Monday, 29 April 2024
รัฐประหาร

ทำไมอำนาจการเมืองจีนอยู่ในกำมือสีจิ้นผิงแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกยึดอำนาจ !!

‘ทำไมรัฐประหาร ‘สีจิ้นผิง’ เป็นไปไม่ได้!!’ โครงสร้างการเมืองจีนซับซ้อนซ่อนเงื่อน ประชุมลับ #เป่ยไต้เหอ หากมีความเห็นต่างก็เคลียร์ใจ #สลายขัดแย้ง แล้วก็จบ !! ไม่มีการดิสเครดิตกันทางการเมืองหรือหวังยึดอำนาจ #จบคือจบ 

>> ที่มาข่าวลือรัฐประหาร ‘สีจิ้นผิง’ และความซับซ้อนโครงสร้างอำนาจในจีน
ตอนนี้ถือเป็นช่วงใกล้การประชุมใหญ่สมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 (จัดประชุมทุก 5 ปี) ซึ่งการประชุมครั้งนี้ ผู้นำระดับ“คีย์แมน”ของจีน ซึ่งมีอยู่ 7 คน บางคนอาจจะถูกปรับเปลี่ยนออกไปตามกลไก แต่ที่จะไม่เปลี่ยนแปลง คือเบอร์ 1 ของพรรคฯ ‘สีจิ้นผิง’ และเป็นการครองตำแหน่งในวาระที่ 3 ของสีจิ้นผิงด้วย ดังนั้น ข่าวลือ ข่าวปล่อยในช่วงนี้ของจีน โดยเฉพาะประเด็นรัฐประหารในจีน จึงกลายเป็นที่จับตาทั้งของไทยและชาวโลก 

‘จีนมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน’ ในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะด้านการเมืองของจีนมีความแตกต่างจากประเทศไทย และหลาย ประเทศทั่วโลก บางเรื่องเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ และจีนเองไม่เปิดเผยข้อมูลออกสื่อ จึงทำให้เกิดข้อสงสัยกลายเป็นปริศนา ด้วยเหตุนี้ จึงควรที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองในแบบของจีน...

>> หมวก 3 ใบ กุมอำนาจการเมือง การปกครอง และการทหารในจีน
เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน อาจารย์จะขออธิบายกลไกการเมืองการปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีน ดังนี้…

‘พรรคคอมมิวนิสต์จีน’ เปรียบเสมือนเป็น ‘สถาบันการเมืองสูงสุดของจีน’ เป็นพรรคการเมืองเดียวที่กุมอนาคตประเทศจีน ในขณะนี้ มีสมาชิก 90 กว่าล้านคน และมีกลไกโครงสร้างซับซ้อน ที่สำคัญ พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ในการเข้าไปแทรกซึมในทุกภาคส่วนของจีน ทั้งทางตรงและทางอ้อม

รัฐประหารเงียบในพรรครัฐบาลอังกฤษ เมื่อ 'ลิซ ทรัสส์' กำลังจะโดนยึดอำนาจ

ดูเหมือนว่า รัฐบาลอังกฤษจะยังอยู่ในสภาพง่อนแง่น หาหลักยึดยังไม่ได้จริง ๆ เมื่อมีกระแสข่าวลือที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ภายในพรรคอนุรักษ์ แกนหลักของรัฐบาลอังกฤษว่า ลูกพรรคอนุรักษ์เริ่มจับกลุ่มกดดัน ลิซ ทรัสส์ หัวหน้าพรรคหญิงคนใหม่ และเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในแผ่นดินพระเจ้าชาลส์ที่ 3 จนถึงขั้นวางแผนยึดอำนาจของเธอ หากจำเป็น!!

สาเหตุเกิดจากความไม่ลงรอยกันในนโยบายของลิซ ทรัสส์ ที่เธอเคยสัญญาไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งภายในพรรค หนึ่งในนั้นคือนโยบาย "45p rate" หรือการลดอัตราภาษี 45% ในกลุ่มผู้มีรายได้สูง ซึ่งนโยบายนี้ของเธอกลับถูกต่อต้านจากทีมรัฐบาลของเธอเองจนเสียงแตก ที่อาจขั้นจะโหวตคว่ำในสภาเลยทีเดียว 

ข่าวการแตกแยกของรัฐบาลลิซ ทรัสส์ ที่ยังไม่ทันได้เริ่มทำงานอะไรเลย ยิ่งชัดเจนขึ้นอีก หลังงานประชุมพรรคอนุรักษ์ที่เมืองเบอร์มิงแฮม เมื่อวันอาทิตย์ ที่ 2 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่ข่าววงในบอกว่าเสียงแตกหนักมาก จน ซูเอลลา เบรฟเวอแมน รัฐมนตรีมหาดไทยหญิง พันธมิตรคนสนิทของลิซ ทรัสส์ ถึงกับออกมาบ่นว่า เธอผิดหวังมาก ๆ ที่ทีมรัฐบาลบางคนมากลับลำกับนโยบายที่คุยกันไว้แล้ว และยังบอกด้วยว่า มีกลุ่ม สส.ของพรรคอนุรักษ์หลายคน วางแผนจะโค่น ลิซ ทรัสส์ ให้ได้

และยังบอกถึงลูกพรรคอนุรักษ์ ที่คิดจะก่อหวอดเพื่อล้มนโยบาย 45p rate นั้นไม่ต่างจากการก่อรัฐประหารเงียบภายในรัฐบาล ซึ่งนโยบายเจ้าปัญหาที่อาจกลายเป็นประเด็นรัฐนาวาแตก คือ 45p Rate หรืองดภาษี 45% สำหรับบุคคล หรือองค์กรที่มีรายได้เกิน 150,000 ปอนด์ต่อปี 

โดยปกติ อังกฤษจะมีอัตราภาษีระดับขั้นบันได โดยคำนวนจากรายได้ต่อปี ในอัตราเรทดังนี้...

- รายได้ต่ำกว่า 12,570 ปอนด์/ปี ไม่ต้องเสียภาษี
- รายได้ตั้งแต่ 12,571 - 50,270 ปอนด์ต่อปี จะเริ่มเก็บภาษีที่ 20%
- รายได้ตั้งแต่ 50,271 - 15,000 ปอนด์ต่อปี เก็บภาษีที่ 40%

แต่ถ้ามีรายได้เกิน 150,000 ปอนด์ต่อปี เมื่อไหร่ จะถูกเก็บภาษีในอัตรา 45% ซึ่งเป็นเรทสูงสุด

สื่ออังกฤษได้ไปหาข้อมูลพบว่ามีชาวอังกฤษราวๆ 5 แสนคนทั่วประเทศที่มีรายได้เกิน 150,000 ปอนด์ต่อปี คิดเป็น 1% ของประชากรอังกฤษทั้งประเทศ

และหากรัฐบาลอังกฤษตัดสินใจไม่เก็บภาษีเพิ่ม 45% จากรายได้ที่เกินมาของคนกลุ่มนี้ เท่ากับรัฐจะเสียรายได้จากภาษีถึง 6 พันล้านปอนด์ต่อปี และเมื่อรายได้หายไป หมายถึงต้องการลดรายจ่ายของภาครัฐลงด้วย ซึ่งก็คือแผนค่าใช้จ่ายสำหรับสวัสดิการสังคมบางส่วนอาจต้องถูกตัดไป 

แต่ทั้งนี้ ลิซ ทรัสส์ มองว่า นโยบายการลดภาษี 45p Rate จะช่วยกระตุ้นการลงทุนของกลุ่มคนที่มีศักยภาพในสังคม ที่สามารถผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ และการแก้ปัญหาด้วยการแจก จ่าย ในรูปแบบสวัสดิการก็ไม่ใช่คำตอบเสมอไป ซ้ำยังเป็นเหมือนกับดักประชานิยม ที่ทำให้ผู้คนคาดหวังแต่สวัสดิการช่วยเหลือจากรัฐ

ซึ่งลิซ ทรัสส์ เคยบอกว่านโยบายนี้ อาจเป็นเหมือนยาขม และเป็นหนทางที่ยาก แต่อังกฤษต้องลองหาทางแก้ปัญหาที่ต่างไปจากเดิม ถ้าต้องการที่จะ "change" เธอเชื่อว่าสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจได้อย่างแน่นอน 

แต่ต่อมา นโยบายนี้ของเธอ ถูกโจมตีอย่างหนักจากพรรคฝ่ายค้าน ว่าเป็นการอุ้มคนรวยเพียงแค่ 1% ของประเทศ แต่กลับรีดเลือดกับปูจากประชาชนส่วนใหญ่อีก 99% ที่ยังต้องจ่ายภาษีในอัตราเกือบเท่าเดิม โดยเฉพาะกลุ่มคนเกือบจะรวย ในระดับฐานรายได้ 50,271 - 150,000 ปอนด์ คือโดนเต็มๆ 40% โดยไม่มีการลดหย่อน

20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ทำรัฐประหารซ้ำ ล้มรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร

20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดและหัวหน้า คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ล้มรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร

รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 เป็นการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยผู้ที่นำการรัฐประหาร คือ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดและหัวหน้า คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ล้มรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร

เหตุเนื่องจากการที่คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินที่นำโดย พล.ร.อ.สงัด ได้ทำการรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ. 2519 เนื่องจากในเหตุการณ์ 6 ตุลา และแต่งตั้ง นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยรัฐบาลนายธานินทร์มีภารกิจสำคัญที่จะต้องกระทำคือ การปฏิรูปการเมืองภายในระยะเวลา 12 ปี ซึ่งทางคณะปฏิรูปฯเห็นว่าล่าช้าเกินไป ประกอบกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในประเทศยังไม่สงบดีด้วย ดังนั้นจึงกระทำการรัฐประหารซ้ำอีกครั้ง ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นการ รัฐประหารตัวเอง เพื่อกระชับอำนาจก็ว่าได้

โดยมีประกาศในการรัฐประหารไว้ดังนี้ การบริหารงานของรัฐบาล นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ไม่อาจแก้ปัญหาสำคัญของประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และอุตสาหกรรม ให้ลุล่วงไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการปิดกั้นเสรีภาพทางความคิดเห็นของประชาชน ตลอดจนท่าทีของรัฐบาลในการลอบวางระเบิดใกล้พลับพลาที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่จังหวัดยะลา

'เพื่อไทย' เสนอเพิ่มโทษ 'รัฐประหาร' ถือเป็นกบฏ คดีไม่มีอายุความและนิรโทษกรรมไม่ได้

เพื่อไทย อ่านแถลงการณ์ เนื่องในโอกาสวันรัฐธรรมนูญ 10 ธ.ค. ระบุ ชัดในกฎหมาย 'รัฐประหาร' ถือเป็นกบฏ พร้อมมุ่งแก้รธน.มาตรา 272 เลือกนายกฯ ต้องเป็นธรรม

(10 ธ.ค. 65) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค นำโดยนายชัยเกษม นิติสิริ, นายชูศักดิ์ ศิรินิล, นายจาตุรนต์ ฉายแสง และน.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ อ่านแถลงการณ์พรรคเพื่อไทย เนื่องในโอกาสวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม ว่า...

พรรคเพื่อไทย ให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นรากฐานของประเทศชาติ ซึ่งต้องยอมรับว่า ในประเทศเสรีประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศมีความสำคัญ ทั้งในเชิงการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจและสังคม หากบ้านเมืองมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ก็จะส่งเสริมให้ระบบการเมือง มีความเข้มแข็ง ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีความเจริญเติบโตและพัฒนาการ ประชาชนในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศก็ย่อมได้รับประโยชน์ โดยทั่วถึง แต่หากได้รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และขาดการยอมรับจากประชาชนที่นอกจากจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ ยังเป็นผู้ได้รับผลกระทบด้วย 

ดังนั้น รัฐธรรมนูญที่ดีต้องมีความเป็นประชาธิปไตยสูงมีหลักนิติรัฐนิติธรรม ต้องได้รับการเคารพและปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ จะต้องได้รับการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม และการจัดสรรอำนาจองค์กรต่าง ๆ ต้องเป็นไปอย่างเหมาะสม ไม่มีองค์กรใดอยู่เหนือองค์กรอื่นจนขาดการตรวจสอบการใช้อำนาจ

23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 รสช.ยึดอำนาจ รัฐบาลพลเอกชาติชาย ด้วยเหตุผลหลัก ‘ฉ้อราษฎร์บังหลวง’

เมื่อวันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ได้เกิดรัฐประหารขึ้นโดย คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. (National Peace Keeping Council-NPKC) ภายใต้การนำของ พลเอก สุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ พลเอก สุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารบก พลตำรวจเอก สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมตำรวจ เป็นรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ พลเอก อิสระพงศ์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นเลขาธิการคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ  ร่วมด้วย พลเรือเอก ประพัฒน์ กฤษณจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พลอากาศ เกษตร โรจนนิล ผู้บัญชาการทหารอากาศ 

โดยคณะ รสช. ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองจาก พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี โดยในแถลงการณ์ของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 1 เรื่องคำชี้แจงเหตุผลการเข้ายึดและควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศ ด้วยเหตุผลหลักที่เป็นเสมือนข้ออ้างในรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ไว้ 5 ประการ ได้แก่

เยือนถิ่นพิษณุโลก ‘อุ๊งอิ๊ง’ ชี้!! รัฐประหารพรากโอกาสพัฒนาชีวิตปชช. ลั่น!! สานต่อ ‘อาปู’ เดินหน้าดัน ‘บางระกำโมเดล’

‘อุ๊งอิ๊ง’ ลุยพิษณุโลก โวยรัฐประหารพรากโอกาส ลั่นสานต่อ ‘อาปู’ ดันบางระกำโมเดล

(12 มี.ค. 66) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยและประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย ขึ้นเวทีปราศรัย ณ อาคารเป็ดร่วมใจ วัดวังเป็ด อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เมื่อมาถึงพิษณุโลกก็อดกล่าวถึงคุณอา (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ไม่ได้ เพราะครั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เคยคิดไว้ว่าจะพัฒนา ‘บางระกำ โมเดล’ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วม-น้ำแล้งให้พี่น้องประชาชน แต่ถูกรัฐประหารไปก่อน พี่น้องประชาชนจึงถูกพรากโอกาสได้พัฒนาชีวิตไป

“ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง พรรคเพื่อไทยจึงจะนำ ‘บางระกำ โมเดล’ กลับให้พี่น้องชาวพิษณุโลกอีกครั้ง เพื่อคืนชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้ประชาชนอีกครั้งโดย อย่างแรกคือ การขยายคลอง เพื่อระบายน้ำจากแม่น้ำน่านลงสู่แม่น้ำยม ไม่ให้น้ำค้างอยู่ในที่นาของประชาชนนานเกินไป อย่างที่สองคือการทำแก้มลิงขนาดใหญ่ เพื่อดักน้ำที่ไหลหลากให้พี่น้อง และอย่างที่สามคือ การปรับปรุงอ่างเก็บน้ำชุมชนให้พี่น้องได้มีใช้ในหน้าแล้ง” น.ส.แพทองธาร กล่าว

ปิยบุตร’ ชง เสนอรื้อคดี ‘ทักษิณ’ ใหม่ทั้งหมด ชี้ โทษไม่เป็นธรรม หากต้องติดคุกด้วยผลพวงรัฐประหาร

(25 มี.ค. 66) จากกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านสำนักข่าวเกียวโด สื่อดังจากญี่ปุ่น ว่าเขาพร้อมที่จะรับโทษจำคุกในไทยแลกกับการที่จะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับครอบครัว โดยกำลังพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมกลับประเทศไทย ไม่ว่าผลการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จะออกมาอย่างไรก็ตาม

ล่าสุด นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ได้เผยแพร่ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็นกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า…

เรื่อง [กรณีคุณทักษิณ : ไม่ติดคุก ไม่นิรโทษ ต้องลบล้างผลพวงรัฐประหาร ดำเนินคดีใหม่อย่างเป็นธรรม]

สำนักข่าวจากประเทศญี่ปุ่น รายงานข่าว เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ความว่า คุณทักษิณ ชินวัตร พร้อมกลับมาติดคุก และไม่ต้องการให้พรรคเพื่อไทยผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่ตนเอง

ประเด็นปัญหา ‘กลับบ้าน’ ของคุณทักษิณอยู่ในสังคมไทยมาเกือบสองทศวรรษ เมื่อไรที่มีการเลือกตั้ง เมื่อไรได้รัฐบาลใหม่จากขั้วเพื่อไทย ก็จะมีผู้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเสมอ

หากใครได้ติดตามการแสดงความเห็นของผมตั้งแต่ปี 2548/49 คงจำได้ว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เรียกร้อง งนายกพระราชทาน มาตรา 7’ ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ผมและเพื่อนอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. รวม 5 คน ในเวลานั้นได้ออกแถลงการณ์ ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ในเวลาต่อมา พวกเรายังได้แถลงการณ์แสดงความไม่เห็นด้วยและวิจารณ์การดำเนินคดีคุณทักษิณในหลายกรณี รวมทั้งคำพิพากษากรณียึดทรัพย์ด้วย

หลังเหตุการณ์การสลายการชุมนุมปี 53 พวกเราได้รวมตัวก่อตั้ง ‘คณะนิติราษฎร์’

18 กันยายน 2554 คณะนิติราษฎร์ เสนอข้อเสนอ ‘ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยายน 2549’ ดังนี้

หนึ่ง ให้รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และการกระทำของ คปค. ตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 ถึง 30 กันยายน 2549 เป็นโมฆะ

สอง ให้รัฐธรรมนูญ 49 มาตรา 36 (ซึ่งรับรองให้การกระทำทั้งหลายของคณะรัฐประหารชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย) ตกเป็นโมฆะ ทำให้การกระทำทั้งหลายของคณะรัฐประหารถูกโต้แย้งได้ว่าขัดรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

สาม ให้รัฐธรรมนูญ 49 มาตรา 37 (ซึ่งนิรโทษกรรมคณะรัฐประหาร) ตกเป็นโมฆะ ทำให้ การนิรโทษกรรมรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นโมฆะ สิ้นผลไป เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เมื่อไม่มีการนิรโทษกรรมการรัฐประหาร ทำให้การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ยังคงมีความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมย่อมสามารถดำเนินคดีเอาคณะรัฐประหารมาลงโทษได้

สี่ ให้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่เป็นผลต่อเนื่องจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ตกเป็นโมฆะ

ห้า ให้เรื่องที่อยู่ในกระบวนพิจารณา ที่เกิดจากการริเริ่มของ คตส. ยุติลง

ข้อเสนอทั้งหมดนี้ ต้องทำโดยผ่านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หากข้อเสนอเหล่านี้สำเร็จ ผลที่ตามมา คือ ดำเนินคณะรัฐประหารได้ทันที

ส่วนคดีความของคุณทักษิณและนักการเมืองอีกหลายคน ที่สืบเนื่องจากรัฐประหาร 49 ก็ไม่ได้นิรโทษหรืออภัยโทษแต่อย่างใด เพียงแต่ลบล้างคำพิพากษาเหล่านั้นทิ้ง และสามารถดำเนินคดีต่อไปตามกระบวนการปกติ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาและจำเลย

‘วัน อยู่บำรุง’ โต้ ‘ปิยบุตร’ ปมจัดการรัฐประหาร ลั่น!! ไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ ปชช.ตัดสินใจเองได้

(7 เม.ย.66) จากกรณี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า วิพากษ์วิจารณ์พรรคเพื่อไทย  ในประเด็น ‘ผมไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยกล้าจัดการรัฐประหาร’
.
ล่าสุด นายวัน อยู่บำรุง ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า "คุณไม่เชื่อ ‘เรื่องของคุณ’ ครับ นี่เป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทยและผู้สนับสนุน พี่น้องประชาชนตัดสินใจเองได้"


ที่มา: https://www.naewna.com/politic/722839

'ชาวเน็ต' โดนใจ!! สุดยอดอาชีพ 'ยิ่งโกหก ยิ่งได้ดี' ช่วยเตือนความจำ ไทยถูกปกครองด้วยคนไร้เกียรติมานานแล้ว

เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 66 ติ๊กต็อกในชื่อ ‘p1forall’ ได้นำเสนอคลิปในหัวข้อ ‘อาชีพที่ยิ่งโกหก ยิ่งได้ดี’ โดยระบุว่า…

“ในชีวิตของผมนะครับ มีอาชีพอยู่อาชีพหนึ่งที่โกหกตลอด ยิ่งโกหกยิ่งได้ดี คิดว่าอาชีพนั้นคืออาชีพอะไร ถ้านึกไม่ออก ผมจะเล่าให้ฟัง ลองไปฟังกันครับ”

- ‘ปฏิวัติ รสช.’ ของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ที่ปฏิวัติแล้วบอกว่า “จะไม่เป็นนายกฯ” แต่ก็ยอม ‘เสียสัตย์เพื่อชาติ’ จนได้เป็นนายกฯ

- ‘ปฏิบัติการลับ ลวง พราง’ ที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เคยบอกว่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติจะให้บ้านเมืองเสียหาย” (แต่สุดท้ายก็ได้ทำการรัฐประหาร โค่นล้มรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร 19 ก.ย. 2549)

22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยึดอำนาจรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กระทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการของนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล (รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) จนทำให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลง และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แทน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top