอก Ernest Medina’ ผู้บังคับกองร้อย Charlie ได้บอกกับทหารของเขาว่า ในที่สุดพวกเขาก็จะได้รับโอกาสสู้รบกับศัตรูที่หลบหนีพวกเขามานานกว่าหนึ่งเดือน ด้วยเชื่อว่า พลเรือนชาวเวียดนามใต้ได้อพยพออกจากพื้นที่ของหมู่บ้าน Mỹ Lai ไปยังเขตเมือง Quang Ngai หมดแล้ว เขาจึงสั่งว่า “ใครก็ตามที่ยังอยู่ใน Mỹ Lai จะได้รับการปฏิบัติเยี่ยงสมาชิกหรือแนวร่วมของเวียดกง ภายใต้กฎการสู้รบเหล่านี้ ทหารมีอิสระที่จะยิงใครหรืออะไรก็ได้”

นอกจากนี้ กองทหารของกองร้อย Charlie ยังได้รับคำสั่งให้ทำลายพืชผลและสิ่งปลูกสร้าง และฆ่าปศุสัตว์ทั้งหมดด้วย

‘ร้อยโท William Calley’ ผู้บังคับหมวดที่ 1 กองร้อย Charlie

ก่อนเวลา 07.30 น. ของวันที่ 16 มีนาคม 1968 ตำบล Son My ถูกปืนใหญ่ของสหรัฐฯ ถล่มอย่างหนัก เพื่อเคลียร์พื้นที่ลงจอดสำหรับเฮลิคอปเตอร์ของกองร้อย Charlie แต่ผลที่เกิดขึ้นจริงกลายเป็นการบังคับพลเรือนชาวเวียดนามใต้ที่ทยอยออกจากพื้นที่ให้กลับไปที่หมู่บ้าน Mỹ Lai เพื่อหาที่กำบัง

ต่อมา หมวดที่ 1 ของกองร้อย Charlie นำโดย ‘ร้อยโท William Calley’ ได้บุกเข้าไปทางตะวันตกของหมู่บ้านขนาดเล็กที่รู้จักกันในชื่อ ‘Xom Lang’ แต่ถูกทำเครื่องหมายระบุว่า เป็นหมู่บ้าน Mỹ Lai บนแผนที่ทางทหารของสหรัฐฯ เวลา 7.50 น. ส่วนที่เหลือของกองร้อย Charlie ลงจากเฮลิคอปเตอร์แล้ว และร้อยโท Calley นำทหารหมวดที่ 1 ไปทางทิศตะวันออกผ่านหมู่บ้าน Mỹ Lai ไป

แม้ว่าพวกเขาจะไม่พบการต่อต้านเลย แต่ทหารหมวดที่ 1 ก็เริ่มสังหารพลเรือนชาวเวียดนามใต้ตามอำเภอใจ ในชั่วโมงถัดมา กลุ่มของผู้หญิง เด็ก และชายสูงอายุก็ถูกล้อมและยิงทิ้งในระยะประชิด นอกจากนั้นแล้วทหารสหรัฐฯ ยังทำการข่มขืนหญิงสาวอีกหลายคน

หมวดที่ 2 ของกองร้อย Charlie เคลื่อนพลขึ้นเหนือจากเขตลงพื้น สังหารพลเรือนชาวเวียดนามใต้ไปอีกหลายสิบคน ในขณะที่หมวดที่ 3 ที่ตามมาก็ได้จัดการเผาทำลายบ้านเรือนที่เหลืออยู่ของหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ และผู้รอดชีวิตที่เหลือถูกกราดยิง เวลา 09.00 น. ร้อยโท Calley สั่งประหารพลเรือนชาวเวียดนามใต้มากถึง 150 คน โดยต้อนคนเหล่านั้นลงไปในคูน้ำ

ทหารสังกัดกองร้อย Charlie จัดการเผาทำลายบ้านเรือนที่ Mỹ Lai

‘จ่า Ron Haeberle’ ช่างภาพของกองทัพบกสหรัฐฯ สังกัดกองร้อย Charlie บันทึกเหตุการณ์ในวันนั้น โดยเขาใช้กล้องถ่ายภาพขาวดำสำหรับบันทึกอย่างเป็นทางการของกองทัพบก แต่ถ่ายเป็นสีด้วยกล้องส่วนตัวของเขา ภาพขาวดำหลายภาพเป็นภาพทหารขณะที่กำลังซักถามนักโทษ ค้นทรัพย์สิน และเผากระท่อม แม้ว่าการทำลายทรัพย์สินจะละเมิดคำสั่งบัญชาการของกองทัพสหรัฐฯ แต่การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องปกติของภารกิจค้นหาและทำลาย และไม่ได้เป็นหลักฐานโดยตรงในกรณีอาชญากรรมสงคราม

ภาพถ่ายสีส่วนตัวของ Haeberle ซึ่งเขาไม่ได้ส่งต่อให้กองทัพบก ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร ‘Cleveland Plain Dealer and Life’ ในเวลาต่อมา ภาพหนึ่งแสดงให้เห็นร่องรอยที่เกลื่อนไปด้วยศพผู้หญิง เด็ก และทารกที่เสียชีวิต และอีกภาพหนึ่งเป็นภาพของผู้หญิงและเด็กที่กำลังหวาดกลัวกลุ่มหนึ่ง ในช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาจะถูกยิง ภาพถ่ายเหล่านี้กระตุ้นการเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามเวียดนาม และจะกลายเป็นชุดภาพเกี่ยวกับสงครามเวียดนามที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด

‘จ่า Hugh Thompson’ นักบินเฮลิคอปเตอร์ผู้ยุติการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai

มีรายงานว่าการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai สิ้นสุดลงหลังจากที่ ‘จ่า Hugh Thompson’ ซึ่งเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกสหรัฐฯ ในภารกิจลาดตระเวน เขาได้นำเฮลิคอปเตอร์ลงจอดระหว่างทหารกับชาวบ้านที่กำลังล่าถอย และขู่ว่าจะเปิดฉากยิงทหารกองร้อย Charlie หากพวกเขายังคงโจมตีพลเรือนชาวเวียดนามใต้ต่อไป

เขาบอกว่า “เราบินไปมาเรื่อย ๆ… และในเวลาไม่นานนักเราก็เริ่มสังเกตเห็นศพจำนวนมากขึ้น ทุกที่ที่เรามอง เราจะเห็นศพเหล่านี้เป็นเด็กทารก เด็กอายุ 2-3 ขวบ และ 4-5 ขวบ ผู้หญิง ผู้ชายที่แก่มาก ไม่ใช่คนในวัยฉกรรจ์แต่อย่างใด” Thompson กล่าวในเวทีการสัมมนา ‘เหตุการณ์ Mỹ Lai’ ที่มหาวิทยาลัยทูเลน เมื่อปี 1994

Thompson และลูกเรือของเขานำผู้รอดชีวิตหลายสิบคนบินไปรับการรักษาพยาบาล ในปี 1998 Thompson และลูกเรืออีก 2 คนได้รับเหรียญรางวัลทางทหาร ซึ่งเป็นเหรียญรางวัลขั้นสูงสุดของกองทัพสหรัฐฯ สำหรับความกล้าหาญที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรบโดยตรงกับศัตรู

‘พันตรี Colin Powell’ ในเวียดนามใต้

เมื่อการสังหารหมู่ Mỹ Lai สิ้นสุดลง มีผู้เสียชีวิต 504 ราย ในบรรดาเหยื่อเป็นผู้หญิง 182 คน ในจำนวนนี้เป็นหญิงตั้งครรภ์ 17 คน และเด็ก 173 คน รวมถึงทารก 56 คน เมื่อทราบข่าวการสังหารหมู่ซึ่งจะทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาว เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่บังคับบัญชากองร้อย Charlie และกองพลที่ 11 จึงพยายามมองข้ามเหตุนองเลือดนี้ทันที

อย่างไรก็ตาม กองทัพบกสหรัฐฯ ก็ได้เริ่มการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการภายใน หนึ่งในผู้สืบสวนภายในของกองทัพสหรัฐฯ เกี่ยวกับการสังหารหมู่ Mỹ Lai คือ ‘พันตรี Colin Powell’ ซึ่งต่อมาได้เป็นประธานคณะเสนาธิการร่วม และรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศภายใต้ ‘ประธานาธิบดี George W. Bush’

ตามรายงานของ Powell ระบุว่า “แม้ว่าอาจมีบางกรณีของการปฏิบัติอย่างโหดร้ายต่อพลเรือนและนักโทษเชลยศึก แต่สิ่งนี้ไม่ได้สะท้อนถึงทัศนคติทั่วไปของทหารทั้งกองพล”

สำหรับข้อกล่าวหาเรื่องความโหดร้ายที่กระทำโดยทหารอเมริกัน Powell กล่าวว่า “ในการหักล้างโดยตรงต่อการแสดงภาพนี้คือความจริงที่ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทหารกองอเมริกากับชาวเวียดนามนั้นดีเยี่ยม” คำกล่าวนี้ ทำให้นักวิจารณ์หลายคนเยาะเย้ยว่าเป็น ‘การล้างบาป’ และกล่าวหาว่า Powell เป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมที่ช่วยกันปกปิดการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai

‘Ronald Ridenhour’ ผู้เปิดเผยเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ Mỹ Lai

การปกปิดการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai ยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งทหารในกองพลที่ 11 ซึ่งเคยได้ทราบรายงานการสังหารหมู่ ซึ่งเขาไม่ได้เข้าร่วม ได้เริ่มรณรงค์เพื่อให้เหตุการณ์ต่าง ๆ กระจ่างขึ้น หลังจากเขียนจดหมายถึง ‘ประธานาธิบดี Richard M. Nixon’ รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศ ประธานคณะเสนาธิการร่วม และสมาชิกรัฐสภาหลายคน โดยไม่มีการตอบกลับ ในที่สุด Ridenhour ก็ให้สัมภาษณ์กับ Seymour Hersh นักข่าวสืบสวนซึ่งรายงานเรื่องนี้ในเดือนพฤศจิกายน 1969 ท่ามกลางความโกลาหลระหว่างประเทศและการประท้วงสงครามเวียดนาม

ซึ่งมีการติดตามการเปิดเผยของ Ridenhour กองทัพบกสหรัฐฯ สั่งให้มีการสอบสวนเป็นพิเศษเกี่ยวกับการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai และความพยายามปกปิดเหตุการณ์ดังกล่าวในภายหลัง

การสอบสวนนำโดย ‘พลโท William Peers’ ซึ่งมีการเผยแพร่รายงานในเดือนมีนาคม 1970 ได้เสนอให้ตั้งข้อหากับเจ้าหน้าที่ทหารไม่น้อยกว่า 28 นายที่เกี่ยวข้องกับการปกปิดการสังหารหมู่ การพิจารณาคดี Mỹ Lai เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1970 ต่อมา กองทัพได้ตั้งข้อหาทหารเพียง 14 คน รวมทั้งร้อยโท William Calley, ร้อยเอก Ernest Medina และพันเอก Oran Henderson ในข้อหาก่ออาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ Mỹ Lai

‘พลตรี Julian Ewell’ เจ้าของฉายา “คนขายเนื้อแห่งสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง”

ทุกคนพ้นผิดยกเว้นร้อยโท Calley ซึ่งถูกตัดสินว่า ‘มีความผิดในข้อหาฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าจากการสั่งยิง’ แม้ว่าเขาจะโต้แย้งว่าเขาเพียงปฏิบัติตามคำสั่งของร้อยเอก Medina ผู้บังคับบัญชาก็ตาม ในเดือนมีนาคม 1971 ร้อยโท Calley ได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต ในฐานะผู้สั่งการในการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai

หลายคนมองว่า ร้อยโท Calley เป็นแพะรับบาป และเขาอุทธรณ์ลดโทษเหลือ 20 ปี และต่อมาได้ลดโทษเหลือเพียง 10 ปี และเขาถูกปล่อยตัวในปี 1974 หลังจากถูกจำคุกเพียง 3 ปีเท่านั้น

การสืบสวนในเวลาต่อมาเผยให้เห็นว่า การสังหารที่ Mỹ Lai ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงเหตุการณ์เดียว ความโหดร้ายอื่น ๆ เช่น การสังหารหมู่พลเรือนชาวเวียดนามใต้ที่ Mỹ Khe ที่คล้ายกันนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ปฏิบัติการทางทหารฉาวโฉ่ที่เรียกว่า ‘Speedy Express’ คร่าชีวิตพลเรือนชาวเวียดนามใต้ไปหลายพันคน จนกระทั่งพลเรือนชาวเวียดนามใต้ที่อาศัยอยู่บริเวนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงได้ให้ฉายา ‘พลตรี Julian Ewell’ ผู้บัญชาการในปฏิบัติการครั้งนั้นว่า “คนขายเนื้อแห่งสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง”

ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 การสนับสนุนการทำสงครามของสหรัฐอเมริกาในเวียดนามลดน้อยลง เนื่องจากฝ่ายบริหารของ ‘ประธานาธิบดี Richard M. Nixon’ ที่ได้ดำเนินนโยบาย ‘การทำให้เป็นเวียดนาม’ (Vietnamization) ซึ่งรวมถึงการถอนกำลังทหารและโอนการควบคุมการปฏิบัติการภาคพื้นดินไปยังกองทัพเวียดนามใต้ ในบรรดากองทหารอเมริกันที่ยังอยู่ในเวียดนาม ล้วนแล้วแต่มีขวัญกำลังใจต่ำ มีความโกรธแค้นและความคับข้องใจสูง มีการใช้ยาเสพติดและแอลกอฮอล์เพิ่มในหมู่ทหารมากขึ้นเรื่อย ๆ และรายงานอย่างเป็นทางการในปี 1971 ประมาณการว่าทหารสหรัฐฯ 1 ใน 3 หรือมากกว่านั้นติดยาเสพติด

การเปิดเผยเรื่องราวของการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai ทำให้ขวัญกำลังใจของทหารอเมริกันตกต่ำลดลงไปอีก เมื่อบรรดาทหารอเมริกันในเวียดนามใต้ต่างพากันสงสัยว่า ผู้บังคับบัญชาของพวกเขาปกปิดความโหดร้ายอื่นใดอีก

ในสหรัฐฯ ความโหดร้ายของการสังหารหมู่ Mỹ Lai และความพยายามของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในการปกปิดเหตุการณ์ดังกล่าว ยิ่งทำให้ความรู้สึกต่อต้านสงครามรุนแรงขึ้น และเพิ่มความขมขื่นต่อการปรากฏตัวของกองทัพสหรัฐฯ ในเวียดนาม ต่างจากเหตุการณ์สงครามอื่น ๆ ที่ทั้งศัตรูและอดีตศัตรูของสหรัฐฯ มักกลายเป็นผู้ร้ายในภาพยนตร์ Hollywood ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วน Mỹ Lai เหตุการณ์สังหารหมู่ชาวบ้านเวียดนามใต้ 504 ศพ โดยทหารของกองทัพบกสหรัฐฯ ไม่เคยถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ Hollywood เลย จะมีก็เพียงแต่ถูกนำมาสร้างเป็นสารคดีเท่านั้น

และในการแสดง The Lieutenant เป็นร็อกโอเปราที่มีทั้งหนังสือ ดนตรี และเนื้อร้องโดย Gene Curty, Nitra Scharfman และ Chuck Strand ได้เสนอเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นศาลทหารของร้อยโท William Calley ในช่วงสงครามเวียดนาม โดยแสดงบนเวทีละครบรอดเวย์ ในปี 1975 และ ‘Mỹ Lai Four’ ซึ่งเป็นภาพยนตร์นั้นถูกสร้างโดยผู้สร้างและทีมงานชาวอิตาลี ไม่ใช่ผู้สร้างและทีมงานชาวอเมริกันจาก Hollywood แต่อย่างใด

มีการสร้างอนุสรณ์สถานเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ Mỹ Lai ณ ตำบล Sơn Mỹ และสวนสันติภาพ Mỹ Lai ในโอกาสครบรอบ 30 ปีของเหตุการณ์สังหารหมู่ เมื่อ 16 มีนาคม 1998 สวนสันติภาพนี้อยู่ห่างจากสถานที่เกิดเหตุราว 2 กม. (1 ไมล์)

เจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ ผู้เขย่าสถาบันการเงินเวียดนาม โกงมโหฬาร 4 แสนล้านบาท มหาศาลที่สุดในอาเซียน!!

‘เวียดนาม’ ประเทศที่ถูกมองว่าเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตาที่สุดในอาเซียน แต่ก็ยังมีสิ่งที่ยังฉุดรั้งเศรษฐกิจของเวียดนาม นั่นก็คือ ‘การคอร์รัปชันในระบบ’

และเมื่อไม่นานมานี้ ก็เกิดคดีอื้อฉาวเขย่าภาพลักษณ์เวียดนามอีกครั้ง เมื่อมีการเปิดโปงคดีคอร์รัปชัน ยักยอกทรัพย์ในสถาบันการเงินของเวียดนาม ด้วยยอดเงินสูงถึง 1.24 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 4.4 แสนล้านบาท) ทุบสถิติทุกคดีคอร์รัปชันในเคยเกิดขึ้นในย่านอาเซียน ซึ่งมากกว่าคดีอื้อฉาวการยักยอกเงินจากกองทุน 1MDB ของมาเลเซีย ที่มีมูลค่าความเสียหายราว 4 พันล้านเหรียญ ชนิดไม่เห็นฝุ่น

ซึ่งวงเงินมหาศาลนี้ ถูกยักย้ายถ่ายเทโดยเศรษฐินีผู้ทรงอิทธิพลของเวียดนามเพียงคนเดียว และทำมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี โดยไม่มีใครตรวจสอบจนกระทั่งวันนี้

ไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์นี้ เกิดจากความฉลาดมากของเจ้าสัวหญิง หรือความฉลาดน้อยของเจ้าหน้าที่รัฐฯ แต่วันนี้ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะได้ออกคำสั่งจับกุม ‘Trương Mỹ Lan’ (เจือง หมี ลาน) อภิมหาเศรษฐินีเวียดนาม ประธานบริษัท Van Thinh Phat Group หนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ในข้อหายักยอกเงินจากธนาคาร ‘Saigon Commercial Bank’ (SCB) กว่า 1.24 หมื่นล้านเหรียญ มาตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี

‘Trương Mỹ Lan’ ถือเป็นนักธุรกิจสาวชาวเวียดนาม เชื้อสายจีน ปัจจุบัน อายุ 67 ปี เคยขึ้นทำเนียบเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเวียดนาม ครอบครัวของเธอประกอบธุรกิจหลากหลายประเภท ทั้งร้านอาหาร โรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ มีบริษัทจดทะเบียนในเครือกว่า 1,000 แห่ง และได้ทำสินเชื่อไว้กับ Saigon Commercial Bank ในวงเงินสูงถึง 4.3 หมื่นล้านเหรียญ 

แต่ทั้งนี้ Trương Mỹ Lan และ บริษัทของเธอเริ่มมีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวพันกับการคอร์รัปชัน และให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐฯ หลายครั้ง โดยเริ่มตัังแต่ปี 2014 มีข่าวว่าเธอได้จ่ายสินบนให้แก่อดีตรัฐมนตรีกระทรวงความมั่งคงสาธารณะถึง 1 ล้านเหรียญ เพื่อขอสิทธิพิเศษในการใช้พื้นที่ท่าเรือแห่งใหม่ในไซง่อน 

ต่อมาปี 2016 ชื่อของเธอ และ ‘Eric Chu Nap Kee’ สามีชาวฮ่องกงของเธอ มีชื่ออยู่ในเอกสาร ‘Panama Paper’ แฟ้มคดีเปิดโปงการฉ้อโกง และหลบเลี่ยงภาษีระดับโลก จากการจดทะเบียนบริษัทแต่ในนามชื่อ ‘EurAsia ID Concept Group’ ในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน

และเมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2022 Trương Mỹ Lan ก็ถูกจับกุมและถูกดำเนินคดีฉ้อโกง พร้อมกับเหล่าผู้บริหารด้านการเงินของบริษัทในเครือ Van Thinh Phat Group อีกจำนวนหนึ่ง จากกรณีการออกหุ้นกู้ของบริษัท Van Thinh Phat Group ตั้งแต่ช่วงปี 2008 - 2020 จำนวน 25 ฉบับให้แก่นิติบุคคล และประชาชนทั่วไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทางการเวียดนามก็ได้ตั้งข้อหาอภิมหาเศรษฐินีแห่งเวียดนามอีกหลายกระทงในข้อหาฉ้อโกง และยักยอกเงินจากธนาคาร Saigon Commercial Bank 1.24 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งเทียบเท่ากับ GDP ของประเทศเวียดนามถึง 6% และถือเป็นคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดในย่านอาเซียน

มหากาพย์การยักยอกเงินจากธนาคารของเธอ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2011 เมื่อ Trương Mỹ Lan เริ่มซื้อหุ้นของธนาคารเวียดนาม 3 แห่งมาสะสมไว้ ได้แก่ Saigon Commercial JSC, Vietnam Tin Nghia และ De Nhat ผ่านนอมินีถึง 27 ราย และถือครองในนามของตนเองเพียง 4% ตามกฎหมายที่กำหนดไว้ว่า “บุคคลธรรมดาสามารถถือหุ้นของธนาคารได้ไม่เกิน 5%”

หลังจากนั้นเพียง 1 ปี เธอควบรวมกิจการ 3 ธนาคารเข้าไว้ด้วยกันภายใต้ชื่อธนาคาร ‘Saigon Commercial Bank’ (SCB) โดยรักษาระดับหุ้นในนามตัวเองเพียง 4% แต่หากรวมหุ้นในส่วนที่ถือผ่านนอมินีแล้ว เท่ากับว่า Trương Mỹ Lan ถือหุ้นของ SCB ไว้ถึง 91.5% 

หลังจากนั้น เธอเริ่มใช้อำนาจผ่านหุ้นที่เธอมีแต่งตั้งคนใกล้ชิดเข้าไปนั่งในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร ที่ทำให้บริษัทในเครือ Van Thinh Phat Group ของเธอได้วงเกินกู้จากธนาคารอย่างไม่จำกัด และไม่มีการตรวจสอบเอกสารใดๆ แม้กระทั่งการเบิกเงินจากเช็คที่ไม่มีที่มา หรืออนุมัติวงเงินกู้เกินกว่าราคาประเมินโครงการก่อสร้าง หรือออกเงินกู้ให้แก่บริษัทผี ที่จดทะเบียนแต่ในนาม ทั้งในและต่างประเทศหลายแห่ง

ว่ากันว่า เมื่อใดก็ตามที่เธอต้องการเงินก้อนใหญ่ เธอจะเรียกผู้บริหารระดับสูงออกมาประชุมนอกสำนักงานใหญ่ของธนาคาร ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติ หรือเพียงแค่ต่อสายตรงไปที่ผู้จัดการธนาคาร ก็สามารถกู้เงินฉุกเฉินได้ทันทีโดยไม่ต้องมีเอกสารหลักฐานใดๆ 

และพบว่า ช่วงปี 2012 - 2022 เธอได้กู้เงินจากธนาคารที่เธอเข้าไปถือหุ้นส่วนใหญ่เป็นสัดส่วนถึง 93% ของวงเงินสินเชื่อที่ธนาคารปล่อยกู้ในช่วงเวลานั้น โดยเธอได้จ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางเวียดนาม เพื่อให้เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ กับรายงานบัญชีอันผิดปกติของธนาคาร SCB

แต่แล้วพฤติกรรมของเจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ก็ถูกขุดคุ้ยและเปิดโปง จากผลพวงของแคมเปญกวาดล้างคอร์รัปชันของรัฐบาลเวียดนาม มีการสั่งปลด ลงโทษข้าราชการระดับสูง และคนระดับรัฐมนตรีมากมายในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา จนนำไปสู่การจับกุมดำเนินคดี Trương Mỹ Lan ด้วยข้อหาคอร์รัปชันและฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในภูมิภาคอาเซียน

อีกทั้งยังเผยให้เห็นถึงจุดอ่อนและความหละหลวมของระบบธนาคาร และการตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยภาครัฐ จนเกิดความเสียหายหลักแสนล้านบาท แต่ที่เสียหายหนักกว่านั้น คือความศรัทธาต่อสถาบันการเงินทั้งระบบของเวียดนาม ที่อาจต้องชำระและล้างบางเป็นการด่วน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top