Sunday, 19 May 2024
สำนักข่าวการศึกษาออนไลน์สำหรับทุกคน

นนร.พีรวัส ชูศักดิ์ (ลัคกี้) | Click on Clever EP.14

บทสัมภาษณ์ รายการ Click on Clever EP.14
นนร.พีรวัส ชูศักดิ์ (ลัคกี้) นักเรียนนายร้อย จปร. ได้รับทุนกองทัพบกศึกษาต่อ “West Point” สหรัฐอเมริกา โรงเรียนเตรียมทหาร ที่ดีที่สุดในโลก

เจาะลึก!!! นักเรียนทหารยุคใหม่ ที่ 1 จปร. คว้าทุนเรียนต่อ “WEST POINT” สหรัฐอเมริกา วางแผนมั่นคง ในอาชีพและการเงิน

Q: แนะนำตัวหน่อยค่ะ

A:  ผมชื่อ พีรวัส ชูศักดิ์ อายุ 18 ปี เป็นนักเรียนนายร้อย อยู่ชั้นปีที่ 1 กำลังจะไปเรียนต่อโรงเรียนนายร้อยที่อเมริกาครับ

Q: ที่ 1 สอบเข้า จปร. มีเคล็ดลับการ “สอบเข้าเตรียมทหาร” อย่างไร ?

A: เตรียมทหารจะมีการสอบทั้งหมด 4 เหล่า คือ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจ ผมก็ไปสอบทั้ง 4 เหล่าเลยครับ การสอบจะมีสองรอบ รอบแรกเป็นรอบวิชาการ โดยจะคัดคนมาก่อน จากนั้นคนที่เข้าเกณฑ์จะได้เข้ามาสอบรองสอง ซึ่งเป็นรอบทดสอบร่างกาย ตอนปีผมที่สมัครก็มีมาสอบเป็นหมื่นเลยนะครับ ของทหารบกรับแค่ประมาณ 290 คน สำหรับการสอบรอบแรกจะเป็นการแยกสอบ ให้โอกาสทุกคนในการเลือกเหล่า ส่วนในรอบสองจะเลือกได้แค่เหล่าเดียว 

สอบรอบแรกเป็นรอบวิชาการ มีทั้งวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อังกฤษ ไทย สังคม ตอนแรกผมได้ที่ 2 ครับ แต่พอมารอบทดสอบร่างกายเขาเอาคะแนนมาคิดด้วย พอรวมแล้วก็ได้ที่ 1 ของทหารบกครับ ส่วนของเหล่าอื่นในรอบวิชาการ สอบทหารอากาศได้ที่ 2 ตำรวจที่ 2 ทหารเรือที่ 7 ครับ

ข้อสอบใช้ความรู้ของ ม.ต้น และ ม.4 เพราะเขาให้เกณฑ์สอบได้ตั้งแต่ ม.4 ขึ้นไป ผมอยู่ม.4 ก็ไปสอบ ผมไปศูนย์หนังสือจุฬาฯ ไปซื้อหนังสือแนวข้อสอบเก่าๆ ของเตรียมทหารมา แล้วก็มีเรียนพิเศษที่ต่างๆ เตรียมตัวพอสมควร หลายเดือนอยู่เหมือนกัน  

ของโรงเรียนทหารจะไม่เหมือนสอบเข้าโรงเรียนต่างๆ ตรงที่มันจะมีทดสอบร่างกายด้วยครับ ซึ่งก็มีผลต่ออันดับและการสอบเข้า เหมือนเพื่อนผมคนนึงตอนสอบเข้าได้อันดับท้ายๆ ที่เขาจะเรียก แต่สุดท้ายเขาสอบเข้าได้แซงคนอื่น เพราะคะแนนร่างกายเขาได้เต็ม ระหว่างที่ผมเตรียมตัวเพื่อที่จะสอบเข้านะครับ แน่นอนว่าต้องทำโจทย์ด้านวิชาการอยู่แล้ว ทำไปเรื่อยๆ สอบถามรุ่นพี่ถึงเทคนิค และอย่าลืมเรื่องร่างกาย ผมก็วิ่งทุกวัน มีทดสอบดึงข้อ อันหลักเลย กระโดดไกล วิ่งเก็บของ ว่ายน้ำ อะไรแบบนี้ครับ

Q: ก่อนสอบ มีตารางการเตรียมตัวทั้งด้านร่างกายและวิชาการในหนึ่งวันอย่างไรบ้าง?

A: การเตรียมตัวส่วนใหญ่ผมจะทำพวกออกกำลังกายช่วงเย็น เพราะผมมีนิสัยอย่างนึงคือถ้าเหนื่อยจะไม่อยากอ่านหนังสือ ช่วงเช้าบ่ายก็จะอ่านหนังสือ ทำโจทย์เต็มที่เลย พอตอนเย็นก็ไปเน้นกับการออกกำลังกาย ต้องมี Passion ในตัวเอง อยากที่จะสอบเข้าได้ อยากที่จะทำได้ดี มันก็จะมีแรงกระตุ้นตัวเองว่าวันนี้ต้องอ่านหนังสือ วันนี้ต้องออกกำลังกาย 

แต่ผมโชคดีอย่างหนึ่งที่ครอบครัวสนับสนุน เวลาที่ผมมีความรู้สึกว่าวันนี้ไม่อยากอ่านแล้ว พ่อแม่ก็จะคอยมาปราม แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเองด้วย เพราะยังไงพ่อแม่คุมเราไม่ได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว 

Q: คำแนะนำสำหรับน้องๆ ที่อยากสอบเข้าเตรียมทหาร

A: สำหรับผมยิ่งเตรียมตัวนานยิ่งมีประโยชน์ครับ มันจะมีพวกค่ายติวต่างๆ เกี่ยวกับเตรียมทหาร พวกนี้ก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญ เพราะอาจารย์ที่สอนเหล่านี้เขาสอนมาหลายรุ่นแล้ว เขามีเทคนิคในการแชร์อะไรต่างๆ ให้เราประสบความสำเร็จในการสอบครับ ในการอ่านหนังสือ ส่วนใหญ่เกณฑ์คะแนนสอบวิชาวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์จะมีเปอร์เซ็นต์มากกว่าวิชาไทยสังคม ผมก็เน้นพวกนี้มากกว่า แล้วก็วิชาภาษาอังกฤษที่เรียกว่าเป็นวิชาจำเหมือนไทยสังคม แต่ให้คะแนนที่มากกว่า ก็ควรจะเน้นเรื่องภาษาอังกฤษด้วยครับ

Q: ตั้งเป้าจะชิงทุนไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่วันแรกที่สอบติดเตรียมทหาร เล่าให้ฟังถึงความ “แน่วแน่” เรื่องนี้หน่อยค่ะ

A: จริงๆ ผมเชื่อว่าเป็นความฝันของใครหลายคนนะครับที่อยากจะไปเรียนต่อเมืองนอก พ่อผมก็เห็นแล้วว่ามันมีโอกาส จะมีทุนไหนที่ได้ไปเรียนอเมริกาฟรี แล้วก็มีเงินเดือนให้ด้วยระหว่างเรียน ไม่ใช่โอกาสที่หาง่ายๆ แล้ววิชาชีพทหารก็เป็นวิชาชีพที่คุณพ่อทำ ตอนผมเด็กๆ ครอบครัวก็อาศัยอยู่ในค่ายทหารอยู่แล้ว เป็นอาชีพที่คุ้นเคยครับ ผมก็เลยไม่มีปัญหากับเรื่องนี้เท่าไหร่ เป็นโอกาสนึงในชีวิตที่จะได้ไปเมืองนอก ถ้าเกิดมีก็ควรจะคว้าเอาไว้ และตอนสอบเข้าผมสอบได้ที่ 1 ด้วยครับ คิดว่ามีโอกาสสูงที่ผมจะได้ไป มันเป็นโอกาสอ่ะครับ

Q: เทคนิคการชิงทุนเรียนต่อ WEST POINT

A: คือต้องบอกไว้ก่อนว่า WEST POINT ไม่ได้เปิดทุกปีนะครับ ในโรงเรียนจะมีคนไทยได้แค่ 4 คน หากรุ่นผมมีคนครบ 4 คนแล้ว ถึงผมจะได้ไปเรียนอเมริกา แต่ผมต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยทหารที่อื่น ซึ่งปีผมจะมีรุ่นพี่ที่จบ WEST POINT สองคนพอดี และรุ่นผมได้ไปอเมริกาสองคนเหมือนกัน เรียกว่าโชคดีครับที่ได้ไป แต่ไม่ใช่ว่าได้ทุนแล้วจะได้ไปนะครับ ต้องมีการทดสอบร่างกายของทางอเมริกา มีเกณฑ์คะแนนสอบ IELTS SAT รวมทั้งการเขียน Essay ถึงเขา ถึงจะได้รับคัดเลือกไป 

ในการสอบไปเมืองนอกจริงๆ ไม่ได้มีแค่อเมริกา ปีผมมี 7 ทุน คือ อเมริกา 2 ทุน เกาหลี ญี่ปุ่น เยอรมัน รัสเซีย และออสเตรเลียเกณฑ์บางปีจะแตกต่างต่างกัน ของปีผมจะเอาเกรดจากเตรียมทหารมาเป็น 50% อีก 50% แบ่งเป็นทดสอบร่างกาย 20% คะแนนวิชาการอีก 20% และสัมภาษณ์อีก 10% ครับ 

ซึ่งจะมีชาเลนจ์อย่างนึงที่เรียกว่า การสอบ ALCPT หรือ American Language Course Placement Test  เต็ม 100 คะแนน หากได้ไม่ถึง 70 คะแนน ไม่มีสิทธิ์ไปเมืองนอก แต่ถ้าเกิน 70 แต่ไม่ถึง 80 คะแนน ไม่มีโอกาสได้ไปอเมริกากับออสเตรเลีย สุดท้ายถึงอันดับจะดีแต่ถ้าคะแนนภาษาอังกฤษไม่ถึงเขาก็ไม่ให้คุณไป ผมได้ 91 คะแนนครับ 

Q: เตรียมตัวอย่างไรบ้าง ตั้งใจเรียนขนาดไหน?

A: ในการเรียนของทหารก็เหนื่อยอยู่แล้ว เพราะฝึกทุกวัน มันก็ต้องมีวินัยในตัวเองว่าเวลาเหนื่อยอย่าไปหลับในห้องเรียน เป็นปัญหาอยู่ เพราะฝึก มีวิ่ง มีออกกำลังกายทุกวัน เหนื่อยเป็นธรรมดา แล้วก็ต้องแบ่งเวลามาอ่านหนังสือเองด้วย เขาจะมีเวลาตอนกลางคืนให้อ่านหนังสือ ถ้าตั้งใจจริงๆ ก็ต้องอ่านหนังสือครับ ต้องสู้กับตัวเองทั้งด้านความเหนื่อย ความง่วง และต้องมีความตั้งใจด้วยครับ 

Q: การตั้งเป้าหมายสำคัญอย่างไร?

A: มันทำให้เราเห็นปลายทางอ่ะครับ เหมือนคนไม่มีเป้าเขาก็ไม่รู้ว่าจะตั้งใจเรียนไปเพื่ออะไรใช่ไหม อาจจะคิดแค่ว่าเรียนให้ไม่ซ้ำชั้นหรือเปล่า แล้วแต่คนครับ แต่สำหรับผมเหมือนกับนักเรียน ม.ปลายธรรมดาที่เห็นเป้าหมายก็ต้องพยายามอ่านหนังสือ พยายามกระตุ้นตัวเอง ของผมก็คล้ายๆ กัน คือผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าอยากไปเมืองนอก ก็ไปถามรุ่นพี่ว่ามีหลักเกณฑ์ยังไง ทำคะแนนอย่างไรบ้าง ต้องเตรียมตัวทั้งด้านวิชาการและด้านร่างกาย อย่าละเลยครับ 

Q: โรงเรียนทหารสอนอะไรบ้าง?

A: ที่เห็นชัดสุดคือการพึ่งพาตัวเองครับ เพราะการไปเรียนทหารเราต้องไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ บางเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้กลับ เราอยู่ด้วยตัวเอง ไม่มีพ่อแม่ อีกเรื่องคือการมีระเบียบวินัย ซึ่งตอนปีหนึ่งทุกเช้าจะมีการตรวจโรงนอน ต้องพับผ้าห่ม ดึงเตียงให้ตึง เหมือนเป็นการฝึกให้โอเวอร์ไปเลย พอโตขึ้นมาจริงๆ มันติดเป็นนิสัย ชีวิตปกติเราก็คงไม่ตึงขนาดนั้นอยู่แล้ว แต่ก็เป็นนิสัยเรา พอเราห่างหายไปอยู่บ้าน ยังไงเราก็จัดเตียงอยู่ดี 

Q: ในฐานะเด็กรุ่นใหม่ เรียนโรงเรียนทหาร ผสมผสานความเป็นคนรุ่นใหม่กับกฎระเบียบและวิธีคิดแบบทหาร อย่างไร?

A: โรงเรียนเตรียมทหารมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปทุกรุ่น รุ่นพี่ของผมเวลาสอนอะไรเขาจะพูดเสมอว่า อะไรที่ดีก็เก็บไปคิดไว้ และให้สืบต่อรุ่นต่อไป แต่อะไรที่ไม่ดี ก็ให้เก็บไว้เหมือนกัน แต่อย่าไปทำรุ่นต่อไป ทุกคนมีข้อดีข้อเสียของตัวเองอยู่แล้ว เราก็แค่เก็บข้อดีเขามาทำต่อ เห็นข้อเสียมาก็เก็บไว้เป็นข้อคิด และไม่ไปทำต่อแค่นั้นเอง 

เรื่องที่เห็นชัดที่สุดของผม ตอนอยู่ปี 1 เตรียมทหาร โทรศัพท์คือห้ามเอาเข้ามาเลย เป็นเรื่องใหญ่พอตัว แต่พอผมมาอยู่ปี 2 เขาก็มีการอนุโลมให้น้องปี 1 ที่เข้ามาใหม่ หลังจากจบช่วงปรับตัวก็อนุญาตให้เอาเข้ามาได้ ถือเป็นการปรับตัวตามยุคสมัย เพราะถ้ายังจำกัดในเรื่องนี้อยู่ก็ค่อนข้างจะล้าสมัย

Q: งานอดิเรก ไลฟ์สไตล์ หรือความสนใจด้านอื่นๆ

A: ผมเล่นเปียโนตั้งแต่เด็ก ช่วงนี้ก็ยังฝึกบ้างให้พอเล่นได้ เพราะตั้งแต่เข้าเรียนเตรียมทหารไปผมก็ไม่ค่อยมีโอกาสเรื่องนี้เท่าไหร่ครับ พอช่วงนี้ได้กลับมาอยู่บ้านก็เล่นเปียโน ฝึกกีต้าร์นิดหน่อยครับ

Q: คาดหวังจากการไปเรียนต่างประเทศอย่างไรบ้าง?

A: คาดหวังนะครับ ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศอเมริกาเจริญเป็นมหาอำนาจ ผมก็อยากจะรู้ว่า West Point มหาวิทยาลัยทหารที่ถูกเรียกว่าดีที่สุดในโลกมันเป็นยังไง แล้วสิ่งไหนที่สามารถนำมาปรับใช้กับบ้านเราได้บ้าง สามารถมาพัฒนาให้เท่าทันเขาได้ แต่ไม่ใช่เอาของเขามาหมดเลย เพราะมีความต่างกันอยู่ ต้องมาปรับใช้เอาครับ

Q: เห็นว่ามีความสนใจด้านเศรษฐศาสตร์ด้วย 

A: เป็นเรื่องตั้งแต่ตอนเด็กๆ ที่พ่อผมเป็นทหาร จะมีช่วงที่เขาตำแหน่งดีๆ เงินเดือนสูง เขาจะชอบมาบ่นว่ารู้งี้น่าเอาไปทำอะไรอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ครอบครัวดีกว่านี้ ผมก็คิดว่าถ้าผมจะตามรอยพ่อ ผมควรจะมีความรู้เรื่องนี้บ้าง เพื่อมาจัดการด้านการเงิน จริงๆ เศรษฐศาสตร์สำคัญกับทุกอาชีพอยู่แล้ว เลยเป็นสิ่งที่น่าสนใจควบคู่กับอาชีพทหาร หรือบางทีอาจจะมีโอกาสในการทำงานในอนาคต ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน ต้องรอดูครับ 

Q: มีความคาดหวัง ภาพฝันในอนาคตไหม?

A: เรื่องนี้ก็ยังตอบได้ไม่ชัดขนาดนั้น แต่ที่อยากทำจริงๆ ก็คือเอาความรู้ของอเมริกาที่เขาบอกว่าระบบดีมากขนาดนั้น จะสามารถมาปรับใช้ พัฒนากับระบบไทยเราได้ไหม เพราะมีรุ่นพี่หลายคนที่จบจากอเมริกาแล้วกลับมาที่โรงเรียนนายร้อยก็พยายามจะปรับปรุงเหมือนกัน ผมก็คิดว่ามันน่าสนใจที่จะเป็นคนส่วนหนึ่งที่จะมาปรับปรุงโรงเรียนที่ให้ทุนเราไปครับ

Q: ความภาคภูมิใจในการเป็นนักเรียนทหาร หรือ การเป็นทหารคืออะไร?

A: ความภาคภูมิใจในนักเรียนทหาร เรียกว่าเป็นสถาบันที่ผลิตนายทหารหลักของประเทศ ในการพัฒนาบ้านเมืองต่างๆ ถือว่าเป็นเกียรติครับ และเป็นระบบที่สอนให้ผมมีวินัยมากขึ้น พัฒนาให้ผมเป็นผมในวันนี้ โรงเรียนทหารสอนหลายอย่าง ทั้งการพัฒนาตัวเอง ภาวะผู้นำ การฝึกบุคลิกภาพ มารยาท ผมคิดว่าสอนผมมาเยอะมาก

.

.

.

.

????ประกาศผลข้อเขียน ‘ทุนมง’ ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ใครๆ ก็อยากได้ ????????

????ประกาศผลข้อเขียน ‘ทุนมง’ ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ใครๆ ก็อยากได้ ????????

เด็กไทยเก่งสอบข้อเขียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ????????(Monbukagakusho:MEXT) ประจำปีการศึกษา 2565

THE STUDY TIMES ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่สอบข้อเขียนผ่านทั้ง 14 ท่าน

โดยทุนรัฐบาลญี่ปุ่นหรือ Monbukagakusho (MEXT) ที่นักเรียนไทยนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า ‘ทุนมง’ เป็นทุนการศึกษาประเภทให้เปล่าไม่มีข้อผูกมัด ทุนที่นักเรียน/นักศึกษาไทยนิยมสมัครกันมากคือทุนนักศึกษาระดับปริญญาตรี (Undergraduate Students) และทุนนักศึกษาวิจัย (Research Students) ซึ่งการไปเรียนต่อปริญญาโทหรือปริญญาเอกก็ถือว่าเป็นทุนประเภทนี้เช่นกัน 

????ทำไมต้องเรียนที่ญี่ปุ่น❓
✔️การศึกษาระดับโลก ในญี่ปุ่นมีมหาลัยมากกว่า 700 แห่ง โดยมี 10 ติดอันดับท็อป 200 ในการจัดอันดับโลก
✔️มากไปด้วยวัฒนธรรม ในแง่ประวัติศาสตร์มีวิวัฒนาการยาวนานกว่าพันปีจนสั่งสมมาเป็นสิ่งที่สืบทอดมานานมากกก เต็มไปด้วยรายละเอียดและประณีต ในแง่การทำงาน มีลำดับขั้นอวุโสชัดเจน มีระบบให้ทำตาม
✔️เป็นประเทศปลอดภัย ของหายได้คืนแน่นอน!
✔️ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มเติม เป็นภาษาที่ 2
✔️ใกล้ประเทศไทย
✔️ค่าเทอมไม่แพงเท่าประเทศพัฒนาอื่นๆ และมีทุนการศึกษา

????สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้เปิดรับสมัครและคัดเลือกชาวไทยเพื่อรับทุนการศึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่นไปศึกษาที่สถาบันการศึกษาญี่ปุ่น เป็นประจำทุกปี โดยมีทุนทั้งหมด 7 ประเภท ดังต่อไปนี้  
 
1.ทุนนักศึกษาปริญญาตรี (Undergraduate Students)
2. ทุนนักศึกษาวิจัย (Research Students)  
3. ทุนญี่ปุ่นศึกษา (Japanese Studies Students)
4. ทุนฝึกอบรมวิชาชีพครู (Teacher Training Students)
5. ทุนนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิค (College of Technology Students)
6. ทุนนักศึกษาฝึกอบรมวิชาชีพ (Specialized Training College Students)
7. ทุนนักศึกษาประเภท Young Leaders' Program (YLP)

????ผู้ที่สนใจสมัครทุนในปีหน้า สามารถเข้าไปดูรายละเอียดทุนรัฐบาลญี่ปุ่นได้ที่ https://www.th.emb-japan.go.jp/itpr_th/jis_study.html

????ไฟล์ประกาศผลการสอบข้อเขียน
https://www.th.emb-japan.go.jp/files/100221332.pdf
 

“น้ำมะพร้าว” เป็นสิ่งมีประโยชน์อย่างมากที่ได้จากธรรมชาติ นอกจากจะทำให้สดชื่นแล้ว พวกสารอาหารและแร่ธาตุที่อยู่ในน้ำมะพร้าวนั้นถือว่าเป็นประโยชน์ที่ร่างกายมนุษย์ควรได้รับ

สวัสดีครับ วันนี้พบกันเป็นครั้งแรก สำหรับการเขียนพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวของวิทยาศาสตร์ใกล้ตัว ท่ามกลางกระแสของข่าวสาร และเรื่องราวต่าง ๆ ที่วิทยาศาสตร์จะเข้ามามีบทบาทในการไขข้อปัญหา หรือตอบคำถามเรื่องราวในชีวิตประจำวันที่เราพบเจอได้ ซึ่งผู้เขียนก็จะพาทุกท่านไปพบกับเรื่องราวเหล่านี้เรื่อย ๆ ครับ

ในตอนนี้เราเริ่มจะคุ้นเคยและเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่ (New normal) กับโรคอุบัติใหม่ โควิด-19 หลังจากที่เราอยู่กับมันมาปีกว่า และคาดว่าอีกไม่เกิน 2 - 3 เดือนข้างหน้า คนไทยคงได้ฉีดวัคซีนกันอย่างถ้วนหน้าครับ

ในเดือนแห่งความรัก “กุมภาพันธ์” มีกระแสข่าวหนึ่งที่ร้อนแรงขึ้นมา กลายเป็นกระแสท่ามกลางความเครียดเนื่องจากการใช้ชีวิตในยุควิถีใหม่ นั่นก็คือกระแสการดื่มน้ำมะพร้าวทำให้มีความต้องการทางเพศสูงหรือฟิตมาก

ทั้งนี้มีที่มาที่ไปจากการที่คุณป้าท่านหนึ่ง ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจเพื่อขอเลิกกับคุณลุง ซึ่งเป็นสามีวัย 64 ปี เนื่องจากทนไม่ไหว เพราะคุณลุงขอมีอะไรด้วยบ่อย หรือว่าดุมาก (ดุเป็นภาษาฮิตในโซเชียลมีเดียที่แสดงว่ามีความคึกคะนองต่อเพศตรงข้าม) ถึงวันละ 3 – 4 รอบ จนคุณป้าทนไม่ไหวต้องมาแจ้งความขอเลิก โดยมีสาเหตุมาจากการที่คุณลุงดื่มน้ำมะพร้าวบ่อยทำให้มีความต้องการสูง

จากกรณีข่าวดังกล่าวนับว่าเป็นข่าวที่ติดกระแสในโซเชียลมีเดีย อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้น้ำมะพร้าว หรือแม้กระทั่งผลของมะพร้าวที่ขายในตลาด ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยทีเดียว ซี่งถ้ามองในแง่ของกระแสการทำการตลาดของน้ำมะพร้าวนี้ นับว่าคุณลุงมาช่วยในการทำการตลาดให้กับน้ำมะพร้าวให้มีความคึกคักขึ้นมาทันทีทันใด ท่ามกลางกระแสความเครียดของคนไทยในสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ทีนี้เรามาดูตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ กันบ้างครับว่า น้ำมะพร้าวเมื่อดื่มแล้วทำให้คึก หรือมีความฟิตปั๋งตามที่คุณลุงเข้าใจจริงหรือเปล่า?

มะพร้าวเป็นพืชตระกูลปาล์ม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cocos nucifera L. สามารถปลูกได้ในทุกภาคของไทย แต่ส่วนใหญ่จะปลูกมากแถวภาคใต้ คนไทยรู้จักน้ำมะพร้าวดี โดยเฉพาะการใช้น้ำมะพร้าวในการล้างหน้าคนตายก่อนที่จะมีพิธีการฌาปนกิจ ทั้งนี้เนื่องจากเชื่อกันว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ มีความสะอาด เพราะอยู่บนต้นที่สูง และมีกะลาในการห่อหุ้มและกักเก็บน้ำ เมื่อนำมาล้างหน้าให้กับผู้ตายจะเป็นการชำระสิ่งที่ไม่ดีออกจากตัวผู้ตาย

นอกจากนั้นน้ำมะพร้าวยังเป็นเครื่องดื่มที่เราคุ้นเคยกันดี เมื่อดื่มแล้วจะทำให้มีความสดชื่น โดยส่วนประกอบของน้ำมะพร้าวประกอบไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเรา มากมาย เช่น เหล็ก โพแทสเซี่ยม แคลเซี่ยม แมงกานีส ฟอสฟอรัส โซเดี่ยม เป็นต้น

จากองค์ประกอบของแร่ธาตุเหล่านี้ ทำให้น้ำมะพร้าวเปรียบเสมือนกับเครื่องดื่มเกลือแร่ชนิดหนึ่ง เมื่อดื่มเข้าไปจะทำให้เรารู้สึกมีความสดชื่นกระปรี้กระเปร่านั่นเอง

ในทางการแพทย์ยังพบว่าน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีในเพศหญิงสูง เมื่อดื่มเป็นประจำจะทำให้ผิวพรรณมีความเปล่งปลังสวยงาม

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ได้ระบุถึงข้อดีของน้ำมะพร้าว คือ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัย และยังช่วยชะลอการเกิดอัลไซเมอร์ในวัยชราได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตามยังไม่มีงานวิจัยชิ้นไหนที่บอกได้ว่าการดื่มน้ำมะพร้าวจะทำให้เพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ดีขึ้น ตามที่คุณลุงเข้าใจ ถึงกระนั้นผู้เขียนก็สันนิษฐานว่า จากคุณสมบัติของน้ำมะพร้าวที่มีส่วนประกอบตามที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องดื่มชูกำลังชนิดหนึ่ง

เมื่อคุณลุงดื่มบ่อย ๆ จึงอาจส่งผลให้มีความฟิตปั๋ง ทำให้มีความต้องการ ‘ดุ’ ตามไปด้วยนั่นเองครับ


ผู้เขียน : ผศ.ดร.สุทัศน์ จันบัวลา อาจารย์ประจำ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

ในยุคที่สมาร์ทโฟนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ทำให้ส่งผลเสียรวมไปถึงอวัยวะร่างกาย “นิ้ว” ก็เป็นอวัยวะหนึ่งที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเล่นสมาร์ทโฟน ศิลปะจึงเป็นศาสตร์ที่เข้ามาช่วยในการรักษาอาการแก้ปวดนิ้วได้

มือเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายและใช้ทำกิจวัตรประจำวัน เช่น จากการเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานการล้างหน้า การแปรงฟัน หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่ทำเป็นประจำทุกวัน เป็นต้น ทุกคนใช้มือเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ไปจนถึงการประกอบอาชีพ ดังนั้นมือจึงควรได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี เมื่อมือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือการใช้งาน อาจส่งผลให้มือชาหรืออ่อนแรง เช่น อาการชาจากการกดทับของเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) ส่งผลให้ความสามารถในการใช้งานของมือลดลง เช่น การหยิบจับสิ่งของ การฝึกทักษะของมือจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูให้มือกลับมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดีเช่นเดิม

กิจกรรมฝึกทักษะมือ
โดยปกติแล้วนักกิจกรรมบำบัดมีบทบาทในการตรวจประเมิน ส่งเสริม ป้องกัน ฟื้นฟูความสามารถมือ เมื่อพบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับมือ เช่น ชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง ข้อติด มีปัญหาการใช้งานของมือหรือการหยิบจับวัตถุ นักกิจกรรมบำบัดใช้กิจกรรมที่ผ่านการคิดวิเคราะห์มาเป็นสื่อในการบำบัดรักษาหรือฟื้นฟูให้เหมาะสมกับปัญหา โดยเริ่มปรับกิจกรรมจากง่ายไปยาก เพื่อพัฒนาความสามารถอย่างค่อยเป็นค่อยไปดังนี้

1.) การบริหารมือและนิ้วมือ
กำมือ-แบมือ-กางนิ้วมือ-หุบนิ้วมือ-นิ้วตูมเข้าหากัน-พับนิ้วมือ-จีบนิ้วมือ

2.) การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มกำลังมือและนิ้วมือ
ออกแรงบีบวัตถุต่าง ๆ เช่น ลูกบอล ดินน้ำมัน แป้งโดว์ ตัวหนีบผ้า

3.) การฝึกหยิบจับวัตถุรูปแบบต่างๆ จากวัตถุขนาดใหญ่ไปจนถึงวัตถุขนาดเล็ก

นอกจากนี้สามารถผสมผสานกิจกรรมต่างๆ เช่น ศิลปะ ดนตรี กีฬา การทำอาหาร มาร่วมในการฝึกทักษะมือ โดยใช้อุปกรณ์ที่หาได้ง่าย ทั้งนี้ยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและเป็นการกระตุ้นให้รู้สึกอยากทำกิจกรรมมากขึ้น 

ศิลปะบำบัดกับการบริหารมือ

1.) กิจกรรมปั้นดินน้ำมัน หรือแป้งโดว์

เริ่มจากออกแรงนวดดินน้ำมันเพื่อเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อมือ

ใช้นิ้วมือกดดินน้ำมันให้แบน

ใช้ปลายนิ้วบีบดินน้ำมันให้แบน

ปั้นดินน้ำมันเป็นรูปร่างหรือรูปทรงต่าง ๆ ตามจินตนาการ

2.) กิจกรรมตัวหนีบผ้า

จับตัวหนีบผ้าด้วยปลายนิ้วโป้งและนิ้วชี้

ฝึกจับตัวหนีบผ้าด้วยปลายนิ้วโป้งและด้านข้างของนิ้วชี้

หนีบตัวหนีบผ้าเป็นรูปร่างหรือรูปทรงต่าง ๆ ตามจินตนาการ

3.) กิจกรรมตัวปั๊ม

เลือกตัวปั๊มที่ชอบและออกแรงกดตัวปั๊มลงบนแป้นหมึก

ออกแรงกดตัวปั๊มลงบนกระดาษ
ปั๊มเป็นรูปภาพหรือรูปทรงต่าง ๆ ตามจินตนาการ

4.) กิจกรรมเสียบหมุดให้เป็นรูปภาพ

ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งหยิบหมุด

อาจใช้นิ้วกลางและนิ้วโป้งหรือนิ้วอื่น ๆ หยิบหมุด

เสียบหมุดเป็นรูปภาพหรือรูปทรงต่าง ๆ ตามจินตนาการ

5.) กิจกรรมระบายสี

เลือกรูปภาพและสีที่ชอบ ระบายสีให้สวยงามตามต้องการ 

.

เขียนโดย : กบ.นิรมล ประทุมรัตน์
นักกิจกรรมบำบัด ฝ่ายเวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด โรงพยาบาลธนบุรี


ข้อมูลอ้างอิง 
นายแพทย์พงษ์ศักดิ์ วัฒนา. (2531). ปัญหาของมือที่พบบ่อย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว
https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/998/Hand-Exercises

เช็กด่วน‼️ ตรวจสอบสิทธิ์รับเงินเยียวยานักเรียนเอกชน 2,000 บาท ทางออนไลน์

ตรวจสอบสิทธิ์นักเรียนโรงเรียนเอกชน ตามมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ให้แก่ผู้ปกครองในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ( สำหรับโรงเรียนเอกชนเท่านั้น )

✅นักเรียนไทยใช้เลขประจำตัวประชาชน
✅ส่วนนักเรียนต่างชาติหรือนักเรียนที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียน สามารถตรวจสอบได้โดยใช้รหัส G-Code ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด โดยสามารถขอทราบรหัส G-Code ได้ที่โรงเรียนที่ตนศึกษาอยู่

????ตรวจสอบสิทธิ์ คลิก
https://regis.opec.go.th/regis/Login.htm?mode=initHelp

ทั้งนี้ สช. ได้อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ปกครองโดยเพิ่มช่องทางให้สามารถตรวจสอบสิทธิ์การได้รับความช่วยเหลือเยียวยานักเรียนดังกล่าว ผ่าน Application สช. On mobile 

สามารถดาวน์โหลด Application สช. On mobile ได้ที่ Play Store และ App Store 

หลาย ๆ คนอาจจะต้องประสบกับการทำงานที่บ้าน หรือ work from home แล้วอาจจะไม่ได้ยืดเส้น ยืดสาย ควรระวังให้ดี ไม่เช่นนั้นโรคออฟฟิศซินโดรมจะถามหา โยคะถือว่าเป็นการออกกำลังกายง่าย ๆ ช่วยผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าได้อย่างดี

ในยุคที่มีการแข่งขันสูง การใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ การทำงานด้วยความเครียด และการใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆทำให้ทุกคนใช้เวลาในแต่ละวันอย่างน้อย 8 - 9 ชั่วโมงในการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ใช้มือถือ แทปเลต ประกอบกับท่านั่งที่ไม่เหมาะสม จึงเกิดการใช้งานกล้ามเนื้อแบบผิดปกติ ทำให้กล้ามเนื้อสูญเสียความยืดหยุ่น ร่วมกับการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเป็นเวลานาน ส่งผลไปยังข้อต่อและกระดูกต่าง ๆ บางคนอาจมีอาการชาหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง เริ่มจากการปวดบริเวณกล้ามเนื้อคอลุกลามไปยังกล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ โดยการปวดกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นจากการทำงานเรียกว่า “โรคออฟฟิศซินโดรม”

ข้อแนะนำสำหรับผู้เป็นโรคออฟฟิศซินโดรม

พักยืดเส้นยืดสาย หรือลุกขึ้นจากเก้าอี้และเปลี่ยนอิริยาบททุก 1 ชั่วโมง เปลี่ยนจากการจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วมองไปยังพื้นที่สีเขียวหรือต้นไม้

ปรับสภาพโต๊ะทำงานให้เหมาะสม ระดับหน้าจอคอมพิวเตอร์, คีย์บอร์ดและการวางเม้าส์อยู่ในองศาการใช้งานที่ถูกต้องตามสรีระ

ปรับความสูงของเก้าอี้พนักพิง มีการเสริมหมอนหนุนหลังเพื่อให้นั่งสบายขึ้นและเลือกใช้เก้าอี้ที่มีที่วางแขน

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง ไม่นั่งหลังค่อม ไม่ห่อไหล่

ท่าโยคะอย่างง่ายป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม

ท่าแรก

: นอนคว่ำ วางแขนห่างกันเท่าความกว้างของหัวไหล่ ใช้มือดันตัวขึ้น

: เหยียดข้อศอก ยกศีรษะ ไหล่ หน้าอก เอว ให้สูงขึ้นเงยหน้าไปด้านหลัง

: สะโพกด้านหน้า ต้นขา และเท้า วางราบกับพื้น

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณหลังและหน้าท้องเล็กน้อย หายใจเข้าออกปกติ ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

ท่าที่สอง

: นอนหงาย ยกขาขึ้น2ข้าง (ถ้าตึงมากให้ยกทีละข้าง)

: พยายามใช้มือแตะปลายเท้า ถ้าไม่ถึงให้ใช้ผ้าขนหนูคล้องปลายเท้า

: ออกแรงดึงขายกสูงขึ้นมาทางศีรษะโดยให้เข่าเหยียดตรงตลอด

: สะโพกลอยพ้นพื้นเล็กน้อย คอและไหล่วางบนพื้นด้วยความผ่อนคลาย

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณกล้ามเนื้อขาโดยเฉพาะด้านหลังของเข่า ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

ท่าที่สาม

: นั่งขัดสมาธิ หลังตรง มือสอดใต้สะโพก (นั่งทับ)

: ก้มศีรษะเล็กน้อย เอียงศีรษะทางซ้าย มือซ้ายจับศีรษะ กางศอกออก กดลงเบาๆ

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณกล้ามเนื้อคอและบ่าด้านตรงข้าม ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน

ท่าที่สี่ : นั่งขัดสมาธิ หลังตรง มือสอดใต้สะโพก (นั่งทับ)

: ก้มศีรษะลงกดคางชิดอก เอียงศีรษะทางซ้าย มือซ้ายจับศีรษะ กดศอกเอียงด้านหน้า

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณคอสะบักขวา ค้างไว้ 10 - 20 วินาที แล้วตั้งศีรษะตรง ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน นั่งทับมือซ้าย แล้วก้มเอียงศีรษะทางขวา มือขวาออกแรงกดเบาๆ

ท่าที่ห้า : นั่งขัดสมาธิ หลังตรง พาดแขนซ้ายมาด้านหน้าอก

: นำศอกขวากดศอกซ้าย เข้าหาไหล่ขวา หันหน้าไปทางด้านซ้าย

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณต้นแขนด้านหลังและสะบัก ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน แขนขวาพาดด้านหน้า ศอกซ้ายกดหาไหล่ซ้าย หันหน้าไปทางขวา

ท่าที่หก : นั่งขัดสมาธิ หลังตรง ประสานมือทั้ง 2 ข้างด้านหลัง บีบมือเข้าหากันให้แน่น

: ยืดอก ยืดหลังขึ้น บีบสะบักเข้าหากัน ดันแขนออกไปไกลลำตัวให้มากที่สุด

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณต้นแขน หน้าอกและสะบัก ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

ท่าที่เจ็ด : นั่งหลังตรง เหยียดขาซ้ายไปด้านหน้า ขาขวาข้ามวางข้างเข่าซ้ายด้านนอก

: ศอกซ้ายออกแรงดันเข่าขวาไปทางซ้าย บิดตัวไปทางขวาให้มากที่สุด

: มือขวาวางด้านหลัง หันหน้ามองข้ามไหล่ขวาไปด้านหลัง

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณสะโพกและลำตัวด้านข้างขวา ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน เหยียดขาขวา งอเข่าซ้าย ศอกขวาออกแรงดัน บิดตัวไปทางซ้าย

ท่าที่แปด : นั่งขัดสมาธิ หลังตรง จากนั้นเหยียดขาขวาออกไปด้านข้างให้ตั้งฉากมากที่สุด

: มือขวาจับเข่าซ้าย บิดตัวไปทางซ้าย ยกมือซ้ายขึ้นแนบหู เอื้อมหลังศีรษะไปจับปลายเท้าขวา

: ถ้าตึงขาหรือลำตัวมาก จับไม่ถึง ให้ใช้ผ้าคล้องปลายเท้าขวาช่วยได้

: ท่านี้จะรู้สึกตึงลำตัวและต้นแขนซ้าย ต้นขาหลังและน่องขวา ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน งอเข่าขวา เหยียดขาซ้าย มือซ้ายจับเข่าขวา มือขวาจับปลายเท้าซ้าย


เขียนโดย : กภ. วิชญดา มาเสถียร
นักกายภาพบำบัด ปริญญาตรี วิทยาศาสตร์บัณฑิต กายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง เจ้าของเวิร์กคลินิกกายภาพบำบัด

ทำไมลูกวัยรุ่นไม่ชอบคุยกับพ่อแม่? พบ 5 สาเหตุหลักที่วัยรุ่นไม่ยอมปรึกษาพูดคุยกับพ่อแม่ พร้อมวิธีปรับตัว เมื่อลูกไม่คุยด้วย

ในช่วงลูกเข้าสู่วัยรุ่น ช่วงอายุประมาณ 15-17 ปี ลูกจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจอย่างรวดเร็ว จนพ่อแม่ปรับตัวตามลูกไม่ทัน บางครั้งทำให้รู้สึกว่า ลูกไม่ยอมปรึกษา และไม่ค่อยเปิดใจรับฟังพ่อแม่เหมือนเมื่อก่อน ยิ่งพ่อแม่พยายามเข้าหาลูกก็ดูเหมือนลูกพยายามตีตัวออกห่าง หนักเข้าก็ไม่คุยด้วย เล่นเอาพ่อแม่หนักใจไปตามๆ กัน เกิดอะไรขึ้นกับลูก ทั้งหมดนี้เกิดจากสาเหตุใด และพ่อแม่ต้องปรับตัวอย่างไร เป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรรู้

พบ 5 สาเหตุหลักที่วัยรุ่นไม่ยอมปรึกษาพูดคุยกับพ่อแม่

1. วัยรุ่นมีความมั่นใจ กล้าลองผิดลองถูก และเชื่อมั่นว่าตัวเองมีความสามารถมากพอที่จะจัดการกับปัญหาทุกอย่างได้โดยไม่ต้องปรึกษาใคร เขาต้องการให้พ่อแม่ไว้ใจเขา

2. วัยรุ่นไม่ชอบที่ถูกพ่อแม่บ่นด่าและวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องที่เขาคิด พูด ทำ ตามประสาวัยรุ่น บางครั้งพ่อแม่พูดไม่ให้กำลังใจ จ้องจับผิด ถูกตำหนิรุนแรง ยังแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจในตัวเขา บางครั้งออกคำสั่งห้าม หรือไม่ก็ตัดสินใจแทนเขาอีก …วัยรุ่นไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เอามากๆ

3. วัยรุ่นคิดว่าพ่อแม่ไม่พร้อมและไม่มีความถนัดมากพอ อาจเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดี เช่น เคยตั้งใจมาปรึกษาพ่อแม่ แต่เจอจังหวะที่พ่อแม่กำลังยุ่ง เหนื่อย เครียด ไม่พร้อมฟัง เลยสักแต่ฟัง แต่ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องที่เขาพูด บางครั้งอาจบอกลูกว่า เอาไว้ก่อน ตอนนี้พ่อกับแม่ไม่มีเวลา

4. วัยรุ่นอาจเล่าเรื่องไม่เก่ง เข้าใจในแบบฉบับของตัวเอง ยังถ่ายทอดได้ไม่ดีเท่าที่ควร พอพ่อแม่ถามคืนมา แล้วตอบไม่เคลียร์ประเด็น พอถูกถามจี้ๆ บางครั้งอาจถูกพ่อแม่ดุ เลยทำให้รู้สึกอึดอัด และรู้สึกไม่ชอบที่ตัวเองดูกลายเป็นคนโง่ 

5. วัยรุ่นกลัวความผิด ถ้าเขาทำความผิด เช่น แอบขับรถมอเตอร์ไซค์ล้ม ทั้งๆ ที่เคยรับปากกับพ่อแม่ไว้ว่าจะไม่ขับ ประกอบกับพ่อแม่เป็นคนดุ เป็นคนน่ากลัว ยิ่งทำให้เขาไม่กล้าพูด อาจนำไปสู่การพูดโกหก และปกปิดความผิดได้

พ่อแม่ควรปรับตัวอย่างไร?

1. รับฟังอย่างลึกซึ้ง วางมือจากธุระ ตั้งใจฟัง และให้เวลากับเขา

2. ลดการตำหนิ ดุบ่นด่า จ้องจับผิด คำพูดดูถูกความคิดของเขา ควรรักษาศักดิ์ศรีให้เขาด้วย เรื่องนี้สำคัญมาก

3. ชื่นชมลูกทุกเรื่อง แม้นเป็นเรื่องที่เขาคิดได้ยังดีไม่พอ ให้ชื่นชมในมุมที่ชื่นชมได้ เช่นชื่นชมในความกล้าคิดกล้าแสดงออกของเขา และชื่นชมทุกครั้งเมื่อเขาคิดและแก้ปัญหาได้ดี

4. พ่อแม่ต้องตั้งสติให้ดี ในตอนที่ลูกเจอปัญหาหนัก เพราะลูกต้องการความปลอดภัย และความมั่นคง พ่อแม่ต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูก 

5. พ่อแม่ต้องเป็นนักสร้างบรรยากาศที่ดีในการสนทนา ช่วงแรกของการพูดคุยพ่อแม่ต้องพูดในเรื่องที่ลูกอยากฟังก่อน เสมือนหนึ่งว่าเรายืนอยู่ในมุมเดียวกับเขา เพื่อให้ลูกเปิดใจเข้ามารับฟังด้วยความเต็มใจ

การสื่อสารในครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ควรให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนในครอบครัวเป็นหลัก เป้าหมายของการสื่อสารในครอบครัว ควรเป็นไปเพื่อให้เกิดความรักและความอบอุ่นในครอบครัว ทุกคนในครอบครัวต้องช่วยกันสร้าง ความสัมพันธ์ที่ดี (Relationship) และ ความเข้าอกเข้าใจกัน (Empathy) 

เขียนโดย: อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์
#Talktonitima


อ้างอิง: https://th.theasianparent.com/gloves-for-newborns

Creative Mindfulness หรือการฝึกสติและสมาธิให้ลูก ไม่เฉพาะแค่การนั่งสมาธิ แต่สามารถฝึกได้จากการอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว

คุณแม่มายด์ จากเพจ Mindful Mummy Mild เพจที่เน้นในเรื่อง Mindfulness & Meditation การฝึกสติและสมาธิให้กับคุณพ่อ คุณแม่ และลูกๆ โดยเน้น Creative Mindfulness ให้กับลูก

คุณแม่มายด์ เล่าว่า Mindfulness หรือ การมีสติ และมีสมาธิ คือการฝึกให้ลูกอยู่กับตัวเอง เชื่อมโยงตัวเองกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ให้รู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งนั้นอยู่ เข้าใจความรู้สึกตัวเองว่าในขณะที่ทำกิจกรรมนั้นๆ เขาคิดหรือรู้สึกแบบไหน เป็นเรื่องของการเข้าใจและอยู่กับตัวเองให้เยอะ การฝึกเช่นนี้จะทำให้เด็กมีสมาธิมากขึ้น

การฝึกลูกในเรื่องของ Mindfulness นั้น สำหรับเด็กเล็กอาจจะต้องมีกิจกรรมเข้ามาช่วย ทำทุกอย่างให้เป็นการเล่น ให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเขา ในการเชื่อมโยงกับสิ่งนั้นๆ เด็กถึงจะเข้าใจในเรื่องของสติและสมาธิ เช่น ใช้เกม วาดภาพ กิจกรรมประเภท Art & Craft เข้ามาผสมผสานในการฝึก จะทำให้เด็กเข้าใจส่วนที่เป็น Concept ได้มากขึ้น

สำหรับเด็กวัยที่โตขึ้นมาหน่อย ต้องใช้สิ่งที่เขาสามารถสัมผัสได้หรือนึกออกเข้ามาสอน เช่น หากจะสอนลูกในเรื่องการหายใจ เขาต้องเข้าใจว่าการหายใจเข้า-ออกเป็นอย่างไร อาจอาศัยอุปกรณ์เข้ามาช่วยเพื่อสร้างความเข้าใจ

นอกจากนี้การพาลูกไปเดินสวนสาธารณะให้เด็กได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวก็เป็น Mindfulness ได้ เช่น หากจะสอนลูกเรื่องการหายใจ ลองหยิบใบไม้ขึ้นมาให้ลูกเป่า หรือให้ลูกได้หลับตาฟังเสียงรอบตัว เหล่านี้จะช่วยฝึกให้ลูกมีสติกับสิ่งรอบตัวมากขึ้น 

พ่อแม่จะใช้ Mindfulness เพื่อให้ลูกตามหาสิ่งที่ชอบได้อย่างไร? 

พ่อแม่ควรให้ลูกได้ลองทำกิจกรรมที่หลากหลาย เมื่อเด็กอยู่กับตัวเอง จนเข้าใจความคิด ความรู้สึกของตัวเอง เขาจะรู้ว่าสิ่งไหนที่เขาชอบ สิ่งไหนที่ทำให้หัวใจเขามีความสุข สำคัญคือ พ่อแม่ต้องให้เวลาในการลองและตัดสินใจสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเขาเอง ให้เขาเป็นคนตัดสินใจเองว่าสิ่งไหนที่ทำให้เขามีความสุข นอกจากนี้ การฝึกเรื่องของสติและสมาธิ จะช่วยในเรื่องของ Mindset เพราะเมื่อลูกได้ทำในสิ่งที่ชอบและรัก สิ่งเหล่านั้นจะไปเปลี่ยน Mindset ของลูก

กิจกรรมฝึกให้ลูกมี Mindfulness ฝึกสมาธิ และหายใจให้ช้าลง

ลูกสามารถมี Mindfulness ฝึกสมาธิ และหายใจให้ช้าลง ผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ  การที่ลูกเล่นเป่าลูกโป่งก็สามารถฝึก Mindfulness ได้โดยการสอดแทรกเรื่องการหายใจเข้าไป ให้เขาได้ลองดูว่า หากเขาเป่าเร็ว ผ่อนลมหายใจออกมาเร็ว ฟองสบู่ที่ออกมาจะเป็นลูกเล็กๆ แต่หากหายใจเข้าและผ่อนลมหายใจช้าๆ ยาวๆ เขาจะได้ฟองสบู่ลูกใหญ่ ช่วยฝึกทั้งการหายใจ รวมทั้งความคิด เพราะเมื่อหายใจช้าลง ความคิดก็จะช้าลงตาม 

ฝึกสมาธิและการหายใจของลูกด้วยการร้อยลูกปัด การร้อยด้าย กำหนดว่า ร้อยเข็มขึ้นหายใจเข้า ร้อยเข็มลงหายใจออก

หนังสือนิทานก็สามารถสอนลูกในเรื่องของความคิดและความรู้สึกได้ เวลาที่พ่อแม่อ่านนิทานให้ลูกฟัง ลองสอดแทรกอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครนั้นๆ ว่ามีอารมณ์อย่างไร แลกเปลี่ยนกับลูก จะทำให้ลูกเข้าใจเรื่องของความคิดความรู้สึกมากขึ้น

สร้าง Mindfulness ด้วยการให้ลูกมองสิ่งดีๆ เกี่ยวกับตัวเอง

กิจกรรมที่ทำ เช่น ให้ลูกเขียนสิ่งดีๆ เขียนขอบคุณสิ่งต่างๆ ในแต่ละวัน เป็นอีกสิ่งที่ช่วยให้ลูกกลับมามองเห็นคุณค่าของตัวเอง คอยเตือนว่าเขาก็เป็นคนเก่ง เป็นคนที่มีความสามารถ มีความอดทน เพราะการพูดสิ่งดีๆ กับตัวเองจะช่วยเปลี่ยน Mindset และสร้างความมั่นใจให้กับลูกได้ 

เมื่อลูกโตขึ้นพ่อแม่ไม่สามารถควบคุมความคิด ความรู้สึกของลูกได้ เพราะฉะนั้นการฝึกให้ลูกสามารถจัดการอารมณ์ของตัวเอง มองเห็นข้อดีของตัวเอง จะช่วยให้ลูกเดินไปตามเส้นทางชีวิตของเขาได้ ยิ่งเริ่มเร็วก็จะยิ่งมีผลดีต่อตัวลูก สิ่งสำคัญที่สุดคือการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงที่ตัวพ่อแม่เอง ทั้งการเข้าใจความคิดความรู้สึกของตัวเอง อยู่กับตัวเองมากขึ้น รวมถึงการหายใจให้ช้าลง เพราะเมื่อเราเปลี่ยน ลูกก็จะเปลี่ยนตาม


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก
หัวข้อ : Creative Mindfulness
Link https://www.facebook.com/299800753872915/videos/845780762668680 
เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: ภารวี สุภามาลา

????โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ประกาศมาตรการเยียวยาผู้ปกครองนักเรียน ภาคเรียนที่ 1/2564 จ่ายสูงสุด 10,000 บาท‼️

ประกาศ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
เรื่อง มาตรการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ปกครองนักเรียน ภาคเรียนที่ 1/2564

อ้างถึงประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้สถานศึกษาในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการทั้งภาครัฐและเอกชนปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ โดยให้โรงเรียนจัดการเรียนการสอนด้วยระบบออนไลน์ ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ขอให้โรงเรียนเอกชนในกำกับ ได้บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและความเดือดร้อนให้แก่ผู้ปกครอง พร้อมทั้งทางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ยังได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครอง เพิ่มเติมคนละ 2,000 บาท ตามที่ทราบแล้วนั้น

โรงเรียนเซนต์คาเบรียลได้ตระหนักถึงสถานการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ดังนั้น อาศัยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารโรงเรียนฯ จึงกำหนดมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ปกครองโดยรวมทุกระดับชั้น ดังนี้

1. สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน)
2. สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ถึง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นจำนวนเงิน 9,000 บาท (เก้าพันบาทถ้วน)
3. สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ถึง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นจำนวนเงิน 8,000 บาท (แปดพันบาทถ้วน)

ทั้งนี้ ทางโรงเรียนขอให้ผู้ปกครองติดต่อชำระค่าธรรมเนียมการเรียน ภาคเรียนที่ 1/2564 ให้เรียบร้อยก่อนเพื่อรับสิทธิ์ดังกล่าวนี้


ที่มา: https://www.facebook.com/106590839388372/posts/4322656951115052/

นอกจากฟ้าทะลายโจรที่นับได้ว่าเป็นสมุนไพรไทยที่จะมาเป็นยาในการรักษาโควิด-19 แล้ว สมุนไพรไทยที่กำลังเป็นพูดถึงอย่างมากในการรักษาอาการโควิด-19 นั้นก็คือ “กระชาย”

ผ่านไปแล้วหลายวันครับ ในการใช้มาตรการสูงสุดของรัฐบาลโดยการล็อกดาวน์ ในจังหวัดที่มีสีแดงเข้มหลายจังหวัด และมีการขยายพื้นที่เพิ่มเติมจาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด โดยมีแนวโน้มที่จะขยายมาตรการที่เข้มข้นนี้ออกไป ทั้งระยะเวลาและพื้นที่ในการบังคับใช้ อีกด้วย อย่างไรก็ตามผลจากการใช้มาตรการแบบเข้มข้นของรัฐบาลในรอบนี้ ยังไม่มีแนวโน้มที่จะเห็นทางสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย เนื่องจากจำนวนยอดผู้ป่วยจากไวรัสโควิด-19 ยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลงเลย ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นว่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนยอดปัจจุบันมาแตะที่หลักสองหมื่นกว่าแล้ว 

ท่ามกลางกระแสของการแพร่ระบาดที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง และความกลัวในเรื่องยารักษาหลักคือ “ฟาวิพิราเวียร์” ที่ไม่เพียงพอ ก็ได้มีการผุดทางออกในเรื่องของการใช้สมุนไพรไทย ในการรักษาและยับยั้งการแพร่ไปสู่อวัยวะที่สำคัญ โดยเฉพาะสมุนไพรไทยที่ชื่อ “ฟ้าทะลายโจร” ซึ่ง ณ ปัจจุบัน เริ่มมีการศึกษาในระดับการใช้งานในคน และมีการยอมรับแล้วว่า สามารถยับยั้งการแพร่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว โดยการออกฤทธิ์คล้ายกับยาฟาวิพิราเวียร์ เลยทีเดียว 

นอกจากฟ้าทะลายโจรแล้ว ก็มีสมุนไพรไทยอีกชนิดหนึ่งที่ได้มีการศึกษาสำหรับใช้ในการรักษาโควิด-19 และผลการศึกษามีแนวโน้มที่ดีด้วยในการออกฤทธิ์ ยับยั้งการแพร่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อเข้าสู่ร่างกาย นั่นก็คือพืชสมุนไทยที่คนไทยคุ้นเคยกันดีที่ชื่อว่า “กระชาย” 

สำหรับวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกระชายกันครับ “กระชาย” มีชื่อสามัญว่า Fingerroot หรือ Chainese ginger หรือ Chainese Key หรือ Galingale มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Boesenbergia rotunda (L.) Mansf อยู่ในวงศ์ขิง เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี มีลำต้นอยู่ใต้ดิน ที่เรียกว่า เหง้า รากของกระชายจะสะสมอาหารจนพองเป็นก้าน เรียกว่า แง่ง กระชายมีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชื่อเรียกกันว่า ขิงจีน เราจะรู้จักกระชายกันดีในเรื่องของนำมาทำเป็นส่วนประกอบสำหรับทำอาหาร โดยเมื่อนำเหง้าหรือแง่งในปริมาณ 100 กรัม ของกระชายมาวิเคราะห์ พบว่ามีสารอาหารที่สำคัญได้แก่ คาร์โบไฮเดรต 17.8 กรัม เส้นใยอาหาร 2.0 กรัม น้ำตาล 1.7 กรัม โปรตีน 1.8 กรัม โพแทสเซียม 415 มิลลิกรัม โซเดียม 13 มิลลิกรัม ไขมันอิ่มตัว 0.2 กรัม ไขมันไม่อิ่มตัว 0.2 กรัม วิตามีนบี 6 8% วิตามีนซี 8% แคลเซียม 2% เหล็ก 3% แมกนีเซียม 11% กระชายที่ใช้ประโยชน์กันแพร่หลาย มี 3 ชนิด ได้แก่ กระชายดำ กระชายแดง และกระชายเหลือง หรือกระชายขาว 

สำหรับสรรพคุณของกระชายนั้น สามารถแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ รักษาโรคปากเปื่อย ปากเป็นแผล แก้อาการวิงเวียนหัว แน่นหน้าอก ได้ และกระชายดำก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีว่าช่วยเพิ่มสมรรถนะทางเพศได้อีกด้วย สำหรับกระชายที่มีการศึกษาว่ามีฤทธิ์ที่สามารถยับยั้งการกระจายตัวของไวรัสโควิด-19 เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว คือ กระชายขาว โดยจากผลการวิจัยร่วมกันของคณะวิทยาศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และและศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) พบว่า มีสารสำคัญ 2 ชนิด ที่พบในสารสกัดกระชายขาว ซึ่งสามารถช่วยในการยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย คือ พิโนสโตรบิน (Pinostrobin) และ แพน​ดูราทิน เอ (Panduratin A) 

โดยมีกลไกลทำงาน คือเมื่อร่างกายได้รับสารสกัดที่สำคัญของกระชายนี้ในปริมาณที่เหมาะสม สารดังกล่าวจะไปยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสโควิด-19 และทำให้ไวรัสสลายไปในที่สุด โดยพบว่าสามารถลดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ถึง 100% เลยทีเดียว โดยผลจากการทดลองในการยับยั้งการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 พบว่าสามารถลดจำนวนเซลล์ที่ติดเชื้อ จาก 100% ไปถึง 0% ได้ และ เมื่อวิเคราะห์ลักษณะการยับยั้งในการผลิตตัวไวรัสออกจากเซลล์ พบว่า สารสกัดจากกระชายขาวสามารถยับยั้งได้ถึง 100% นั่นก็คือเซลล์นั้นไม่สามารถที่จะผลิตตัวไวรัสตัวใหม่ออกมาจากตัวเซลล์ได้เลย  

ทั้งนี้ในกรณีการศึกษาวิจัยในกรณีดังกล่าวนั้น เป็นการศึกษาในระยะเริ่มต้น หรือระดับห้องปฏิบัติการ คือศึกษาในหลอดทดลอง และเริ่มนำมาใช้ในสัตว์ทดลองคือหนูเท่านั้น ยังไม่ได้เริ่มมีการศึกษาโดยทดลองใช้กับมนุษย์จริง และคงมีการศึกษาใช้กับมนุษย์ในระยะต่อไป ซึ่งจะแตกต่างจากกรณีของฟ้าทะลายโจร ที่เริ่มมีการทดลองใช้กับคนมาระยะหนึ่งแล้ว และได้ผลพบว่าสามารถยับยั้งการแพร่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อ เข้าสู่ร่างกายแล้วได้จริง 

แต่อย่างไรก็ตามผู้เขียนมองว่าเนื่องจาก กระชายเป็นทั้งพืชที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการทำอาหาร และยังเป็นสมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ถ้าเรามีไว้ติดบ้านนอกจากมีสรรพคุณสำหรับรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปากเป็นแผล หรือเพิ่มสมรรถนะทางเพศ ตามความเชื่อแล้ว ก็ยังอาจเป็นทางออกอีกทางออกหนึ่งหนึ่งที่ สามารถยับยั้งการแพร่ของไวรัสเมื่อเข้าสู่ร่างกายเรา ในยุคของการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังมองไม่เห็นทางออกว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไรก็ได้ครับ 


เขียนโดย: ผศ.ดร.สุทัศน์ จันบัวลา อาจารย์ประจำสาขาวิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top