Monday, 6 May 2024
ประเทศจีน

‘ซีเค เจิง’ เปรียบ ‘เกษตรกรจีน’ เป็นได้แค่พนักงาน ไม่มีวันได้เป็นเจ้าของกิจการ เพราะไม่มีสิทธิ์ถือครองที่ดิน

(1 ก.ย. 66) ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อกชื่อ ‘ckfastwork’ ของ ซีเค เจิง นักธุรกิจรุ่นใหม่ เผยแพร่คลิปวิดีโอในหัวข้อ ‘ระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจของจีน’ โดยระบุว่า..

“โดยส่วนตัว ผมจะไม่มีวันไปลงทุนกับประเทศจีน ผมไม่คิดว่ามันจะเวิร์ก สิ่งที่รักษาประเทศจีนอยู่ถึงทุกวันนี้เป็นเพราะมีประชากรจีนเยอะมาก แต่จีดีพีต่อหัวยังถือว่าต่ำมาก แต่ประชากรเยอะเลยอยู่ได้ง่าย คุณขายน้ำ ก๋วยเตี๋ยว ไม่ต้องขายบ้านอื่น ขายแค่ในบ้านก็รวยแล้ว คนที่รวยที่สุดในประเทศจีนตอนนี้คือใครครับ? คนที่ขายน้ำเปล่า (Zhong Shanshan) แบรนด์น้ำของเขาไม่จำเป็นต้องขายบ้านอื่นเลย ซึ่งเขาเป็นคนที่รวยที่สุด เพราะว่าขายแค่ในบ้านตัวเอง”

ซีเค เจิง ระบุต่อว่า “การลงทุนของผมไม่ชอบอะไรอย่างนั้น ผมชอบทำธุรกิจที่เปลี่ยนโลก ผมไม่ชอบธุรกิจที่อยู่แค่ในบ้าน จีนทำสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยหลายอย่าง ซึ่งผมไม่ชอบมาก การไม่ให้คนอื่นลงทุนต่างประเทศ คุณหาเงินที่จีน แต่คุณเอาเงินหยวนออกจากจีนไม่ได้นะ อย่างมาก 1 ปี ได้ 2 ล้านหยวน คือเขาบังคับให้คุณต้องลงทุนกับประเทศจีน แล้วจะซื้อที่ดินจีนก็ซื้อไม่ได้ด้วย อสังหาฯ จีนจะไปซื้อได้ไง ใครจะไปซื้อที่ดินจีน ซื้อไม่ได้ ครบ 70 ปี คุณก็ต้องคืน”

“เกษตรกรบ้านเขาจะเกิดได้ยังไง เป็นเหมือนระเบิดเวลา เดี๋ยวเกษตกรจีนก็ตาย เพราะเกษตรกรจีนเป็นเหมือนพนักงาน ไม่สามารถเป็นผู้ประกอบการ เพราะยังไงที่ดินก็เป็นของประเทศจีน ไม่ได้เป็นของพลเมืองจีน ถ้าพี่เป็นเกษตรกรจีนที่เก่งมาก พี่อยากอยู่ไหม? ไม่อยากอยู่หรอก จะเป็นพนักงานทั้งชีวิตเหรอ? ไม่มีทาง”

“ผมไม่ชอบประเทศจีนนะ ผมรู้นะว่าหลายคนบอกว่าจีนกำลังมาแรง หรือเรย์ ดาลิโอ เขามีหนังสือเขียนว่าเทรนด์จีนกำลังแซงหน้าสหรัฐฯ เข้าไปทุกที ผมไม่เห็นด้วยหรอกนะ คลิปของผมก็อยู่ในโซเชียลหมด ถ้าวันหนึ่งจีนเหนือกว่าอเมริกาจริง ๆ ค่อยมาหัวเราะใส่ผมแล้วกัน ผมจะไม่ลงทุนในประเทศจีน”

“ผมเป็นคนจีนนะครับ ต้องบอกว่าสำหรับผม ผมค่อนข้างที่จะละอายที่ประเทศจีนทำอย่างนี้ และหลายๆ อย่างที่ผมไม่ชอบมาก” ซีเค เจิง ทิ้งท้าย

"อยากให้ชาวบ้านได้กินเนื้อสัตว์จนพอใจ" แรงบันดาลใจ ‘สี จิ้นผิง’ สู่หัวหน้าสถาปนิกผู้ออกแบบ ‘แผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’

เมื่อวานนี้ 17 ต.ค. 66 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ห้วงยามนี้ทุกสายตาพากันจับจ้อง ‘สี จิ้นผิง’ ประธานาธิบดีจีน ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพต้อนรับบรรดาผู้นำประเทศ ผู้บริหารธุรกิจ และนักวิชาการจากทั่วทุกมุมโลก เข้าร่วมการประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (BRF) ครั้งที่ 3 ณ นครหลวงปักกิ่ง

แผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) วิสัยทัศน์การพัฒนาระดับโลกอันเป็นเอกลักษณ์ของสี จิ้นผิง ได้กลายเป็นหนึ่งในสินค้าสาธารณะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก มอบโอกาสการพัฒนาแบบก้าวกระโดดแก่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การรวมตัว ณ กรุงปักกิ่ง จะส่งมอบโอกาสครั้งประวัติศาสตร์แก่หุ้นส่วนทั้งหมดของแผนริเริ่มฯ เพื่อต่อยอดผลสำเร็จอันโดดเด่นของแผนริเริ่มฯ และก้าวหน้าสู่ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน โดยสำนักข่าวซินหัวชวนร่วมทำความเข้าใจว่าเหตุใดสี จิ้นผิงจึงเสนอแนะแผนริเริ่มฯ อะไรที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ และสี จิ้นผิงมุ่งหวังบรรลุสิ่งใดด้วยแผนริเริ่มฯ นี้

>>กระตุ้นการพัฒนาเพื่อความเจริญรุ่งเรืองระดับโลก

เมื่อปลายทศวรรษ 1960 สี จิ้นผิงซึ่งเป็นหนึ่งใน ‘เยาวชนผู้มีการศึกษา’ ถูกส่งไปยังชนบทเพื่อการ ‘เรียนรู้ใหม่’ และต้องประหลาดใจกับความท้าทายของการใช้ชีวิตในหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ทั้งการนอนในบ้านถ้ำที่เต็มไปด้วยเห็บหมัด ตรากตรำทำงานหนักหลายชั่วโมง และต่อสู้กับความหิวโหย

"เราไม่มีเนื้อสัตว์กินกันนานหลายเดือน" สี จิ้นผิงเล่าย้อนถึงเรื่องราวเมื่อครั้งอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ขณะเดินทางเยือนเมืองซีแอตเทิลของสหรัฐฯ ในฐานะประธานาธิบดีจีนในอีกหลายทศวรรษต่อมา "สิ่งหนึ่งที่ผมปรารถนามากที่สุดตอนนั้นคือการทำให้ชาวบ้านได้กินเนื้อสัตว์จนพอใจ"

รสชาติความยากจนอันขมปร่าตอกย้ำความเชื่อมั่นของสี จิ้นผิงว่า "การพัฒนาเป็นกุญแจสำคัญสู่การแก้ไขปัญหาความยากจน" แต่จะทำได้อย่างไร?

สี จิ้นผิงมักหยิบยกสุภาษิตจีนอันโด่งดังอย่าง "ถนนมาก่อน ความเจริญรุ่งเรืองจึงจะตามมา" เพื่ออธิบายว่าการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสามารถกระตุ้นการพัฒนาได้อย่างไร และมองว่าการเปลี่ยนสายเคเบิลหรือซ่อมแซมถนน โดยเฉพาะพื้นที่ยากไร้บางแห่ง สามารถเปิดประตูสู่การบรรเทาความยากจนและความเจริญรุ่งเรืองของมวลชน

เมื่อครั้งสี จิ้นผิงเข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศ จีนเพิ่งจะผงาดขึ้นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับสองของโลกและเผชิญสารพัดความท้าทาย การเปิดประเทศถือเป็นกลไกสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างน่าอัศจรรย์ของจีนในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา และสี จิ้นผิงได้ยืนยันอีกครั้งถึงความทุ่มเทของจีนที่มีต่อการเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น

หวังอี้เหวย ผู้อำนวยการสถาบันกิจการระหว่างประเทศประจำมหาวิทยาลัยเหรินหมิน กล่าวว่าแผนริเริ่มฯ กลายเป็นการออกแบบการปฏิรูปและเปิดกว้างของจีนระดับสูงแบบใหม่ รวมถึงสะท้อนการเปิดกว้างระดับสูงยิ่งขึ้น และการแสวงหาการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง แผนริเริ่มฯ สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของสี จิ้นผิงในการเปิดกว้างยิ่งขึ้น และมีบทบาทสำคัญต่อการเชื่อมโยงความต้องการการพัฒนาอันเร่งด่วนที่สุดของโลกกับสิ่งที่จีนเชี่ยวชาญ นั่นคือสร้างถนนและสะพานเพื่อการเชื่อมโยงถึงกันยิ่งขึ้น

รายงานจากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ระบุว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 61.94 ล้านล้านบาท) ต่อปีจนถึงปี 2030 เพื่อรักษาทิศทางการเติบโต

นอกเหนือจากเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน สมุดปกขาวว่าด้วยการพัฒนาแผนริเริ่มฯ ระบุว่าแผนริเริ่มฯ ยังเป็นแนวทางแก้ไขประเด็นปัญหาการพัฒนาระดับโลก ยามมนุษยชาติเผชิญความท้าทายอันน่าหวาดหวั่นจากการขาดดุลทางสันติภาพ การพัฒนา และธรรมาภิบาลในปัจจุบัน

สำหรับผู้นำจีนแล้ว จีนมิอาจพัฒนาโดยโดดเดี่ยวตนเองจากโลกได้ฉันใด โลกก็ต้องการจีนเพื่อการพัฒนาฉันนั้น ดังที่สี จิ้นผิงเคยกล่าวไว้ การดำเนินการตามแผนริเริ่มฯ ที่ตัวเขานำเสนอ "ไม่ได้หมายถึงการสละเวลาสร้างสิ่งที่ผู้อื่นเคยทำมาแล้วขึ้นมาใหม่" ทว่ามุ่งส่งเสริมยุทธศาสตร์การพัฒนาของนานาประเทศที่เกี่ยวข้องโดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของพวกเขา และมุ่งบรรลุการพัฒนาแบบแบ่งปันและได้ผลประโยชน์ร่วมกัน เพิ่มพลังการสื่อสารระหว่างอารยธรรม

สี จิ้นผิงนั้นถือเป็นคนรักการอ่านจนหนังสือกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน โดยนิสัยรักการอ่านทำให้สี จิ้นผิงรอบรู้เรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของทั้งตะวันออกและตะวันตก กลายเป็นแหล่งที่มาของแรงบันดาลใจในแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาระดับโลก

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2013 ขณะเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อมิร์ ติมูร์ ในกรุงทาชเคนต์ของอุซเบกิสถาน ระหว่างการเยือนเอเชียกลางครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดีจีน มีแผนที่เส้นทางสายไหมโบราณฉบับหนึ่งได้ดึงดูดความสนใจจากสี จิ้นผิง

เส้นทางสายไหมโบราณนั้นเป็นมากกว่าเส้นทางการค้า เพราะการหมุนเวียนสินค้าผ่านเส้นทางนี้กระตุ้นการสื่อสารทางวัฒนธรรม โดยคลื่นคาราวาน นักเดินทาง นักวิชาการ และช่างฝีมือ ได้เดินทางระหว่างซีกโลกตะวันออกและตะวันตกในฐานะทูตวัฒนธรรม เชื่อมโยงแหล่งกำเนิดอารยธรรมอียิปต์ บาบิโลน อินเดีย และจีน รวมถึงหลายดินแดนศาสนาที่สำคัญ

"ประวัติศาสตร์เป็นครูที่ดีที่สุด" สี จิ้นผิงกล่าว พร้อมเสริมว่าการฟื้นฟูและสืบสานจิตวิญญาณแห่งเส้นทางสายไหม กอปรกับส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและระหว่างประชาชนถือเป็นส่วนสำคัญของแผนริเริ่มฯ

"ขณะทำงานตามแผนริเริ่มฯ เราควรรับรองว่าเมื่อพูดถึงอารยธรรมที่แตกต่างกัน การแลกเปลี่ยนจะเข้าแทนที่ความเหินห่าง การร่วมเรียนรู้จะเข้าแทนที่การปะทะ และการอยู่ร่วมกันจะเข้าแทนที่ความรู้สึกเหนือกว่า สิ่งนี้จะเพิ่มพูนความเข้าใจ การเคารพ และความไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างนานาประเทศ" สี จิ้นผิงกล่าวในการประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ ครั้งที่ 1

นั่นคือเหตุผลที่สี จิ้นผิงเสนอให้มีการจัดการประชุมเสวนาอารยธรรมเอเชีย (CDAC) และผลักดันแผนริเริ่มอารยธรรมระดับโลก (GCI) โดยสี จิ้นผิงกล่าวว่าเราควรรักษาพลวัตของอารยธรรม และสร้างเงื่อนไขอันเกื้อหนุนอารยธรรมอื่น ๆ ให้เจริญรุ่งเรืองด้วย

>> จุดประกายแรงบันดาลใจเพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้น

"มนุษยชาติที่อาศัยอยู่บนโลกและในยุคสมัยเดียวกันกับที่ประวัติศาสตร์และความเป็นจริงบรรจบ ได้กลายเป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง" สี จิ้นผิงกล่าวต่อหน้าผู้ฟังจำนวนมาก ณ สถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งมอสโกในปี 2013 ซึ่งถือเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกของสี จิ้นผิงหลังจากดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีน

สี จิ้นผิงนำเสนอการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติเป็นครั้งแรกระหว่างการเดินทางดังกล่าว แนวคิดนี้กลายเป็นหลักการพื้นฐานของนโยบายต่างประเทศของจีน และอีกหลายเดือนต่อมา สี จิ้นผิงได้นำเสนอแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ซึ่งถูกมองว่าเป็นก้าวย่างสำคัญของการทำให้วิสัยทัศน์ในการสร้างโลกที่ดีขึ้นของเขากลายเป็นความจริง

ห้วงยามที่บางประเทศตะวันตกอ้างสิ่งที่เรียกว่า ‘การลดความเสี่ยง’ (de-risking) มาบังหน้าการแยกตัว (decoupling) จากจีน โดยประเทศจีนภายใต้การนำของสี จิ้นผิงยังคงยึดมั่นความร่วมมือแบบได้ประโยชน์ทุกฝ่ายและลัทธิพหุภาคีที่แท้จริง ซึ่งสี จิ้นผิงชี้ว่าการที่ผู้คนทั่วโลกมีชีวิตดีขึ้นเป็นหนทางเดียวที่จะค้ำจุนความเจริญ คุ้มครองความมั่นคง และปกป้องสิทธิมนุษยชน

สี จิ้นผิง ผู้ตระหนักดีว่ากลุ่มประเทศโลกซีกใต้ (Global South) ต้องการการพัฒนาเพิ่มขึ้น ได้ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN) เสมอมา นำสู่การนำเสนอแผนริเริ่มการพัฒนาระดับโลก (GDI) ในปี 2021 และเรียกร้องประชาคมนานาชาติรับรองว่าทุกประเทศจะได้ร่วมสร้างความทันสมัย

ทั้งนี้ ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าการค้าที่เพิ่มขึ้นจากความร่วมมือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางจะเพิ่มรายได้ที่แท้จริงทั่วโลกร้อยละ 0.7-2.9 และโครงการตามแผนริเริ่มฯ อาจช่วยนำพาผู้คนหลุดพ้นจากความยากจนขั้นรุนแรง 7.6 ล้านคน

ส่วนรายงานจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (CEBR) คาดการณ์ว่าแผนริเริ่มฯ มีแนวโน้มเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของโลก 7.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 258 ล้านล้านบาท) ต่อปีภายในปี 2040

พินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรีไทย กล่าวว่าแผนริเริ่มฯ เป็นแผนริเริ่มระดับโลกที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล นำพาสันติภาพ ความร่วมมือ การพัฒนา และการแบ่งปันมาสู่โลก ลดความแตกต่างและความขัดแย้ง ทำให้ผู้คนหันมาแสวงหาการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือทางวัฒนธรรม การค้า และการเดินทางท่องเที่ยว

"ผมมีโอกาสพบปะกับผู้นำของหลายประเทศ ซึ่งในสายตาของผมแล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเป็นผู้นำที่มีความคิดกว้างไกล สุขุมลึกซึ้ง และมุ่งมั่นแน่วแน่" พินิจกล่าวทิ้งท้าย

‘นายกฯ เศรษฐา’ โชว์ซี้!! ได้เบอร์สายตรง ‘นายกฯ จีน’ พอใจเจรจานักลงทุนลุยไทย เชื่อเพิ่มมูลค่านับล้านล้าน

(19 ต.ค. 66) ตามเวลาท้องถิ่นสาธารณรัฐประชาชนจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการหารือทวิภาคีกับ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่า ได้มีการลงรายละเอียดเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูง เรื่องการขนถ่ายสินค้าจากไทยไปจีนผ่านลาวที่พบว่ายังมีอุปสรรค คือ สะพานข้ามแม่น้ำโขงจากหนองคายไปลาว  ซึ่งตนได้บอกนายกฯ จีนว่า ควรจะมีการผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อให้การขนถ่ายสินค้าเป็นไปด้วยดี 

ซึ่งหากมีการสร้างสะพานดังกล่าวในช่วงจังหวัดหนองคาย ก็จะมีการสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าด้วย พร้อมยืนยันว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา ได้มีการอนุมัติรถไฟรางคู่จากขอนแก่นไปหนองคาย เพื่อบรรเทาความแออัด ในการขนถ่ายสินค้า ระหว่างการสร้างรถไฟความเร็วสูง อีกทั้งยังได้แจ้งว่ารัฐบาลได้มีการอนุมัติการทำการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ ทำให้ประเทศไทยในอนาคตจะไม่ใช่แค่เส้นทางผ่านการขนถ่ายสินค้าอย่างเดียว แต่จะเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของโลก เพราะหากโครงการนี้เกิดขึ้นจะเป็นโครงการเมกกะโปรเจกต์ที่ตอบโจทย์ปัญหาความแออัดของการขนถ่ายสินค้าทั่วโลกได้ โดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งจะลดระยะทางและลดความแออัดลงได้ 

ดังนั้นการมีแลนด์บริดจ์เชื่อมต่อระหว่างอันดามัน-อ่าวไทย จะเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมาก ซึ่งจะไม่ใช่การขนถ่ายสินค้าระหว่างจีนผ่านไปอินเดีย ไปตะวันออกกลางและแอฟริกาอย่างเดียว แต่จะสร้างความมั่นใจกับนักลงทุนจีนว่า การสร้างโรงงานที่ประเทศไทย จะทำให้การขนถ่ายสินค้า ขนส่งกระจายไปทั่วโลกอย่างสบาย ซึ่งนายกฯ จีนได้ให้ความสนใจอย่างมาก เพราะแลนด์บริดจ์จะเป็นโครงการที่มาเสริมให้บีอาร์ไอมีศักยภาพและเชื่อมโยงกับทั่วโลกได้ สอดคล้องกับเจตนาของประเทศจีน

นายเศรษฐา กล่าวว่า เชื่อว่าการมาจีนครั้งนี้ รัฐบาลประสบความสำเร็จ และมั่นใจว่าหากเกิดแลนด์บริดจ์ รวมทั้งการลงทุนด้านรถไฟฟ้าอีวี ซึ่งขณะนี้มีเข้ามาแล้ว 4 เจ้า และจะได้เจรจาอีก 2 เจ้า จะสามารถสร้างเม็ดเงินกว่าล้านล้านบาท ซึ่งนับตัวเลขไม่ได้ เพราะประเทศจีนพัฒนาเยอะมาก และเป็นความโชคดีที่ไทยตั้งอยู่จุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญ เรามีความเป็นกลาง มีความเป็นมิตร

"เมื่อวานนี้ผมรู้สึกว่ามีความผูกพันที่ดีมาก ๆ กับนายกฯ จีน ซึ่งท่านได้ให้เบอร์มือถือไว้ หากมีอะไรก็สามารถโทรพูดคุยได้ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี โดยสองประเทศต้องพึ่งพากัน โดยเราต้องพึ่งจีนในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ ซึ่งในงานเลี้ยงอาหารค่ำเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ในการแสดงดนตรีร้องเพลงไทย คือ เพลงลอยกระทง ซึ่งมีการฝึกกันนานมาก แสดงให้เห็นว่าจีนให้ความสำคัญกับเรา ทำให้บรรยากาศเป็นไปด้วยดีมาก" นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา เปิดเผยอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยกันถึงการนำเข้า-ส่งออกสินค้าการเกษตร ซึ่งจีนพร้อมสนับสนุนทุกมิติ โดยตนได้ขอให้การนำเข้าวัวของจีน เป็นนโยบายหลักของที่ไทยจะส่งออกวัวให้กับจีนที่เป็นตลาดใหญ่ แต่เนื่องจากปัจจุบันการส่งออกวัวจะต้องผ่านการตรวจสอบที่ประเทศลาว รัฐบาลไทยจึงขอให้มีการศูนย์ตรวจสอบที่ประเทศไทย ซึ่งจะทำตามกฎของประเทศจีนทุกอย่าง อาทิ การตรวจโรค การฉีดวัคซีน ซึ่งมีความสำคัญมาก จะทำให้การพัฒนาส่งออกวัวได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางราง หรือทางเรือ ไม่ต้องไปพึ่งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งนายกฯ จีนยืนยันให้ความสำคัญและจะพิจารณาข้อเสนอของไทย ขณะเดียวกัน ยังได้หารือเรื่องวีซ่าฟรี ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้อนุมัติให้คนจีนเข้าไทยได้โดยไม่ต้องมีวีซ่าตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา ถึง 29 ก.พ.67 แต่รัฐบาลมีความประสงค์จะขยายให้เป็นแบบระยะยาว ซึ่งทางจีนรับไปพิจารณา แต่ส่วนตัวมั่นใจว่าน่าจะได้รับการตอบสนองที่ดี

นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยถึงการหารือกับนายกฯ จีน ถึงการแก้ปัญหาการจัดซื้อเรือดำน้ำ ที่ยังติดปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ว่า ทั้งสองฝ่ายจะมีการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ ซึ่งนายกฯ จีนรับปากว่าจะไปช่วยดูให้ ขณะที่ นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ได้พูดคุยกับกองทัพจีนด้วย โดยที่ช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ตนจะได้พบกับ นายสี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีน ก็จะได้มีการพูดคุยต่อเนื่อง ส่วนรายละเอียดขอให้ทาง รมว.กลาโหมได้ชี้แจง เพราะเป็นผลงานของนายสุทิน

'หัวเว่ย' เปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ HarmonyOS Next เตรียมโบกมือลาซอฟต์แวร์ระบบ Android อย่างถาวร

หัวเว่ย เปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาเอง HarmonyOS Next ซึ่งทางบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน คาดหมายว่ามันจะช่วยให้พวกเขาตัดขาดจากระบบนิเวศของแอนดรอยด์โดยสิ้นเชิง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หัวเว่ยแถลงว่ามีแผนเปิดตัวเวอร์ชันสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ของแพลตฟอร์ม HarmonyOS Next ในไตรมาสที่สองของปีนี้ ตามด้วยเวอร์ชันเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบในไตรมาส 4 ก้าวย่างนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนอันทะเยอทะยานของหัวเว่ย ที่จะส่งเสริมระบบนิเวศซอฟต์แวร์ของตนเอง

บริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในเซี่ยงไฮ้ เปิดตัวระบบ Harmony ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเป็นครั้งแรกในปี 2019 และเปิดตัวระบบปฏิบัติการนี้บนสมาร์ทโฟนบางรุ่นของพวกเขาในอีก 1 ปีต่อมา ไม่นานหลังจากสหรัฐฯกำหนดมาตรการคว่ำบาตร ที่เล็งเป้าหมายตัดขาดระบบ Harmony จากการเข้าถึงการสนับสนุนด้านเทคนิคของ Google สำหรับระบบปฏิบัติการ Android

ผลก็คือ ต่างจากเวอร์ชันลูกค้าทั่วไปของ HarmonyOS ก่อนหน้านี้ เวอร์ชันใหม่จะไม่สามารถใช้แอปที่สร้างขึ้นสำหรับ Android บนระบบได้อีกต่อไป

เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว หัวเว่ยสร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนซีรีส์ Mate60 ซึ่งทางบริษัทบอกว่าจะใช้พลังงานจากชุดชิปที่พัฒนาในประเทศ การเปิดตัวดังกล่าวเป็นตัวแทนของการกลับมาอย่างน่าทึ่งของหัวเว่ย ในการหวนคืนสู่ตลาดสมาร์ทโฟนพรีเมียม หลังจากต้องต่อสู้ดิ้นรนมานานหลายปี ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ

ตามรายงานของรอยเตอร์ระบุว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่แห่งนี้ คาดหมายว่าจะมีรายได้ในปี 2023 แตะระดับ 700,000 ล้วนหยวน( 97,300 ล้านดอลลาร์) เติบโตขึ้น 9% เมื่อเทียบเป็นรายปี

'สื่อญี่ปุ่น' เผย 'รถเทสลา' เริ่มถูกแบนในหลายสถานที่ของ 'จีน' หวั่น!! ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือจารกรรมข้อมูลในถิ่นมังกร

(26 ม.ค. 67) สื่อเผยป้าย 'รถเทสลาห้ามเข้า' ในหลายสถานที่ของจีน กลายเป็นเหตุชวนกุมขมับสำหรับผู้ขับขี่ รถยนต์ไฟฟ้า ยอดฮิตสัญชาติอเมริกัน ที่มีฐานผลิตใหญ่ในเซี่ยงไฮ้ เพราะดูจะมีสถานที่ห้ามรถ 'เทสลา' เข้า จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดย อ้างเหตุผลด้านความปลอดภัยทางข้อมูล

สำนักข่าว นิกเกอิ เอเชีย รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวว่า ผู้ขับขี่ รถยนต์ไฟฟ้า ของ 'เทสลา' (Tesla) ใน ประเทศจีน กำลังเผชิญกับข้อจำกัดในการเดินทางเข้าสถานที่บางแห่งที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน เช่น ศูนย์ประชุม, ศูนย์นิทรรศการ, สถานที่ราชการบางแห่ง ฯลฯ เนื่องด้วยเกิดความกังวลด้าน ความปลอดภัยของข้อมูล ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดอย่างต่อเนื่องระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน

แหล่งข่าวกล่าวกับสำนักข่าวนิกเกอิ เอเชียว่า สถานที่ต่างๆ ในจีนได้เริ่มห้ามรถของเทสลาเข้าพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเริ่มต้นสั่งห้ามมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2566) ซึ่งสถานที่เหล่านี้รวมถึง สถานที่ราชการ หน่วยงานท้องถิ่น ผู้ให้บริการทางหลวง และแม้แต่ศูนย์วัฒนธรรมและศูนย์จัดนิทรรศการ โดยก่อนหน้านี้ ข้อห้ามดังกล่าวจำกัดเพียงแค่ฐานทัพหรือสถานที่ทางการทหารเป็นหลัก

หนึ่งในตัวอย่างของข้อจำกัดดังกล่าวเกิดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแกรนด์ ฮอลล์ (Grand Halls) บริเวณใจกลางย่านนอร์ทบันด์ของนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นศูนย์ประชุมที่ดำเนินการโดยองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม นิทรรศการระดับนานาชาติ และงานเลี้ยงต่างๆ

ผู้อาศัยในพื้นที่กล่าวว่า รถของเทสลาถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ของศูนย์ประชุมแกรนด์ ฮอลล์ แม้ว่ารถยนต์คันดังกล่าวเพียงแค่ขับผ่านก็ตาม

"หากคุณจะเข้าร่วมการประชุมที่นั่น ผู้จัดการประชุมจะแจ้งให้คุณทราบล่วงหน้า โดยแจ้งไม่ให้คุณขับรถเทสลา หรือเช่ารถเทสลาเข้าไป เนื่องจากคุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสถานที่" ผู้อาศัยในพื้นที่รายหนึ่งกล่าว

ก่อนหน้านี้ เมืองบางแห่งในจีน ซึ่งมักเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬารายการสำคัญๆ ได้เพิ่มมาตรการจำกัดต่อรถเทสลา เช่น กรณีหนึ่งที่เมืองเฉิงตู ซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงการผลิตยุทโธปกรณ์ทางทหาร โดยผู้อาศัยในพื้นที่กล่าวว่ารถของเทสลาถูกห้ามไม่ให้ใช้ถนนบางเส้นระหว่างการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลกเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว

รายงานระบุว่า จีนคือตลาดสำคัญของเทสลา แต่เทสลากำลังเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ จากบรรดาแบรนด์คู่แข่งสัญชาติจีนเอง โดยล่าสุด บีวายดี (BYD) ซึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน เพิ่งสร้างสถิติใหม่ ทำยอดขายทั่วโลกแซงหน้าเทสลาได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566

10 เมืองแห่งโอกาสในประเทศจีน เหมาะสำหรับศึกษาเรียนรู้-ใช้ชีวิต

การไปเรียนต่อต่างประเทศ อาจจะเป็นฝันของเด็กไทยจำนวนไม่น้อย และประเทศที่เป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ ก็คือ ‘ประเทศจีน’ ด้วยเหตุผลหลายปัจจัย เช่น ชื่นชอบวัฒนธรรม ประเพณี ภาษา ค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับที่เอื้อมถึง มีการสอบชิงทุน หรือแม้แต่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง 

วันนี้จะพามาดู 10 เมืองแห่งโอกาสในประเทศจีน ที่เหมาะสำหรับการศึกษาเรียนรู้ และใช้ชีวิต หากใครมีแผนไปเรียนต่อที่จีน แต่ยังไม่รู้จะไปที่เมืองไหนดี ก็ลองมาเลือกดูกันได้นะ

แชร์ประสบการณ์!! เรียนต่อที่จีน เปิดโลกทัศน์กว้างไกล ได้เรียนรู้วัฒนธรรม-สังคม-ธุรกิจ ใช้ต่อยอดชีวิตในอนาคต

เมื่อไม่นานมานี้ เพจ ‘ตี๋น้อย’ เพจแชร์เรื่องราวและข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับประเทศจีน ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับประโยชน์ของการเรียนภาษาจีน โดยระบุว่า…

เล่าเรื่องหนึ่ง ช่วงนี้ที่จีนใกล้จะเปิดเทอมแล้ว น้อง ๆ หลาย ๆ คน อาจจะเริ่มเตรียมตัวกลับไปจีน หรือบางคนเพิ่งจะไปจีนครั้งแรกในเทอมนี้ ตี๋น้อยเลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์กันครับว่า การไปเรียนภาษาหรือปริญญาที่จีน เป็นยังไงบ้าง ได้อะไรเพิ่มกลับมาบ้าง

เริ่มแรกเลย แน่นอนแหละว่ามันได้ภาษากลับมาแน่นอน เพราะว่าการเรียนภาษาที่จีน คุณจะได้คุยภาษาจีนกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชาวจีนหรือต่างชาติ ทุกคนจะพูดภาษาจีนกับคุณทุกคน ยิ่งถ้าเราเฟรนด์ลี่ เรายิ่งได้ภาษาแน่นอน แต่บางครั้งอาจจะรู้สึกแปลก ๆ หน่อย เวลาเราคุยกับพวกยุโรป แอฟริกา เป็นภาษาจีน

สองคือได้สังคม ได้เรียนรู้วัฒนธรรมอื่น ๆ ด้วย จากข้อแรก ถ้าเราเฟรนด์ลี่ คุยกับคนอื่นง่าย ชาวต่างชาติและชาวจีนคนอื่น ๆ จะยิ่งต้อนรับเรามากขึ้น บางทีบางครั้งเราคุยและสนิทกับเพื่อนต่างชาติ เราก็จะได้เรียนรู้วัฒนธรรมของเขาด้วย บางครั้งเราก็ได้แลกเปลี่ยนของฝากแต่ละประเทศด้วยครับ

ข้อสามเลย คือได้ลองทานอาหารหลากหลายประเทศ นักเรียนชาวต่างชาติที่นี่ปกติส่วนใหญ่มักจะทำกับข้าวกันเอง ผมเองก็ไปฝากท้องห้องคนอื่นบ่อย ๆ (เขาเชิญไปนะครับ) บางครั้งก็ได้ทานอาหารแอฟริกา บางครั้งได้ทานอาหารปากีสถาน อินเดีย บางทีก็ได้ทานกิมจิ หรือถ้าไปบ้านคนจีนก็ได้ทานอาหารจีนประจำภาคนั้น ๆ ด้วยครับ

ข้อสามได้เรียนรู้คน แน่นอนแหละว่า ร้อยพ่อพันแม่มาเจอกัน ทุกคนมีนิสัยที่แตกต่างกันไป มันก็ทำให้เราเรียนรู้ครับว่าคนแบบนี้มีนิสัยแบบนั้น คนแบบไหนที่เราไม่ควรยุ่งด้วย คนไหนที่เราสนิทด้วยได้

ข้อสี่ เรียนรู้การควบคุมตัวเอง แน่นอนแหละว่าการมาเรียนต่างประเทศ สิ่งยั่วยุมันเยอะ เราก็แค่เรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเองให้ได้ เรียนบ้าง เที่ยวบ้าง เที่ยวได้แต่ต้องไม่เสียคนจนเสียการเรียน เพราะตี๋น้อยเคยเห็นหลายคนเสียคน เสียการเรียน เสียประวัติ ไปกับสิ่งยั่วยุ การต่อยตี โดยเฉพาะการทะเลาะต่อยตี ที่จีนโทษหนักถึงขั้นขึ้นแบล็กลิสต์ห้ามเข้าจีนนะครับ เป็นไปได้อย่าทะเลาะเลยดีสุด

ข้อห้า นอกจากเราจะได้ภาษาจีนแล้ว เรายังได้ภาษาอังกฤษด้วย เพราะชาวต่างชาติบางคนพูดจีนไม่ได้ เราต้องพูดภาษาอังกฤษกับเขา ทำให้พัฒนาภาษาอังกฤษของเราเองด้วย

ข้อหก นอกจากได้ภาษาแล้ว เรายังได้โอกาสทางธุรกิจด้วย คือที่จีนเนี่ยหลายเมืองเป็นเมืองค้าส่ง หรือว่าเราสามารถเอาสิ่งที่จีนมี แต่ไทยไม่มี เอามาปรับใช้ได้ เช่น อี้อู กวางโจว เราสามารถไปดูลู่ทางธุรกิจ หรือโอกาสทางธุรกิจได้

ข้อเจ็ด นักเรียนหญิงไทยที่จีนมักมีแฟนเป็นแถบประเทศ เอเชียกลาง สถาน ๆ ทั้งหลาย เช่น คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน พวกหล่อ ๆ ทั้งหลายครับ อิจฉาคนหล่อครับฮ่า ๆ 

ข้อแปด นักเรียนชายต่างชาติ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป มักเจ้าชู้ แต่คนดี ๆ ก็มีเช่นกัน

สุดท้าย ไม่ว่าคุณจะไปเรียนจีนผ่านเอเจนซี่ หรือสมัครเองตามมหาวิทยาลัย ขอบอกว่า ไปเถอะครับ เราได้อะไรกลับมาเยอะกว่าแค่ภาษาแน่นอน

ปล.รูปนี้ผมถ่ายตอน 2013 ตอนที่ผมไปแลกเปลี่ยนที่กวางโจวครับ #ตี๋น้อย #เล่าเรื่องเมืองจีน #ชีวิตในจีน #จีน #ชีวิตในซินเจียง #ซินเจียง

‘หนุ่มสุรินทร์’ ขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจจากสุรินทร์ไปจีน ระยะทาง 2,589 กม. เพื่อสัมผัสหิมะครั้งแรกในชีวิต

เมื่อวานนี้ (26 มี.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ‘ป่าน แก้วปลั่ง’ โพสต์ภาพพร้อมข้อความ ระบุว่า…

“ความฝันอยู่ตรงนั้นเอง  อีกไม่ไกลเลย เราจะเอาเวฟไปขับบนหิมะ”

ต่อมาได้โพสต์ข้อความอีกว่า “2,589 กม.จากสุรินทร์ นี่คือหิมะครั้งแรกของผมและเห่าดง จัดไปสักครั้งในชีวิต เวฟมันทำได้เชื่อดิ”

โดยเจ้าของโพสต์เป็นชาว จ.สุรินทร์ ขี่จักรยานยนต์ ฮอนด้าเวฟ ที่เขาตั้งชื่อว่าเห่าดง จากสุรินทร์ไปถึงเมืองจีน เพื่อตามล่าความฝันขับรถบนหิมะ 

โดยออกเดินทางพร้อมกับเพื่อน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา เริ่มต้นจากจังหวัดสุรินทร์ ผ่านด่านช่องจอม ก่อนขี่จักรยานยนต์ออกจากไทยทาง สปป.ลาว เพื่อไปยังประเทศจีน โดยใช้เวลาเดินทาง 7 วัน

หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก เช่น สุดจริง, สุดยอดครับพี่, ของแทร่อ่าค้าบบบ, ใช้ชีวิตได้คุ้มค่ามาก น้อยคนที่จะทำได้แบบนี้ อยากลุยแบบนี้บ้างจัง

‘จีน’ ออกแบบ ‘รร.อนุบาล’ ใต้แนวคิด ‘ของเล่นชิ้นใหญ่สำหรับเด็ก’ สร้างสภาพแวดล้อมผ่อนคลาย-ปลอดภัย-พร้อมเรียนรู้ในหลากมิติ

โรงเรียนอนุบาล ‘Xicheng Dayang Preschool Group’ พื้นที่ 6,667 ตารางเมตร จำนวน 12 ชั้น ตั้งอยู่ในเมืองหลินไห่ เมืองไถโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ออกแบบโดย Atelier RenTian สามารถรองรับเด็กอายุระหว่าง 3 ถึง 6 ปี ได้ 360 คน

ด้วยแนวคิดการออกแบบ ‘ของเล่นชิ้นใหญ่สำหรับเด็ก’ การออกแบบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ทำให้เด็กรู้สึกสบายใจ ผ่อนคลาย และปลอดภัย รวมถึงสร้างพื้นที่การสอนสำหรับเด็กที่เคารพธรรมชาติ พัฒนาบุคลิกภาพ และปลูกฝังจิตวิญญาณ

เมื่อมองจากระยะไกล อาคารทั้งหลังนี้ดูเหมือนเรือ ที่กำลังแบกเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ เพื่อล่องไปสู่อนาคตอันสดใส

ระเบียงถูกออกแบบให้ถอยร่นออกไปทีละชั้นคล้ายคลื่น และส่วนหน้าของขั้นบันไดช่วยเพิ่มมุมมองที่โปร่งโล่งและในขณะเดียวกันก็สะท้อนรูปร่างของภูเขาที่อยู่ด้านหลัง ทั้งแสงแดด ลม และต้นไม้จำนวนมากผสานรวมเข้าด้วยกัน สู่พื้นที่เล่าเรียนและละเล่น เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้งสี่และการสลับสับเปลี่ยนของกลางวันและกลางคืน ช่วยส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางกายภาพของเด็กเพิ่มจิตวิญญาณในการสำรวจของเด็ก และเอื้อต่อการพัฒนาสุขภาพจิตของเด็กมากขึ้น

ขณะที่การปลูกต้นไม้บนหลังคา ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ควบคุมความชื้นภายในอาคารและทำให้สภาพแวดล้อมสวยงาม แต่ยังทำหน้าที่เป็นห้องเรียนธรรมชาติที่ขยายออกไปนอกเหนือจากห้องเรียนปกติอีกด้วย ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับพืช ดอกไม้ และแมลงต่าง ๆ เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้และใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมดังกล่าวทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลกธรรมชาติเพิ่มเติม ด้วยแนวทางนี้จะกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นและความคิดสร้างสรรค์ ส่งเสริมการพัฒนาความสามารถทางประสาทสัมผัสต่าง ๆ รวมถึงการสังเกต การได้ยิน และการสัมผัส ช่วยให้เด็ก ๆ สร้างความเชื่อมโยงกับธรรมชาติและพัฒนาความรู้สึกอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของพวกเขา

ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่สี่เหลี่ยมคางหมู การออกแบบนี้ได้ทำลายรูปแบบเชิงพื้นที่ที่เรียบง่ายของโรงเรียนอนุบาลแบบดั้งเดิมที่เราเห็นกันจนชินตา โดยขยายพื้นที่การจราจรไปสู่พื้นที่กิจกรรมในร่มและกลางแจ้งโดยมีธีมการออกแบบที่แตกต่างกัน เช่น ทางเดินกิจกรรมที่ซิกแซกจะขยายใหญ่ขึ้นจะสร้างพื้นที่การสื่อสารและพื้นที่ทางสังคม หรือห้องโถงซึ่งเป็นพื้นที่กิจกรรมและละเล่นเกมต่าง ๆ ในร่ม รวมถึงสไลเดอร์สำหรับเด็กได้รับการจัดเรียงอย่างลงตัวทั้งในร่มและกลางแจ้งเพื่อเชื่อมต่อชั้นต่าง ๆ ทำให้เกิดกิจกรรมและสถานที่ละเล่นที่หลากหลายและมีสีสันสำหรับเด็ก

พื้นที่กิจกรรมกลางแจ้งของแต่ละชั้นเรียนจะถูกจัดไว้ด้านนอก โดยพื้นที่กิจกรรมกลางแจ้งของเด็กแต่ละคนจะถูกคั่นด้วยช่องทางเดินหรือลู่วิ่ง ซึ่งทำให้ขอบเขตที่เข้มงวดระหว่างชั้นเรียนลดน้อยลง และสร้างความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ที่เปิดกว้างมากขึ้นและสามารถบูรณาการได้ ทำให้พื้นที่กิจกรรมของเด็ก ๆ กลายเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเด็กจากชั้นเรียนและกลุ่มอายุที่แตกต่างกันสามารถเคลื่อนไหว โต้ตอบ และเล่นกันได้อย่างอิสระ

แนวคิดของ ‘ความพร้อมใช้งาน’ ถูกนำมาใช้ในการออกแบบสภาพแวดล้อมการศึกษาก่อนวัยเรียน โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงความเป็นไปได้ในการส่งเสริมพฤติกรรมของเด็ก และเพิ่มคุณค่าการศึกษาผ่านการสร้างสภาพแวดล้อม โดยเชื่อว่าพื้นที่การศึกษาก่อนวัยเรียนไม่เพียงแต่เป็นการผสมผสานระหว่างสื่อการเรียนการสอนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างครู เด็ก และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ด้วยการรับรู้ถึงความพร้อมของสภาพแวดล้อม เด็ก ๆ จะค้นพบความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่เกิดจากการสำรวจ

ภายในโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้ยังออกแบบพื้นที่เล็ก ๆ ที่น่าสนใจ เช่น พื้นที่ที่ซ่อนอยู่ตรงหัวมุมหรือพื้นที่เตี้ย ๆ ที่มีเพียงเด็กเท่านั้นที่สามารถยืนและเล่นได้ เพื่อปลูกฝังการรับรู้ทางอารมณ์ของเด็ก

โลกใบเล็ก ๆ ที่เป็นของเด็ก ๆ เหล่านี้เป็นที่นิยมในหมู่เด็ก ๆ การออกแบบโรงเรียนอนุบาลจึงควรเพิ่มสถานที่บางแห่งที่มีเฉพาะเด็กเท่านั้นที่สามารถเข้า ผ่าน และใช้งานได้ บ้านหลังเล็ก ๆ ถ้ำเล็ก ๆ และกำแพงปีนเล็ก ๆ ช่วยให้เด็ก ๆ ได้สำรวจและค้นพบพื้นที่ที่น่าสนใจ พร้อมทั้งได้ใช้ความต้องการด้านการเคลื่อนไหวเพื่อพฤติกรรมต่าง ๆ การออกแบบเหล่านี้สามารถเพิ่มความปรารถนาของเด็กในการสำรวจโลกได้อย่างอิสระ โต้ตอบกับเด็กคนอื่น ๆ ในพื้นที่อิสระขนาดเล็กเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางสังคม

นอกจากพื้นที่ขนาดเล็กที่เหมาะกับขนาดของเด็ก ๆ แล้ว พื้นที่สาธารณะก็มีความสำคัญเช่นกัน เช่น การออกแบบห้องสมุดเพื่อให้มีพื้นที่อ่านหนังสือที่หลากหลาย การจัดวางช่องรับแสง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ สำหรับการเล่นในห้องโถงใหญ่ เพื่อสร้างความสดใสและสภาพแวดล้อมหลายมิติที่น่าสนใจ

โดยสกายไลท์บนหลังคาได้รับการติดตั้งในห้องโถงกลางหลัก และห้องโถงเล็ก 2 แห่งทางทิศเหนือและทิศใต้ แสงสว่างที่ดีจะสร้างสภาพแวดล้อมที่สว่างและสะอาดให้กับเด็ก ๆ

ทั้งนี้ โมเดลการศึกษาระดับอนุบาลแบบ ‘เปิด’ เป็นรูปแบบการศึกษาก่อนวัยเรียนที่ใช้กันทั่วไปในประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเหมาะสำหรับการพัฒนาทางร่างกายและจิตใจของเด็ก

ตามทฤษฎีการศึกษาปฐมวัยสมัยใหม่ (วิธีมอนเตสซอรี่) เชื่อว่ากิจกรรมการสื่อสารของเด็กทุกวัยจะเอื้อต่อการเติบโตทางจิตใจ การเติบโตทางความรู้ และการพัฒนาความสามารถทางสังคม โรงเรียนอนุบาลควรจัดให้มีพื้นที่ให้เด็กทุกวัยได้มีปฏิสัมพันธ์กัน และสร้างโอกาสให้เด็กทุกวัยได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ดังนั้นในการออกแบบพื้นที่สถาปัตยกรรมของโรงเรียนอนุบาลจึงจำเป็นต้อง เน้นทั้งการแยกและการผสมผสาน ความยืดหยุ่นและการเปลี่ยนแปลง รวมถึงให้ความสำคัญกับการสร้างกิจกรรมสาธารณะและพื้นที่การสื่อสาร

จากอัตราการเกิดของประชากรจีนที่ลดต่ำลงเป็นลำดับ ทำให้จำนวนโรงเรียนอนุบาลอาจไม่ใช่เป้าหมายหลักที่รัฐบาลจีนมุ่งเน้น การส่งเสริมหรือสนับสนุนให้มีการพัฒนา ปรับปรุง หรือกระทั่งสร้างโรงเรียนอนุบาลคุณภาพที่คิดทุกด้านมาอย่างรอบคอบเช่นเดียวกับ โรงเรียนอนุบาล Xicheng Dayang Preschool Group น่าจะเป็นคำตอบที่ใช่มากกว่า (อย่างน้อยก็ในขณะนี้) เพื่อฟูมฟักทรัพยากรมนุษย์ที่แม้จะมีจำนวนน้อยลง แต่มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างมีคุณภาพ 

จากรายงานของ Statista ระบุว่าในปี 2566 จำนวนเด็กที่เกิดต่อประชากร 1,000 คนในประเทศจีนอยู่ที่ 6.39 คน เท่านั้น ซึ่งอัตราการเกิดลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา และจำนวนการเกิดลดลงต่ำกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตในปี 2565 เป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ ส่งผลให้อัตราการเติบโตของประชากรจีนติดลบ!

เช่นเดียวกับประเทศและดินแดนในเอเชียตะวันออกส่วนใหญ่ ประชากรจีนในปัจจุบันมีอัตราการเจริญพันธุ์ที่ต่ำมาก เนื่องจากอัตราการเจริญพันธุ์ที่ต่ำในระยะยาวจำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ และนำไปสู่ความตึงเครียดอย่างมากต่อระบบบำนาญและระบบสุขภาพ รัฐบาลจีนจึงตัดสินใจสนับสนุนการคลอดบุตรโดยค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการคุมกำเนิดที่เข้มงวดซึ่งใช้กันมากว่าสามทศวรรษ 

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงจากนโยบายนี้มีน้อยกว่าที่คาดไว้มาก เพราะอัตราการเกิดเพิ่มขึ้นจาก 11.9 คนต่อประชากร 1,000 คนในปี 2553 เป็น 14.57 คนในปี 2555 และยังคงอยู่ในระดับที่สูงขึ้นแค่ราว 2-3 ปี แต่ก็ลดลงอีกครั้งสู่ระดับต่ำสุดใหม่ในปี 2561 นี่แสดงให้เห็นถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่จำกัดจำนวนการเกิด ซึ่งปัจจัยเหล่านี้น่าจะคล้ายคลึงกับปัจจัยที่มีประสบการณ์ในประเทศที่พัฒนาแล้วอื่น ๆ เช่นกัน เช่น ผู้หญิงชอบที่จะคว้าโอกาสในการทำงานมากกว่าการคลอดบุตร มีค่าใช้จ่ายสูงในการเลี้ยงดูลูก ฯลฯ

จำนวนการเกิดที่ลดลงยังสัมพันธ์กับจำนวนประชากรวัยเจริญพันธุ์ที่ลดลงอีกด้วย โดยกลุ่มอายุระหว่าง 15 ถึง 29 ปีในปัจจุบันมีขนาดเล็กกว่ากลุ่มอายุระหว่าง 30 ถึง 44 ปี อย่างมาก

อ้างอิง: https://www.archdaily.com/1014752/linhai-xiecheng-kindergarten-atelier-rentian
 

https://www.gooood.cn/linhai-xiecheng-kindergarten-by-atelier-rentian.htm


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top