Sunday, 5 May 2024
พรรคภูมิใจไทย

อนุทินประกาศพร้อมจับมือบิ๊กแจ๊ส ลั่นตอกเสาเข็มปทุมธานี

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2566 เวลา 15.00 น. ที่หมู่บ้านไวท์เฮ้าท์ จังหวัดปทุมธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และคณะผู้บริหารพรรค นายสรอรรถ กลิ่นประทุม ประธานที่ปรึกษาพรรคภูมิใจไทย, นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย ลงพื้นที่ช่วยนางสาว ณัฐธิดา เกียรติพัฒนาชัย แนะนำนโยบาย มีประชาชนกว่า 1,500 คน ต้อนรับ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ประเทศไทย เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่มาฟังตนวันนี้ ก็มีผู้สูงวัยไม่น้อย พรรคภูมิใจไทยไม่ลืมพวกท่าน เรามีนโยบายผู้สูงอายุ คือ เมื่อท่านอายุ 60 ปีขึ้นไป เราให้สิทธิ์ท่านเป็นสมาชิกกองทุนประกันชีวิต และมีกรมธรรม์ประกันชีวิตทันที โดยไม่ต้องสมัคร และไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิต ให้สิทธิ์กู้เงินดูแลตัวเอง และ ประกอบอาชีพ หาเลี้ยงตัวเองได้ “ท่านมีเงิน 20,000 บาทใช้ จากกรมธรรม์ของท่านเอง ไม่ต้องไปใช้ของลูกหลาน เมื่อท่านจากไป ท่านยังทิ้งมรดกให้ลูกหลานอีก 100,000 บาท”

สำหรับนโยบายขึ้นค่าตอบแทน อสม.เป็น 2,000 บาทต่อเดือน, นโยบายพักหนี้ 1,000,000 บาท หยุดต้น ปลอดดอกเบี้ย , นโยบายด้านการสาธารณสุข อาทิ การจัดหาเครื่องฉายรังสีรักษามะเร็งมาติดตั้งไว้ทุกจังหวัด และการสร้างศูนย์ไตเทียมในทุกอำเภอ โดยนายอนุทิน ย้ำว่า พรรคภูมิใจไทย หาเสียง เฉพาะในสิ่งที่ทำได้ เพราะพรรคภูมิใจไทย พูดจริงทำจริง จากนั้น ได้มีการกล่าวถึงความสัมพันธ์กับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานี ผมเจอท่าน และท่านฝากทีมของท่านไว้กับผม ซึ่งท่านแนะนำว่า ให้ประกาศไปเลยว่า หากภูมิใจไทยคว้า ส.ส.แบบยกจังหวัด จะสร้างโมโนเรลให้ชาวปทุมธานี ซึ่งทาง อบจ. พร้อมสนับสนุน ผมเลยบอกว่า จะได้กี่คน ผมก็จะประกาศนโยบายนี้ เพราะดูแล้วเป็นนโยบายที่ชาวปทุมฯ ต้องการ ผมขอบคุณท่านคำรณวิทย์ ท่านรู้ว่าพี่น้องต้องการอะไร และท่านก็อยากช่วยเหลือเต็มที่ หวังว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ เราจะตอกเสาเข็มเพิ่ม ยิ่งท่านวางใจเรา เราก็ยิ่งมีพาวเวอร์ในการทำงานรับใช้ท่าน

'พุทธิพงษ์' เผยกลยุทธ์หาเสียงเลือกตั้ง ภท.เมืองกรุง มุ่งนำนโยบายเข้าถึง ปชช. ทั้งเคาะประตูบ้าน+สื่อออนไลน์

'พุทธิพงษ์' เผยกลยุทธ์หาเสียงเลือกตั้ง ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งเดินเท้า – เคาะประตูบ้านเข้าหา ปชช. และรุกโซเชียลแจงนโยบายผ่านทุกแพลตฟอร์ม

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ หัวหน้าทีม กทม. พรรคภูมิใจไทย กล่าวผ่านรายการทันข่าวเช้าวันหยุด สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส 5 มี.ค.66 ถึงการหาเสียงเลือกตั้งในส่วนของพรรคภูมิใจไทยว่า ต้องยอมรับว่าวันนี้โลกเราเปลี่ยนไปมาก แต่แน่นอนว่าการหาเสียงระบบเดิมยังคงต้องใช้อยู่ โดยการให้ผู้สมัครแต่ละคนเร่งเดินเท้า เคาะประตูบ้าน เดินเข้าหาประชาชน พร้อมมีสื่อหรือสิ่งพิมพ์ไปแนะนำนโยบาย ความทุ่มเทประสบการณ์ ความรู้ความสามารถและความตั้งใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้วตามระบบการหาเสียง เพื่อขอความเห็นใจขอโอกาสจากพี่น้องประชาชนก็ต้องใช้การเดินเท้าเคาะประตูบ้าน ซึ่งเชื่อว่าทุกพรรคคุ้นเคยและทำอยู่ ขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องปรับขึ้นมาใหม่คือการนำเสนอต่างๆ โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดียต่างๆ ในทุกแพลตฟอร์ม

แล้วแต่จะเชื่อ!! ‘อนุทิน’ ตอกกลับ ‘พรรคเจ้าถิ่น’ หลังจ้องโจมตี ‘นโยบายกัญชา’ ลั่น!! ใครเชื่ออย่างไรก็เชื่ออย่างนั้น ให้ ปชช. ตัดสินใจ

(12 มี.ค. 66) ที่ จ.นราธิวาส นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการแข่งขันทางการเมืองในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะทางพรรคเจ้าถิ่นอย่างพรรคประชาชาติ ได้หยิบยกนโยบายกัญชาเสรีมาโจมตี ว่าไม่มีเจ้าถิ่น มีแต่ประชาชน เจ้าถิ่นคือประชาชน ประชาชนแยกแยะได้ว่า อย่างไหนคือการโจมตี อย่างไหนคือประโยชน์ พรรคไหนทำงาน พรรคไหนไม่ทำงาน กัญชาทางการแพทย์และเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้ประเทศหลายหมื่นล้านบาทแล้ว ถ้ายังมาโจมตีอยู่ก็ถือว่าล้าหลัง ไม่ควรเสนอตัวเองมาเป็นผู้แทนของประชาชน เป็นผู้แทนประชาชนต้องทำเรื่องที่ยากให้กับประชาชนได้ เรื่องง่ายๆใครก็ทำได้ และพรรคภูมิใจไทยทำเรื่องที่ยากๆได้

เมื่อถามว่า การที่พรรคประชาชาติประกาศไม่เอานโยบายกัญชาเสรี ถือเป็นการเปิดหน้าชนกับพรรคภูมิใจไทยพรรคเดียวเลยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกพรรคเราจะไปวิจารณ์ไม่ได้ ใครเชื่ออย่างไรก็เชื่ออย่างนั้น ประชาชนคือคนที่จะตัดสินใจ ตรงนี้ไม่มีความหมายใดๆกับพรรคภูมิใจไทย พรรคไหนไม่เชื่อก็ไปหาเสียงห้ามไม่ให้มีกัญชา แต่พรรคภูมิใจไทยก็จะหาเสียงบอกว่ากัญชาดีอย่างไร

‘มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์’ เลือดใหม่แห่ง ‘ภูมิใจไทย’ ผู้เชื่อมั่นในสังคมดี ต้องเริ่มจากเยาวชนที่มีคุณภาพ

‘ภูมิใจไทย’ ส่ง ‘มณีรัตน์’ คนรุ่นใหม่ ดีกรีนักกฎหมายจาก King’s College London นักธุรกิจมากความสามารถ และนักขับเคลื่อนงานด้านประชาสังคม พ่วงบทบาทในแวดวงการเมืองร่วม 10 ปี ชิงชัยสนาม กทม. เขต 'พระโขนง-บางนา'

นาทีนี้ หลายพรรคการเมืองเริ่มประกาศตัว ว่าที่ผู้สมัครผู้แทนราษฎรในกรุงเทพมหานครกันครบ 33 เขตเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งส่วนใหญ่ มักจะเป็นผู้สมัครหน้าคุ้น ที่ต้องลุ้นว่าในสมัยหน้าพวกเขาเหล่านี้จะกลับเข้ามาทำงานและแก้ปัญหา กทม.ได้โดนใจคนกรุงมากน้อยแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม ก็มีหลากหน้าผู้สมัครเลือดใหม่ ที่ต้องยอมรับว่าพรรษาอาจจะยังไม่ถึงขั้นบรมครู แต่เท่าที่รู้หลายคนมีดีกรีและความมุ่งมั่นที่น่าสนใจมาลองทำงานให้คนกรุงดูสักคำรบไม่น้อย เฉกเช่นเดียวกันกับเธอคนนี้ ‘มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์’ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เขตพระโขนง-บางนา

ด้วยประสบการณ์ที่เคยร่วมงานกับบรรดาพรรคการเมืองและคนการเมืองชั้นนำของประเทศมามากมาย ในวันนี้ ‘มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์’ ดีกรีนักกฎหมายจาก King's College สาขาความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายองค์กรและพาณิชย์ ได้เลือกปักธงลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรคภูมิใจไทย ด้วยมุมมองทางการเมืองที่คลิกตรงกัน นั่นคือ ‘พูดแล้วทำ’ ซึ่งเธอเชื่อในความเอาจริงเอาจังกับทุกเรื่องของพรรคนี้ เช่นเดียวกันกับบุคลิกส่วนตัวที่ ‘คิด-พูด-ทำ’ ในทุกๆ เรื่องที่โฟกัส

แม้ ‘มณีรัตน์’ จะแลดูเป็นคนรุ่นใหม่วัยเยาว์ แต่ประสบการณ์ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ต้องเรียกว่าโชกโชน ทั้งกับธุรกิจส่วนตัวที่เป็นผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัทที่ทำธุรกิจด้าน e-Commerce เจ้าแรกๆ ในประเทศไทย และเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของสินค้าหลากหลายแบรนด์ที่เอ่ยชื่อมาทุกคนล้วนรู้จักเป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันนี้ธุรกิจดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง มียอดขายและกำไรที่น่าพึงพอใจ ภายใต้ความตั้งใจในการที่จะให้ธุรกิจนี้ยืนอยู่และเดินหน้าได้อย่างยั่งยืนต่อเธอและผู้เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม สนามธุรกิจ ที่เธอยังคงยืนเคียงข้างมาจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตในช่วงระยะเวลาเกือบ 20 กว่าปีมานี้ แต่เธอยังคงเลือกเข้าไปมีบทบาทกับงานภาคประชาสังคม ภาคประชาชน รวมถึงการเข้าร่วมกับงานภาคการเมืองเท่าที่จะมีโอกาส โดยหวังว่าจะมีโอกาสได้ใช้ความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ เข้ามาช่วยพัฒนากรุงเทพฯ โดยเฉพาะในมิติของสังคมและเยาวชน ที่เธอเชื่อว่า สังคมดีจะเกิดขึ้นได้จากรากฐานอย่างเยาวชนที่ดี

มณีรัตน์เริ่มมีโอกาสก้าวเข้าสู่บทบาทของงานภาคการเมืองและภาคสังคมควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจตั้งแต่ช่วงปี 2007-2008 โดยเธอได้มีโอกาสเข้าไปทำงานด้านกลยุทธ์ ในฐานะคณะกรรมด้านประชาสัมพันธ์ของพรรคประชาธิปัตย์

ต่อมาในปีเดียวกัน เธอก็ได้ร่วมงานในคณะทำงานด้านเยาวชนของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งเธอมุ่งมั่นในการผลักดันนโยบายด้านเด็กและเยาวชน เพื่อนำเสนอกับผู้ว่าฯ กทม. เพราะถือว่านโยบายด้านเด็กและเยาวชนเป็นสิ่งที่สำคัญไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง ตนยอมให้ถูกมองว่าหน้าด้าน แต่ตนอยากให้ผู้ว่าฯ กทม.ทำนโยบายเพื่อเด็กนำไปเป็นกรอบในการปฏิบัติราชการต่อไป 

หลังจากนั้นในปี 2009 ก็ขยับขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการ ด้านกิจการเยาวชนของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์บริพัตร

‘อนุทิน’ ปัดข่าวหนุน บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม แจงยังไม่ถึงเวลาเลือกตั้ง ย้ำฟังเสียง ปชช. หลังเลือกตั้งก่อน เหน็บวงกินข้าวไม่ควรพูดที่สาธารณะ

(24 มี.ค.66) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.)ให้สัมภาษณ์กรณีนายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า นายอนุทิน พร้อมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกฯ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หากใครได้ส.ส.มากกว่า จะหนุนคนนั้นเป็นนายกฯ  ระหว่างกินข้าวมื้อเที่ยงที่ป่ารอยต่อฯ เมื่อ 22 มี.ค. ที่ผ่านมา ว่า พรรคภูมิใจไทยชัดเจน หากได้ส.ส.มาเป็นอันดับหนึ่ง ก็พร้อมเป็นนายกฯเอง

‘ภูมิใจไทย’ ดันนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิต ‘คนพิการ’ ให้เข้าถึงอุปกรณ์เพื่อใช้ชีวิต - มีศักดิ์ศรีเท่าคนทั่วไป

เมื่อวานนี้ (23 มี.ค.66) น.ส.อนุสรี ทับสุวรรณ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ร่วมเสวนาในหัวข้อ 'คนพิการอยู่ไหนในการเมืองไทย' จัดโดยมหาวิทยาลัยรังสิต พร้อมนำเสนอนโยบายด้านผู้พิการ ต้องการให้คนพิการมีความภูมิใจ มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีพลังที่ไม่ใช่ภาระ สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ เป็นพลเมืองดีของสังคม

น.ส.อนุสรี กล่าวว่า การส่งเสริมให้มีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ โดยคิดในกรอบภาพรวมใหญ่ มีกับดักหลายด้านที่ทำให้ทำไม่ได้ จึงต้องปฏิรูปกฎหมายส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการที่ระบบการลงทะเบียนคนพิการต้องไม่ตกหล่น มีการบริการถึงที่อย่างทั่วถึง และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการลงทะเบียนออนไลน์ คนพิการต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิคนพิการอย่างเท่าเทียมสมบูรณ์

น.ส.อนุสรีกล่าวว่า มี 4 หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงแรงงาน (รง.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) แต่ขาดการบังคับใช้กฎเกณฑ์ทางกฎหมายว่าหากไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะเป็นอย่างไร

‘ดร.กมล’ ภท. เล็งต่อยอด ‘เรียนออนไลน์’ เน้นคุณภาพ-เท่าเทียม ผลักดัน จัดตั้ง ‘สถาบันพัฒนาฯ’ สร้างระบบการเรียน-สอนใหม่ ให้มีคุณภาพ

‘ดร.กมล รอดคล้าย’ ทีมการศึกษา ภท. เล็งต่อยอดเรียนออนไลน์ให้มีคุณภาพ เพื่อความเท่าเทียม สร้างระบบใหม่การจัดการสอน เปลี่ยนภาพจำของโรงเรียน นำพาคนไทยให้มีขีดความสามารถแข่งขันระดับโลก

(27 มี.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.กมล รอดคล้าย คณะทำงานยุทธศาสตร์ด้านการศึกษา พรรคภูมิใจไทย กล่าวในรายการ ‘พรรคภูมิใจไทย พูดแล้วทำ’ เผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก ยูทูป และ TikTok พรรคภูมิใจไทย ถึงนโยบาย 'การจัดการเรียนการสอนด้วยระบบออนไลน์ (Online)'

โดยระบุว่า พรรคภูมิใจไทย ได้เสนอนโยบายการจัดการเรียนการสอนด้วยระบบออนไลน์ไว้ตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 โดยมองว่าช่องทางออนไลน์เป็นเรื่องของการจัดการศึกษาเพื่อความเท่าเทียม สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ทุกที่ ทุกเวลา มีค่าใช้จ่ายที่น้อยมาก และจะทำให้ระบบการศึกษาไทยสามารถขับเคลื่อนได้อย่างมีคุณภาพ ในช่วงที่ผ่านมา การศึกษาผ่านระบบออนไลน์ถือว่าประสบความสำเร็จมาก ตามที่พรรคภูมิใจไทยได้ประกาศนโยบายไว้

“ระบบนี้กำลังจะขับเคลื่อนต่อไปในอนาคต เราเตรียมการอีกอย่างน้อย 3-4 เรื่อง เช่น การจัดการเรียนการสอน หรือเรียนฟรีถึงระดับปริญญาตรี เป็นต้น ซึ่งตรงนี้ระบบออนไลน์สามารถจัดการได้ ส่วนการฝึกงาน กิจกรรมกลุ่ม หรือห้องแลป (ห้องปฏิบัติการ) เด็กๆ หรือนักศึกษา ก็มาที่สถาบันได้เหมือนเดิม” ดร.กมล ระบุ

ดร.กมล กล่าวต่อว่า ทุกโรงเรียนในประเทศไทยซึ่งเรียนผ่านออนไซต์ (On-site) ปัจจุบัน เราสามารถสร้างระบบที่เรียกว่า เวอร์ช่วลสคูล (Virtual School) หรือออนไลน์สคูล (Online School) เป็นห้องที่ทำการเรียนการสอนได้ทุกแห่ง จุดเด่นก็คือเด็กๆ ไม่ว่าอยู่ในชนบทห่างไกล หรือโรงเรียนขนาดเล็ก จะได้เรียนกับครูเก่งๆ

นอกจากนี้ยังนำไปสู่อีก 2 ประเด็นหลักๆ ก็คือ เรากำลังจะส่งเสริมพัฒนาคุณภาพของครู ให้ครูสามารถได้รับรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากระบบออนไลน์ด้วย

โดยเมื่อครูสอนเสร็จ ก็จัดทำเป็นคลิปการเรียนการสอนของตัวเอง เพื่ออัปโหลดลงไปในระบบออนไลน์ เมื่อเด็กๆ คลิกเข้าไปชม ครูที่สอนก็จะได้รายได้ เป็นรายได้แบบเพย์-เพอร์-วิว (Pay Per View) หรือชำระเงินเพื่อการรับชม แต่การจ่ายเงินตรงนี้ เด็กไม่ได้เป็นผู้จ่าย รัฐจะเข้ามาเป็นผู้จ่ายแทน

‘อนุทิน’ เผยกินข้าวกับ ‘บิ๊กป้อม’ ไม่ใช่ความลับอะไร ขอไม่พูดถึงทิศทางจัดตั้ง รบ. ใหม่ ยัน!! ภท. ยึดกติกาสากล

‘อนุทิน’ ปัดดีลจัดตั้งรัฐบาล ร่วม พท.-พปชร. ให้รอผลเลือกตั้งชัด ‘ชี้’กินข้าวร่วม ‘บิ๊กป้อม’ ไม่แปลก ไม่ได้กินข้ามฟาก ยอมรับมีอัพเดตตัวเลขเลือกตั้งปกติ แต่ไม่มีความลับ ดักทางหลังเลือกตั้ง สว.ยังร่วมโหวตนายกฯในสภา แต่แค่พายเรือส่ง ชี้พรรคเล็กได้นั่งนายกฯลำบากแน่นอน ไร้เสถียรภาพ แย้ม เม.ย.จนถึงเลือกตั้ง ไม่อยู่กทม. จ้องหาวันลาราชการลงพื้นที่ 

(27 มี.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ดีลกับพรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งมองกันว่าพรรคภท. จะอยู่ในสมการนั้นด้วย ว่า ยังไม่รับทราบเรื่องพวกนี้เลย อ่านจากข่าวเหมือนกัน ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยใดๆเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวถามว่ามีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า รอเลือกตั้งดีที่สุด หลังการเลือกตั้งทิศทางจะออกมาเอง รอผลเลือกตั้ง เมื่อถามว่าการไปทานข้าวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร. 2 รอบ มีการพูดคุยถึงการจับมือจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า คิดมากไปหรือเปล่า ทำงานมาด้วยกัน 4 ปี กินข้าวกันมันแปลกตรงไหนใช่ไหม และตนก็ไม่ได้ข้ามฟากไปกินกับอีกฟากหนึ่งเสียเมื่อไหร่ ก็กินกันอยู่ในนี้มันเป็นเรื่องปกติมากกว่า หากจะพูดคุยความลับกันจริงๆ พูดคุยเรื่องที่มีการวิเคราะห์ออกมาตามสื่อที่ไปตั้งรัฐบาลให้ใครเป็นนายกฯถ้าจริงคงไม่คุยกันแค่ 8 คนมั่งใช่ไหม อันนั้นไม่มีความลับอะไรเป็นการไปกินข้าวกันธรรมดา

เมื่อถามว่านอกเหนือจากการคุยเรื่องทางการเมืองแล้วมีข่าวว่าไปคุยเรื่องคดีของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ หลังหยุดปฏิบัติหน้าที่รมว.คมนาคม นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มีเลย นายศักดิ์สยามมั่นใจในข้อกล่าวหาว่าเขาสามารถเตรียมเอกสารไปแก้ข้อกล่าวหาได้ การไปกินข้าวเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่เรื่องของราชการ และไม่ใช่เรื่องของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใครที่โดนเขาก็มีหน้าที่ชี้แจงไป 

เมื่อถามว่าพรรค ภท.เตรียมเปิดตัวส.ส.ทั่วประเทศเมื่อไหร่ นายอนุทิน กล่าวว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เริ่มรับสมัครส.ส.เขตวันที่ 3 เม.ย. และรับสมัครส.ส.บัญชีรายชื่อวันที่ 4 เม.ย. เมื่อถามอีกว่าแสดงจะไม่เปิดรายชื่อก่อน แต่จะให้ไปรู้วันสมัครเลยใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตอนนี้เปิดเรียงตามลำดับอักษรว่ามีใครบ้าง รอเอกสารให้เรียบร้อยทุกอย่าง และจะเรียกประชุมกรรมการบริหารพรรคอย่างเร่งด่วน เมื่อถามว่าลงตัวหรือไม่ นายอนุทินหัวเราะ พร้อมกล่าวว่า ภท.ลงตัวทุกเรื่องอยู่แล้ว เมื่อถามว่าในพื้นที่อีสานไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ หลังจากที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ออกมาโจมตีหลายๆเรื่อง นายอนุทิน กล่าวว่า อย่างที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ตอนที่มีเรื่องนี้ออกมาเราก็เร่งทำโพลในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเมื่อวันที่ 26 มี.ค.ก็เห็นแล้วว่ามีโพลออกมาบอกว่าเราไม่ได้รับผลกระทบอะไร ตรงกันข้ามคะแนนนิยมในตัวบุคคลของ ภท.มีมากขึ้น 

เมื่อถามว่า ถ้าอนาคต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะแคนดิเดตนายกฯพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้คะแนนน้อยกว่า ภท. จะหลีกทางให้พล.อ.ประยุทธ์ หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า กติกาสากลมีอยู่แล้วอย่าเพิ่งถามเลย ถามตรงนี้หากบอกคนนี้น้อยคนนี้มาก คนได้น้อยจะไม่พอใจหรือเสียกำลังใจ กติกาสากลมีอยู่แล้ว คะแนนมากจะต้องทำตัวอย่างไร คะแนนน้อยจะต้องทำตัวอย่างไร เรื่องการเมืองไม่พ้นกติกาสากลเหล่านี้หรอก อย่าไปกังวล รอผลการเลือกตั้งออกมาให้นิ่งและชัดเจนก่อนไม่ต้องไปรอรับรองอย่างเป็นทางการหรอกอย่างที่ตนเรียนเย็นวันที่ 14 พ.ค. 4 ทุ่ม 5 ทุ่ม มันก็พอเห็นเค้าลางแล้ว แล้วเราค่อยดำเนินการอะไรจากนั้นไป ตอนนี้พูดอะไรไปสิ่งที่ตนกลัวที่สุดคือมันจะเหมือนกับว่าไม่ให้เกียรติพี่น้องประชาชน ซึ่งตรงนี้ตนกลัวมาก ฉะนั้นตนคงจะไม่ให้สัมภาษณ์ในเรื่องทิศทางใดๆ จนกว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาแล้ว 

“การไปเจอคนนั้นคนนี้ รับประทานอาหารกับคนนั้นคนนี้เป็นเรื่องปกติอย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องแปลก หรือเป็นการปล่อยทิศทางการเมืองอะไรออกมา ไม่ใช่เลย แต่ละพรรคการเมืองมีนโยบายของตัวเอง เป็นผู้บริหารพรรคการเมืองในความเป็นปัจเจกบุคคลไม่ได้มีปัญหาอะไรกับใครเลย สมมุติว่าเราจะไปทานข้าวอะไรกับใครเราก็ไปอัพเดตกัน ในวงการธุรกิจคู่แข่งเขายังมีนัดกินข้าวกันเพื่ออัพเดตสถานการณ์ อัพเดตตลาด อัพเดตปัญหาความต้องการหลายๆเรื่อง ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในองค์กรแบบนี้เราก็ไปอัพเดตสถานการณ์กัน มันไม่ใช่ความลับอะไรมากมาย พรรคผมส่งกี่คนกี่เขต ใครมีแนวโน้มเป็นปาร์ตี้ลิสต์บ้าง เราไม่ได้บอกว่าคนนี้เบอร์หนึ่งสองสาม เป็นเรื่องที่เราพูดจาบนโต๊ะอาหารซึ่งเป็นเรื่องปกติ และเรื่องอื่นๆก็พูดเยอะ มันไม่ใช่เป็นการรับประทานอาหารอย่างเป็นทางการและถ้าเกิดมันจะลับจริงๆทำไมจะลับไม่ได้ อันนี้แสดงว่าไม่ได้มีความลับอะไร รูปถึงออกมา และไม่ได้มีการโวยวายอะไร ปกติ การสื่อสารข้อมูลทางโทรศัพท์มันเร็วมาก เผลอๆไลฟ์สดด้วยซ้ำ เราอย่าไปซีเรียสอะไรมาก ทางการเมืองทุกอย่างโดยเฉพาะยิ่งใกล้เลือกตั้งทุกอย่างต้องรอผลเลือกตั้ง ผมยืนยันตรงนี้” นายอนุทิน กล่าว

‘อนุทิน’ แจง ขั้นตอนเดินหน้านโยบาย ‘พักหนี้ 3 ปี’ หยุดต้น-ปลอดดอก ลั่นไม่กระทบ ทุกฝ่ายได้ประโยชน์

(28 มี.ค.66) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายหาเสียงของพรรค ในประเด็นการให้ประชาชนได้สิทธิ์พักหนี้ 3 ปี วงเงิน ไม่เกิน 1 ล้านบาท ว่าตัวเลขที่อยู่ในนโยบายล้วนมีความหมายทั้งสิ้น เราให้เวลาพักหนี้ 3 ปี เท่ากับระยะเวลาที่โควิด - 19 ระบาด และกระทบกับการทำมาหากินของประชาชน ส่วนจำนวนเงินที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท เพราะเป็นจำนวนหนี้ ซึ่งสอดคล้องกับประชาชนคนไทยจำนวนมาก การพักหนี้คราวนี้ เราจะหยุดการจ่ายเงินต้น 3 ปี ดอกเบี้ยไม่ต้องคิดในระยะเวลา 3 ปี ขอย้ำว่า นโยบายนี้ใช้เฉพาะกับหนี้ที่ถูกกฎหมายเท่านั้น

‘มณีรัตน์’ ชูนโยบาย "มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า" ตอบโจทย์ลดรายจ่าย ช่วงน้ำมันแพง

ว่าที่ผู้สมัครส.ส.ภูมิใจไทย “พระโขนง - บางนา” ชูนโยบาย “มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า” เชื่อ ตอบโจทย์ลดรายจ่ายช่วงน้ำมันแพง – แก้ปัญหามลภาวะทางอากาศ

(29 มี.ค. 66) น.ส.มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตพระโขนง-บางนา พรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า หลังจากลงพื้นที่รับฟังปัญหาพี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยมีโอกาสได้พูดคุยกับวินมอเตอร์ไซค์ ไรเดอร์ และผู้ใช้รถจักรยานยนต์ พบว่าเกือบทุกคนประสบปัญหาราคาน้ำมันแพง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่เพิ่มต้นทุนของอาชีพวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไรเดอร์ส่งสินค้า ตลอดจนประชาชนทั่วไป 

ประกอบกับปัญหาโลกร้อน และปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่กำลังวิกฤตส่งผลอันตรายต่อสุขภาพอย่างมากในตอนนี้ พรรคภูมิใจไทย เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ จึงมีนโยบาย มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และติดตั้งแผงโซล่าร์ลูฟบนหลังคา เก็บพลังงานแสงอาทิตย์เปลี่ยนมาเป็นไฟฟ้า เป็นการประหยัดค่าไฟลดค่าใช้จ่าย ส่งผลให้ทั้งอากาศ และสิ่งแวดล้อมดีขึ้นได้ ตอบโจทย์ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยมลพิษ PM 2.5 และยังช่วยลดต้นทุนค่าน้ำมัน ลดค่าไฟฟ้า ให้พี่น้องประชาชนอีกด้วย 

น.ส.มณีรัตน์ กล่าวต่อว่า นโยบายนี้หากบ้านไหนติดตั้งแผงโซล่าร์ลูฟบนหลังคา จะให้สิทธิซื้อมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าบ้านละ 1 คัน ในราคา 6,000 บาท ด้วยระบบผ่อนชำระเพียงเดือนละ 100 บาท เป็นเวลา นานถึง 60 งวด และสามารถใช้เครดิตพลังงานเติมกระแสไฟฟ้าได้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าพลังงานสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดรายจ่ายให้แก่ประชาชน ทั้งการซื้อรถราคาถูก และไม่ต้องเสียเงินค่าพลังงาน ส่วนตัวจึงเชื่อว่า นโยบายมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจะตอบโจทย์ทั้งลดช่วยต้นทุน เพิ่มรายได้ พร้อมยกระดับชีวิตพี่ๆวินมอเตอร์ไซค์ ไม่ต้องแบกรับภาระหนักซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจ รายรับไม่พอรายจ่ายอีกต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top