Sunday, 19 May 2024
สำนักข่าวการศึกษาออนไลน์สำหรับทุกคน

เด็กไทยเจ๋ง‼️ โชว์ศักยภาพบนเวทีแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติ 2021 AIMO กวาดเหรียญรางวัลรวม 82 เหรียญ ประกอบด้วย เหรียญทอง 16 เหรียญ เหรียญเงิน 39 เหรียญ และเหรียญทองแดง 27 เหรียญ ????????????

คณะกรรมการจัดการแข่งขัน AIMO ได้ประกาศผลการแข่งขัน 2021 AIMO – Asia International Mathematical Olympaid ที่มีการจัดสอบแข่งขันขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่า ตัวแทนเด็กไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันตั้งแต่เกรด 1 – 11 ได้สร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่นานาประเทศอีกครั้ง ด้วยการกวาดเหรียญรางวัลรวม 82 เหรียญ ประกอบด้วย 16 เหรียญทอง 39 เหรียญเงิน และ 27 เหรียญทองแดง พร้อมรางวัลชมเชยอีก 5 รางวัล

2021 AIMO เป็นรายการแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติประเภทบุคคล ที่จัดการแข่งขันผ่านระบบออนไลน์เป็นครั้งแรก อันเนื่องมาจากภาวะวิกฤติจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก ซึ่งดำเนินการจัดการแข่งขันโดยประเทศสมาชิก  ประกอบด้วย Afghanistan, Australia, Azerbaijan, Brazil, Bulgaria, Combodia, China, Hong Kong, Tran, India, Indonesia, Kazakhstan, Macau, Malaysia, Myanmar, Philippines, Singapore, Thailand, Turkey, Uzbekistan, Vietnam 


ที่มา: https://www.facebook.com/1689907974423371/posts/4255955384485271/

พิพิชชญะ ศรีดำ (น้องสไปรท์) | Click on Clever EP.15

บทสัมภาษณ์ รายการ Click on Clever EP.15 
พิพิชชญะ ศรีดำ (น้องสไปรท์) นักเรียน Year 9 โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่ หาดใหญ่
เด็กไทยอายุน้อยที่สุด คว้าเหรียญทอง คณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ (IMO 2021)

อัจฉริยะอายุน้อย เหรียญทองคณิตศาสตร์ระดับโลก พรสวรรค์ ที่มาพร้อม พรแสวง ร่วมค้นหาเคล็ดลับความเก่ง! 

Q: รู้สึกยังไงบ้างที่กลายเป็นเด็กไทยที่อายุน้อยที่สุด ที่คว้าเหรียญทอง คณิตศาสตร์โอลิมปิก เวทีระดับโลก

A: ก็รู้สึกภูมิใจที่ทำได้ตามที่ตั้งไว้ แต่ว่าส่วนนึงผมรู้สึกว่ามันก็เป็นโชคด้วย เพราะคะแนนผมก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก จริงๆ ทุกคนก็เก่งเท่าๆ กันครับ บางทีมันก็อยู่ที่ว่าข้อสอบที่เราเกร็งมากับที่ออกตรงกันหรือเปล่า 

Q: เดินสายแข่งขันทางวิชาการตั้งแต่เด็ก เพราะความชอบ?

A: ตอนประมาณป.2 โรงเรียนได้มีโอกาสเชิญผมไปลองแข่งขันสนามหนึ่งของสสวท. ผมรู้สึกว่ามันก็สนุกดีเวลาที่ได้ทำโจทย์ ผมก็เดินสายนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น 

Q: ทำไมรู้สึกสนุกกับการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ เห็นเสน่ห์อะไร?

A: ผมรู้สึกว่าโจทย์มันแต่งยังไงก็ได้ พอมันพลิกแพลงอะไรนิดนึงแล้วมันดูน่าสนใจ บางทีน่าค้นหา คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่คำตอบแทบจะมีตายตัวเลย แต่ตัววิธีการที่จะได้มาซึ่งคำตอบนั้นบางทีมันก็ต้องใช้ไอเดียที่น่าสนใจ การที่จะได้มาซึ่งไอเดียนั้นก็เป็นขั้นตอนที่สนุก บางทียิ่งยากก็ยิ่งสนุก ผมก็งงตัวเองเหมือนกัน 

Q: วิถีชีวิตของเด็กสายแข่งขันคณิตศาสตร์?

A: หนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง นอนไป 8 เหลือ 16 ผมก็จะแบ่งเวลาออกมาเป็น 8 กับ 8 เอาไปพัฒนาตัวเองในรายวิชาคณิตศาสตร์ อีกส่วนจะเอาไปทำกิจกรรม ตั้งแต่เช้ามาผมก็จะเริ่มเรียนก่อน พอรู้สึกว่ามันเริ่มเครียดแล้ว ผมก็จะไปพัก อาจจะไปทานข้าวหรือเตะบอล จากนั้นก็มาพัฒนาต่อ สลับกันไปเรื่อยๆ ครับ บางทีมันก็ไม่ได้เป๊ะขนาดนั้น มียืดหยุ่นได้บ้าง 

Q: การวางตารางชีวิตแบบนี้ได้มาจากไหน?

A: หลักๆ ก็ได้มาจากคุณพ่อครับ คุณพ่อชอบแบ่งตารางเวลาและเน้นย้ำเรื่องเวลาอยู่เสมอ เขาจะย้ำว่า ในหนึ่งวันแต่ละคนมีเวลาเท่ากัน เราก็ใช้เวลาให้มันคุ้มค่า หากเราแบ่งเวลาจะเป็นตัวช่วยให้เรามีวินัยและทำให้เรารู้ว่าเวลานี้ต้องทำอะไร เพื่อไม่หลุดออกจากลู่ทางไปครับ เพราะหากเราไม่มีตรงนี้ เราก็จะไม่รู้ว่าวันนี้เราได้แบ่งเวลาไปยังไงบ้าง บางทีอาจพัฒนาได้ไม่ครบ

Q: ได้ข่าวว่าชอบออกกำลังกาย การออกกำลังกายพัฒนาเราอย่างไรบ้าง?

A: ช่วงเย็นๆ ประมาณ 5-6 โมงก็มีเตะบอลหน้าบ้านครับ บางครั้งก็เล่นบาสกับครอบครัว เพื่อนบ้าน หรือเพื่อนที่โรงเรียนก็ชวนกันไป แล้วก็ปั่นจักรยานครับ หลักๆ ก็มีเท่านี้ 

การออกกำลังกายทำให้เราผ่อนคลาย บางทีถ้าทำโจทย์คณิตศาสตร์เยอะๆ อาจจะมีความเครียด พอไปออกกำลังกายแล้วรู้สึกผ่อนคลาย นอกจากนี้อาจจะช่วยให้เรามีไหวพริบมากขึ้นด้วย ซึ่งตรงนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเกี่ยวกันหรือเปล่า แต่บางทีที่เราเล่นบอลเล่นบาสมันก็ต้องใช้ไหวพริบ ซึ่งตรงนี้ก็จะมาช่วยในการฝึกแก้โจทย์ด้วย

Q: เมื่อต้องแข่งขัน รู้สึกเครียดและกดดันไหม? บริหารจัดการความกดดันอย่างไร?

A: จริงๆ ก็มีเครียดเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองจากการมองโจทย์คณิตศาสตร์ว่าน่าเบื่อ เครียด มองให้มันสนุก แล้วเอนจอยไปกับมัน จะช่วยลดความเครียดได้ระดับนึงครับ ผมชอบไปหาโจทย์ที่ท้าทายเอามาทำ บางทีก็คิดไม่ออก แต่ผมก็สอนตัวผมเอง รู้สึกว่าถ้าเกิดมันยิ่งยากก็ยิ่งท้าทาย ยิ่งสนุก

ถ้าเป็นในห้องสอบแล้วทำไม่ได้ผมก็เครียดอยู่ครับ แต่ถ้ามาฝึกทำแบบนี้ เวลามันมีเหลือเฟือ บางโจทย์ผมก็ใช้เวลา 2-3 วันในการคิดก็มี แต่ถ้ามันคิดไม่ออกแล้วจริงๆ ผมแนะนำว่าให้ดูเฉลยดีกว่า มันจะได้ไอเดียใหม่ๆ ไปทำโจทย์ข้ออื่นด้วย

Q: คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนอย่างไรบ้าง?

A: คุณพ่อคุณแม่ก็จะช่วยหาสนามสอบหรือบางทีก็จะช่วยหาข้อสอบที่น่าสนใจมาให้ผมลองทำ แล้วก็ช่วยไกด์แนวทางที่จะไปถึงจุดที่ผมต้องการ ผมรู้สึกว่าการที่ได้เหรียญทองโอลิมปิกอะไรประมาณนี้ก็เป็นเกียรติที่น่าชื่นชม ผมก็เลยตั้งไว้

Q: คติประจำใจ “I would like to say every moment counts for you, so make the time that you spend for your dreams a very special moment, make sure that you do something that you’ll be happy with when you go back and look at yourself” – Jennie Kim I BLACKPINK บ่งบอกถึงความคิด ตัวตนของตัวเองอย่างไร?

A: สรุปง่ายๆ ก็คือ เราทำสิ่งที่เราต้องการ และจงระลึกไว้ว่า อย่าใช้เวลาให้มันสิ้นเปลือง เราใช้เวลากับสิ่งที่จะพัฒนาตัวเราให้ไปถึงจุดนั้น เพื่อที่ว่าในอนาคตเรามองกลับมาที่ตัวเราในวันนี้ เราจะไม่เสียดายทีหลังครับ 

Q: นิยามความสุขที่เราได้เจอกับสิ่งที่รักอย่างคณิตศาสตร์

A: ความสุขมันก็เหมือนกับ เวลาผมทำโจทย์คณิตศาสตร์แล้วบางทีทำไม่ได้ มันก็ยิ่งท้าทาย เหมือนติดกับมันไปแล้ว เอาออกจากหัวไม่ได้ มันก็กลายเป็นความสุข

Q: คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงไหมเวลาทำโจทย์หนักๆ ให้บาลานซ์ชีวิตด้านอื่นอย่างไรบ้าง?

A: จริงๆ ก็มีมาบอกให้บาลานซ์เรื่องการทำโจทย์และเรื่องการไปทำกิจกรรมอย่างอื่น บางทีเขาก็จับเวลาแล้วหาเวลาพาครอบครัวไปทำกิจกรรมด้วยกัน ตรงนี้ก็ช่วยพักผ่อนสมอง ทำให้ไม่เครียดมาก

Q: การเรียนในโรงเรียนอินเตอร์กับโรงเรียนไทยแตกต่างกันอย่างไร?

A: โรงเรียนอินเตอร์จะให้สิทธิในการเลือกมากกว่า ถ้าเราถนัดอันนี้ เขาก็จะส่งเสริมด้านนี้โดยเฉพาะ หรือถ้าเกิดเราไม่ถนัดด้านนี้ คุณครูก็จะเทคแคร์เราโดยเฉพาะ อาจจะมากกว่าเพื่อนคนอื่น ส่วนโรงเรียนไทยบางทีเด็กเยอะ เขาก็จะดูเป็นภาพรวมไป เช่น ทั้งห้องดูเกรดโดยรวมแล้วอ่อนวิชานี้ ก็จะไปส่งเสริมวิชานี้


Q: มีงานอดิเรกไหม

A: ส่วนใหญ่ก็ฟังเพลงครับ เวลาว่างๆ ผมก็หาเพลงในยูทูปฟัง ผมชอบฟังเพลงเกาหลีครับ ฟังไม่ออกผมก็เลยชอบฟัง รู้สึกมันน่าสนใจ ถ้าฟังออกเดี๋ยวเราจะมีความรู้สึกร่วมไปกับมัน พอฟังไม่ออกก็ไหลไปตามเนื้อ 

Q: มีความฝันไหม ได้เหรียญทองโอลิมปิกวิชาการแล้ว หลังจากนี้จะยังคงอยู่ในเส้นทางการแข่งขันวิชาการต่อไปไหม?

A: ที่ผมคิดไว้ก็จะไปแข่งรายการนี้อีก 1 ปีครับ จากนั้นผมก็อาจจะลองใช้ชีวิตดูครับ หาประสบการณ์ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนี้ที่เล็งไว้อยากไปศึกษาต่อต่างประเทศ อย่างอเมริกา มหาลัยในฝันก็ Stanford MIT อยากไปเรียนด้านเทคโนโลยี รู้สึกว่ามันก้าวหน้าดี ที่ผมสนใจก็มี อีลอน มัสก์ กับ สตีฟ จอบส์ เขาพัฒนาเหมือนรับช่วงต่อจากเทคโนโลยีและพัฒนาให้มันไปได้ไกลกว่าเดิม ไม่ได้ย่ำอยู่กับที่ 

Q: มีบทความ เว็บไซต์ หรือหนังสืออะไรที่อยากแนะนำไหม?

A: หนังสือที่ผมชอบก็จะเป็น ซีรีย์ของเซเปียนส์ ผมว่ามันบอกกล่าวเกี่ยวกับตัวมนุษย์ได้ดีครับ บางทีเราอาจจะไปสังเกตพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อนำมาพัฒนาเทคโนโลยีได้พอกับความต้องการ  

Q: ฝากคำแนะนำสำหรับเพื่อนๆ น้องๆ ในการเตรียมตัวที่จะไปแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก

A: พูดถึงเรื่องการคิดก่อนแล้วกันนะครับ อันดับแรกคืออย่าไปกลัวโจทย์ ผมเห็นเด็กหลายคนเวลาเห็นโจทย์มาจากสนามนี้คิดว่ามันต้องยาก เราไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องนั้น เราแค่ทำมัน แล้วก็หวังว่ามันจะทำออก ให้เราตั้งเป้าไว้สูง เพราะการที่เราตั้งเป้าไว้ที่จุดนึงเนี่ย เราไม่มีทางไปเกินเพดานเป้านั้นแน่นอน อาจจะตกลงมานิดหน่อย ถ้าเกิดเราอยากได้เลเวล 3 ให้ตั้งเป้าไว้เลเวล 4 เลเวล 5 ไปเลยก็ได้ 

ใช้เวลาเตรียมตัวจริงๆ สองปีครับ ตามขั้นตอนปกติ แต่ถ้าเรามีการตกรอบ อาจจะต้องไปวนใหม่อีกปีนึง ซึ่งการที่จะป้องกันตรงนี้ได้ เราก็ต้องทำโจทย์เยอะพอสมควร เพื่อให้มีประสบการณ์ของโจทย์ที่หลากหลาย เวลาเจอโจทย์อะไรเราก็จะได้มีไอเดียที่จะนำไปประยุกต์ใช้ต่อครับ 

Q: เวลาผิดหวัง ให้กำลังใจตัวเองอย่างไร?

A: ถ้าผมผิดหวัง ผมก็จะพยายามลืมเรื่องนั้นไปครับ เพราะถ้าเราไปจมอยู่กับตรงนั้น มันก็จะยิ่งเศร้า ผมก็อาจจะไปหากิจกรรมอย่างอื่นมาทำเพื่อปลอบใจตัวเอง อย่างเช่นเล่นกีฬา แล้วค่อยกลับมาทำโจทย์ใหม่ พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น 

.

.

.

.

สถาปัตย์นอกคอก กลายเป็น "ครูโยคะฟลาย" จนได้ดีบนผ้าพริ้ว กับ ครูต้น ธัญณกรณ์ | Click on Crazy EP.2

บทสัมภาษณ์รายการ Click on Crazy EP.2
ธัญณกรณ์ ธิบูรณ์บุญธรณ์ (ครูต้น) 
คุณครูสอนโยคะฟลาย ประสบการณ์กว่า 8 ปี

Q : แนะนำตัวหน่อยค่ะ

A : ครูต้น ธัญณกรณ์ ธิบูรณ์บุญธรณ์ ครับ ปัจจุบันสอนโยคะอยู่ที่สถาบัน Yoga&Me เป็นคลาสโยคะฟลาย คลาสเต้นและคลาสบาร์พิลาทิสครับ จบสถาปัตยกรรมภายใน มีความถนัดในเรื่องของการแสดง และก็พัฒนาตัวเองต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบันนี้ครับ เป็นคุณครูมาประมาณ 8 – 9 ปีแล้วนะครับ 

Q : ครูต้นเรียกตัวเองว่าเป็น “สถาปัตย์นอกคอก” อะไรคือคำนิยามของสถาปัตย์นอกคอก และ ทำไมครูต้นถึงเรียกตัวเองแบบนั้น ?

A : ตั้งแต่ในสมัยเด็กมีความสามารถในการวาดรูป ก็เลยมองตัวเองว่าจะมีวิชาไหนบ้างที่เป็นศิลปะและสามารถหาเลี้ยงชีพได้เป็นอย่างดี ก็เลยเลือกที่จะเข้าไปสอบวิชาสถาปัตยกรรม แต่ช่วงแรกก็มีไปสอบวิศวะบ้าง วิทย์-คอม บ้างแต่สุดท้ายแล้วก็เลือกเรียนสถาปัตยกรรมภายใน 

ส่วนสถาปัตย์นอกคอกคือ ในช่วงระหว่างที่เรียนก็มีไปทำงานเพิ่มเติมบ้าง ก็เลยเอาความสามารถส่วนตัวอย่างเรื่องของการแสดงไปหารายได้เพิ่ม กลายเป็นเด็กสถาปัตย์ที่ตอนเช้าไปเรียน พอกลางคืนก็ต้องไปทำงานการแสดง ทำให้การใช้ชีวิตของเราแตกต่างจากเด็กสถาปัตย์คนอื่น ๆ มีวงจรของตัวเองในการทำงาน นอนวันล่ะ 3-4 ชั่วโมง ต้องรีบทำงานให้เสร็จ ส่งการบ้าน ทักษะที่ได้จากการเรียนสถาปัตยกรรมเลยมีเพียงแค่การวาดรูป 

Q : จากการเป็น “สถาปัตย์นอกคอก” สู่การเป็น ครูสอนโยคะฟลาย จุดเริ่มต้นเป็นอย่างไร ?

A : หลังจากที่เรียนสถาปัตย์มาก็ได้เข้ามาทำงานเกี่ยวกับงานอีเวนต์ จัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้เอางานของตัวเองไปขายลูกค้า โดยตัวเองนั้นทำทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่องค์ประกอบงานต่าง ๆ รูปแบบเวที สคริปต์พิธีกร เป็นงานอีเวนต์ใหญ่ ทำอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายได้กำไรมาน้อย เลยรู้สึกว่าตัวเองอาจจะไม่เหมาะกับงานนี้ เลยออกมาทำงานการแสดงได้แสดงมาเรื่อย ๆ และได้ไปออดิชั่นละครเวที ฟ้าจรดทรายเดอะมิวสิคเคิล และได้ไปอยู่ค่ายละครเวที Dreambox

และมีผู้ใหญ่ได้เข้ามาดูเหล่านักแสดงที่มีประสิทธิภาพ performance ดีให้ทุนไปเรียนเพื่อเป็นคุณครูสอนโยคะฟลาย ต้องมีการสอบเป็นคุณครูโยคะฟลาย โดยตัวเองเป็นคุณครูช้าที่สุด เพราะตอนแสดงละครหรือตอนเรียนโยคะฟลายเราสามารถจัดตัวเองได้ แต่พอเป็นคุณครูจะต้องอธิบายนักเรียน เราไม่ยอมพูด จนผู้ใหญ่บอกให้พูดให้อธิบายกับนักเรียนหน่อย ใช้เวลาประมาณ 6 เดือนเพื่อที่จะได้ฝึกฝนการเป็นคุณครู พิสูจน์ตัวเองว่าตัวเองสามารถทำได้ เมื่อเราสะสมประสบการณ์จากการ performance ความสร้างสรรค์บวกกับการเป็นคุณครูรู้วิธีการพูด ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นอิสระทางด้านความคิด ทำให้เราได้คิดค้นท่าทางต่าง ๆ มากมาย และโชคดีที่มีคนสนับสนุน นักเรียนก็ชื่นชอบ ถือว่าเป็นความท้าทายสำหรับตัวเองมาก ๆ อย่างหนึ่ง

Q : คำว่า “โยคะ” และ “โยคะฟลาย” แตกต่างกันอย่างไร ในความคิดของครูต้น 

A : พื้นฐานหลัก ๆ เป็นเรื่องของร่างกาย โยคะฟลายเป็นการฝึกร่างกายโดยการใช้อุปกรณ์ในเบื้องต้น เราคุมร่างกายตัวเองและใช้อุปกรณ์เป็น ในสตูดิโอจะมีระดับชั้นในการเรียน เรียนรู้การควบคุมตัวเอง ในแต่ละระดับ 

Q : คลาสหนึ่งของครูต้นมีนักเรียนเยอะไหมคะ ?

A : มีประมาณ 12 – 16 คนครับ ในแต่ละช่วง ช่วงที่เราไปทำงานเราเป็นรุ่นที่ 2 ของสถาบัน Yoga&Me ที่มาสอน เราค่อนข้างที่จะบุกเบิกในเรื่องของการสอนโยคะฟลาย ในช่วงยุคนั้นจะเป็นที่นิยมและมีการพัฒนาการสอนมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่พื้นฐานจนไปถึงโยคะฟลายประกอบเพลงด้วย 

Q : ถ้านักเรียนไม่สามารถทำท่าโยคะฟลายตามที่เราสอนได้ หรือ มีการหมดกำลังใจ ไม่มีสติในการเรียน ครูต้นมีวิธีการอย่างไร ? 

A : การเป็นคุณครูทำให้เรามีประสบการณ์ในการสอนมาก ทำให้เรารู้ว่านักเรียนแต่ละคนมีความแตกต่างมากน้อยเพียงใด บางคนต้องการความเอาใจใส่เราก็จะไปอยู่ใกล้ ๆ ให้นักเรียนรู้สึกอุ่นใจ ถ้านักเรียนยังไม่พร้อมที่จะทำ เราจะเข้าไปสอนใกล้ ๆ ไม่ให้กดดันกับคลาส ให้นักเรียนฝึกและใช้เวลา ทุกอย่างต้องไปด้วยกัน นักเรียนจะต้องสบายใจกับคุณครู ให้รู้สึกว่าที่นี้เป็นพื้นที่ของนักเรียนให้ได้ ให้นักเรียนมั่นใจ การก้าวเข้ามาเป็นสิ่งใหม่เสมอ ให้กำลังใจนักเรียนทุก ๆ คน

Q : ช่วงนี้มีสถานการณ์โควิดเข้ามาทำให้การสอนโยคะฟลายเป็นเรื่องยากมากขึ้น ครูต้นมีวิธีการปรับเปลี่ยนทัศนคติอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้

A : ตอนแรกไม่ได้คิดว่าสถานการณ์เกิดขึ้นนานขนาดนี้ ในช่วงแรกที่โควิดเข้ามาเรามีการไลฟ์สอนออกกำลังกายให้นักเรียนได้เห็น และก็ได้เปิดสถาบันสอน พอมาตอนนี้ช่วงสถานการณ์ค่อนข้างยาวนาน เพราะอาชีพที่เราเป็นทั้งคุณครูสอนโยคะฟลาย นักแสดงละครเวที ศิลปะต่าง ๆ เราจะต้องพบปะผู้คนหมดเลย ทำให้เราคิดว่าเราไม่รู้จะทำอะไร เลยเริ่มมีการสอนออนไลน์แต่ความมั่นใจในการสอนกลับลดน้อยลง ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องยากสำหรับเรา ช่วงโควิดระลอกใหม่เราเก็บตัวถึง 2 เดือน ไม่ยุ่งกับ Social Media เลย สักพักหนึ่งเราเริ่มมีการมองหาอาชีพอื่น ขายของ ทำอาหารขาย และมีการปรึกษากับเพื่อน ๆ  ความมั่นใจกับศักยภาพตัวเองลดน้อยลง

เลยเริ่มมองหางานอดิเรกให้ตัวเองได้ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น เลยได้มีโอกาสวาดภาพสีน้ำมัน พอวาดสำเร็จก็เกิดความคิดใหม่ ๆ ขึ้นมา และมีคนชื่นชมยินดี มีคนมาขอซื้อรูปวาดด้วย และก็ได้มีงานวาดรูปต่อมาเรื่อย ๆ และมีการเปิดสอนคลาสเต้น ก็มีคนมาเข้าเรียน เราก็เลยรู้สึกว่าที่ผ่านมาเราทำอะไรอยู่ พอเรามั่นใจ หลาย ๆ คนก็เปิดโอกาสให้กับเรา งานก็เริ่มมีเข้ามาเรื่อย ๆ เราจะคิดแบบเดิมไม่ได้ เราจะต้องมีความคิด New Normal มาจากสมองของเรา งานแบบไหนที่เราสามารถทำได้ ในช่วงสถานการณ์แบบนี้  เราก็เริ่มมีการจัดฟังก์ชันบ้าน ทำความสะอาดห้อง จัดของต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ทำให้ระบบความคิดของเรามีศักยภาพ แบ่งปันประสบการณ์ พูดคุยกับผู้คนใน Social Media เราต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน 

Q : แล้วถ้าคนที่กำลังท้อ หรือ หมดกำลังใจ ครูต้นอยากฝากอะไรให้กับผู้คนเหล่านั้น 

A : เราอาจจะแนะนำวิธีกับใครไม่ค่อยได้ แต่เราจะแนะนำวิธีของเรา เริ่มต้นจากการจัดฟังก์ชั่นของตัวเองง่าย ๆ เช่นการทำบ้านให้สะอาด พอเราไม่รู้ว่าตัวเองจะออกจากจุดนี้ยังไง วิธีนี้มาจากตอนเรียนสถาปัตย์คือให้เราวาด Mind Mapping แบ่งออกมา ตัวเราทำอะไรได้บ้าง แตกแขนงออกไป แล้วตัวที่เราทำอะไรได้บ้างแล้วเราจะทำอย่างไรในตอนนี้ ลิสต์มันออกมาให้เห็นเป็นภาพ

ถ้าคุณยังไม่มั่นใจที่จะไปพูดคุยกับใครให้เขียน Mind Mapping ของตัวเองดูก่อน เราพอจะทำอะไรได้บ้างจากศักยภาพของตัวเราเอง และเราจะทำอะไรเพิ่มได้บ้างจากศักยภาพใหม่ที่คุณอยากเรียนรู้ ทำอาหาร ถ่ายรูป หรือ ขายของ ให้เราจำแนกออกมา จะทำให้เราเห็นตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อย่าพะวงอยู่ในหัวของตัวเอง ให้มันกระจายออกมา ถ้ายังไม่ได้จริง ๆ ให้คุณเดินออกไปจากในห้อง แล้วก็มองกว้าง ๆ ออกไป สูดอากาศให้ลึก ที่กล่าวมาทั้งหมดเริ่มจากตรงไหนก็ได้ แต่ขอให้คุณออกจากตัวเองไปก่อน ถ้าคุณทำได้คุณจะเห็นช่องทางหลาย ๆ ทางและจะมีคนรอซัพพอร์ตเราอยู่ เราก็ต้องส่งความรัก และ กำลังใจกลับไปให้ด้วย 

Q : ครูต้นมีความฝันอะไรต่อจากนี้ 

A : สิ่งแรกเลยคงจะสอนออนไลน์ต่อไป มีลูกศิษย์คนหนึ่งจะไปทำงานที่ต่างประเทศแล้วบอกให้เราสอนออนไลน์ต่อไปเพื่อเป็นช่องทางในการออกกำลังกาย เราจะได้เจอกันต่อไปเรื่อย ๆ เราอยากที่จะให้ช่องทางออนไลน์เจริญต่อเรื่อย ๆ ให้มีลูกศิษย์กระจายกว้างมากขึ้น จะตั้งใจทำแบบเดิมแม้มีนักเรียน 2 คน 5 คนหรือ 10 คน เราทำออนไลน์แบบนี้ทำให้เรารู้สึกสร้างความอบอุ่นขึ้นมาได้ จะใส่ใจในทุกรายละเอียดที่เจอกัน จะเป็นครูที่ดีมากคนหนึ่ง ในส่วนของออนไลน์ จะพัฒนาต่อยอดไป

ในอนาคตก็คงสร้างคลาสออนไลน์จากความถนัด อาจจะเปิดฟรีก่อนให้นักเรียนมั่นใจในตัวผู้สอนหลังจากนั้นจะเปิดหารายได้อะไรก็ว่ากันไป ส่วนเรื่องของศิลปะเราก็จะไม่ทิ้ง หลังจากที่เราทิ้งไว้มา 10 ปี ปรากฎว่าเรากลับมาทำแล้วมีคนซัพพอร์ตเราขึ้นมา เราก็จะต่อยอดไปเรื่อย ๆ อาจจะวาดด้วยมือหรือวาดลงคอมพิวเตอร์ จะลองทำต่อไปในช่วงแรกที่เราได้ เราอาจจะไม่เก่งในทางด้านธุรกิจแต่คงจะมีการถ่ายทอดต่อ ๆ ไปได้จากศักยภาพที่เรามีและจะมีประโยชน์กับคนทั่วไปได้ด้วยครับ 

สนใจเรียน โยคะฟลาย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.yogaandme.net/

.

.


.

โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้พัฒนาทฤษฎีความรัก 3 องค์ประกอบ ซึ่งได้แก่ ความใกล้ชิด ความหลงใหล และการผูกมัด จากองค์ประกอบนี้สามารถแยกความรักได้เป็น 7 รูปแบบ

เคยสงสัยกันบ้างไหมคะ ว่าแท้จริงแล้วความรักในชีวิตคนเรามีกี่รูปแบบ สามารถอธิบาย แบ่งแยกได้จากอะไร ผู้เขียนมีโอกาสได้ศึกษาและอ่านบทความที่น่าสนใจ อธิบายถึงนิยามความรัก 7 รูปแบบตามหลักจิตวิทยา 

หากถามว่า รักคืออะไร? แน่นอนว่านักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์พยายามตอบคำถามนี้มาเป็นเวลาหลายปี ในช่วงปี 1986 โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้พัฒนาทฤษฎีความรัก 3 องค์ประกอบ หรือที่ตั้งชื่อว่า ‘สามเหลี่ยมความรัก’ (triangular theory of love) ซึ่งได้แก่ ความใกล้ชิด ความหลงใหล และการผูกมัด จากองค์ประกอบนี้เอง สเติร์นเบิร์ก ได้แยกความรักออกเป็น 7 รูปแบบ คือ

1. ความหลงใหล 

ช่วงนี้นั้นเป็นช่วงที่ผู้คนแทบไม่รู้จักกัน แต่รู้สึกถึงแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ในความสัมพันธ์นี้คนสองคนมักไม่มีความคิดที่ว่าทั้งคู่มีอะไรเหมือนหรือต่างกัน แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ด้วยกัน

2. ความชอบ

ในความสัมพันธ์นี้ คุณสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ตลอดเวลา ความรักประเภทนี้ ผู้คนมักจะอยู่ด้วยกันเพราะมีความสนใจร่วมกัน มีมุมมองเกี่ยวกับชีวิตและความรู้สึกเข้าใจกัน นักจิตวิทยาเชื่อว่าความใกล้ชิดที่ปราศจากความหลงใหลและการผูกมัดจะส่งผลให้เกิดมิตรภาพมากกว่าความรักที่เต็มเปี่ยม

3. รักที่ว่างเปล่า

ความรักประเภทนี้มีเพียงการผูกมัด โดยปราศจากความใกล้ชิดและความหลงใหล บางครั้งความสัมพันธ์ประเภทนี้จะเกิดขึ้นหลังจากความรักที่ยิ่งใหญ่และเร่าร้อน หรือที่เรียกว่า ‘จุดอิ่มตัว’ คนที่พบกับความรักที่ว่างเปล่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ คือเพิ่มความหลงใหลให้กับความรู้สึกของพวกเขา

4. รักสายฟ้าแลบ

ความรักประเภทนี้ประกอบด้วยการผูกมัดและความหลงใหล เป็นที่คุ้นเคยสำหรับคู่รักหลาย ๆ คู่ นี่คือความรักที่เกิดขึ้นเมื่อคน 2 คนดึงดูดซึ่งกันและกันจริง ๆ และพร้อมที่จะทำตามประเพณีบางอย่าง เช่น การแต่งงาน การแลกเปลี่ยนคำปฏิญาณ และการแบ่งปันหน้าที่ในบ้าน แต่ไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนมที่แท้จริง

5. ความรักโรแมนติก

ความรักประเภทนี้ประกอบด้วยความหลงใหลและความใกล้ชิด คู่รักรูปแบบนี้ดึงดูดซึ่งกันและกัน และรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ข้าง ๆ กัน แต่พวกเขายังไม่พร้อมที่จะให้คำมั่นสัญญาที่จริงจัง ความสัมพันธ์ประเภทนี้มักจะไปไม่ถึงระดับของการอยู่ร่วมกันหรือการแต่งงาน

6. ความรักแบบมิตรภาพ

ความรักแบบเพื่อนประกอบด้วยการผูกมัดและความใกล้ชิด ความสัมพันธ์ดังกล่าวแน่นแฟ้นกว่ามิตรภาพทั่วไปมากและมีความผูกพันที่แท้จริง เป็นข้อตกลงที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ เพราะความรักประเภทนี้ขาดความหลงใหล นักจิตวิทยากล่าวว่าความสัมพันธ์แบบคู่หูสามารถเกิดขึ้นได้หลังจากรู้จักหรือแต่งงานกันมานานหลายปี

7. ความรักที่สมบูรณ์

ความรักนี้มีองค์ประกอบครบทั้ง 3 คือ ความหลงใหล ความใกล้ชิด และการผูกมัด ในความเป็นจริงแทบจะไม่เห็นความสัมพันธ์ประเภทนี้ แต่ถ้าผู้คนสามารถสร้างความสัมพันธ์นี้ได้ แสดงว่าพวกเขารักกันอย่างแท้จริง คู่รักเหล่านี้มักจะมีชีวิตที่ยืนยาวด้วยกันและมีความสุขกับชีวิตแต่งงาน

บางครั้งการจัดประเภทความรัก อาจจะช่วยให้คุณมองรูปแบบความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ออกออก และเรียนรู้วิธีที่จะรับมือกับมัน แล้วคุณผู้อ่านเคยพบเจอกับความรักรูปแบบไหนกันมาบ้าง หรือมุ่งหวังให้ความสัมพันธ์ของคุณกับคู่เป็นไปในรูปแบบใด ลองมาแลกเปลี่ยนกันได้นะคะ สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนพบเจอความรักที่พอดีกับตัวเองค่ะ

เขียนโดย: เพลิน ภารวี สุภามาลา Content Editor THE STUDY TIMES


ข้อมูลอ้างอิง: https://brightside.me/inspiration-relationships/psychologists-defined-7-types-of-love-and-only-few-people-experience-the-last-one-603360/

เรื่องการเงินถือว่ามีความสำคัญในการเลี้ยงลูกในยุคใหม่ ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายทางด้านการศึกษารวมไปถึงค่ากิจกรรมต่าง ๆ คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรศึกษาและมีการวางแผนการเงินให้ดีเพื่อไม่ส่งผลกระทบต่อลูก

สิ่งสำคัญที่สุดในการเลี้ยงลูกนอกจากความรัก ความเอาใจใส่ดูแลของคุณพ่อและคุณแม่ เรื่องค่าใช้จ่ายก็ถือว่ามีความสำคัญที่จะต้องดูแลและจัดการให้ดี เพราะในยุคปัจจุบันการเงินถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการเลี้ยงลูก ยิ่งโดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ควรที่จะมีการวางแผนให้ดี 

คุณแม่อุ้ย กัลยวีร์ โรจน์พัฒนา นักวางแผนการเงิน CFP และเจ้าของเพจที่ชื่อว่า "การเงินฉบับคุณแม่ต้องรู้" ได้เล่าถึงการจัดสรรเงินค่าใช้จ่ายโดยสิ่งที่ต้องจัดการหลัก ๆ มีดังต่อไปนี้ 

1.) การจัดสรรเงินเป็นก้อน ๆ แยกค่าใช้จ่ายออกมาเป็นหลาย ๆ ส่วน ที่เราจะต้องรับผิดชอบให้ชัดเจน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหารต่าง ๆ เงินเก็บที่จะต้องออม และ ค่าใช้จ่ายเรื่องลูก อาจจะมีการวางแผนเขียนออกมาเป็นสัดส่วนเพื่อให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างโทรศัพท์มือถือของเราก็จะมีแอพลิเคชันรายรับ รายจ่าย รวมไปถึงแอพลิเคชันธนาคารจะทำให้เราได้เห็นรายรับรายจ่ายที่ชัดเจน 

2.) แยกบัญชีที่เป็นธุรกรรมทางการเงินสำหรับลูกโดยเฉพาะ การมีบัญชีเก็บเอาไว้สำหรับค่าใช้จ่ายในเรื่องลูกจะทำให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่สามารถมีเงินเก็บในส่วนนี้ แยกออกไปจากค่าใช้จ่ายปกติได้ โดยบัญชีนี้อาจจะรวมพวกค่าเทอม ค่ากิจกรรมต่าง ๆ ของลูก เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ได้เห็นภาพโดยรวมชัดเจนว่าในแต่ละเดือนลูก ๆ ของคุณมีค่าใช้จ่ายเท่าไร และเราสามารถออมเงินเพื่อเก็บไว้ให้ลูกจากบัญชีที่เป็นธุรกรรมทางการเงินของลูกโดยเฉพาะได้ อาจจะโอนเป็นรายเดือนเก็บเอาไว้

3.) ทำตารางค่าใช้จ่ายของลูก การศึกษาเปรียบเทียบค่าเทอม หรือ ค่ากิจกรรมต่าง ๆ จะทำให้คุณพ่อและคุณแม่ได้ทราบว่าถ้าลูกจะต้องเรียนในโรงเรียนแห่งนี้จะต้องเสียค่าเทอมเท่าไร หรือ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เราจะได้คำนวณและวางแผนทางการเงินได้อย่างง่ายและดียิ่งขึ้น เช่น ถ้าเราต้องการให้ลูกเรียนโรงเรียนที่มีการเรียนแบบ English Program จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเท่าไร การเรียนพิเศษในแต่ละที่มีค่าใช้จ่ายเท่าไร เป็นต้น 

นอกจากคุณพ่อคุณแม่จะวางแผนเรื่องการเงินให้กับลูก ๆ แล้ว คุณแม่อุ้ย ยังให้แนวทางปฏิบัติกับคุณพ่อคุณแม่ให้ปลูกฝังในเรื่องของการออมเงินหรือการประหยัดให้กับลูก ๆ ได้อีกด้วยเช่นการอ่านหนังสือนิทาน หรือ การฝึกให้ลูกหยอดกระปุกออมสินเพื่อที่จะได้ซื้อของที่อยากได้ ฝึกการออมให้เป็น ทำทุกวันเป็นนิสัย หรือมีกิจกรรมสนุก ๆ เช่นการเล่นบทบาทสมมุติเป็นคนขายของเพื่อฝึกการคิดเลข ต่อยอดเป็นการรู้จักให้ลูกรู้ในเรื่องของการหาเงินแต่ละบาทมีความยากมากแค่ไหน 

การปลูกฝังลูกในเรื่องของการวางแผนการเงิน การออมเงินตั้งแต่เล็ก ๆ ก็จะทำให้ลูกมีความรู้และฝึกความคิดในเรื่องของการบริหารทางการเงิน โดยทั้งหมดจะต้องเริ่มต้นจากพฤติกรรมของคุณพ่อและคุณแม่ เริ่มปรับที่ตัวของเรา การวางแผนทางการเงินก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป 


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก
หัวข้อ : วางแผนทางการเงิน เรื่องสำคัญสำหรับพ่อแม่มือใหม่
Link : https://www.facebook.com/foryourchildz/videos/362360858805105
เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: สถาพร สุตจิตจูล 
 

“โรคไมเกรน” ถือว่าเป็นโรคที่คนไทยหลาย ๆ คนเป็น เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดในสมองมีการหดตัว ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวข้างเดียว ต้องทานยาสำหรับโรคนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้หลาย ๆ คนก็สามารถเป็นโรคไมเกรนเทียมได้อีกด้วย !

'โรคไมเกรน' หรือ การปวดหัวข้างเดียว เกิดจากความผิดปกติในการหดตัวของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง มักเกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุ แต่อาจมีตัวกระตุ้น เช่น แสง สี เสียง กลิ่น อากาศร้อน หรือการมีประจำเดือน มักมีอาการปวดหัวข้างเดียว หรือปวดสลับข้างกัน หากเป็นมากจะเห็นแสงจ้าหรือแสงระยิบระยับร่วมด้วย ซึ่งการปวดหัวไมเกรนมักดีขึ้นได้ด้วยการรับประทานยาแก้ปวดไมเกรนโดยเฉพาะ (ยาพาราเซตามอลไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น)

อย่างไรก็ตามหากรับประทานยารักษาไมเกรนแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจเกิดจาก 'ไมเกรนเทียม' แฝงอยู่ก็เป็นได้ !! 

ไมเกรนเทียมไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง แต่เกิดจากการเกร็งตัว หรือหดสั้นของกลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณ คอ บ่า และฐานกะโหลกศีรษะ โดยกลุ่มกล้ามเนื้อที่มักก่อให้เกิดการปวดคล้ายไมเกรนพบได้หลายมัด เช่น Suboccipital, Upper trapezius, Semispinalis capitis, Splenius capitis, Sternocleidomastoid Muscle ซึ่งกล้ามเนื้อเหล่านี้เป็นกลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่หลักในการพยุงกะโหลกศีรษะ การหันหน้า และการก้มเงยคอ 
เนื่องจากกล้ามเนื้อเหล่านี้มีจุดเกาะอยู่ที่กระดูกสันหลังส่วนคอและฐานกะโหลก

เมื่อเกร็งคอและบ่าเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดการปวดสะสมขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงอาจแยกไม่ออกว่าอาการปวดหัวข้างเดียวเกิดขึ้นเกิดจากไมเกรนเทียมหรือไม่

ทั้งนี้ ไมเกรนเทียมสามารถพบได้บ่อยไม่ต่างจากไมเกรนแท้!! แต่สามารถสังเกตได้!! 

วิธีสังเกตอาการของไมเกรนเทียม สังเกตได้จากเมื่อเกิดการปวดหัวข้างเดียว ขณะที่มีการใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้งานคอมพิวเตอร์ หรือ มือถือ รวมถึงการทรงท่าที่ผิดปกติ เช่น ไหล่ห่อ คอยื่น เป็นต้น 

นอกจากนี้ไมเกรนเทียมยังสามารถพบจุดกดเจ็บ (Trigger Point) หรือกล้ามเนื้อที่เกร็งค้างบริเวณคอ บ่า และใต้ฐานกะโหลก ซึ่งเมื่อทำการกด นวด หรือยืดกล้ามเนื้อมัดดังกล่าว อาจมีการปวดร้าวไปยังบริเวณต่าง ๆ 

ส่วนวิธีป้องกันไมเกรนเทียมที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงการทำงานที่ต้องนั่งนาน ๆ เนื่องจากกล้ามเนื้อมีการเกร็งและนำไปสู่การบาดเจ็บได้ มีข้อควรปฏิบัติดังนี้... 

>> หากต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำงานควรจัดระดับหน้าจอ เก้าอี้ และคีย์บอร์ดให้เหมาะสม ควรเป็นเก้าอี้ที่มีที่รองแขน เพื่อให้ไม่ต้องออกแรงยกไหล่ขึ้นตลอดเวลา ปรับระดับหน้าจอ และความสูงของเก้าอี้ 

>> ใส่แว่นสายตาและจัดแสงสว่างให้เหมาะสมกับการทำงานประเภทต่าง ๆ เพราะการต้องเพ่งมองมาก ๆ ทำให้กล้ามเนื้อคอ บ่า และฐานกะโหลกเกร็งตัวมากขึ้น

>> เปลี่ยนอิริยาบททุกชั่วโมง เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย หรือดื่มน้ำ 1-2 แก้วทุกชั่วโมงทำให้ต้องเปลี่ยนอิริยาบทและเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ระหว่างวันควรออกกำลังกายกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่อย่างสม่ำเสมอ ดังต่อไปนี้... 

ยืดกล้ามเนื้อบ่า 

เริ่มจากนำแขนข้างที่จะยืดไปไว้ด้านหลัง แล้วใช้มืออีกข้างจับไว้ โดยเอียงศีรษะไปด้านตรงข้าม ช้า ๆ เอียงจนรู้สึกตึงบ่าด้านขวา หรือให้หูซ้ายเข้าใกล้บ่าซ้ายมากที่สุด หากยังไม่รู้สึกตึงให้หมุนหน้าไปทางซ้ายหรือขวาเล็กน้อย ยืดค้าง 5-10 วินาที รอบละ 10-15 ครั้ง

บริหารกล้ามเนื้อฐานกะโหลก

ทำท่าเก็บคาง หรือพยายามเอาคางชิดอกโดยไม่ก้มคอ ห้ามกลั้นหายใจขณะทำ เกร็งค้างเบา ๆ 5-10 วินาที ทำรอบละ 10-15 ครั้ง

บริหารกล้ามเนื้อต้นคอ

...นอนคว่ำ ให้ช่วงอกยื่นออกจากเตียงเล็กน้อย

เก็บคาง ไม่เงยหน้า แต่ให้ออกแรงยกช่วงศีรษะขึ้นมาตรงๆ เกร็งกล้ามเนื้อด้านหลังคอค้างไว้ 5-10 วินาที ทำรอบละ 10-15 ครั้ง

อย่างไรก็ตามเมื่อมีการปวดหัวข้างเดียวหรือไมเกรนและรับการรักษาด้วยยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น เพราะอาจพบไมเกรนเทียมร่วมด้วยนั้น

เราจึงไม่ควรมองข้ามการตรวจประเมินและรักษาไมเกรนเทียม โดยการรักษาด้วยวิธีการทางกายภาพบำบัด ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ดี เช่น การประคบร้อนหรือเย็นตามระยะของอาการ การกดจุดหรือยืดกล้ามเนื้อที่เป็นปัญหา การใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ทางกายภาพบำบัด ร่วมกับการออกกำลังกายกล้ามเนื้อเฉพาะจุดและการปรับท่าทางในชีวิตประจำวัน จะช่วยลดปัญหาไมเกรนเทียมได้เป็นอย่างดี

.

เขียนโดย: กภ.อุสา บุญเพ็ญ ปริญญาโท วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต พัฒนาการมนุษย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของคลินิกกายภาพบำบัด และเพจสุขภาพดี


ข้อมูลอ้างอิง
http://www.kulpphysicaltherapy.com/headache.html
https://kokyun.wordpress.com/2011/10/10/the-correct-sitting-posture-in-front-of-a-computer/
https://www.thonburihospital.com/Migraine.html
https://i.pinimg.com/originals/b0/80/90/b080902f6d514f13cd01408a57ff36dc.jpg
https://www.rehabmypatient.com/neck/splenius-cervicis
https://salusmt.com/saturday-stretch-the-suboccipital-group/

เมื่อเราอายุเริ่มมากขึ้น ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดียิ่งขึ้นแต่เรื่องง่าย ๆ ที่หลาย ๆ คนอาจจะมองข้ามไป ”อุบัติเหตุจากการหกล้ม” ซึ่งนอกจากจะเกิดอาการบาดเจ็บแล้วอาจส่งผลถึงระบบภายใน ถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต

ผู้สูงอายุหมายถึงผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ 10 ล้านคน ซึ่งนับเป็นร้อยละ 16 ของประชากรทั้งหมด จึงถือว่าประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging society) และคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2564 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ทำให้ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ (Aged society) ดังเช่น ประเทศญี่ปุ่น, อิตาลี, เยอรมันและสวีเดน

ผู้สูงอายุเป็นวัยที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ, ความแข็งแรงเริ่มถดถอย, การทรงตัวแย่ลง จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การล้มเป็นสาเหตุหลักของการเกิดกระดูกหักในผู้สูงอายุ และยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้สูงอายุต้องย้ายจากบ้านไปอยู่สถานพักฟื้น รวมถึงสภาพจิตใจและอารมณ์ที่เปลี่ยนไป ในผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อการล้มมากถึงร้อยละ 28-35 และผู้สูงอายุที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปเสี่ยงต่อการล้มเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 32-42 นอกจากนี้ยังพบว่าผู้สูงอายุมีอัตราการเสียชีวิตจากการล้มสูงเป็นอันดับ 2 รองจากการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนอีกด้วย

ทำไมผู้สูงอายุถึงล้ม

1.) มีปัญหาเรื่องการทรงตัว
2.) มีความบกพร่องทางการมองเห็น
3.) มีปัญหากระดูกสันหลังหรือหลังค่อม ทำให้ไม่สามารถยืดลำตัวตรง
4.) เป็นโรคความดันโลหิตหรือกินยาบางชนิดที่ส่งผลต่อความดันโลหิต
5.) กล้ามเนื้อขาและสะโพกไม่แข็งแรง

วิธีป้องกันและแก้ไขเบื้องต้น

1.) พบผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินและแก้ไขปัญหาการทรงตัวที่เกิดจากทางกระดูกหูชั้นใน 
2.) แก้ไขปัญหาสายตา เช่น การตัดแว่นสายตาให้เหมาะสม
3.) เปลี่ยนอิริยาบทบ่อยๆ ไม่นั่งหลังค่อมเป็นระยะเวลานาน
4.) ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านโรคความดันโลหิต
5.) ออกกำลังกายกล้ามเนื้อขาและสะโพก โดยใช้เก้าอี้เป็นอุปกรณ์ช่วยในการออกกำลังกาย ดังนี้

ท่าที่ 1

เขย่งเท้า : ค้าง 10 วินาที ทำซ้ำ 20 ครั้ง

กระดกเท้า : ค้าง 10 วินาที ทำซ้ำ 20 ครั้ง

ท่าที่ 2     

ย่ำเท้า ซ้าย-ขวา สลับกัน

ยกขาขึ้น ค้าง 10 วินาที แล้วสลับข้าง ทำซ้ำ 40 ครั้ง (ข้างละ 20 ครั้ง)

ท่าที่ 3

แกว่งขาไปด้านหน้า ค้างไว้ 10 วินาที แล้วแกว่งไปด้านหลัง ค้างไว้ 10 วินาที ตัวตรง หลังตรง ทำซ้ำข้างละ 20 ครั้ง

ท่าที่ 4 กางขาออกด้านข้าง ซ้าย-ขวาสลับกัน

กางขา ค้างไว้ 10 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง

ตัวตรง หลังตรง ทำซ้ำข้างละ 20 ครั้ง

การออกกำลังกายดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อขาและสะโพก เมื่อออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะมีส่วนช่วยฝึกการทรงตัวและป้องกันการล้มในผู้สูงอายุได้ นอกจากนี้ลูกหลานต้องให้ความรัก ความห่วงใย ดูแลเอาใจใส่ผู้สูงอายุ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปรียบเหมือนน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงจิตใจให้ท่านมีชีวิตอยู่กับเราไปอีกนาน

.

เขียนโดย:  กภ. วิชญดา มาเสถียร
นักกายภาพบำบัด ปริญญาตรี วิทยาศาสตร์บัณฑิต กายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล 


ข้อมูลอ้างอิง 
12 Best Elderly Balance Exercises For Seniors to Help Prevent Falls – ELDERGYM®
หกล้มในผู้สูงอายุ อันตรายกว่าวัยอื่นหลายเท่าตัว ปัญหาที่ต้องระวัง • RAMA Channel (mahidol.ac.th)

????พบกับรายการใหม่ "คุยกับพี่อ๊อด" คุยง่ายๆ เรื่องการศึกษาใกล้ตัว

????พบกับรายการใหม่ "คุยกับพี่อ๊อด"

"คุยง่ายๆ เรื่องการศึกษาใกล้ตัว"

✨พูดคุยกับ 'พี่อ๊อด' วิทยากรด้านการศึกษา เผยเทคนิคพิชิตโรงเรียนดัง ในช่วง “คุยกับพี่อ๊อด” 

♦️ พบน้องชมพู่ ช่วง'ลมตะวันออก' ความรู้ดีดีและข่าวสาร จาก โลกตะวันออก ทุกวันเสาร์ต้นรายการ

♦️พบน้องน้ำฟ้า ช่วง 'Easy English with น้ำฟ้า' ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว ทุกวันอาทิตย์ต้นรายการ 

✔️ เริ่มตอนแรก 
????เสาร์ที่ 21 ส.ค.64    
EP.1  เจาะลึก เข้า“โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์” สุดยอดเด็กวิทย์ของไทย

????อาทิตย์ที่ 22 ส.ค.64
EP.2  ทำไม ใครๆ ก็อยากเข้าเตรียมอุดมฯ

????ดำเนินรายการโดย (กันต์) ธนพัฒน์ แจ่มปรีชา
.
⏰ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 2 ทุ่มตรง 

????ช่องทางรับชม 
Facebook และ YouTube: THE STUDY TIMES

????คุยกับพี่อ๊อด "คุยง่ายๆ เรื่องการศึกษาใกล้ตัว" EP.1

????คุยกับพี่อ๊อด "คุยง่ายๆ เรื่องการศึกษาใกล้ตัว"  

EP.1 เจาะลึก เข้า “โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์” สุดยอดเด็กวิทย์ของไทย

????พบ (พี่อ๊อด) กิตติเชษฐ์ เกื้อมา วิทยากร

????(กันต์) ธนพัฒน์ แจ่มปรีชา ผู้ดำเนินรายการ

????น้องชมพู่ ช่วง 'ลมตะวันออก' ความรู้ดีดีและข่าวสาร จาก โลกตะวันออก 

⏰วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม เวลา 2 ทุ่มตรง !

ติดตามรายการที่ช่อง THE STUDY TIMES
????Facebook : https://www.facebook.com/thestudytimes/
????YouTube : https://youtube.com/channel/UC2Sf0rVFuuSU2aQ5ioU34Lg
????TikTok : https://www.tiktok.com/@thestudytimes

.

.

????คุยกับพี่อ๊อด "คุยง่ายๆ เรื่องการศึกษาใกล้ตัว" EP.2

????คุยกับพี่อ๊อด "คุยง่ายๆ เรื่องการศึกษาใกล้ตัว"  

EP.2 ทำไม ใครๆ ก็อยากเข้าเตรียมอุดมฯ

????พบ (พี่อ๊อด) กิตติเชษฐ์ เกื้อมา วิทยากร

????(กันต์) ธนพัฒน์ แจ่มปรีชา ผู้ดำเนินรายการ

????น้องน้ำฟ้า ช่วง 'Easy English with น้ำฟ้า' ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว 

⏰วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม เวลา 2 ทุ่มตรง !

ติดตามรายการที่ช่อง THE STUDY TIMES
????Facebook : https://www.facebook.com/thestudytimes/
????YouTube : https://youtube.com/channel/UC2Sf0rVFuuSU2aQ5ioU34Lg
????TikTok : https://www.tiktok.com/@thestudytimes

.


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top