Saturday, 5 July 2025
เลือกตั้ง66

‘ครูพรีมมี่’ หนุน การศึกษาออนไลน์แก่ผู้สูงวัย ใช้ต่อยอดวิชาชีพ สร้างรายได้เลี้ยงตัวเอง สอดคล้องนโยบายเรียนรู้ตลอดชีพ ของ ‘ภท.’

(26 เม.ย. 66) ที่ห้องเรียนศาลาอเนกประสงค์ริมน้ำ วัดทองบน นายนรเสฏฐ์ เธียรประสิทธิ์ หรือ ‘ครูพรีมมี่’ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 ยานนาวา-บางคอแหลม เบอร์ 10 พรรคภูมิใจไทย ได้เข้าร่วมกิจกรรมจัดการเรียนการสอนกับกลุ่มนักเรียนผู้สูงวัย ในโรงเรียนผู้สูงอายุยานนาวา วัดทองบน ถนนพระราม 3 ซึ่งเป็นโรงเรียนที่รับรองโดยสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เขตยานนาวา ตามหลักสูตรการศึกษาตลอดชีวิต

ครูพรีมมี่ได้ใช้เวลาช่วงเว้นว่างจากกิจกรรมนันทนาการให้ห้องเรียนรู้ เพื่อขอโอกาสแนะนำตัวและนำเสนอนโยบาย อันเป็นที่ถูกใจชาวสูงวัยเขตยานนาวาอย่างมาก เพราะครูพรีมมี่ อาศัยความเป็น ‘ครู’​ สอนหนังสือมาก่อน จึงสามารถเรียกร้องความสนใจของผู้ใหญ่ในห้องเรียนได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเมื่อได้รับไมค์มา ครูพรีมมี่ก็เริ่มต้นด้วยประโยคที่คุ้นเคยทันทีว่า “หากพวกเรากำลังสบาย จงตบมือพลัน”​ ผู้สูงวัยทุกท่านก็พร้อมรับมุกโดยพร้อมเพรียง ตบมือเสียงดัง ๆ ตามด้วยเสียงหัวเราะด้วยความเป็นกันเอง ก่อนที่ครูพรีมมี่จะขอให้ทุกคนชูมือขึ้นทั้งสองข้างและถามไปว่า “ครูพรีมมี่เบอร์อะไร” แน่นอนว่าเหล่าผู้สูงวัยต่างประสานเสียงโดยพร้อมเพรียงกันว่า  “เบอร์10”

ครูพรีมมี่ได้แนะนำตัวเองว่า จบการศึกษาปริญาตรี BBA จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากนั้นได้ทำงานกับกลุ่มซีพี ที่กรุงปักกิ่ง และไปศึกษาต่อปริญญาโท MBA สาขาการเงิน ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และได้เปิดโรงเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษให้กับคนจีน รวมทั้งได้เปิดคอร์สอบรมคุณครูสอนภาษาอังกฤษโรงเรียนอนุบาลที่ปักกิ่ง นับเป็นคนไทยคนแรกที่เข้าไปเปิดธุรกิจด้านการศึกษาในประเทศจีน ต่อมาบังเอิญว่ามีผู้บริหารกระทรวงการศึกษาธิการของไทยในขณะนั้น ได้ไปศึกษาดูงานที่สาธารณรัฐประชาชนจีน และได้มีโอกาสพบกับครูพรีมมี่ จึงได้เชิญชวนครูพรีมมี่กลับมาช่วยประเทศไทยด้านการศึกษา เพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาจีนในไทย

“ผมโตมากับครอบครัวการศึกษา ที่บ้านทำโรงเรียนอนุบาล ได้ถูกปลูกฝังมาตลอดว่าต้องช่วยเหลือสังคม สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ก็คือการศึกษา พอเรามาเห็น เราก็รู้สึกว่าสิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยพัฒนาได้คือ การศึกษา วันนี้ยิ่งได้มาเห็นพี่ ๆ (ครูพรีมมี่อ้อนผู้สูงวัยขอเรียกพี่)​ ยังมาเรียนกันพร้อมหน้าแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้เชื่อมั่นในความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งตรงกับนโยบายของพรรค

วันนี้รู้สึกประทับใจมากที่เข้ามาเห็นคุณครูกำลังสอนเรื่องภัยคุกคามด้านออนไลน์ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคนมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ได้ให้ความรู้เรื่องออนไลน์กับผู้สูงวัย ซึ่งเหมือนกับที่ผมตั้งใจมาสนับสนุนเรื่องการศึกษาเท่าเทียมอยู่แล้ว โดยสอดคล้องกับนโยบายพรรคภูมิใจไทย ที่ผลักดันการศึกษาตลอดชีพผ่านการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ซึ่งจะพัฒนาหลักสูตรให้เข้มแข็งและตอบโจทย์กับทุกช่วงวัย โดยเฉพาะให้เหมาะกับผู้สูงวัยด้วย เพราะวัยนี้การเรียนแบบในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวนั้น อาจจะไม่คล่องตัว เพราะวัยนี้แล้วอาจจะมีภาระ มีงานมีการติดพัน ต้องค้าต้องขาย ไม่สะดวกมาเรียน แต่เชื่อว่าทุกคนอยากได้โอกาสพัฒนาตนเอง ฉะนั้น ถ้ามีหลักสูตรออนไลน์ จึงจะทำให้เรียนที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ จะทำธุระอะไรอยู่ก็สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ เพราะเป็นหลักสูตรออนดีมานด์ ขอเพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือก็สามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม” ครูพรีมมี่ กล่าว

ความสำคัญคือ การสร้างหลักสูตร ไม่ได้มุ่งหมายเพียงให้มีแต่ความรู้​ แต่หวังผลให้นำไปใช้ปฏิบัติได้จริง ประกอบอาชีพ หรือสร้างอนาคตได้

“​นโยบายภูมิใจไทยตั้งเป้าหมายจะสร้างผู้ประกอบการนักธุรกิจออนไลน์ให้ได้ถึง 9 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งผู้สูงวัยชาวยานนาวาจะเป็นส่วนหนึ่งในนี้ด้วย การเรียนให้ได้มีความรู้ขึ้นมาก็ดี แต่เราจะต้องคิดต่อไปว่า จะสอนจะอบรมอย่างไรให้ทุกคนนำไปใช้ได้จริง ยกตัวอย่าง สอนให้ทำอาหาร ทำของขายแล้ว อาจจะไม่พอ ต้องมีคอร์สอบรมสอนให้รู้จักขายสินค้า นำเสนอขายแบบอินฟลูเอนเซอร์ หรือจะเป็นยูทูบเบอร์ ต้องทำอย่างไร ลองคิดดูผู้สูงวัยบางท่านอาจจะไม่มีงานทำเพราะเกษียณแล้ว แต่อาจจะสามารถไปรีวิวสินค้า หรือ มีทักษะทำอาหารขนมเก่งอยู่แล้ว แต่อาจจะเรียนเพิ่มเรื่องขายของออนไลน์ เพื่อจะเพิ่มช่องทางการตลาดให้ได้”​ ครูพรีมมี่ กล่าว

คิดก่อนจรดปากกา 14 พฤษภา เลือกตั้งประเทศไทย  ผลลัพธ์ครั้งนี้ อาจเปลี่ยนบทบาทไทยต่อเมียนมาไปอีกนาน

การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นกับเมืองไทยในวันที่ 14 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ อาจจะไม่ได้แค่ชี้ชะตาอนาคตของประเทศไทยเพียงอย่างเดียว แต่อาจชี้ชะตาต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนด้วย โดยเฉพาะเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา ซึ่งเอย่ากล้าพูดเลยว่าการเลือกตั้งหนนี้มีผลชี้ชะตาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศอย่างแน่นอน

อย่างที่ใครๆ ก็เห็นว่าที่ผ่านมามีพรรคการเมืองบางพรรคพยายามเป็นตัวตั้งตัวตีในการต่อต้านกองทัพเมียนมา ซึ่งแน่นอนหากพรรคการเมืองดังกล่าวได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล มั่นใจได้ว่าฝ่ายต่อต้านกองทัพเมียนมาจะต้องพยายามดึงรัฐบาลไทยเข้ามาอยู่ในเกมเพื่อคว่ำบาตรรัฐบาลเมียนมาอย่างแน่นอน โดยเอย่าขอแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 2 ส่วนคือ 'ภายในประเทศ' และ 'ระหว่างประเทศ'

*** ภายในประเทศ : จะเห็นได้ว่าท่าทีของพรรคการเมืองที่สนับสนุนประชาธิปไตยเหล่านั้น หากได้เป็นรัฐบาลคงเอื้อต่อกลุ่มนอกประเทศของตัวเอง โดยที่ผ่านมาฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตย ก็ใช้ไทยเป็นศูนย์บัญชาการนอกประเทศมาตลอด แต่ไม่เปิดเผย

ดังนั้น หากรัฐบาลใหม่ขึ้นมา เอย่าเชื่อว่ากลุ่มนี้คงไม่ต้องปิดบังตัวเองอีกต่อไป และคงตั้งฐานปฏิบัติการในไทยอย่างเป็นกิจลักษณะได้เต็มที่ เพราะไทยพร้อมสรรพด้วย NGO ที่พร้อมเป็นแหล่งฟอกเงิน แหล่งจัดหาทุนและอาวุธ รวมถึงหน่วยรักษาพยาบาลที่ใช้คำอ้างสวยหรูว่าเปิดมาเพื่อมนุษยธรรมแต่เบื้องหลังคือรักษาผู้บาดเจ็บจากการรบฝั่งเมียนมา

ต่อมาในประเด็นสังคมหากรัฐบาลไทยเปิดรับผู้ลี้ภัยเต็มที่ให้โอกาสเช่นเดียวกับที่เยอรมนีให้แก่ผู้อพยพชาวซีเรียก็คงไปดูว่า สถิติอาชญากรรมที่พุ่งพรวดขึ้นในเยอรมนีจนถึงขั้นที่คนเยอรมนีรับไม่ได้ แต่คนไทยอาจจะรับได้ก็เป็นได้ ตามคำที่ติดปากคนไทย ว่า “คนไทยลืมง่าย”

***ในด้านระหว่างประเทศ : เชื่อได้ว่าไทยและเมียนมาอาจจะลดความสัมพันธ์ลง และทำให้คนไทยเดินทางเข้าเมียนมายากขึ้นก็เป็นได้ เช่นเมียนมาอาจจะให้คนไทยต้องทำวีซ่าเหมือนเดิมเวลาเข้าเมียนมาก็เป็นได้

ในด้านเศรษฐกิจ หากไทยสนับสนุนการรบจนกะเหรี่ยงชนะและประกาศแยกการปกครองได้ ไทยเราหากจะส่งออกสินค้าไปขายเมียนมาหรือนำเข้าเมียนมาผ่านด่านแม่สอดต้องเสียภาษี 2 ต่อ คงต้องตั้งคำถามตัวโตๆว่า “ไทยได้อะไรจากสิ่งนี้”

‘หมอวรงค์’ เปรียบ!! เรื่องสถาบันฯ หากไม่ ‘ศรัทธา’ ก็ควรต้อง ‘เคารพ’ อย่าเป็นแบบตะวันตก ‘ไม่ศรัทธา-ไม่เคารพ’ พระพุทธรูป แถมยังหมิ่น!!

เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 66 ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน บนเวที ‘THE STANDARD DEBATE: เลือกตั้ง 66 ENDGAME เกมที่แพ้ไม่ได้’ ซึ่งจัดโดย THE STANDARD ที่มีตัวแทน 10 พรรคการเมืองร่วมประชันวิสัยทัศน์นั้น

ในช่วงหนึ่งของดีเบต ซึ่งดำเนินมาสู่ ‘Round 3 : The Last Stand ตอบชัด วัดจุดยืน’ กับคำถามที่ว่า...

“นพ.วรงค์ มีความคิดอย่างไร เมื่อคนรุ่นใหม่ก็มีสังคมในฝันแบบหนึ่งต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ผู้ใหญ่ก็มีสังคมที่ยึดถืออีกแบบหนึ่ง และสองความคิดนี้กำลังปะทะกันอย่างรุนแรงในสังคม ภาพฝันของสังคมที่จะสามารถอยู่ร่วมกันได้ในแบบของคุณเป็นอย่างไร และการเสนอเพิ่มโทษ ม.112 จะทำให้ภาพฝันนั้นเป็นจริงได้อย่างไร”

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี และหัวหน้าพรรคไทยภักดี ก็ได้ตอบว่า “จริงๆ แล้วผมว่า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะฝัน เกี่ยวกับเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย นี่คือ ‘หัวใจหลัก’ นอกจากเคารพกฎหมายแล้ว ทุกคนต้องเคารพศรัทธาซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น องค์พระพุทธรูปของศาสนาพุทธ ที่ต่างชาติเขาอาจจะไม่ได้มีความเข้าใจ เขาก็นำมาล้อเล่น แต่คนไทยมีความรู้สึกว่าคุณกำลังละเมิดความศรัทธาของเรา ก็เหมือนกันกับความศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ผู้อยู่เบื้องสูง ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมากว่า 700 ปี เราต้องเคารพซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น วันนี้เราอยู่ร่วมกันในรูปแบบนี้ ภายใต้มิตินี้ ถ้าน้องๆ ทุกคนบอกว่าเคารพสถาบันฯ ต้องการให้สถาบันฯ มีความเข้มแข็ง ถ้าในเมื่อเรามีความรู้สึกจริงใจต่อสิ่งเหล่านี้ ผมว่าเราสามารถเจรจา พูดคุยกันได้ และมันเคารพซึ่งกันและกันได้”

นพ.วรงค์ กล่าวต่ออีกว่า “แต่ในความเป็นจริง วันนี้เราต้องยอมรับว่า มีน้องๆ กลุ่มหนึ่งกระทำผิดกฎหมาย แม้แต่การไปทำโพล ผมไปอ่านบทความของการทำโพลมา ก็ได้เห็นคำถามชัดเจน ผมขออ่านให้ฟังเลยแล้วกัน ด้วยความบริสุทธิ์ใจ อย่างเช่นคำถามที่ถามว่า “คุณเห็นด้วยหรือไม่? ที่รัฐบาลอนุญาตให้พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจได้ตามอัธยาศัย” นี่เป็นการทำโพลที่บิดเบือน เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ อยู่ภายใต้กฎหมาย แต่การทำโพลแบบนี้จงใจบิดเบือน เพื่อที่จะทำลายสถาบันฯ

ผู้สมัครบางคนถูกถอดสายน้ำเกลือแล้ว  ลุ้น!! ‘สุนทร’ ชิงกันเข้าวินกับ ‘น้องบีท’

แม้ชื่อของ เชาวศิลป์ บุญประเสริฐ (รองโข่ง) จะปรากฏเป็นกระแสอยู่ระยะหนึ่งกับการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.เขต 8 นครศรีธรรมราช (ฉวาง-นาบอน-ช้างกลาง-พิปูน) ในนามพรรคเพื่อไทย และก็ต้องยอมรับความจริงว่า กระแสพอใช้ได้ จนโพลบางสำนักยกให้อยู่อันดับ 1 เมื่อบวกกับกระแสเพื่อไทยทั่วประเทศ ยิ่งส่งแรงบวกให้รองโข่งมากขึ้น

แต่ก็ต้องเข้าใจตรงกันนะว่า ภาคใต้ไม่ใช่ฐานที่มั่นของเพื่อไทย แม้ ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ จะลงไปคลุกอยู่ในพื้นที่นครศรีธรรมราชหลายครั้ง แต่ไม่น่าจะช่วยอะไรก็ได้มากนัก แต่คะแนนพรรคคงมีทุกเขต

แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน การเมืองก็เปลี่ยน ฝ่ายคู่แข่งงัดกลยุทธ์ ขุดวิชาขึ้นมาใช้ น่าจะทำให้กระแสเสียงของรองโข่งแผ่วลงไปบ้าง เมื่อกระสุนไม่พอ กระแสก็ไม่เกิด ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่า การออกเดินพบปะพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งแบบ ‘หามรุ่งหามค่ำ’ และค่ำไหนนอนนั้น (นอนวัด) ของ ‘สุนทร รักษ์รงค์’ ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ คู่ไปกับการตั้งวงพูดคุยแลกเปลี่ยนในสไตล์ที่ถนัด ยิ่งทำให้กระแสเสียงของสุนทรค่อยๆ ขยับตัวมาดีขึ้น พูดได้ว่าน่าจะอยู่อันดับ 1 แล้วเวลานี้

ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งความพร้อมของพรรค และตัวผู้สมัคร สุนทร บุกหนักทั้งงานจัดตั้งแกน งานด้านสื่อ และโครงการสุนทรนอนวัด 21-25 เมษายน ที่เดินเท้าขอคะแนนถึงบ้านตอนกลางวัน ถึงเวลากลางคืนจัดเวทีเสวนาที่วัด เพื่อรับฟังปัญหา ความต้องการของชาวบ้าน และรับฟังความคิดเห็น เพื่อนำไปเสนอพรรคเพื่อทำนโยบายเชิงพื้นที่ 

ถ้าสุนทรใช้วิชาที่ถนัดแบบเต็มแม๊ก เดินเท้าทุกชุมชน เพื่อขอคะแนนเสียง เปิดเวทีย่อย-เวทีใหญ่ ให้ครบทั้ง 5 อำเภอ 

พรรคภูมิใจไทย มุกดาวรรณ ม้าตีนต้นเริ่มแผ่ว น่าจะมีปัญหาเรื่องท่อน้ำเลี้ยงร่างกายขาดน้ำเกลือ ย่อมอ่อนเพลียเป็นธรรมดา

กล่าวสำหรับเขตนี้ ก็ไม่ควรมองข้าม ‘น้องบีท’ ปุณณ์สิริ บุณยเกียรติ จากประชาธิปัตย์ ลูกสาวชินวรณ์ ก็เชื่อว่า ชิณวรณ์จะต้องออกแรงหนัก เพื่อดันน้องบีทให้แจ้งเกิดทางการเมือง โดย ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ ในฐานะเคยเป็น ส.ส.เขตนี้มาก่อนก็ต้องจับมือ ‘ชิณวรณ์’ ช่วยน้องบีทอีกแรง เพื่อเดินไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า แต่ต้องแก้ให้ได้กับกระแสไม่เอาประชาธิปัตย์ ไม่เอาการสืบทอดสู่ทายาท เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า 

ปราศรัย ‘ก้าวไกล’ ทำพิษ!! ห้าแยกลาดพร้าวอ่วม หลังย้ายจากหน้าห้าง ลงฟุตพาท แฟนส้มรุกล้ำถนน

พรรคก้าวไกล เปิดเวทีปราศรัยหน้าห้าง ด้านวัยรุ่นสายส้มแห่มาฟัง จนต้องย้ายเวทีลงฟุตพาท หลังเจ้าหน้าที่ห้างให้ย้ายสถานที่ เหตุเข้าใจผิดคิดว่าเป็นม็อบ ทำการจราจรในย่านห้าแยกลาดพร้าวสาหัส

(26 เม.ย.66) ช่วงเย็นวันนี้ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว' ระบุถึงการตั้งเวทีปราศรัยของพรรคก้าวไกลที่หน้าเซ็นทรัลลาดพร้าวว่า...

การตั้งเวทีพรรคก้าวไกลในครั้งนี้มีอุปสรรคเล็กน้อย โดยเจ้าหน้าที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว ได้เข้ามาเจรจาให้ใช้เสียงไม่รบกวนผู้อื่น เพราะเข้าใจว่าเป็นการชุมนุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่ตรงลานหน้าห้าง เนื่องจากเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล และไม่มีการขอใช้ล่วงหน้า แต่ทีมงานพรรคได้เข้าเจรจา และตกลงกันได้ ทำให้ย้ายเวทีจากลานหน้าห้าง เป็นฟุตพาทข้างป้ายรถเมล์ ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะแทน

‘ศิลัมพา’ ซัด ‘พท.’ ชี้แจงนโยบายแจกเงินดิจิทัลไม่เคลียร์ ชี้!! ทำ ปชช.สับสน โว ‘คนละครึ่ง’ ของ ‘บิ๊กตู่’ ยังเข้าใจง่ายกว่า

(26 เม.ย. 66) น.ส.ศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ ผู้สมัคร ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย หลังจากการลงพื้นที่จนถึงขณะนี้ว่า ชาวบ้านยังคงสับสนกับนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย ว่าตกลงแล้วจะแจกเป็นรูปแบบใดกันแน่ เพราะการอธิบายของแกนนำพรรคเพื่อไทยแต่ละคน ก็พูดไม่เหมือนกัน และชาวบ้านบอกว่าเข้าใจยาก

รวมถึงกรณีล่าสุด ที่นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ออกมาอธิบาย เกี่ยวกับ การนำเงินดิจิทัล ไปเปลี่ยนเป็นเงินสดของร้านค้าต่าง ๆ โดยอธิบายว่า พรรคเพื่อไทย ตั้งเงื่อนไขเอาไว้ว่า คนที่จะขึ้นเงินได้จะต้องเป็นร้านค้าในระบบภาษีเท่านั้น ถ้าเป็นร้านค้าที่ไม่อยู่ในระบบภาษีก็ขึ้นเงินไม่ได้ ซึ่งเมื่อข่าวออกไปร้านค้ารายย่อยในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายของชำ ร้านขายอาหารตามสั่ง ร้านข้าวแกงต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำไมเงื่อนไขยุ่งยาก และถ้าเป็นแบบนี้คงจะไม่เข้าร่วมโครงการแน่ ๆ และเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการคนละครึ่งของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ยังเข้าใจง่ายกว่าและมีประโยชน์กว่าชัดเจน

ในขณะที่ชาวบ้านทั่วไป บอกว่า หากเปรียบเทียบการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย กับบัตรลุงตู่หรือบัตรสวัสดิการรัฐ ที่จะให้เงิน 1,000 บาทนั้น แม้ตัวเลขของพรรคเพื่อไทยจะดูเยอะกว่า แต่ก็ดูยุ่งยากซับซ้อนและไม่แน่ใจว่าจะทำได้จริงหรือไม่ ในขณะที่บัตรลุงตู่นั้น ชาวบ้านเห็นแล้วว่าใช้ได้ง่ายและได้จริง ยิ่งเพิ่มเงินเป็น 1,000 บาททุกเดือน ยิ่งดีกว่าเดิมและมั่นใจมากขึ้น

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ชาวบ้านวิจารณ์โครงการนี้ หลังจากที่ได้อ่านข่าวที่รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยออกมาอธิบายนั้น ชาวบ้านบอกว่า ถ้าร้านค้าย่อยที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษีจะไม่สามารถขึ้นเงินได้ ก็เท่ากับว่าเงินทั้งหมดปลายทางจะไปอยู่ที่นายทุนใหญ่หรือเจ้าสัว อย่างที่พรรคเพื่อไทยชอบหยิบมาโจมตีโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มาตลอดนั่นเอง

น.ส.ศิลัมพา ย้ำว่า นอกจากความสับสนที่ทำให้ชาวบ้านไม่เข้าใจ และร้านค้าทั่วไปที่เป็นร้านเล็ก ๆ ไม่ต้องการเข้าร่วมแล้ว ในส่วนของเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการนี้อีกกว่า 5.6 แสนล้านนั้น ทางแกนนำพรรคเพื่อไทย ก็ยังไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจนว่าจะหาเงินมาจากแหล่งใด เพียงแต่บอกลอย ๆ ว่า หาเงินได้แน่นอนเท่านั้น เช่นนี้แล้วจะให้เชื่อได้อย่างไรว่านโยบายที่พรรคเพื่อไทยนำมาหาเสียงนั้น จะสามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริง ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่มองว่า เป็นนโยบายขายฝันที่นำมาใช้เพื่อหวังคะแนนเสียงให้ชนะการเลือกตั้งเท่านั้น

‘มาดามเดียร์’ ช่วย ‘ศิลป์ชัย’ ผู้สมัคร ส.ส.หาเสียงที่นครศรีฯ ขอแรงหนุนจาก ปชช. กลับมาเทคะแนนให้ ‘ปชป.’ ยกจังหวัด

(27 เม.ย. 66) ที่ตลาดอำเภอสิชล น.ส.วทันยา บุนนาค หรือ ‘มาดามเดียร์’ ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมด้วย นายชัยชนะ เดชเดโช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 5 (อำเภอจุฬาภรณ์ อำเภอร่อนพิบูลย์ และอำเภอลานสกา) หมายเลข 4 ลงพื้นที่ตลาดอำเภอสิชล ช่วยหาเสียงสนับสนุนให้นายศิลป์ชัย สุนทรมัฏฐ์ ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 10 (อำเภอขนอม อำเภอสิชล และอำเภอท่าศาลา) หมายเลข 1 ซึ่งได้รับการต้อนรับจากประชาชนอย่างอบอุ่น และเข้ามาขอถ่ายรูปจำนวนมาก

‘สนธิรัตน์’ ขึ้นเวทีดีเบต ชู บัตรประชารัฐ ช่วยผู้มีรายได้น้อย ย้ำ!! เจตนารมณ์ดูแลกลุ่มเปราะบางให้ตั้งตัวได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี

(27 เม.ย.66) ที่สถานีโทรทัศน์ PPTV กรุงเทพฯ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ร่วมเวทีดีเบต ‘เลือกตั้ง 66 ฟังเสียงคนไทย’ ที่จัดขึ้นโดยสถานีโทรทัศน์ PPTV มีตัวแทนพรรคการเมืองต่าง ๆ เข้าร่วมดีเบต โดยนายสนธิรัตน์ ได้ตอบคำถามเรื่องการยกระดับรายได้ และแก้ปัญหาความจนของประชาชนว่า บัตรประชารัฐเกิดจากทีมที่พวกตนร่วมทำกัน ซึ่งเจตนารมณ์คือต้องการช่วยหลือกลุ่มเปราะบาง ผู้มีรายได้น้อย ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อปี ซึ่งผู้ที่มีรายได้น้อย รัฐฯ ต้องดูแล

อย่างไรก็ตาม เจตนาจริง ๆ ของบัตรประชารัฐไม่ใช่การนำเงินมาแจก แต่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่มีข้อมูล ไม่รู้ว่าคนจนอยู่ไหน การทำบัตรประชารัฐทำให้มีฐานข้อมูล ทำให้เรารู้ว่าคนจนอยู่ที่ไหน เพื่อจะได้แก้ปัญหาให้พี่น้องได้ถูกต้อง แต่ก็ต้องใส่แรงจูงใจเข้าไป ไม่ใช่แค่ให้เขาเข้ามาเฉย ๆ ซึ่งเงิน 300 บาทก็มีความหมาย หากพรรคพลังประชารัฐได้เดินหน้าเรื่องนี้ต่อ เราต้องการแก้ปัญหาความยากจน โดยเพิ่มเงินเป็น 700 บาท พร้อมทั้งนำฐานข้อมูลดังกล่าวมาแก้ความยากจน โดยทำให้พี่น้องประชาชนมีโอกาสในการสร้างรายได้ ให้พ้นปีละ 1 แสนบาท ซึ่งเท่ากับว่าเรามีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนในการทำให้พ้นความยากจน ให้พี่น้องได้มีอาชีพ ตั้งตัวได้ อยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีคุณภาพชีวิตที่ดี

‘หมอเปรม’ เผย ชาวบ้านเมิน ‘แจกเงินดิจิทัล’ เหตุซับซ้อน-ยุ่งยาก ลั่น!! พร้อมเทใจให้ ‘บัตรลุงตู่’ เพราะใช้ง่าย จับต้องได้จริง

(27 เม.ย.66) ดร.นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ผู้สมัคร ส.ส ขอนแก่นเขต 11 หมายเลข1 พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้กล่าวถึงบรรยากาศในการลงพื้นที่หาเสียงของตนเอง ว่า ตอนนี้ชาวบ้านให้ความสนใจในนโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ และมีการนำมาเปรียบเทียบกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คู่เปรียบเทียบที่ชาวบ้านสนใจมากที่สุดคือ นโยบายบัตรสวัสดิการพลัส ของพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือ ‘บัตรลงตู่’ ที่จะเพิ่มเงินเป็น 1,000 บาททุกเดือน กับนโยบาย ‘แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท’ ของพรรคเพื่อไทย

โดยยอมรับว่า ในช่วงแรกที่ พรรคเพื่อไทย มีการเปิดตัว นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้กับคนอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคน สร้างความฮือฮาให้กับชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างมาก ด้วยตัวเลขที่สูงถึง 10,000 บาท ทำให้นโยบายดังกล่าว ได้รับการกล่าวขานอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีข่าวการท้วงติงจากฝ่ายต่าง ๆ ถึงความเป็นไปได้ และผลกระทบของโครงการนี้ ไม่ว่าจะเป็นจากนักวิชาการ หรือสื่อมวลชน แม้แต่อดีตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ในประเด็นเรื่องที่มาของเงินงบประมาณที่จะใช้สูงถึง 560,000 ล้านบาท ว่าจะเอามาจากไหน และที่สำคัญ คือเรื่องของรูปแบบของเงินที่จะจ่ายให้กับประชาชน และวิธีการใช้ ที่มีความซับซ้อนยุ่งเหยิง และการอธิบาย ของแกนนำเพื่อไทยแต่ละครั้งที่ออกมาพูด ก็แตกต่างกันไปจนชาวบ้านรู้สึกสับสน

รวมถึง กรณีล่าสุดที่รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล ออกมาบอกว่า ร้านค้ารายย่อยที่เข้าร่วมโครงการ ถ้าหากขายของได้แล้วจะเอาเงินดิจิทัลไปขึ้นเงินหรือเปลี่ยนเป็นเงินสดนั้น จะต้องเข้าไปอยู่ในระบบภาษีด้วย ก็ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ด้านลบต่อโครงการนี้เป็นอย่างมาก เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ร้านค้ารายย่อยในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นร้านของชำ ร้านขายอาหารตามสั่งต่าง ๆ ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี เพราะเป็นเพียงร้านค้าที่มีทุนร้อนไม่มาก ค้าขายประทังชีวิตไปวัน ๆ นึง ซึ่งถ้าหากขายสินค้าให้กับผู้เข้าร่วมโครงการนี้แล้ว และเอาไปขึ้นเป็นเงินสดไม่ได้ จากการสอบถามเจ้าของร้านค้าส่วนใหญ่ก็บอกว่า จะไม่เข้าร่วมโครงการนี้แน่นอน เพราะเพราะยุ่งยากเกินไป

และอีกอย่างหนึ่ง ก็ไม่ได้มีทุนมากมาย ที่จะใช้หมุนเวียน เมื่อขายของได้ก็อยากจะเอารายได้มาใช้จ่าย ซึ่งถ้าฟังตามเงื่อนไขของโครงการที่การนำพรรคเพื่อไทยมาบอกว่า ขายของแล้วจะขึ้นเงินได้ต้องเป็นร้านที่อยู่ในระบบภาษีเท่านั้น แบบนี้มีปัญหาแน่นอน เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ เป็นร้านของชาวบ้านธรรมดา ไม่ได้มีระบบบัญชีอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราว ขายอยู่ขายกินไปวัน ๆ และถ้าเงื่อนไขยุ่งยากแบบนี้คงไม่เอาด้วยแน่ ๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top