Tuesday, 21 May 2024
เวียดนาม

ส่องความคิดเห็น ‘ชาวเวียดนาม’ หลังนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มแรกเข้าไทย

หลังจากเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2566 ประเทศไทยได้มีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มแรกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ก็พลันกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่ประเทศเพื่อนบ้านชาวเวียดนามที่มีทั้งชื่นชม เหน็บแนม และตัดพ้อประเทศตนที่ไม่สามารถดึงคนจีนเข้าประเทศได้เช่นเดียวกันไทย 

โดยในสาระสำคัญที่ชาวเวียดนามได้พูดคุยกันในโลกโซเชียลนั้น เป็นการขยายความจากประเด็น ‘ป้ายแบนเนอร์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย’ ที่ได้มีการเขียนข้อความต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มนี้ ซึ่งชาวเวียดนามดูเหมือนจะอึ้ง และให้ความสนใจกับป้ายนี้เป็นอย่างมาก

กระทู้จุดติดในโลกโซเชียลของชาวเวียดนามเริ่มขึ้นจากการลงรูปนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มแรก ที่ได้เดินทางมายังประเทศไทย พร้อมกับแคปชันข้อความเชิงคำถามที่ว่า “นักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทย 269 คนแรก ลองดูว่าคนไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนอย่างไร?” คำตอบที่ได้คือ บนแบนเนอร์ต้อนรับของไทยมีการแสดงความใกล้ชิดอย่างถึงที่สุด ด้วยคำพูดที่ว่า “จีน-ไทย คือ พี่น้องครอบครัวเดียวกัน ยินดีต้อนรับคนจีนกลับบ้าน” ซึ่งเสียงส่วนใหญ่มองไปในภาพเดียวกันว่า นี่เป็น ‘กลยุทธ์ขั้นเซียน’ ของไทยในการโกยหัวใจนักท่องเที่ยวจีนได้อย่างมาก

โดยหลังจากโพสต์นี้ถูกนำเสนอออกไป ก็ได้มีชาวเวียดนามได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นไว้ต่าง ๆ นานา ดังนี้...

>> ในมุมบวกต่อการต้อนรับครั้งนี้ของไทย...
1. “นี่คือตลาด 1,400 ล้านคน” 
2. “ประเทศไทย ไม่ได้มีดีแค่ในทีวี” 

3. “คนจีนคิดถึงประเทศไทย เวลาพวกเขาต้องการไปท่องเที่ยว พวกเขาก็จะนึกถึงเมืองไทย ในขณะเดียวกัน ภาพลักษณ์ของเวียดนามยังแย่มาก คนจีนที่มาเที่ยวเวียดนาม มีคนหนุ่มสาวเป็นจำนวนน้อย การส่งเสริมการท่องเที่ยวของเราไม่ค่อยได้ผล”

4. “เนื่องจากเมืองไทยมีสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ ราคาก็ถูก คนจีนก็เลยชอบมาก”  
5. “ประเทศไทยมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศจีน ทุก ๆ ปี จะมีการโปรโมตการท่องเที่ยวไทยที่ประเทศจีน” 

6. “ต้องขอบอกว่านักท่องเที่ยวจีนนั้น มีการใช้จ่ายสูงกว่าพวก Backpacker ที่มักจะนอนโรงแรมราคาถูก หนุ่มสาวชาวจีนที่เดินทางมาก็ดูดีมาก” 
7. “คนจีนใช้จ่ายอันดับ 1 อยู่ตลอดเวลา คนตะวันตกนั้นขี้โม้!”

ผกก.ตม.จว.เลย พร้อมชุดสืบสวนปราบปราม จับ 3สเหงียนเวียดนาม และ 2 ลาว เข้ามาวีซ่าท่องเที่ยว แต่แอบทำงานในไทยไม่ได้รับอนุญาต

ไม่มีใบอนุญาตทำงาน แย่งงานคนไทย ไม่เสียภาษีรายได้ทำงานให้ไทย และมาอยู่ราชอาณาจักรไทยเกินกำหนด หลบหนีเข้าเมือง เป็นภัยต่อความมั่นคงของไทย  วันนี้ 9 มี.ค. 2566 เวลา 09.00 น. พ.ต.อ.ชนะพณ สุวรรณศรีนนท์ ผกก.ตม.จว เลย แถลงข่าวการจับกุมต่างชาติ โดยสั่งการของ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์  สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ  นุชนารถ, พล.ต.ต.เกติ์ฉกาจ นิลประดับ ผบก.ตม.4 , พ.ต.อ.กฤษฎากรณ์  กลิ่นเกษร รอง ผบก.ตม.4,พ.ต.อ.มณุวัฒน์  กอสนาน รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.ชนะพณ สุวรรณศรีนนท์  ผกก.ตม.จว.เลย บก.ตม.4, , พ.ต.ท.หญิง อารมณ์  ขวัญเนตร  รอง ผกก.ตม.จว.เลย บก.ตม.4 และ ว่าที่ พ.ต.ท.โสภณ  ศิลารัตน์  สว.ตม.จว.เลย บก.ตม.4 มอบหมายให้ เจ้าหน้าที่งานสืบสวนปราบปราม บูรณาการกำลังร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ได้ร่วมกันจับกุมตัว

       
1. MR.VAN  THONG  DAU อายุ 35 ปี   สัญชาติเวียดนาม 
2. MR.DUC  CANH    PHAM อายุ 39 ปี   สัญชาติเวียดนาม        
3. MR.ANH TUAN     DAU อายุ 28 ปี   สัญชาติเวียดนาม 

‘เขมร’ โม้แหลก!! หลังขายลิขสิทธิ์ ‘ซีเกมส์’ ไปกว่า 50% ‘สื่อเวียดนาม’ ชี้!! ขายราคานี้ ระวังโดนกรรมตามสนอง

จากกรณีที่ประเทศกัมพูชา เจ้าภาพมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งแรก จัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 5-17 พฤษภาคมนี้ ประกาศขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันรายการนี้เป็นครั้งแรก จากเดิมที่ปกติแล้วจะมีเพียงค่าธรรมเนียมราว 5000-10000 เหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น

โดยมีการเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดจากประเทศไทย เป็นมูลค่าสูงสุดถึง 8 แสนเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 28 ล้านบาท พร้อมอ้างว่าที่มาของเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับมูลค่าการตลาด และการเจรจา พร้อมอ้างว่า กัมพูชา ไม่ได้เป็นผู้ตั้งราคาแต่อย่างใด

ขณะที่ล่าสุด วัธ จำเริญ เลขาธิการคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ เผยว่ามีทั้งหมด เผยว่า มี 5 ชาติ ที่ตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดซีเกมส์ เรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย และกัมพูชา

พร้อมกันนี้ยังระบุว่านี่คือความสำเร็จของการขายลิขสิทธิ์ครั้งนี้ว่า "เราประสบความสำเร็จในเบื้องต้น เกือบ 50 เปอร์เซ็นต์จาก 10 ประเทศ แม้ยังไม่ถึงช่วงเวลาการแข่งขัน เท่ากับว่า กัมพูชา ได้รับการสนับสนุนถึงครึ่งจากอาเซียน"

แม้มีความพยายามไม่เปิดเผยมูลค่าลิขสิทธิ์ของชาติต่าง ๆ ที่ซื้อไป แต่รายงานระบุว่าประเทศสิงคโปร์ใช้เงินซื้อในราคา 5 แสนเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 17.5 ล้านบาท

ทั้งนี้สื่อในเวียดนามได้รายงานข่าวดังกล่าว ซึ่งมีแฟนกีฬาเข้าไปตำหนิการกระทำของ กัมพูชา เป็นอย่างยิ่ง ว่าผิดธรรมเนียมการเป็นเจ้าภาพ และการแข่งขันซีเกมส์ 2025 ที่ประเทศไทย เป็นเจ้าภาพ กัมพูชา และชาติอาเซียนอื่น ๆ นี่แหละที่จะเดือดร้อน หากประเทศไทย คิดมูลค่าการขายลิขสิทธิ์เหมือนซีเกมส์ 2023

พาท่องเวียดนาม ในวันที่ 'ศิลปินไทย' ชนะใจวัยรุ่นเหงียน  จนแบรนด์ดังต่างๆ ต้องรีบดึงมาช่วยโปรโมตสินค้า

(31 มี.ค.66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'จิรวัฒน์ เดชาเสถียร' ได้โพสต์ให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปินไทยที่มีต่อวัยรุ่นเวียดนามไว้อย่างน่าสนใจว่า...

ดีใจ ได้เห็นพลังใบ บน บิลบอร์ด

อันนี้น่าจะเป็นศิลปินไทยที่มีอิทธิพลต่อวัยรุ่นเวียดนามพอควร ถึงทำให้ Traveloka จับมาเป็น Presenter ในใจกลางกรุงโฮจิมินห์ซิตี้

ท่ามกลางความวุ่นวายของงานสุพรรณหงส์เมืองไทย อาจารย์จิเลยได้ไปงานพรมแดง วันแห่งความภูมิใจของ Singer Vietnam แทน

กับสาวน้อยคนแรกผู้มีอัลบั้มชุดที่ 2 Ciyopia song นามว่า Phung Khan Linh แฟนๆ FC ของเธอก็น้อยไม่เบา ส่วนใหญ่ก็วัยกะเตาะ พอเธอรู้ว่าจารย์มาจากกรุงเทพ เธอรีบบอกเลยว่า I Love Bangkok

‘เวียดนาม’ โวย!! ‘จีน’ สั่งห้ามทำประมงฝ่ายเดียวในทะเลจีนใต้ ชี้ ละเมิดอธิปไตยประเทศ-ทวีความขัดแย้งในเขตน่านน้ำ

เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 66 ทางเวียดนามได้ออกมาคัดค้านคำสั่งฝ่ายเดียวของจีน ที่ห้ามการทำประมงในทะเลจีนใต้ โดยยืนยันว่า ‘เป็นการละเมิดอธิปไตยของเวียดนาม’ พร้อมกับเรียกร้องไม่ให้จีนทำให้สถานการณ์ยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น

จีนออกคำสั่งห้ามทำประมงในทะเลจีนใต้มาตั้งแต่ปี 2542 โดยให้เหตุผลว่าคำสั่งห้ามดังกล่าวซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 16 สิงหาคม มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการทำประมงอย่างยั่งยืนและปรับปรุงระบบนิเวศทางทะเล ซึ่งเวียดนามก็ออกมาคัดค้านคำสั่งของจีนตลอดเวลาเช่นเดียวกัน

คำสั่งห้ามดังกล่าวครอบคลุมน่านน้ำ 12 องศาเหนือของเส้นศูนย์สูตร รวมถึงกินเข้าไปยังพื้นที่บางส่วนของเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (อีอีแซด) ในพื้นที่ 200 ไมล์ทะเลของเวียดนาม ทั้งยังรวมถึงหมู่เกาะพาราเซล ซึ่งเป็นดินแดนที่ทั้งจีนและเวียดนามต่างอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ดังกล่าว

‘พงษ์ภาณุ’ ชี้สงครามการค้า ‘สหรัฐฯ - จีน’ พาอุตฯ หลัก แห่ย้ายฐานการผลิต ชี้!! ‘อินโดฯ - เวียดนาม’ ที่มั่นใหม่ แนะ!! ‘ไทย’ เร่งคว้าโอกาสก่อนตกขบวน

สงครามการค้า 'จีน-สหรัฐฯ' ระเบียบโลกสั่นคลอน โลกาภิวัฒน์ถดถอย อินโดนีเซียและเวียดนามได้ประโยชน์เต็มๆ จากนโยบายต่างประเทศที่ชาญฉลาด แล้วไทยจะยืนอยู่ตรงไหน???

(30 เม.ย.66) นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้ให้มุมมองต่อเศรษฐกิจของโลกและภูมิภาคอาเซียน ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 66 โดยระบุว่า...

จากสงครามการค้าที่เกิดขึ้นระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก สหรัฐอเมริกา และจีน ซึ่งสหรัฐฯ มองว่า จีน จะก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งสำคัญทั้งในด้านเทคโนโลยีและการทหาร เพราะฉะนั้น ทางสหรัฐฯ จึงได้แบนสินค้าจากจีน ด้วยการอ้างเหตุผลสารพัด ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จนถึงปัจจุบัน แม้จะเปลี่ยนผู้นำคนใหม่แล้ว สถานการณ์ก็ยังคงเหมือนเดิม 

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ไม่เพียงแต่การแบนสินค้าจากจีนเท่านั้น แต่ในช่วงที่ผ่านมา แบรนด์สินค้าจากฝั่งสหรัฐฯ ที่เคยมีฐานการผลิตใหญ่อยู่ในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็น แอปเปิล ไนกี้ และอีกหลายแบรนด์ ก็ได้เริ่มทยอยย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน เพราะมองว่า ฐานการผลิตในจีนเริ่มไม่มีความมั่นคง ไม่มีความปลอดภัย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีระบบการปกครองที่เป็นเผด็จการ ธุรกิจในประเทศถูกควบคุมโดยรัฐบาลกลาง มีความสุ่มเสี่ยงมากขึ้น

แน่นอนว่า หากแบรน์ใหญ่ ๆ เหล่านี้ เลือกฐานการผลิตประเทศใด ย่อมสร้างรายได้ และสร้างงานให้กับประเทศนั้น ๆ ได้อย่างมหาศาล ซึ่งจะเห็นได้ว่า หลาย ๆ ประเทศในอาเซียนต่างพยายามนำเสนอจุดแข็งของประเทศเพื่อดึงดูเม็ดเงินการลงทุนจากแบรนด์สินค้าเหล่านั้น

นายพงษ์ภาณุ ระบุว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ มองว่ามีอยู่ 2 ประเทศในกลุ่มอาเซียนที่จะได้รับผลประโยชน์อย่างสูงมากกว่าชาติอื่น ๆ นั่นก็คือ อินโดนีเซีย และเวียดนาม 

เหตุที่มองเช่นนั้น เพราะว่า ประธานาธิบดี โจโค วิโดโด หรือ โจโควี ของอินโดนีเซีย ที่เป็นผู้นำประเทศมา 10 ปี และกำลังจะครบเทอมในปีหน้า เป็นคนที่วางตำแหน่งประเทศอินโดนีเซียได้ยอดเยี่ยมมาก...

ข้อแรก วางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เปิดเสรีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเต็มที่

ข้อสอง เป็นประเทศที่มีนโยบายการต่างประเทศที่เป็นอิสระ ที่สำคัญตัวผู้นำประเทศยังสามารถคุยได้กับทุกฝ่าย นับเป็นผู้นำประเทศเพียงไม่กี่คนที่ได้พบปะพูดคุยกับผู้นำถึง 4 ประเทศ ประกอบด้วย โจ ไบเดน, สีจิ้นผิง, วลาดีมีร์ ปูติน และ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ในปีที่ผ่านมา น่าจะเป็นคนเดียวที่มีโอกาสพบผู้นำ 4 คนภายในปีเดียว สะท้อนให้เห็นว่า ผู้นำประเทศอินโดนีเซียคนนี้ ได้รับการยอมรับมากเพียงใด

เจ้าแม่โลจิสติกส์ ออกโรงเตือน  ให้รีบสามัคคี ก่อนที่ไทย จะไม่มีที่ยืนในเวทีโลก

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล เจ้าแม่แห่งวงการโลจิสติกส์ อภิมหาเศรษฐีคนหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศเวียดนาม จากประสบการณ์ในการทำธุรกิจ และได้ไปเห็น การลงทุน การพัฒนาเศรษฐกิจ รวมทั้งปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ ของ

ประเทศเวียดนามแล้ว ก็เห็นถึงแนวโน้มที่ประเทศเวียดนาม จะดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนจากทั่วโลก และหากประเทศไทยยังมัวแบ่งฝ่ายทะเลาะกัน ขาดความรักความสามัคคีกันในชาติ เราก็อาจจะถูกประเทศเวียดนามพัฒนาแซงหน้าไปได้

โดยนางสาวจรีพร ได้โพสต์ ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว มีใจความว่า “เพิ่งกลับจากเวียดนาม โอกาสของการลงทุนยังมีอีกมาก คนไทยเราเลิกทะเลาะกันได้แล้ว ก่อนที่จะไม่มีที่ยืนในเวทีโลก”

3 ปัจจัยที่ทำให้ไทยด้อยกว่า 'เวียดนาม' 'การเมือง-ข้อตกลงการค้า-วัยทำงานสะพัด'

หลังจากได้ดูผลสรุปตารางเหรียญ กีฬาซีเกมส์ 2023 ที่ประเทศกัมพูชา เมื่อวันพุธที่ 17 พ.ค. 2566 โดยอันดับ 1 ได้แก่ เวียดนาม มี 136 เหรียญทอง 105 เหรียญเงิน 118 เหรียญทองแดง รวม 359 เหรียญ ส่วนอันดับ 2 ไทย มี 108 เหรียญทอง 96 เหรียญเงิน 108 เหรียญทองแดง รวม 312 เหรียญ

อาจจะเป็นคนละเรื่องเดียวกันที่ตอนนี้ พัฒนาการหลายด้านของเวียดนามเริ่มจะทำให้ไทยตุ้ม ๆ ต่อม ๆ

หากย้อนไปเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ประเทศเวียดนามเคยขึ้นชื่อเป็นประเทศที่ยากจนอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ทุกวันนี้เวียดนามกำลังกลายเป็นประเทศแห่งโอกาส จนบางครั้งก็ถูกมองว่าเสือตัวใหม่แห่งเอเชีย และนี่คือเรื่องที่น่าห่วงต่อสถานภาพของประเทศไทย ในวันที่ยังทะเลาะกันเองไม่เลิก

เชื่อหรือไม่ว่า ในวันนี้ หากมองกลุ่มประเทศในอาเซียนที่น่าลงทุนนอกจากประเทศไทยเรา ชื่อชั้นของ เวียดนาม กำลังเนื้อหอมอย่างแรง ภายใต้เศรษฐกิจเวียดนามที่ทะยานเติบโตรอบด้าน มีแรงหนุนจนจีดีพีประเทศโตทะลุ 13% ไปแล้วเมื่อปี 2564 ส่วนปี 2565 ก็เติบโตมากถึง 8% 

เหตุผลสำคัญที่ทำให้เวียดนามเปลี่ยนแปลงได้เช่นนั้น มาจากการปรับเปลี่ยนแผนปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมือง มาเป็นแบบระบบเศรษฐกิจตลาด แบบเชิงสังคมนิยม หรือ 'โด่ยเหมย' ด้วยการเพิ่มบทบาทของเอกชน แล้วลดบทบาทของภาครัฐลง ทำให้เศรษฐกิจเวียดนาม พลิกมาเติบโตอย่างรวดเร็ว 

ผลลัพธ์ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี จากเดิมที่ก่อนหน้านี้เวียดนามเน้นส่งออกสินค้าเกษตกรเป็นหลัก แต่ทุกวันนี้ภาพเปลี่ยนไป เวียดนามกลายเป็นผู้ส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจในประเทศมากกว่า 67,000 แห่ง มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้เป็นสากลมากขึ้น รวมทั้งมีแรงงานในภาคอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้เวียดนามเนื้อหอมขึ้นมาเลยทีเดียว

ทั้งนี้ หากมองในแง่นักลงทุนว่าทำไมต้องเลือกมาลงทุนเวียดนาม ก็จะมีปัจจัยสำคัญ ได้แก่...

>> ปัจจัยแรก เพราะการเมืองของเวียดนามมีเสถียรภาพ เนื่องจากมีพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เป็นองค์กรที่มีอำนาจ สูงสุดเพียงพรรคการเมืองเดียว 

>> ปัจจัยที่ 2 สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนที่น่าสนใจ เวียดนามมีข้อตกลงทางการค้ากับหลายประเทศ มากกว่า 15 ฉบับ ครอบคลุมไปกว่า 50 ประเทศ

>> และอีกปัจจัยสำคัญ คือ ค่าแรงยังต่ำกว่าไทยมาก เฉลี่ยไม่ถึง 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อชั่วโมง

นอกจากเวียดนามจะมี 3 สิ่งใหญ่ ๆ ที่ไทยไม่มีแล้ว หากลองเทียบดูตอนนี้กลุ่มประชากรไทยส่วนใหญ่ ก็กำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงวัย ในขณะที่ประชากรเวียดนามส่วนใหญ่ อยู่ในกลุ่มคนทำงานอีกด้วย

สรุปได้ว่า หากประเทศไทยไม่อยากถูกเวียดนามแซงในทุก ๆ มิติของการเป็นหนึ่งแห่งอาเซียน ก็คงต้องเร่งเครื่องให้แรง เริ่มตั้งแต่สร้างเสถียรภาพการเมืองให้เข้มแข็ง ขณะเดียวกันก็คงต้องสร้างแรงดึงดูดนักลงทุนด้วยการให้สิทธิประโยชน์ที่ดูดใจนักลงทุนให้มาก ส่วนเรื่องสังคมสูงวัย เรื่องนี้เป็นโจทย์ใหญ่ ที่น่าหนักใจต่อไทยจริง

‘Apple Store’ เตรียมเปิดสาขาใหม่ 15 แห่งในเอเชียแปซิฟิก ด้าน ‘เวียดนาม’ หลุดโผ ไม่มีรายชื่ออยู่ในโปรเจกต์ใหญ่ครั้งนี้

‘เวียดนาม’ ไม่ได้อยู่ในแผนของ Apple ในการเปิดตัวร้านค้าใหม่ 15 แห่ง ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตั้งแต่บัดนี้จนถึงปี 2027

เมื่อไม่นานนี้ สํานักข่าวบลูมเบิร์ก ของสหรัฐฯ รายงานว่า บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ มีแผนที่จะสร้าง ปรับปรุง หรือย้ายที่ตั้งโรงงาน 15 แห่ง ในประเทศจีน, ญี่ปุ่น 5 แห่ง, อินเดีย 3 แห่ง, เกาหลีใต้ 2 แห่ง, มาเลเซีย และออสเตรเลียที่ละ 1 แห่ง

ซึ่งหมายความว่า มาเลเซียจะเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศต่อไป ที่จะได้รับ Apple Store รองจากสิงคโปร์และไทย

เมื่อเดือนที่แล้ว Apple ได้เปิดตัวร้านค้าออนไลน์สําหรับลูกค้าชาวเวียดนาม และนักวิเคราะห์คาดว่า สิ่งนี้จะนําไปสู่การเปิดร้านค้าอิฐและปูนในประเทศ

Apple ได้แสดงความสนใจเพิ่มขึ้นในตลาดเวียดนามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อปีที่แล้วได้แต่งตั้งผู้จัดการประเทศเป็นครั้งแรกและตั้งช่อง YouTube อย่างเป็นทางการ

นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงเวียดนามว่า บรรลุการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักในรายงานทางการเงิน ในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว มีร้าน Apple มากกว่า 520 แห่งใน 26 ประเทศ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top