Friday, 3 May 2024
สงครามยูเครนรัสเซีย

'ปูติน' ลงนามกฤษฎีกาแบน 'ชาติไม่เป็นมิตร' ห้ามเดินทางเข้าประเทศ มีผลทันที!!

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ลงนามในกฤษฎีกาวันนี้ ระบุว่า รัสเซียจะระงับการออกวีซ่าให้แก่ผู้ที่เดินทางจาก "ประเทศที่ไม่เป็นมิตร" ต่อรัสเซีย โดยคำสั่งดังกล่าวมีผลทันทีในวันนี้

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีปูติน ยังมีคำสั่งให้กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระงับการออกวีซ่าให้แก่ชาวต่างชาติหรือบุคคลไร้สัญชาติที่กระทำการอันไม่เป็นมิตรต่อรัสเซีย

การลงนามในวันนี้ถือเป็นการออกกฤษฎีกาฉบับที่ 2 ของประธานาธิบดีปูติน เพื่อตอบโต้ประเทศที่คว่ำบาตรรัสเซีย หลังจากที่เขาได้ลงนามในกฤษฎีกาฉบับหนึ่งเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ประเทศที่ซื้อก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียจะต้องชำระเงินเป็นสกุลรูเบิลเท่านั้น หากผู้ซื้อไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว สัญญาการซื้อก๊าซก็จะถูกระงับ

‘ไบเดน’ เตือน!! รัสเซียแค่ตั้งหลัก กลับมาบุกหนักแน่ พร้อมจี้ ดำเนินคดี ‘ปูติน’ ข้อหาอาชญากรสงคราม

ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาออกโรงเตือนว่า กองทัพรัสเซียจะกลับมาบุกยูเครนอย่างหนักขึ้นในสัปดาห์หน้าหลังจากที่ปฏิบัติการยึดกรุงเคียฟล้มเหลว และทหารยูเครนได้กลับเข้ามาประจำการคืนพื้นที่รอบกรุงเคียฟเรียบร้อยแล้ว

เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ว่า แผนการเบื้องต้นในการปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย คือ การบุกยึดกรุงเคียฟ และโค่นล้มรัฐบาลของนายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ หลังจากนั้นก็จะควบคุมหัวเมืองใหญ่ๆ ในยูเครนตามลำดับ โดยคาดหมายว่าจะทำได้สำเร็จภายในระยะเวลาไม่นาน

แต่เมื่อทุกอย่างผิดแผน ไม่เป็นอย่างที่ตั้งหวังไว้ จนเกิดความผิดพลาดของระบบพลาธิการภายในกองทัพรัสเซีย สร้างผลกระทบไปสู่การขาดแคลนเสบียงและน้ำมัน ทำให้กองทัพรัสเซียต้องถอยร่นกลับมาจัดขบวนทัพใหม่ โดยเลือกปรับทัพเน้นหนักไปที่ชายแดนทางด้านตะวันออก และตอนใต้ของยูเครน แทนที่จะกระจายกองทัพตีหลายๆ เมืองพร้อมกันอย่างที่แล้วมา

อีกทั้งมีแนวโน้มว่ารัสเซียจะยกระดับการโจมตีอย่างเข้มข้นมากขึ้น ด้วยการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิด และขีปนาวุธ ที่จะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงทั้งกับกองทัพ และระบบเศรษฐกิจของประเทศยูเครน

ด้านฝ่ายกลาโหมสหรัฐฯ ได้เปิดเผยข้อมูลอีกว่า ทางรัสเซียได้ถอนทหารกว่า 65% ที่เคยปักหลักล้อมกรุงเคียฟ แล้วกลับไปตั้งหลักใหม่ในประเทศเบลารุส เพื่อเตรียมเสบียง ก่อนที่จะยกพลกลับมาใหม่ด้านภูมิภาคดองบาส ในภาคตะวันออกของยูเครน

หลักฐานจากดาวเทียม ภาพถ่ายฟ้อง!! ‘รัสเซีย’ สังหารหมู่ใน ‘บูชา’ คาด!! เกิดก่อนทัพรัสเซียถอนกำลัง

AFP รายงานว่า สตีเฟน วูด โฆษกของ Maxar Technologies แถลงถึงภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูงที่บันทึกได้จากเมืองบูชา (Bucha) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน ซึ่งเผยให้เห็นว่าร่างของพลเรือนจำนวนมากที่ถูกสังหาร ถูกทิ้งไว้ตามจุดต่างๆ ทั่วเมืองตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมี.ค. 65

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยูเครนเข้าพบศพเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 65 หลังจากที่รัสเซียถอนกำลังทหารออกไปจากเมือง โดยระบุว่ามีการเคลื่อนย้ายร่างพลเรือนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 410 ศพ พร้อมชี้ว่าการสังหารหมู่ครั้งนี้เป็นการก่ออาชญากรรมสงครามโดยรัสเซีย

ขณะที่รัสเซียปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยระบุว่าภาพและวิดีโอที่แสดงให้เห็นศพในเมืองบูชา ซึ่งถูกเผยแพร่จากยูเครนเป็นการจงใจยั่วยุ ในช่วงที่กองทัพรัสเซียเข้าควบคุมเมืองนี้ ไม่มีการทำร้ายประชาชนแต่อย่างใด พร้อมยืนยันว่ารัสเซียถอนกำลังทหารออกจากเมืองบูชาตั้งแต่วันที่ 30 มี.ค. 65

วาสซิลี เนเบนเซีย ผู้แทนถาวรรัสเซียประจำสหประชาชาติย้ำต่อองค์การสหประชาชาติเมื่อวันที่ 4 เม.ย. 65 ว่า ศพเหล่านั้นเกิดขึ้นหลังจากที่รัสเซียถอนกำลังทหารออกไปจากเมืองแล้ว

โลกระทึก!! ศักราชใหม่แห่งยุคสงครามเย็นระดับเร็วเหนือเสียง เมื่อ 'สหรัฐฯ-อังกฤษ-ออสซี่' จับมือพัฒนาขีปนาวุธ Hypersonic

สมาชิกพันธมิตร 3 อ. หรือ AUKUS อันประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา-อังกฤษ-ออสเตรเลีย ได้ร่วมแถลงอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2565 ว่าจะจับมือกันพัฒนาขีปนาวุธ Hypersonic เพื่อติดตั้งในกองทัพเรือดำน้ำราชนาวีของออสเตรเลียภายในอีก 6 เดือนข้างหน้านี้

โดยผู้นำทั้ง 3 ประเทศได้อ้างว่าที่จำเป็นต้องเดินหน้ายกระดับแสนยานุภาพทางทหารของตนในย่านแปซิฟิก เนื่องจากกรณีรัสเซียบุกยูเครน ซึ่งได้เปิดตัวใช้ขีปนาวุธ Hypersonic โจมตียูเครนไปแล้วก่อนหน้านี้ ได้เปลี่ยนโฉมหน้าการใช้เทคโนโลยีด้านการทหารไปสู่อีกขั้นหนึ่ง

เมื่อเป็นเช่นนี้ พันธมิตร AUKUS ที่เป็นกลุ่มระดับมหาอำนาจของโลกคงยอมไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมี Hypersonic กับเขาบ้าง เพื่อมาถ่วงดุลกัน

ข้ออ้างในการพัฒนาขีปนาวุธ Hypersonic ของสหรัฐฯ และ อังกฤษ นั้นพอเข้าใจได้ หากยกกรณีข้อพิพาทระหว่างรัสเซีย กับชาติพันธมิตรในตะวันตก

ว่าแต่...ออสเตรเลีย ประเทศในย่าน Down Under มาเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย??

แม้ในแถลงการณ์ร่วมของพันธมิตร 3 อ. ไม่ได้กล่าวออกมาตรงๆ แต่ทุกคนก็น่าจะรู้ว่าการที่ออสเตรเลียจำเป็นต้องติดขีปนาวุธ Hypersonic ไว้ลาดตระเวนแถวน่านน้ำแปซิฟิก ที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแถวทะเลบอลติกแม้แต่น้อยนั้น ก็เพื่อข่มแสนยานุภาพ

ของกองทัพจีนในน่านน้ำทะเลจีนใต้!!

เนื่องจากทางจีนเอง ก็เริ่มมีการทดสอบขีปนาวุธ Hypersonic ของตัวเองไปแล้วตั้งแต่ช่วงกลางปี 2021 ที่อ้างว่ามีความเร็วสูงถึง 5 มัค และตอนนี้ประกาศว่าได้พัฒนารุ่นที่ 2 เรียบร้อยแล้ว ซ้ำยังคุยข่มด้วยว่าใช้เทคโนโลยีล้ำหน้ากว่าใครใน 7 ย่านน้ำ แม้แต่กองทัพสหรัฐฯ อาจต้องใช้เวลาถึงปี 2025 ถึงจะตามได้ทัน

ทั้งนี้ฟากฝ่ายความมั่นคงสหรัฐฯ ได้เผยว่า จีนกำลังเพิ่มปริมาณหัวรบนิวเคลียร์ของตัวเองให้ได้ถึง 1,000 ลูกในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปีบวกกับเทคโนโลยี Hypersonic เข้าไปด้วย ซึ่งจะทำให้จีนเป็นประเทศมหาอำนาจด้านการทหารเบอร์ 1 ในย่านเอเชีย แม้ปริมาณหัวรบนิวเคลียร์จะน้อยกว่าที่สหรัฐฯ มีถึง 3 เท่า แต่ก็ถือเป็นภัยคุกคามที่สหรัฐฯ จะยอมปล่อยให้ขยายอิทธิพลมากไปกว่านี้ไม่ได้

แต่ใช่ว่าสหรัฐฯ จะไม่รู้ว่า จีน หรือ แม้แต่รัสเซีย ว่ามีความก้าวหน้าในเทคโนโลยีขีปนาวุธระดับไหน ดังจะเห็นได้ว่าทันทีที่มีข่าวรัสเซียยิงขีปนาวุธ Hypersonic รุ่น Kinzhal Missile ใส่คลังแสงของกองทัพยูเครนปุ๊บ ทางรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐก็ออกมาให้สัมภาษณ์ออกสื่อทันทีว่า ทางสหรัฐฯ ก็มีการทดสอบขีปนาวุธ Hypersonic ไปเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมาแล้ว ที่มีความเร็วมากกว่า 5 มัค

แถมยังเกทับอีกว่า ขีปนาวุธรัสเซียนั้น 'กระจอก' เป็นแค่จรวดพิสัยใกล้ ไหนเลยจะเทียบรุ่นกับของเราได้ สเปกแน่น จัดเต็ม ความแม่นยำสูง แค่เราทดสอบเงียบๆ แบบไม่อยากบอกใครเท่านั้นเอง

และอันที่จริงแล้ว ฟากออสเตรเลีย หนึ่งในสมาชิก 5 Eyes ก็มีโครงการพัฒนาเทคโนโลยี Hypersonic ร่วมกับสหรัฐอเมริกามาตั้งนานแล้ว ก่อนจะจับมือตั้งเป็นพันธมิตร AUKUS ร่วมกันเสียอีก โดยใช้ชื่อโครงการว่า SCIFIRE (the Southern Cross Integrated Flight Research Experiment) มีเป้าหมายในการพัฒนาเครื่องยนต์ หัวยิง และขีปนาวุธ Hypersonic ให้ได้ความเร็วตั้งแต่ 5-8 มัค

ซึ่งเรื่องนี้น่าจะมีความเป็นไปได้อย่างมาก ถึงขนาดที่ออสเตรเลียยอมหักหน้า ทิ้งสัญญาเรือดำน้ำของฝรั่งเศสจนเป็นเหตุให้เคืองใจกันอย่างแรงระหว่าง เอมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส กับ สก็อต มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียอยู่พักใหญ่

ดังนั้นแผนการยกระดับการครอบครองขีปนาวุธ Hypersonic จึงน่าจะอยู่ในแผนระหว่างสหรัฐฯ กับ ออสเตรเลีย อยู่ก่อนแล้ว แม้จะไม่มีกรณีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ตาม เพียงแต่ช่วงนี้ประเด็นรัสเซียกำลังร้อนๆ ออสเตรเลียก็เลยโบ้ยตามน้ำว่าเพราะรัสเซียเป็นเหตุ สังเกตได้ เท่านั้นเลยจริงๆ

พิษสงครามฉุด GDP ยูเครนร่วงหนัก มูลค่าหายไปกว่าครึ่ง ด้านรัสเซียกดดันต่อ ถล่มสนามบินที่เมืองดนิโปร

เข้าสู่สัปดาห์ที่ 7 ของปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียในยูเครน ซึ่งตอนนี้มีการโยกย้ายศูนย์กลางการปะทะลงมาทางด้านตะวันออกของยูเครน ที่หลายฝ่ายคาดว่าจะเป็นการสู้รบครั้งใหญ่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

แต่ก่อนจะถึงศึกใหญ่นั้น หากประเมินผลกระทบจนถึงตอนนี้ ก็สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจยูเครนอย่างหนักหนาสาหัสมากแล้ว จากการประเมินของธนาคารโลกวันนี้ คาดว่าเศรษฐกิจโดยรวมของยูเครนในปี 2022 นี้อาจหดตัวมากถึง 45.1% และตัวเลขนี้อาจเพิ่มได้อีกหากการสู้รบยังคงดำเนินต่อไป 

และถ้าประเมินเป็นตัวเลขความเสียหายรวมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน บ้านเรือนประชาชน มูลค่านั้นสูงกว่า 5.6 แสนล้านเหรียญไปแล้ว ซึ่งฝ่ายรัฐบาลยูเครนกำลังเรียกร้องค่าเสียหายนี้จากทรัพย์สินของรัฐบาลรัสเซียที่ถูกอายัดไว้ในธนาคารของชาติตะวันตก

'จีน' ตอกกลับ 'มะกัน' ก่อนเรียกร้องให้ประณามรัสเซีย ยังจำวัน 'ถล่มปักกิ่ง-ปล้นชิง-เผาราชวังจีน' ได้หรือไม่?

ดร.สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

มีนักข่าวสหรัฐฯ ถามโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน 'หัวชุนอิ๋ง' ว่า "ทำไมจีนไม่ประณามรัสเซียที่ใช้กำลังทหารรุกรานยูเครน ประเทศเพื่อนบ้าน หรือเป็นเพราะ จีนเห็นด้วยกับการรุกรานประเทศเพื่อนบ้านของรัสเซีย"

โฆษก กต.จีน หัวชุนอิ๋ง ตอบว่า พวกคุณน่าจะหันกลับไปมองตัวเองบ้างว่า พวกคุณได้ทำอะไรไว้บ้างในเรื่องสิทธิสภาพของประเทศต่างๆ ว่าพวกคุณยึดมั่นให้เกียรติประเทศอื่นๆ แค่ไหน 

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' แขวะ สื่อตะวันตก-องค์กรสิทธิฯ เงียบกริบ!! หลัง 'ยูเครน' จับ 'ผู้นำฝ่ายค้าน' แลกเชลยศึก

14 เม.ย. 65 นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart มีรายละเอียดดังนี้

มาตรฐานใหม่

เมื่อ 12 เมษายน ทางการยูเครนได้จับกุมตัวนาย Viktor Medvedchuk ผู้นำฝ่ายค้านของรัฐสภายูเครน ทางการยูเครนได้เปิดเผยภาพของผู้นำฝ่ายค้านในสภาพที่ใส่ชุดทหารพราง ซูบผอมและถูกใส่กุญแจมือ

ประธานาธิบดียูเครนเสนอให้ฝ่ายรัสเซียแลกเปลี่ยนตัวนาย Viktor กับทหารยูเครนที่รัสเซียควบคุมตัวไว้

โฆษกกลาโหมรัสเซียได้แถลงข่าวปฏิเสธการแลกเปลี่ยนตัว เนื่องจากนาย Viktor ไม่ใช่คนรัสเซีย แต่เป็นนักการเมืองยูเครน รวมทั้งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย และปฏิเสธว่า

รัสเซียไม่มีความสัมพันธ์ลับกับนาย Viktor โดยใข้คำว่า No black door relation หากรัสเซียมีการติดต่อกับนาย Viktor คงต้องให้หลบหนีออกจากยูเครนก่อนหน้าการปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย

บทละครที่ถูกจับทาง 'เสธ.นิด' มอง!! 'สงครามรัสเซีย-ยูเครน' ใต้เงา 'สหรัฐ-นาโต' ในวันที่ 'ปูติน' ไม่โดดเดี่ยวอย่างที่ 'ไบเดน' คาดหวังไว้ .

พลอากาศโทวัชระ ฤทธาคนี หรือ 'เสธ.นิด' อดีตนายทหารนักบินกองทัพอากาศ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก 'Vachara Riddhagni' เผยถึงสงครามการเมืองการทูตรัสเซีย/ยูเครน 2022 ที่มีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า...

รัสเซียโดยประธานาธิบดีปูตินไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่ประธานาธิบดีไบเดนคาดการณ์ไว้ “เพราะคิดว่าเงาปีศาจสตาลินจะมาหลอกหลอน” คนทั้งโลกได้

แต่ขณะนี้ หลังจากรัสเซียประกาศขับไล่นักการทูตสหภาพยุโรปออกจากกรุงมอสโก เพื่อเป็นการตอบโต้ที่หลายประเทศในสหภาพยุโรปขับไล่นักการทูตรัสเซีย 

ผลตามมา คือ การเจรจาเพื่อยุติสงครามในขณะนี้เป็นไปยากขึ้นและในขณะที่รัสเซียกำลังได้เปรียบในสงครามนี้ประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซีย “เริ่มมีความได้เปรียบมากขึ้น” เพราะว่า...

1. สังคมโลกเริ่มมองย้อนหลังและสามารถเปรียบเทียบ “พฤติกรรมสงครามของสหรัฐฯ, อังกฤษ, นาโต” ในยุคสงครามก่อการร้ายโลกกับพฤติกรรมสงครามของรัสเซีย ว่า มีข้อแตกต่างกันมาก!!

ตั้งแต่ครั้งรัสเซียโดยประธานาธิบดีเบรสเนฟแห่งสหภาพโซเวียตบุกอัฟกานิสถาน เพราะมีปัญหาวุ่นวายการเมืองภายในอัฟกานิสถานเองและโซเวียตที่สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งอัฟกานิสถาน เห็นโอกาสอันดีที่จะเข้าครองอิทธิพลในเอเชียกลาง จึงส่งกองทัพเข้ายึด

สหรัฐฯ ได้โอกาสที่จะทำลายศรัทธาโซเวียตและพรรคคอมมิวนิสต์อัฟกานิสถาน จึงสนับสนุน มูจาฮิดีน ต่อสู้แบบกองโจรต่อเนื่อง จนในที่สุดโซเวียตเห็นว่า “สิ้นเปลืองไม่คุ้มค่าทางการเมืองและไม่มีผลประโยชน์อะไรจึงถอนทัพ” 

การแทรกแซงของต่างชาติในอัฟกานิสถานทำให้เกิด “แนวคิดต้นตำรับอิสลามเรียกว่า Taliban แปลว่า The Students ซึ่งยึดมั่นในวิถีอิสลามแบบเก่าอย่างเคร่งครัดและสนับสนุน Jihad สงครามศักดิ์สิทธิ์แบบอิสลามและได้ให้ที่พักพิง “อุซามะฮ์ บินลาดิน” ที่สหรัฐฯ กล่าวหาว่าเป็นตัวการก่อการวินาศกรรมด้วยการจี้เครื่องบินโดยสารสหรัฐฯ 3 ลำและใช้เครื่องบินเหล่าบินชนตึก WT 1, 2 และเพนตากอน

ด้วยเหตุที่รัฐบาลตอลิบานไม่ส่งตัว อุซามะฮ์ บินลาดิน...สหรัฐฯ จึงถล่มกรุงคาบูลอย่างหนักแบบราบเป็นหน้ากลอง แล้วสร้างให้ใหม่

พร้อมทั้งทำสงครามกองโจรก่อการร้ายกับตอลิบานและดึงเอากองทัพนาโต้เข้าร่วมรบด้วย

แต่ไม่นานกองทัพนาโตถอนตัวเหลือสหรัฐฯ โดดเดี่ยวและไม่สามารถกำจัดกองทัพตอลิบานได้อย่างเด็ดขาด สิ้นเปลืองงบประมาณมากมายมหาศาล จึงถอนทัพในที่สุดเมื่อสิงหาคมปีที่แล้ว (2564)

2. สงครามอ่าวครั้ง 1 และ 2 สหรัฐฯ โจมตีกรุงแบกแดดอย่างหนักจนราบเป็นหน้ากลองและสหรัฐฯ เข้ายึดครองประเทศและบ่อน้ำมันทั้งหมด งานก่อสร้างปฏิสังขรณ์ประเทศเป็นของนายทุนสหรัฐฯ และสหรัฐฯ สร้างบริษัทหรือกองทัพทหารรับจ้าง Black Water เข้ารับงาน รปภ.บริษัทอเมริกันทั้งหมดในอิรัก

3. ช่วงการต่อต้านเปลี่ยนรัฐบาลในตะวันออกกลาง Arab Springs ซึ่งหลายประเทศมีลักษณะเป็น “เผด็จการ” ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนั้น NGO ตะวันตกถือโอกาสแทรกแซง ปราบปรามผู้นำที่สหรัฐฯ ควบคุมไม่ได้และจะเป็นภัยกับอิสราเอล ซึ่งมีความผูกพันกับนักการเมืองยิวที่มีอิทธิพลมากๆ ในพรรคการเมือง

และรัฐบาลสหรัฐฯ จะแสวงหาคนที่ “ตะวันตก” ควบคุมได้ง่ายกว่าผู้นำก่อนหน้านี้ เป็นรัฐบาลผนวกกับป้องกันอิสลามหัวรุนแรงไม่ให้เข้าไปมีอำนาจปกครองประเทศซึ่งจะเกิดความวุ่นวายขึ้นได้

4. ทุกครั้งที่กลุ่มแสวงผลประโยชน์ชาติตะวันตกเกิดขึ้น ก็เกิดกลุ่มต่อต้านที่เป็นมุสลิม และกลุ่มใหม่ คือ กลุ่ม ISIS ที่พัฒนาจากกลุ่มต่อต้านสหรัฐฯ ในอิรักและซีเรีย ซึ่งสหรัฐฯ ใช้ในการโค่นล้มประธานาธิบดี อัล อัสซัด แห่งซีเรีย แต่ไม่สำเร็จ จึงกลายเป็นสงครามการเมืองและรัสเซียเข้าช่วยประธานาธิบดีอัล อัสซัด ต่อสู้กับ ISIS ซึ่งเชื่อกันว่า สหรัฐฯ จัดตั้งขึ้นมาอย่างลับๆ เพื่อทำลายความแข็งแกร่งของชาติตะวันออกกลางที่สหรัฐฯ ควบคุมไม่ได้

5. สหรัฐฯ ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดที่ตั้ง ISIS เพื่อเล่นละครหลอกสังคมโลก จนบ้านเมืองพินาศไม่เหลือซากเพื่อต้องการเพียงสังหารผู้นำ ISIS ซึ่งต่อมาเรียก สั้นๆ ว่า IS 

สหรัฐฯ จะใช้ยุทธวิธีเด็ดหัว Decapitation ด้วยเครื่องโจมตีทิ้งระเบิด

6. หากเปรียบเทียบตั้งแต่สหภาพโซเวียตล้มสลายลงนั้น “รัสเซียจำเป็นต้องรักษาอำนาจอิทธิพลของรัสเซียไว้ให้ได้”

จึงมีการรบปราบปรามการก่อการร้ายในจอร์เจียและเชชเนียที่ต้องการออกจากอิทธิพลของรัสเซีย

การทำลายที่มั่นกองกำลังก่อการร้าย ก็เพราะหากหลุดมือไปสหรัฐฯ จะเข้ามาครอบงำกลุ่มประเทศเหล่านี้ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัสเซียโดยตรง

แต่การโจมตีของกองทัพรัสเซียแตกต่างจากการทิ้งระเบิดถล่มของสหรัฐฯ เพราะรัสเซียใช้กองกำลังรถถังมากกว่า ผลการโจมตีทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ น่าจะเป็นแบบอย่างให้อิสราเอลโจมตีที่มั่นกลุ่ม Hamas ในปาเลสไตน์

‘กองทัพรัสเซีย’ กร้าว!! ไม่ปรานีกับพวกโหดร้าย แต่ ‘ปกป้อง-ปลดปล่อย-ดูแล’ ผู้ที่อ่อนแอกว่า

แม้กองกำลังติดอาวุธของสหพันธรัฐรัสเซีย จะยังคงดำเนินการปฏิบัติการทางทหารพิเศษในยูเครน โดยเพิ่มความหนักหน่วงหลังจากเรือรบมอสควาโดนยิงเสียหายอย่างหนักและจมดิ่งลงในทะเลดำ ส่งผลให้เกิดการโจมตีอย่างหนักหน่วงโดยเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ระยะไกล Tupolev-22M3 

ทว่า ก่อนการใช้เครื่องบินระเบิดทางยุทธศาสตร์ Tu-22M3 ทิ้งถล่มด้วยระเบิด FAB-5000 M54 จนสร้างความเสียหายต่อเหล่านักรบอาซอฟ (Azov Battalion หน่วยรบฝักใฝ่นาซีของยูเครน) จนหลบหนีไปหลังโรงงานและห้องใต้ดินโรงงานเหล็กอาชอฟสตาล เนื้อที่ 11 ตร.กม. ในเมืองท่ามารีอูปอล ยูเครนนั้น

ทางกองทัพรัสเซีย ได้สั่งการให้ทหารโดเนตสก์, เชเชน และทหารรัสเซีย เข้าดำเนินการค้นหาและช่วยเหลือเด็กและชาวบ้านที่ตกค้างอยู่ในบริเวณอาณาเขตใกล้เคียงกับโรงงานผลิตเหล็กกล้าแห่งนี้ก่อนแล้ว

'ผู้สมัครชิงปธน.ฝรั่งเศส' เตือน!! ยุโรป-ฝรั่งเศส ไม่ซื้อ 'น้ำมัน-ก๊าซรัสเซีย' ก็เท่ากับฆ่าตัวตาย

สำนักข่าว TASS ของรัสเซียรายงานว่า ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครณรงค์แห่งชาติ (Rassemblement national) มารีน เลอ แปน (Marine Le Pen) เชื่อว่าการสกัดกั้นการนำเข้าน้ำมันและก๊าซของรัสเซียจะหมายถึงการทำ "ฮาราคีรี" สำหรับยุโรปเอง แต่จะไม่เป็นอันตรายต่อรัสเซียเอง

“เราไม่สามารถกระทำฮาราคีรีด้วยความหวังที่จะทำร้ายรัสเซีย” เธอกล่าวระหว่างการอภิปรายทางโทรทัศน์กับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงของฝรั่งเศสในเย็นวันพุธ เลอ แปนและมาครงจะชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกันในวันที่ 24 เมษายน

ทั้งนี้ "ฮาราคีรี" (Hara-kiri) ที่ เลอ แปน หมายถึงการฆ่าตัวตายโดยการคว้านท้องในยุคซามูไรของประเทศญี่ปุ่น เรียกอีกอย่างว่า "เซ็ปปุกุ" (Seppuku) ในที่นี้หมายถึงการฆ่าตัวตาย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top