ทำไมอำนาจการเมืองจีนอยู่ในกำมือสีจิ้นผิงแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกยึดอำนาจ !!

‘ทำไมรัฐประหาร ‘สีจิ้นผิง’ เป็นไปไม่ได้!!’ โครงสร้างการเมืองจีนซับซ้อนซ่อนเงื่อน ประชุมลับ #เป่ยไต้เหอ หากมีความเห็นต่างก็เคลียร์ใจ #สลายขัดแย้ง แล้วก็จบ !! ไม่มีการดิสเครดิตกันทางการเมืองหรือหวังยึดอำนาจ #จบคือจบ 

>> ที่มาข่าวลือรัฐประหาร ‘สีจิ้นผิง’ และความซับซ้อนโครงสร้างอำนาจในจีน
ตอนนี้ถือเป็นช่วงใกล้การประชุมใหญ่สมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 (จัดประชุมทุก 5 ปี) ซึ่งการประชุมครั้งนี้ ผู้นำระดับ“คีย์แมน”ของจีน ซึ่งมีอยู่ 7 คน บางคนอาจจะถูกปรับเปลี่ยนออกไปตามกลไก แต่ที่จะไม่เปลี่ยนแปลง คือเบอร์ 1 ของพรรคฯ ‘สีจิ้นผิง’ และเป็นการครองตำแหน่งในวาระที่ 3 ของสีจิ้นผิงด้วย ดังนั้น ข่าวลือ ข่าวปล่อยในช่วงนี้ของจีน โดยเฉพาะประเด็นรัฐประหารในจีน จึงกลายเป็นที่จับตาทั้งของไทยและชาวโลก 

‘จีนมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน’ ในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะด้านการเมืองของจีนมีความแตกต่างจากประเทศไทย และหลาย ประเทศทั่วโลก บางเรื่องเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ และจีนเองไม่เปิดเผยข้อมูลออกสื่อ จึงทำให้เกิดข้อสงสัยกลายเป็นปริศนา ด้วยเหตุนี้ จึงควรที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองในแบบของจีน...

>> หมวก 3 ใบ กุมอำนาจการเมือง การปกครอง และการทหารในจีน
เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน อาจารย์จะขออธิบายกลไกการเมืองการปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีน ดังนี้…

‘พรรคคอมมิวนิสต์จีน’ เปรียบเสมือนเป็น ‘สถาบันการเมืองสูงสุดของจีน’ เป็นพรรคการเมืองเดียวที่กุมอนาคตประเทศจีน ในขณะนี้ มีสมาชิก 90 กว่าล้านคน และมีกลไกโครงสร้างซับซ้อน ที่สำคัญ พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ในการเข้าไปแทรกซึมในทุกภาคส่วนของจีน ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ทั้งนี้ หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า ประเทศจีนมีพรรคการเมืองทั้งสิ้น 9 พรรค เพียงแต่พรรคการเมืองอื่นส่วนใหญ่จะอยู่ในฐานะไม้ประดับ ไม่ได้มีอยู่เพื่อเป็นพรรคฝ่ายค้าน และตั้งแต่ปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นเพียงพรรคการเมืองเดียวที่ปกครองแผ่นดินจีน

ดังนั้น ข้อเท็จจริงของการเมืองจีน คือ จีนไม่ได้มีพรรคการเมืองเดียว เพียงแต่ประเทศจีนถูกบริหารโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพียงพรรคเดียวมาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 1949

>> พรรคคอมมิวนิสต์จีน มีกองทัพของตัวเอง!! 
กองทัพจีน หรือ กองทัพปลดแอกประชาชน (People's Liberation Army หรือ PLA) หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า ‘กองทัพ PLA เป็นกองทัพสังกัดพรรคคอมมิวนิสต์จีน’ เป็นกองทัพของพรรคการเมือง ไม่ใช่กองทัพประเทศ !!

ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่สะท้อนความยิ่งใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ คือ การมีกองทัพเป็นของตนเอง ในขณะที่พรรคการเมืองของประเทศอื่น เช่น พรรคการเมืองในสหรัฐฯ ทั้ง 2 พรรค คือ รีพับลิกัน หรือ เดโมแครต ก็ไม่ได้มีกองทัพของตนเอง (ยิ้ม) แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีน มีกองทัพของตัวเองที่แข็งแกร่ง ในขณะนี้ สีจิ้นผิงยังได้ครองตำแหน่งสูงสุดในการคุมกองทัพจีน คือ ประธานกรรมาธิการกลางกองทัพจีน จึงสะท้อนว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีน กับ โครงสร้างทางการทหาร มีความเกี่ยวพันกันอย่างไร

การปล่อยข่าวลือว่า กองทัพจีนก่อรัฐประหาร ‘ยึดอำนาจ’ สีจิ้นผิงที่ดำรงตำแหน่งเบอร์ 1 ของกองทัพ และเบอร์ 1 บริหารประเทศ (ประธานาธิบดี) รวมทั้งเบอร์ 1 พรรคคอมมิวนิสต์ (เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์) 
จึงเป็นไปไม่ได้เลย ในเมื่อ ‘สีจิ้นผิง’ ในเวลานี้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ โดยสวมหมวกแห่งอำนาจสำคัญในประเทศจีนถึง 3 ใบ !!

>> ‘อำนาจคุมกองทัพ’ หมวกใบสำคัญของ ‘สีจิ้นผิง’  
ที่ผ่านมา ผู้นำจีนในอดีตอาจจะไม่ได้สวมหมวก 3 ใบนี้ในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างอดีตผู้นำ ‘เหมาเจ๋อตุง’ แม้เหมาเจ๋อตุงจะใส่หมวกเบอร์ 1 คุมพรรคและคุมกองทัพ ในบางช่วงเวลา เหมาเจ๋อตุงแต่ก็ไม่ได้สนใจจะสวมหมวกประธานาธิบดีจีน 

นอกจากนี้ ผู้นำจีนอย่าง ‘เติ้งเสี่ยวผิง’ ก็ไม่เคยใส่หมวกเบอร์ 1 บริหารประเทศ เติ้งเสี่ยวผิงไม่เคยเป็นประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีจีน แต่เคยใส่หมวกหลักในการคุมกองทัพ คือ ประธานกรรมาธิการกลางกองทัพจีน ทั้งนี้ แม้ว่าเติ้งเสี่ยวผิง จะไม่ได้ใส่หมวกสูงสุดในตำแหน่งที่เป็นทางการ แต่เติ้งเสี่ยวผิงก็คือ ผู้ชายหลังฉากที่มีอำนาจและทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของจีน

สำหรับ ‘สีจิ้นผิง’ ตั้งแต่ก้าวสู่อำนาจเป็นเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อปลายปี 2012 เขาก็สวมหมวกเบอร์ 1 คุมกองทัพด้วย คือ ตำแหน่งประธานกรรมธิการกลางกองทัพจีน จากนั้น เดือนมีนาคม 2013 เมื่อมีการประชุมสภาประชาชนจีน หรือ NPC สีจิ้นผิงก็ได้เริ่มดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีน เบอร์ 1 ในการบริหารปกครองประเทศจีน ‘สีจิ้นผิง ถือเป็นผู้นำจีนที่สวมหมวกแห่งอำนาจครบทั้ง 3 ใบอย่างแข็งแกร่งมาจนถึงทุกวันนี้’

ที่สำคัญ ในช่วง 5 ปีแรกของการบริหารประเทศ ‘สีจิ้นผิง’ ยังมุ่งสร้างศรัทธาและซื้อใจประชาชน ด้วยการประกาศทำสงครามปราบคอร์รัปชัน และสงครามขจัดความยากจน ซึ่งล้วนเป็นปัญหาคาใจของคนจีน และผู้นำจีนในอดีตยังไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งสองเรื่องนี้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

>> แก้รัฐธรรมนูญ ปลดล็อกตำแหน่งประธานาธิบดีจีนแบบไร้วาระ ความแยบยลทางการเมืองของ ‘สีจิ้นผิง’ 
ในช่วงครองอำนาจครบ 5 ปีแรกและได้รับความนิยมจากประชาชนจีนด้วยการสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรมเพื่อชนะใจคนจีน โดยเฉพาะการปราบคอร์รัปชัน ในปี 2017 ‘สีจิ้นผิง’ ก็ได้เริ่มผลักดันสิ่งที่เรียกว่า ‘ความคิดสีจิ้นผิง’ (Xi Jinping Thought on Socialism with Chinese Characteristics for a New Era) และได้นำ “ความคิดสีจิ้นผิง” บรรจุในธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์จีน ถือเป็นการปูแนวคิดเชิงสถาบันของผลงานตนเองผ่านสิ่งที่เรียกว่า ‘ความคิดสีจิ้นผิง’ และต่อมา ในปี 2018 ก็ได้นำ ‘ความคิดสีจิ้นผิง’ บรรจุในรัฐธรรมนูญของประเทศจีน และล่าสุด ยังได้นำ“ความคิดสีจิ้นผิง”บรรจุในหนังสือตำราเรียนของเยาวชนจีนอีกด้วย !!

ทั้งนี้ ในปี 2018 นอกจากจะมีการแก้รัฐธรรมนูญของประเทศเพื่อนำ ‘ความคิดสีจิ้นผิง’ บรรจุไว้ในกฎหมายสูงสุดของประเทศจีนแล้ว ในปีนั้น ยังได้ก็มีการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อปลดล็อกในเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของจีนอีกด้วย (จากเดิมที่มีวาระ 5 ปี ไม่เกิน 2 วาระ คือ 10 ปี) 

โดยการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สีจิ้นผิงเพิ่งอยู่ในวาระ 5 ปีแรกเท่านั้น คือปี 2018 ทั้งที่ยังมีเวลาอีก 5 ปี แต่สีจิ้นผิงมีความแยบยล จึงเลือกที่จะแก้รัฐธรรมนูญในช่วงที่เขาได้รับความนิยมและศรัทธาจากประชาชนอย่างล้นหลาม จึงรู้จัก right timing ว่า ตัวเองควรทำเรื่องสำคัญเช่นนี้ในช่วงเวลาใด” ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานอำนาจของ “สีจิ้นผิง”ในเชิงสถาบัน และสะท้อนชัดว่า “อำนาจทางการเมือง การบริหารประเทศ และการทหารอยู่ในกำมือสีจิ้นผิงแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า การวางอำนาจแบบนี้ถือเป็นวิถีทางของ ‘ผู้นำเผด็จการ’ ไม่ฟังประชาชนเลยหรือไม่? คงต้องตอบว่า ‘คงไม่ได้ขนาดนั้น’ เพราะเท่าที่จับตาสถานการณ์ในยุคสีจิ้นผิงมาถึงขณะนี้ พบว่า การสร้างฐานอำนาจของสีจิ้นผิงและพรรคคอมมิวนิสต์จีนในยุคนี้ ไม่ได้ทำเพื่อริดรอดหรือคุกคามประชาชน แต่เน้นใช้อำนาจที่แข็งแกร่งเช่นนี้เพื่อจัดการกับปัญหาความทุกข์ใจของประชาชนจีนที่เคย ‘แก้ยาก’ และผู้นำจีนในอดีตไม่เคยแก้ไขได้ เช่น ปัญหาคอร์รัปชัน และปัญหาความยากจน

ตัวอย่างรูปธรรมในการปราบคอร์รัปชันของ ‘สีจิ้นผิง’ ในช่วง 5 ปีแรกของการเป็นผู้นำจีน มีรายงานว่า สีจิ้นผิงสามารถจัดการกับการคอร์รัปชันได้มากถึง 1.5 ล้านกรณี ไม่ว่าจะเป็นระดับรัฐมนตรี หรือเบอร์ 2 ของกองทัพจีน และตำแหน่งใหญ่โตใดๆ ก็ถูกปราบ หากมีหลักฐานชัดว่า ได้มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง โดยมีหน่วยงานปราบคอร์รัปชันระดับประเทศของจีนที่มีความเฉียบขาด และจัดการลงดาบกับทุกระดับ ไม่ว่าเสือหรือแมลงวัน 

อย่างไรก็ดี หลายคนอาจจะมองว่า สีจิ้นผิงใช้การปราบคอร์รัปชันเพื่อ ‘กำจัดศัตรูทางการเมือง’ หรือไม่? ก็ต้องบอกว่ามีบางกรณีที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘เป็นฝ่ายตรงข้ามสีจิ้นผิง’ แน่นอนว่า ย่อมมีบางกรณีที่ผู้ถูกลงโทษ คือ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับสีจิ้นผิง แต่อย่างไรก็ดี คนเหล่านั้นล้วนมีหลักฐานในการทำผิดและคอร์รัปชันโกงกินบ้านเมือง ดังเช่นข่าวล่าสุด กรณีของ ‘ฝูเจิ้งหัว’ และ ‘ซุนลี่จุน’ ที่เป็นอดีตรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีช่วย เพิ่งถูกตัดสินในข้อหาคอร์รัปชัน จึงถูกโยงเข้ากับการปล่อยข่าวลือเรื่อง ‘รัฐประหาร’ ยึดอำนาจสีจิ้นผิง 

>> ‘เป่ยไต้เหอ’ ประชุมลับและเป็นเวที ‘เคลียร์ใจสลายขัดแย้ง’
เมื่อถามว่า มีความเห็นต่างกับ ‘สีจิ้นผิง’ ในพรรคคอมมิวนิสต์จีนหรือไม่ ก็ย่อมมีคนเห็นต่างในพรรคฯ เป็นเรื่องธรรมดาทุกอย่างมีหลายมุมมอง เพียงแต่เป็นความเห็นต่างในเชิงนโยบายหรือวิธีการจัดการปัญหา แต่ไม่ใช่ความเห็นต่างที่เป็นความแตกแยกแย่งชิงอำนาจ ขอยกตัวอย่าง ‘กรณีนโยบาย Zero Covid ของสีจิ้นผิง’ ต้องยอมรับว่า มีบางคนในพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มองว่า เป็นนโยบายที่ตึงเกินไป จนสร้างปัญหาทางเศรษฐกิจตามมา จึงมีข้อถกเถียงกันว่า ถึงเวลาผ่อนคลายนโยบาย Zero Covid หรือควรจะยกเลิกเมื่อไร อย่างไร 

ความเห็นต่างในพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นแค่การถกเถียงเชิงความคิดว่า อะไรจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าหรือดีที่สุดในการแก้ปัญหาของชาติ แต่ไม่ใช่เห็นต่างถึงขั้นจะยึดอำนาจ ซึ่งความเห็นต่างภายในพรรคคอมมิวนิสต์ ก็จะมีการ ‘นัดเคลียร์ใจ’ กันทุกปี ในการประชุมนอกรอบของพรรคฯ ที่เมืองเป่ยไต้เหอ (Beidaihe) ในช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม ซึ่งจะมีผู้บริหารของพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งผู้ใหญ่ในอดีตและปัจจุบัน ก็จะไปร่วมประชุมเคลียร์ใจกันในที่พักตากอากาศริมทะเลเมืองเป่ยไต้เหอ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของพรรคฯ มาตั้งแต่ยุคเหมาเจ๋อตง และเป็นการประชุมลับ ไม่มีใครรู้ว่า ผู้ใหญ่ในพรรคของจีนตกลงอะไรกัน

เมื่อมีการประชุมเคลียร์กันจนจบที่เป่ยไต้เหอ ความเห็นต่างทุกอย่างก็จบตรงนั้น จะไม่นำข้อมูลมาโจมตีทางการเมืองหรือดิสเครดิตขัดแย้งกัน หรือพยายามที่จะล้มล้างยึดอำนาจกัน นี่คือ ‘กลไกที่เป็นระบบแบบจีน’

ดังนั้น เมื่อมีข่าวลือต่างๆ ออกมา ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองข่าวสาร ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับจีน ซึ่งมีบริบทแบบจีนที่แตกต่างกับหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย จึงควรจะทำความเข้าใจโครงสร้างการเมืองและการปกครองของจีนอย่างถ่องแท้ด้วย


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0v5sheGQN6sFtnCFzojYwhpbwNk3mQiSioZGFsbmNkWRiM7keT1xgGkzxWqRHb9h6l&id=1037140385