Sunday, 5 May 2024
ประเทศจีน

‘บัณฑิตสาวชาวจีน’ โชว์ทำอาชีพ ‘คนดูแลสุสาน’ อวด ‘งานสบาย - เหมือนได้เกษียณก่อนกำหนด’

สาวจีนรายหนึ่งออกมาเผยเรื่องราวของตนเองที่เรียนจบปริญญาตรี แต่เลือกทำงานเป็น ‘คนดูแลสุสาน’ เพื่อสร้างสมดุลชีวิตและหลีกเลี่ยง ‘การเมืองในออฟฟิศ’ จนทำให้ชาวเน็ตจีนจำนวนมากออกมาวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดในการทำงานของคน Gen-Z

หญิงสาวแซ่ ตัน (Tan) วัย 22 ปี กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในจีนแผ่นดินใหญ่ หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเธอได้โพสต์คลิป Douyin อวดสถานที่ทำงานที่ ‘สงบสุข’ ของเธอ ซึ่งตั้งอยู่ภายในสุสานที่อยู่ติดกับภูเขาในเมืองฉงชิ่ง

“นี่คือบรรยากาศการทำงานของคนดูแลสุสาน Gen Z มันเป็นงานที่สบายมาก มีหมาแมวให้เล่น แล้วก็มีอินเทอร์เน็ตด้วย” ตัน กล่าว

หญิงสาวเล่าว่า ตั้งแต่มาทำงานที่นี่ก็รู้สึกเหมือน ‘ได้เกษียณก่อนกำหนด’ เพราะงานดูแลสุสานนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน มีเวลาว่างมากมาย และยังได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม โดยไม่ต้องเจอกับการเมืองในออฟฟิศและปัญหารถติดเหมือนคนอื่น ๆ

หน้าที่ประจำวันของเธอคือการต้อนรับแขกที่มาเยือนสุสาน ขายที่ฝังศพ และปัดกวาดดูแลหลุมศพแทนญาติผู้ตาย

เธอได้รับค่าจ้างเดือนละ 4,000 หยวน (ราว 20,000 บาท) สำหรับการทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ ตั้งแต่เวลา 8.30 น. ถึง 17.00 น. โดยมีเวลาพักทานข้าวกลางวันวันละ 2 ชั่วโมง

ตามฐานข้อมูลของรัฐบาลจีน รายได้เฉลี่ยต่อปีของชาวเมืองฉงชิ่งอยู่ที่ 33,800 หยวน (170,000 บาท) หรือประมาณ 2,800 หยวนต่อเดือน (14,000 บาท) ซึ่งเท่ากับว่างานดูแลสุสานที่หญิงสาวเลือกทำช่วยให้เธอมีรายได้สูงกว่าเงินเดือนเฉลี่ยของคนทั่วไปอยู่พอสมควรทีเดียว

หลังจากที่คลิปนี้ถูกแชร์ออกไป ปรากฏว่ามีชาวเน็ตจีนจำนวนมากเข้าไปแสดงความตกตะลึงที่บัณฑิตอย่าง ตัน เลือกงานในสุสาน ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่า ‘ไม่เป็นมงคล’ และไม่ใช่สถานที่ที่น่าอภิรมย์เท่าไหร่ แต่ก็มีคนอีกไม่น้อยที่เข้าไปให้กำลังใจและสนับสนุนเธอ โดยมองว่านี่คือส่วนหนึ่งของ ‘กระแสวัฒนธรรมนอนราบ’ (lying flat) หรือ ‘ถ่าง ผิง’ (躺平) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในหมู่คนหนุ่มสาวจีนมากขึ้น

การที่หนุ่มสาวจีนขานรับ ‘วัฒนธรรมนอนราบ’ ก็เนื่องจากความท้อแท้ต่อสภาพกดดันในสังคมโดยเฉพาะวัฒนธรรมการทำงานที่หนักสาหัสเกินไป แต่กลับได้ผลประโยชน์ไม่สมกับที่ได้ลงแรงเหนื่อยยาก จนกระทั่งมาถึงจุดที่ไม่ต้องการทนอยู่กับสภาพนี้อีกต่อไป และหันหลังให้กับความคาดหวังของสังคม

‘คุณแม่ชาวจีน’ บังคับให้ลูกดูโทรทัศน์ตลอดทั้งคืน หลังลูกชายดูแต่โทรทัศน์ ไม่รับผิดชอบหน้าที่ตัวเอง

เด็กชายวัย 8 ขวบรายหนึ่งถูกพ่อแม่บังคับใช้ดูโทรทัศน์ตลอดทั้งคืน ในบทลงโทษที่หนูน้อยรายนี้ดูทีวีมากเกินไป การสั่งสอนแบบรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี ที่โหมกระพือประเด็นถกเถียงบนสื่อสังคมออนไลน์

เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์อ้างอิงรายงานของสำนักข่าวจีนแผ่นดินใหญ่ Vista ระบุว่า เด็กชายไม่เปิดเผยชื่อรายนี้ จากมณฑลหูหนาน ทางภาคกลางของจีน ถูกทิ้งให้อยู่บ้านเพียงลำพัง เนื่องจากพ่อแม่ออกไปข้างนอก และถูกขอให้ทำการบ้านให้เสร็จแล้วเข้านอนตอนเวลา 20.30 น.

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่กลับมาถึงบ้านในช่วงดึกคืนดังกล่าว แม่ของหนูน้อยพบว่าลูกชายยังทำการบ้านไม่เสร็จแถมยังไม่อาบน้ำ นอกจากนี้ แทนที่จะเข้านอน ลูกชายยังคงเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์อย่างไม่ละสายตา

แม้ไม่นานหลังจากนั้น ลูกชายจะลุกเดินเข้าไปนอน แต่ผู้เป็นแม่ตามไปลากหนูน้อยลงจากเตียง กลับมายังห้องนั่งเล่น เปิดทีวีและบังคับให้ลูกชายดูโทรทัศน์ตลอดทั้งคืน

ในตอนแรกเด็กชายยังคงดูโทรทัศน์อย่างสงบ มีท่าทีผ่อนคลาย กินขนมขบเคี้ยว เล่นแท็บแล็ตและนอนเอกเขนกบนโซฟา แต่พอหลายชั่วโมงผ่านไป หนูน้อยชักเบื่อหน่ายและเริ่มร้องไห้ตอน 02.00 น. มีอยู่ช่วงหนึ่งเด็กชายรายนี้แอบกลับไปที่เตียงเพื่อนอนหลับ แต่แม่จับได้ และบังคับให้เขากลับมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง และดูโทรทัศน์ต่อไป

พ่อและแม่เฝ้าดูลูกชายอยู่ตลอด โดยคนเป็นพ่อไม่ยอมให้ลูกหลับ คอยปลุกหนูน้อยให้ลืมตาตื่น และทั้ง 2 คนไม่ยอมให้ลูกชายเข้านอนจนกระทั่งถึงเวลา 05.00 น.

‘คริส วู’ เจอคุก 13 ปี - เนรเทศพ้นประเทศจีน โทษฐาน ‘ล่วงละเมิดทางเพศ-ปาร์ตี้มั่วสุม’

กว่าหนึ่งปีหลังถูกควบคุมตัวในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ ล่าสุดในวันนี้ (25 พ.ย. 65) สำนักข่าว ‘รอยเตอร์ส’ (Reuters) รายงานว่าศาลเขาเฉาหยาง ปักกิ่ง ตัดสินจำคุก 13 ปี แก่ ‘คริส วู’ หรือ ‘อู๋อี้ฝาน’ (Kris Wu) ดาราศิลปินหนุ่มจีนคนดัง วัย 32 ปี ซึ่งมีผลงานเพลงและงานแสดงเป็นที่รู้จักมากมาย

หลังการสืบสวนสอบสวนพบว่า ‘คริส วู’ กระทำผิดจริง หลังจากที่ได้ก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศซึ่งรวมถึงการข่มขืนกระทำชำเราหญิงสาวจำนวน 3 ราย ในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม ปี 2020

และนอกจากมีความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศแล้ว ศาลยังระบุว่า ดาราศิลปินหนุ่มคนดังรายนี้มีความผิดทางอาญาฐานก่อการมั่วสุมทางเพศในงานปาร์ตี้รวมกลุ่มฝูงชน โดยหลังจากชดใช้ความผิดในคุก 13 ปีแล้ว เขาจะถูกเนรเทศออกนอกประเทศต่อไป

‘อลงกรณ์’ เผย!! มีผู้อ้างชื่อทุเรียนไทย หลอกขายในจีน มอบทูตเกษตรในจีนตรวจสอบ - รักษาภาพลักษณ์ผลไม้ไทย

(29 พ.ย. 65) จากกรณีที่สื่อบางฉบับนำเสนอข่าวเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา ว่ามีการเผยแพร่คลิปทุเรียนซึ่งวางจำหน่ายในประเทศจีน ที่ผู้ขายอ้างว่าเป็นทุเรียนจากไทย จนทำให้ลูกค้าในเซี่ยงไฮ้หลงเชื่อซื้อกลับไปรับประทานในราคากิโลกรัมละ 200 หยวน หรือประมาณ 1,000 บาท แต่กลับพบว่ารสชาติไม่ใช่ของไทย และคลิปดังกล่าวยังถูกส่งต่อในประเทศจีนเป็นวงกว้างจนเกรงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะกระทบต่อชื่อเสียงของทุเรียนไทย

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (ฟรุ้ทบอร์ด-Fruit Board) เปิดเผยวันนี้ (29 พ.ย.) ว่า ทันทีที่ทราบข่าวได้รายงานต่อดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานฟรุ้ทบอร์ดโดยสั่งการทันทีในวันที่มีสื่อมวลชนนำเสนอข่าว (28พ.ย) ให้ทูตเกษตรของไทยทั้ง 3 สำนักงาน ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว ตรวจสอบข้อเท็จจริงพร้อมกับเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยทันที 

โดยได้รับรายงานในตอนค่ำของวันวานจากกงสุลฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ ว่า ได้เดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงจุดจำหน่ายทุเรียนตามที่ปรากฏในข่าวแต่ไม่พบการขายทุเรียน อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบข้อมูล พบว่า กรณีที่เป็นข่าว เป็นรถขายทุเรียนริมทาง (รถกระบะ) ไม่ใช่การขายทุเรียนจากร้านค้าที่มีแหล่งที่ตั้งถาวร โดยปกติรถขายทุเรียนคันนี้จะจอดขายช่วงกลางคืนบนถนน Xinhua ของเมืองเซี่ยงไฮ้ ช่วงวันที่ขายก็ไม่แน่นอน แต่ส่วนใหญ่จะมาขายวันเสาร์อาทิตย์ ที่ผ่านมารถดังกล่าวไม่ได้มาจอดขายทุเรียน ณ บริเวณนั้นนานกว่าสัปดาห์แล้ว ราคาขายจะเป็นราคาต่อจินหรือ 500 กรัม ปกติทุเรียนไทยที่จำหน่ายในช่วงนี้ราคาประมาณ 25-40 หยวน/500กรัม หรือ 50-80 หยวน/กก. (หรือประมาณ 250-400 บาท/กก.)

ทั้งนี้ รถขายทุเรียนข้างทาง ส่วนใหญ่จะพบเห็นตามชานเมือง จอดขายริมถนนเฉพาะช่วงกลางคืน เพื่อหลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่ และทุเรียนที่ขายก็เป็นทุเรียนตกเกรด คุณภาพต่ำ และส่วนใหญ่ราคาถูกกว่าร้านค้าผลไม้ที่ได้มาตรฐาน

จากการสอบถามข้อมูลจากตลาดค้าส่งทราบว่า รถขายทุเรียนข้างทางในเซี่ยงไฮ้เป็นรถกระบะมาจากมณฑลอื่น โดยพ่อค้าจะไปซื้อทุเรียนตกเกรดราคาต่ำ ในปริมาณมากๆ มาเร่ขายริมถนน โดยบางคันจะเปลี่ยนที่ขายไปเรื่อยๆ จะแกะเนื้อทุเรียนขายเฉพาะเนื้อ ไม่ขายทั้งเปลือก นอกจากนี้ เครื่องชั่งก็ไม่ได้มาตรฐาน จากการสอบถามคนที่เคยซื้อทุเรียนจากรถกระบะ จะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ทุเรียนคุณภาพต่ำ รสชาติไม่อร่อย 

นอกจากนี้จากการสำรวจร้านจำหน่ายผลไม้ในพื้นที่ 5 ร้าน ทุเรียนไทยราคาสูงกว่าทุเรียนเวียดนาม  พ่อค้าบอกว่าทุเรียนไทยอร่อยและเป็นที่รู้จัก คนที่รู้จักทุเรียน ก็จะมักเลือกซื้อทุเรียนไทย ในสายตาผู้บริโภค จะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างทุเรียนไทยและทุเรียนประเทศอื่นจากรูปลักษณ์ได้ แต่จะสังเกตความแตกต่างจากสติกเกอร์ที่ขั้วผลที่ระบุว่าเป็นทุเรียนจากประเทศไทยหรือเวียดนาม

นายอลงกรณ์กล่าวว่า สปษ.ปักกิ่ง ฝ่ายเกษตรฯ กว่างโจวและเซี่ยงไฮ้ ได้มีการรายงานและเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานทุเรียนที่ส่งออกมายังจีนอย่างต่อเนื่องทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงควรให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพทุเรียนไทยก่อนการส่งออกเพื่อมิให้มีทุเรียนตกเกรด หรือทุเรียนคุณภาพต่ำมาจำหน่าย ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของทุเรียนไทยในภาพรวม ตามนโยบายยกระดับคุณภาพและมาตรฐานผลไม้ไทยของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประธานฟรุ้ทบอร์ด 

ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ฝ่ายเกษตรทั้ง 3 สำนักงานร่วมกับทีมไทยแลนด์ในจีนเฝ้าระวังติดตามข่าวสารในสื่อออนไลน์และสื่อต่าง ๆ หากปรากฏข่าวที่กระทบต่อผลไม้ไทยให้ตรวจสอบและชี้แจงต่อสาธารณชนทันที

สื่อผู้ดี เผย ‘แจ็ค หม่า’ อาศัยที่ญี่ปุ่นนาน 6 เดือนแล้ว หลัง ‘รัฐบาลจีน’ เข้ากวาดล้างธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยี

‘แจ็ค หม่า’ ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา บริษัทอีคอมเมิร์ซชั้นนำของโลก อาศัยอยู่ในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่นมาเกือบ 6 เดือนแล้ว หลังจากไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณะ ภายหลังจากที่ทางการจีนกวาดล้างภาคธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยี

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์ รายงานว่า ‘แจ็ค หม่า’ ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา บริษัทอีคอมเมิร์ซชั้นนำของโลก ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมากับครอบครัวของเขาที่กรุงโตเกียวและเมืองอื่น ๆ ของญี่ปุ่น และบอกว่าหม่าแวะเวียนไปที่โมสรส่วนบุคคลหลายแห่งในกรุงโตเกียวอยู่เป็นประจำ จนกลายเป็นผู้สนใจสะสมศิลปะสมัยใหม่ของญี่ปุ่นรวมถึงการหาแนวทางขยายผลประโยชน์ทางธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน นอกจากนั้น ยังมีผู้พบเห็นเขาไปปรากฏตัวในสถานที่อื่น ๆ อีกเช่น เกาะมายอร์กาในสเปนเมื่อปีที่แล้ว รวมถึงการเดินทางไปเยือนสหรัฐฯ และอิสราเอล

รัฐบาลจีนผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิดทั่วประเทศ ผู้ติดเชื้อกักตัวที่บ้านได้ ไม่ต้องไปสถานกักกัน

ทางการจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ทั่วประเทศเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม โดยยกเลิกข้อกำหนดที่ให้ผู้ติดเชื้อทั้งหมดจะต้องแยกกักตัวอยู่ในสถานที่ส่วนกลาง ซึ่งหมายถึงผู้ติดโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการหรือมีอาการไม่รุนแรงสามารถกักตัวที่บ้านของตนเองได้ และให้รายงานผลด้วยตนเอง

คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนยังประกาศลดความถี่และขอบเขตของการตรวจ PCR เพื่อหาเชื้อสำหรับการใช้พื้นที่สาธารณะส่วนใหญ่ลงอีกด้วย ยกเว้นในโรงพยาบาลและโรงเรียนที่ยังต้องให้มีการตรวจหาเชื้อต่อไป

คณะกรรมการฯ ยังประกาศผ่อนคลายกฎระเบียบใหม่ อาทิ ควรใช้ข้อจำกัดอย่างการล็อกดาวน์แบบชี้เป้าพื้นที่ให้ชัดเจนมากขึ้น อย่างการกำหนดอาคาร ยูนิต และชั้นบางชั้น แทนที่จะล็อกดาวน์ทั้งเขตหรือทั้งเมือง

นอกจากนี้ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงควรยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ภายใน 5 วันหากไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ ขณะที่โรงเรียนสามารถเปิดทำการต่อไปได้หากไม่มีการแพร่ระบาดในวงกว้าง, ห้ามปิดกั้นทางออกหรือทางหนีไฟอย่างเข้มงวดโดยมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด และประชาชนต้องสามารถเข้าถึงการรักษาทางการแพทย์ได้ในกรณีฉุกเฉิน 

‘ญี่ปุ่น’ เตรียมถอยทัพออกจากจีน เบนเข็มลุยอาเซียน ส้มหล่น!! ผลโพลเผย 76% ญี่ปุ่นเลือกซบไทย

(11 ธ.ค. 65) เมื่อไม่นานมานี้ รายการ Summary Reporter ได้เผยแพร่วิดีโอบอกเล่าเรื่องราวการลงทุนของญี่ปุ่นในจีน พร้อมระบุถึงทีท่าที่ไม่สู้ดี เนื่องจากมาตรการควบคุมโควิด-19 ที่ยังเข้มข้นของจีน และแนวโน้มที่จะย้ายฐานการลงทุนกลับมาที่อาเซียน และส้มอาจหล่นที่ประเทศไทย โดยระบุไว้อย่างน่าสนใจว่า…

‘ญี่ปุ่น’ เตรียมเปลี่ยนแผนถอยทัพออกจากจีน เบนเข็มกลับสู่อาเซียน โดยมีโอกาสมากถึง 76% ที่จะกลับมาลงทุนในประเทศไทย หลังนโยนบายจีนเอาแน่เอานอนไม่ได้

ดูเหมือนนโยบายการเปิดประเทศของจีนนั้นน่าจะยังอีกยาวไกล ทำให้การทำธุรกิจในจีนดูสุ่มเสี่ยงเกินไป เพราะเอาแน่เอานอนไม่ได้สักอย่าง ในขณะที่โลกหมุนไป ทั่วโลกเปิดประเทศหมดแล้วหลังจากโควิด-19 แต่จีนยังอยู่แบบเดิมๆ คนทำธุรกิจก็แย่หนัก นำเข้าก็ไม่ไหว ส่งออกก็ไม่ได้ 

ด้วยเหตุผลนี้ทำให้หลายประเทศที่เข้าไปลงทุนในจีนต้องปรับแผนกันใหม่ เตรียมถอยทัพออกจากจีนในหลายๆ กลุ่มธุรกิจ

แต่ที่น่าจับตามองคือ ‘ญี่ปุ่น’ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าว Nikkei ของญี่ปุ่น ได้ไปสำรวจผู้ประกอบการธุรกิจหรือนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในจีน จากผลสำรวจระบุว่า จาก 100 แห่ง มี 78 แห่งบอกว่า ความเสี่ยงในการจัดหาชิ้นส่วนและอุปกรณ์วัตถุดิบในจีนมันเพิ่มมากขึ้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

อีกทั้งบริษัทญี่ปุ่นประมาณร้อยละ 53% บอกว่า จะเตรียมลดการพึ่งพาในการจัดซื้อหรือการพึ่งพาอุปสงค์และอุปทานในจีนลง อย่างที่รู้กันว่าจีนเป็นโรงงานขนาดใหญ่ของโลก และโรงงานของญี่ปุ่นไปตั้งในจีนเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบริษัทที่ผลิตเครื่องจักร จะมีการลดการพึ่งพาจีนลงถึง 60% 

ขณะที่บริษัทผู้ผลิตยานยนต์ เคมีภัณฑ์ จะลดการพึ่งพาจีนลงถึง 57% ส่วนบริษัทด้านอิเล็กทรอนิกส์จะลดการพึ่งพาจีนลง 55% ดูจากตัวเลขพวกนี้ถือว่าลดลงครึ่งๆ เลยทีเดียว

สาวจีนน้ำตาตก!! ผ่าตัดเพิ่มความสูงล้มเหลว สุดท้ายติดเชื้อจนเดินไม่ได้ แถมเสี่ยงติดคุก

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2565 เว็บไซต์ Saostar รายงานกรณีเด็กสาววัย 19 ปี จากเมืองหนานชาง มณฑลเจียงซี ประเทศจีน ไม่สามารถเดินได้หลังจากเข้ารับการผ่าตัดเพิ่มความสูง

ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น หญิงสาววัย 19 ปี เดิมทีมีส่วนสูงอยู่ที่ 154 ซม. ซึ่งเธอไม่พอใจกับความสูงของตัวเอง จึงตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมเพิ่มความสูง โดยใช้วิธียืดกระดูก (distraction osteogenesis) บริเวณกระดูกหน้าแข้งและกระดูกน่อง ที่โรงพยาบาลเอกชนในมณฑลหูหนาน เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ทำให้เธอมีความสูงเพิ่มขึ้น 6 ซม. ก่อนที่ขาท่อนล่างซ้ายของเธอจะเกิดการติดเชื้อซ้ำ ๆ จนไม่สามารถยกเท้าได้ ทำให้ปัจจุบันเธอไม่สามารถเดินได้ตามปกติ และแพทย์วินิจฉัยว่า 'การฟื้นตัวค่อนข้างยาก'

จีนเผย ‘แหล่งก๊าซจีน’ ผลิตรายวันทะลุ 100 ล้าน ลบ.ม. ช่วยทดแทนถ่านหิน ลดปล่อยคาร์บอนฯ ได้มหาศาล

(13 ธ.ค. 65) สำนักข่าวซินหัว เผยว่า บริษัท ปิโตรไชน่า ฉางชิ่ง ออยฟิลด์ (PetroChina Changqing Oilfield) ผู้ดำเนินงานแหล่งก๊าซซูหลี่เก๋อ สังกัดปิโตรไชน่า ผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซขนาดใหญ่ที่สุดของจีน เปิดเผยว่าผลผลิตรายวันของแหล่งก๊าซซูหลี่เก๋อทะลุ 100 ล้านลูกบาศก์เมตรในวันศุกร์ (9 ธ.ค.) ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์และคิดเป็นราว 1 ใน 8 ของปริมาณการผลิตก๊าซรายวันทั้งหมดของประเทศ

สำหรับแหล่งก๊าซซูหลี่เก๋อ ตั้งอยู่ในเมืองเอ้อเอ่อร์ตัวซือ เขตปกครองตนเองมองโกเลียในทางตอนเหนือของจีน มีผลผลิตก๊าซสะสม 3 แสนล้านลูกบาศก์เมตร โดยจากข้อมูลการแปลงค่าความร้อนพบว่าปริมาณผลผลิตข้างต้นสามารถทดแทนถ่านหิน 360 ล้านตัน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 240 ล้านตัน

'ขันทีจีน' ตัวแทนอารยธรรมพิเศษ ข้ามพ้นกำแพงแห่งเพศ สู่ วัฒนธรรมใหม่ที่กระจายไกลไปทั่วโลก

เวลาเราดูซีรี่ย์จีนย้อนยุค โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องในรั้ว ในวัง หนึ่งตัวละครที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือ ‘ขันที’ มนุษย์เพศชายที่ถูกจับมาตอน ‘ตัด’ เอาอวัยวะเพศออก เพื่อให้สามารถรับใช้ ทำงาน และดำเนินชีวิตอยู่ในฝ่ายในที่มีเพียงสตรีและบุรุษเดียวคือ ‘ฮ่องเต้’ เท่านั้น ที่เข้าออกได้

คำว่า ‘ขันที’ น่าจะเป็นคำที่ผูกโยงกับอัตลักษณ์แบบจีนจนเราคุ้นชิน โดยในภาษาจีนเรียก ‘ขันที’ ว่า ‘ไท้เจี๋ยน’ แต่ในเอาจริงๆ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในภูมิภาคอื่นก็พบเห็นการมีอยู่ของ ‘ขันที’ เช่นเดียวกัน กระจายออกไปเรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมโลกเลยทีเดียว ทีนี้ในแต่ละภูมิภาคเขาเรียก ‘ขันที’ กันอย่างไรบ้าง ? มาลองติดตามอ่านกันก่อน

สำหรับสยาม ในสมัยอยุธยาเราเรียก ‘ขันที’ ว่า ‘นักเทษขันที’ ซึ่งมีมาอย่างยาวนานก่อนจะมายกเลิกในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ส่วนข้าง มอญ - พม่า เรียก ‘ขันที’ ว่า ‘ก็อมนอย’ ส่วนในเกาหลีก็มี ‘ขันที’ เช่นเดียวกัน โดยเรียกว่า ‘แนซี’ การตอนของเกาหลีนี่โหดมาก เพราะเขา ‘ตอน’ โดยให้สุนัขกัดอวัยวะเพศจนขาด (คุณพระ !!!) 

สำหรับเรื่องราวของ ‘ขันที’ ที่น่าจะเก่าแก่ที่สุด ว่ากันว่าเกิดขึ้นที่เมืองลากาสช์ แคว้นสุเมเรียน ในเมโสโปเตเมีย ราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาล และถือเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญในราชสำนักของเมโสโปเตเมียและอียิปต์โบราณ ภาษาละตินและอาหรับเรียกขันทีว่า ‘ยูนุก’ ซึ่งนี่คือต้นธารแห่ง ‘ขันที’ 

โดยวัฒนธรรมการใช้ ‘ยูนุก’ แตกแขนงออกเป็น 2 สายคือ สายแรก แพร่หลายไปตามเส้นทางสู่จีนในสมัยราชวงศ์สุย ซึ่งวันนี้เราจะมารู้จัก ‘ขันที’ ในวัฒนธรรมที่จีนกัน ส่วนสายที่ 2 แพร่หลายในเอเชียตะวันตกและเอเชียใต้ สู่เปอร์เซียโบราณและจักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์

ส่วนต้นกำเนิดของขันทีในจีนก็ยังมีความคลุมเครือ ไม่สามารถหาหลักฐานที่บ่งชี้ต้นทางได้อย่างชัดเจน แต่หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่พบนั้นเกี่ยวข้องกับ ‘โจวกง’ พระอนุชาของ ‘พระเจ้าโจวอู่หวัง’ ผู้ปราบพระเจ้าโจ้วและสถาปนาราชวงศ์โจว ประมาณ 1,046 ปีก่อนคริสตกาล 

โจวกง มีชื่อจริงว่า ‘ต้าน แซ่จี’ เป็นโอรสองค์ที่ 4 ของพระเจ้าโจวเหวินหวัง เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยพระเจ้าโจวอู่หวัง ปราบพระเจ้าโจ้ว ในยุคนั้น ‘โจวกง’ เป็นผู้วางระบบกฎหมายทั้งในบทข้อห้ามและบทลงโทษ หนึ่งในบทลงโทษที่กระทำต่ออาชญากรและเชลยศึกนั่นก็คือ ‘การตอน’ เพื่อให้เป็น ‘ขันที’ โดยขันทีจะแยกออกเป็น 2 ประเภทตามรูปแบบการตอนคือ...

ประเภทแรกเป็น ‘ขันทีที่ถูกตัดแค่ส่วนขององคชาติ’ แต่เหลือส่วนของอัณฑะเอาไว้ ซึ่งการตัดในลักษณะนี้จะส่งผลให้ ขันทีประเภทนี้ยังคงมีลักษณะภายนอกเหมือนกับผู้ชายทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นของหนวดเครา ขนแขนหรือขนขา รวมถึงเสียงของขันทีเหล่านี้ก็ยังคงมีความทุ้มและห้าวอยู่ เพราะว่า ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายที่สำคัญ ยังผลิตจากอัณฑะอยู่ (แค่ไม่มี ‘ลำ’) ทำให้ยังเป็นผู้ชายอยู่ พวกนี้โดยมากจะเป็นเชลยศึกที่ถูกจับมา ต้องโดนตอนเพื่อไม่ให้สืบพันธุ์ได้ มักจะได้รับหน้าที่ให้ทำงานได้แค่ในเขตพระราชฐานชั้นนอกเท่านั้น 

ประเภทที่สอง ‘ขันทีที่ถูกตัดทั้งองคชาติและถุงอัณฑะ’ ขันทีประเภทนี้จะสูญเสียความเป็นชายไปทันทีหลังจากที่ได้ทำการเฉือนเอาถุงอัณฑะออกไปแล้ว อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ‘อัณฑะ’ คืออวัยวะที่ผลิตฮอร์โมนโทสเตอโรน (Testosterone) ของผู้ชาย เมื่อตัดออกไปทั้งพวง ผลที่ได้คือ เสียงที่เล็กแหลมเหมือนผู้หญิง ลักษณะทางกายภาพภายนอกจะดูต่างไปจากเพศชายในช่วงวัยเดียวกัน ไม่มีลูกกระเดือกใหญ่โต ขนแขนขนขาและหนวดเคราไม่มี แสดงออกเหมือนกับสตรีเพศ เนื่องจากว่าเขาสูญเสียฮอร์โมนสำคัญในเพศชายไปแล้ว พวกนี้คือ ‘ขันที’ ที่เราคุ้นชิน สามารถทำงานเขตพระราชฐานชั้นใน ได้

ขันทีทั้ง 2 ประเภทหลังจากแผลการ ‘ตอน’ สมานดีแล้ว จะใช้ท่อที่ทำจากโลหะ ไม้ไผ่ หรือฟาง สอดเข้าไปเพื่อช่วยในการปัสสาวะ และใช้ระบาย ‘อสุจิ’ ออกมาเมื่อมันเต็มจนล้นตามการผลิตที่ทำได้ (เสียบลึกขนาดไหนกันนั่น ?) 

ส่วนใหญ่แล้ว การตอนเป็น ‘ขันที’ แบบสมัครใจ มักทำตั้งแต่เด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์ เพราะการ ‘ตอน’ หลังจากวัยเจริญพันธุ์แล้วถือเป็นเรื่องเสี่ยงถึงแก่ชีวิตมากกว่า โดยอัตราการเสียชีวิตในหมู่ผู้ตอนหลังวัยเจริญพันธุ์แล้วอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 3 ซึ่งผู้ที่รับใช้องค์ ‘ฮ่องเต้’ มีผู้ที่ผ่านการตอนทั้ง 2 ช่วงอายุ แต่ตอนแล้วใช่ว่าความต้องการทางเพศจะถูก ‘ตอน’ ไปด้วย 

แน่นอนว่า ‘ขันที’ หลังวัยเจริญพันธุ์ ย่อมต้องเคยรับรู้เรื่องความต้องการทางเพศและด้วยการที่ ‘ขันที’ มีทรัพยากรและเวลาอย่างเหลือเฟือให้ทดลองกิจกรรมทางเพศที่เชื่อว่าอาจช่วยให้อวัยวะที่สูญเสียไปนั้นกลับคืนมา (ตัดเพราะอย่างมีอำนาจ พอมีอำนาจก็เลยอยากต่อคืน ประมาณนั้น) โดยเฉพาะเรื่องของ ‘พลังหยิน’ ที่เชื่อว่าต้องใช้ผู้หญิงมากระตุ้นส่วนที่ถูกตัดไปอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่าความซาบซ่าน (จากกิจกรรมกระตุ้น) จะทำให้เกิดพลังหยาง สรุปมีผลลัพธ์ที่บันทึกในศตวรรษที่ 13 บรรยายว่า “ส่วนที่เป็นแผลที่สมานกันแล้วกลายเป็นเสียหายด้วยเพลิงราคะอย่างบ้าคลั่ง มีความรู้สึกว่าเส้นเลือดกำลังจะระเบิดออกมา แต่ไม่มีใครรู้ว่าเลยมันไม่สามารถฟื้นฟูได้” (ก็นะ มันจะไปงอกคืนได้ยังไง ???)  


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top