Wednesday, 22 May 2024
ประยุทธ์จันทร์โอชา

'ทิพานัน' เผย ทิศทาง MSMEs ไทยปี 65 ไปได้สวย!! ชี้!! ไม่มี รบ.ไหน ทำได้เหมือน ‘รบ.ประยุทธ์’

(12 ม.ค. 66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าปีที่แล้ว รัฐบาลได้ประสบความสำเร็จในการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลาง (Micro, Small and Medium-sized Enterprises: MSME) มี 3.21 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 99.55 ของจำนวนวิสาหกิจทั้งหมดของไทยที่ประสบความสำเร็จ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.67 

ทั้งนี้ วิสาหกิจรายย่อยในปัจจุบัน แบ่งเป็นรายย่อย (Micro-sized Enterprises) 2,742,416 รายคิดเป็นร้อยละ 85.74, ขนาดย่อม (Small-sized Enterprises) จำนวน 412,962 รายคิดเป็นร้อยละ 12.91, และขนาดกลาง (Medium-sized Enterprises) จำนวน 43,106 รายคิดเป็นร้อยละ 1.35 

โดยมูลค่า GDP ของวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางมีจำนวน 5.60 ล้านล้านบาท และคาดขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 คิดเป็นมูลค่า GDP ของวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางปี 2565 จำนวน 6.02 ล้านล้านบาท

นอกจากมูลค่า GDP ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ในปี 2565 กลุ่ม MSMEs วิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางยังมีจำนวนการจ้างงานสูงถึง 12.60 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 71.75 ของการจ้างงานทั้งประเทศ รัฐบาลจึงเดินหน้าส่งเสริม MSMEs อย่างเต็มที่เพราะเป็นเครื่องจักรสำคัญในด้านเศรษฐกิจของประเทศ จึงมีมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ เช่น จัดทำฐานข้อมูล Big Data การสนับสนุนแหล่งทุนในรูปแบบต่าง ๆ การสนับสนุนเชื่อมโยงระหว่างผู้ซื้อรายใหญ่กับผู้ขายรายย่อย และที่สำคัญคือ ความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมเอเปค 2022

‘เพื่อไทย’ จวก ‘ประยุทธ์’ ไร้มารยาทร้ายแรง หลังแต่งตั้งคนจาก รทสช. นั่งที่ปรึกษานายกฯ

(12 ม.ค. 66) น.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ลงนามแต่งตั้งนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี, นายชัชวาลล์ คงอุดม, นายชุมพล กาญจนะ และนายเสกสกล อัตถาวงศ์ เป็นที่ปรึกษาของนายกฯ หลังจากที่ก่อนหน้านี้แต่งตั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ ทั้งหมดเป็นนักการเมืองในสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติที่พล.อ.ประยุทธ์ ไปร่วมงานการเมืองด้วยว่า การกระทำของพล.อ.ประยุทธ์แสดงเจตนาอย่างชัดเจน ว่าต้องการให้พรรครวมไทยสร้างชาติเป็นนั่งร้านค้ำยันอำนาจให้กับตัวเองในการเลือกตั้งครั้งหน้า ตั้งคนเหล่านี้ให้มีอำนาจทางการเมือง เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการเลือกตั้ง เป็นการกระทำที่ไร้มารยาททางการเมืองอย่างรุนแรง พล.อ.ประยุทธ์หวังสร้างอำนาจในหมู่ข้าราชการ และคนที่แต่งตั้งเข้ามาสามารถแทรกแซงอำนาจทางการเมืองได้ ประชาชนทั้งประเทศกังขาว่าพล.อ.ประยุทธ์กลัวแพ้เลือกตั้งถึงต้องตั้งคนของตัวเองคุมกลไกภาครัฐอย่างที่เห็นอยู่ 

‘เต้น’ เย้ย ‘บิ๊กตู่’ ย้ายอยู่พรรคใหม่แต่ดูไม่มีอนาคต แซะ!! แค่โกยคนที่แตกจากพรรคอื่นมาไว้รวมกัน

(12 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 10.45 น. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทยกล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์เปิดตัวเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติว่า ตนนึกว่าพล.อ.ประยุทธ์จะแสดงแสนยานุภาพทางการเมืองอย่างน่าตื่นตาตื่นใจหลังจากยึดครองอำนาจต่อเนื่องมา 8 ปี แต่พบว่าไม่ใช่เหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่เป็นเหล้าเก่าในขวดแตก รวมเอาคนที่แตกออกจากพรรคต่าง ๆ ทั้งจากพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเล็กมาอยู่ด้วยกัน และไม่พบว่ามีบุคคลที่เป็นที่รู้จักหรือเป็นที่ยอมรับกันในสังคม เป็นคนใหม่ทางการเมืองปรากฏตัวร่วมงานกับพล.อ.ประยุทธ์แต่อย่างใด จึงมองไม่เห็นอนาคต เห็นแต่อดีต เพราะเต็มไปด้วยอดีต ส.ส. อดีตรัฐมนตรี ตนจึงเชื่อว่าจะส่งผลให้พล.อ.ประยุทธ์ กลายเป็นอดีตนายกฯ ในไม่ช้า

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ดังนั้นการตัดสินใจเข้าสู่การเมืองเต็มตัวของพล.อ.ประยุทธ์ แท้จริงไม่ใช่เป้าหมายแค่การเป็นนายกฯ ต่ออีก 2 ปีตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่มี ส.ว.กลุ่มหนึ่งได้เคลื่อนไหวสับไพ่รอหรือไม่ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้มีกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ได้ศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ระบุว่ามีปัญหาที่น่าสนใจในบทบัญญัติในมาตรา 158 ว่าด้วยวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี โดย ส.ว. กลุ่มนี้ชี้ว่าเป็นเรื่องที่ควรจะพิจารณาแก้ไข ตนได้ตั้งข้อสังเกตว่าการกำหนดบทบัญญัตินี้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ผ่านมา ส.ว.ไม่เคยมีปฏิกิริยา ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เคยมีท่าทีที่แสดงออกว่าไม่เห็นด้วยแต่อย่างใด ส.ว. 250 คนยกมือตามสั่งมาตลอด แต่เมื่อพล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ครบ 8 ปีจริง กลับมีมติเห็นตรงกันว่ามาตรานี้มีปัญหา หมายความว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะอาศัยเสียง ส.ว. 250 คนเข้าสู่ตำแหน่งนายกฯ ได้ ต้องใช้เสียงในสภาและเสียง ส.ว.แก้ไขมาตรานี้แน่นอน

ถ้อยแถลง ‘บิ๊กตู่’ จาก ‘Voice of the South Summit’ ผนึกมหามิตร ‘คุณภาพชีวิตดี-รักษ์โลก’ ส่งต่อคนรุ่นหลัง

นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงในพิธีเปิดการประชุม Voice of the South Summit ผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และเสริมสร้างความยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน 

(12 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 11.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถ้อยแถลงในพิธีเปิดการประชุม Voice of the South Summit ภายใต้หัวข้อหลัก ‘เสียงของประเทศกำลังพัฒนา สู่การพัฒนาที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Voice of South: For Human-centric Development)’ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ตามคำเชิญของนายนเรนทร โมที นายกรัฐมนตรีอินเดีย

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีนเรนทร โมที ของอินเดีย สำหรับหัวข้อ ‘การพัฒนาที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง’ ซึ่งจัดขึ้นอย่างเหมาะสมกับบริบทในปัจจุบันที่ประชาชนประสบกับโรคระบาดและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ ภาวะเงินเฟ้อ วิกฤตด้านอาหารและพลังงาน จนก่อให้เกิดวิกฤติค่าครองชีพครั้งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อกลุ่มเปราะบาง 

ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับความท้าทาย ประเทศกำลังพัฒนาจะต้องร่วมแรงร่วมใจ โดยนายกรัฐมนตรีได้เสนอ 3 แนวคิด ให้อินเดียในฐานะประธาน G20 เป็นกระบอกเสียงให้ผลักดันระบบเศรษฐกิจโลกไปสู่ยุคโลกาภิวัตน์ที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางมีความยั่งยืน และครอบคลุมยิ่งขึ้น ประกอบด้วย

1.) ต้องแสวงหาแนวทางการพัฒนาแบบองค์รวมที่ช่วยให้สามารถรับมือกับวิกฤตโลก 3 ประการ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และมลภาวะ เพื่อผลักดันให้การเติบโตหลังวิกฤตโควิด-19 มุ่งสู่ความสมดุลมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ โดยแนวคิดพื้นฐาน BCG ของไทยและแนวคิดวิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของอินเดียล้วนมีเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมการใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล ตลอดจนการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้นและยึดหลักธรรมาภิบาล 

นอกจากนี้ ไทยเรียกร้องให้ประเทศกำลังพัฒนาสานต่อผลสำเร็จจากการประชุม COP 27 ซึ่งถือเป็นการประชุม COP ที่ประเทศกำลังพัฒนามีบทบาทนำ และย้ำความจำเป็นในการระดมทุนเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการลงทุนเพื่อพัฒนาและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในราคาที่เหมาะสม

รวมคำขวัญ 'วันเด็ก' ตลอด 9 ปี จาก 'ลุงตู่'

#วันเด็กแห่งชาติ

สิ่งที่อยู่คู่กับ 'วันเด็ก' ก็คือ 'คำขวัญวันเด็ก' จากนายกรัฐมนตรี ซึ่งเด็กไทยได้รับคำขวัญวันเด็กจาก 'ลุงตู่' หรือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชามาแล้ว 9 ครั้ง 9 คำขวัญ 

อีกด้านของชายชาติทหารชื่อ 'ประยุทธ์ จันทร์โอชา' นายกฯ ผู้อ่อนโยน เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณหนูๆ

เป็นที่รับรู้กันในหมู่ผู้สื่อข่าวทั้งสายทหาร และสายทำเนียบว่า นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น มีความอ่อนโยนในจิตใจส่วนลึก สวนทางกับภาพลักษณ์อันกร้าวและแกร่ง ตามแบบฉบับชายชาติทหารมืออาชีพ เป็นนายทหารที่เวลาพูดกับคนในบ้านด้วยคำลงท้ายว่า "คะ / ค่ะ" แทบทุกประโยค เพราะนอกจากท่านแล้ว ก็มีแต่ภรรยาและลูกสาวฝาแฝด ซึ่งล้วนเป็นสุภาพสตรีล้วน ๆ

นั่นคือที่มาของอดีตฉายา 'ผบ.นะคะ' หยิกแกมหยอกอันเป็นตำนาน

อีกมุมหนึ่งซึ่งปรากฏเห็นเป็นภาพตลอดมาตั้งแต่ครั้งยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกจนถึงนายกรัฐมนตรี คือความ - รักเด็ก (โดยมิต้องเคยหรือเป็นนางงามแต่อย่างใด)

'บิ๊กตู่' เปิดทำเนียบต้อนรับเยาวชนในวันเด็กแห่งชาติ พร้อมให้ร่วมถ่ายรูป - ลองนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

(14 ม.ค 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566 นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดงานและให้โอวาทแก่เด็กและเยาวชนว่า นับเป็นโอกาสอันดีที่ได้พบปะกับทุกคนที่เปี่ยมด้วยพลังและความสามารถหลากหลาย และดีใจที่ได้เห็นเด็ก ๆ อนาคตของชาติ นำความรู้ ความสามารถที่มีมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง และเป็นต้นแบบที่ดีของเยาวชน 

โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงคำขวัญวันเด็ก ประจำปี 2566 ที่ว่า 'รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ความดี' ซึ่งการรู้หน้าที่ คือ หน้าที่ที่มีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดังบทเพลงรักชาติที่ว่า “ความรักอันใดแม้รักเท่าไหน ก็ไม่ยั่งยืนเท่าความรักชาติ รักแผ่นดินของเรา” เด็กและเยาวชนต้องมีหน้าที่ต่อตนเอง คือ มีความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา ผู้มีพระคุณ หน้าที่ในการเป็นศิษย์ที่ดีของครู หมั่นแสวงหาความรู้ พัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อเป็นพลเมืองไทยที่มีคุณภาพในการทำหน้าที่ต่อสังคม ชุมชน และประเทศชาติ ซึ่งท่านนายกฯ ได้พบปะกับเด็กและเยาวชนที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศ และเด็กจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีความซื่อสัตย์ หรือเด็กกตัญญู และเด็กพิเศษหรือด้อยโอกาส รวมจำนวน 10 คน พร้อมเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนนั่งเก้าอี้ทำงานนายกรัฐมนตรี และถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับนายกรัฐมนตรี

เปิดคำ 'พล.อ.เกษม' ครูผู้สอนนายกฯ สมัย จปร. ยก ‘บิ๊กตู่’ มี ‘คุณธรรม-จริยธรรม-ความซื่อสัตย์’

นายกฯ ร่วมพิธีงานวันครู ครั้งที่ 67 ประจำปี 2566 คารวะครูอาวุโส พร้อมมอบโล่รางวัลแด่ครูของแผ่นดิน เชื่อมั่นพลังของครู คือหัวใจการเปลี่ยนแปลงคุณภาพการศึกษา ขอร่วมกันสร้างแรงบันดาลใจ พัฒนาการเรียนรู้เด็กเพื่ออนาคตของประเทศ

(16 ม.ค. 66) ณ หอประชุมคุรุสภา สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีงานวันครู ครั้งที่ 67 ประจำปี พ.ศ. 2566 เพื่อประกอบพิธีระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ และส่งเสริมยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่ประกอบคุณงามความดี หรือทำคุณประโยชน์ต่อวงการศึกษาให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนและเป็นแบบอย่างให้เยาวชนรุ่นหลังได้ยึดถือปฏิบัติตาม ภายใต้แนวคิด ‘พลังครู คือ หัวใจของการพลิกโฉมคุณภาพการศึกษา’ (Teacher’s Power is the Heart of Transforming the Educational Quality) โดยมีนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณะครู และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายกรัฐมนตรีวางพวงมาลัยถวายราชสักการะพระบรมสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และสักการะปฐมบูรพาจารย์ฯ แท่นที่บูชาศีรษะครู จำนวน 7 องค์ ตามลำดับ จากนั้นนายกรัฐมนตรีสักการะพระรัตนตรัย ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และคารวะครูอาวุโส พลเอก เกษม นภาสวัสดิ์ อดีตครูผู้สอนนายกรัฐมนตรี วิชาคณิตศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และรับชมวีดิทัศน์เรื่อง ‘ครูดี ศิษย์ดี มีอนาคต’ ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีมอบโล่รางวัล จำนวน 17 รางวัล ประกอบด้วย 1) รางวัลผู้มีคุณูปการต่อการศึกษาของชาติ ประจำปี 2566 จำนวน 8 ราย และ 2) รางวัลคุรุสภา ประจำปี 2565 ‘ระดับดีเด่น’ จำนวน 9 ราย

นายกรัฐมนตรีกล่าวปราศรัยเนื่องในวันครู ครั้งที่ 67 พ.ศ. 2566 ว่า การได้เข้าร่วมสักการะปฐมบูรพาจารย์ คารวะครูอาวุโส นับเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อครูผู้มีพระคุณ ผู้คอยเสริมสร้างภูมิปัญญาให้แก่ศิษย์ด้วยความอุตสาหะ อดทน เสียสละ ด้วยความหวังให้ลูกศิษย์มีความเจริญก้าวหน้าด้านสติปัญญา มีจิตใจที่มีคุณธรรมสำหรับการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ ซึ่งนับว่าเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของครูในการสร้างสรรค์ศิษย์ให้มีคุณลักษณะที่ดี เป็นพลเมืองดี และเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพของสังคม และเชื่อมั่นว่าพลังของครูคือหัวใจของการเปลี่ยนแปลงคุณภาพการศึกษา รวมทั้งการสร้างและการพัฒนาคนเพื่ออนาคตของประเทศ ซึ่งครูและบุคลากรทางการศึกษานับเป็นผู้มีความสำคัญอย่างมากในการเป็นผู้นำการเรียนรู้ กระตุ้น และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้เรียน โดยเด็กเปรียบเสมือนผ้าขาวที่คุณครูทุกคนจะต้องร่วมกันแต่งแต้มถักทอให้สวยงาม ทำให้เด็กสนใจการศึกษา สนใจการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีไปตามลำดับ ทั้งยังต้องเป็นผู้เติมเต็มความรู้และพัฒนาผู้เรียนให้มีปัญญาที่งอกงาม พร้อมจุดประกายให้ผู้เรียนรู้จักคิดเป็น แก้ไขปัญหาได้ มีหลักคิดที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม มีจิตสาธารณะ เผื่อแผ่ แบ่งปัน และมีความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติ อันจะทำให้ผู้เรียนเติบโตเป็นพลเมืองที่ดี มีคุณภาพ และมีสมรรถนะในการปรับตัวได้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมในอนาคต 

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงบริบททางสังคมในยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วควบคู่กับความก้าวล้ำทางเทคโนโลยี ดังนั้นครูและผู้บริหารการศึกษาจึงต้องพัฒนาตนเองให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งรัฐบาลมีแนวทางการจัดการศึกษาให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 ได้แก่...

1) เน้นการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีสมรรถนะในการออกแบบการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ มีทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างรู้เท่าทัน และทักษะการใช้ชีวิตในโลกอนาคต รวมทั้งความรับผิดชอบต่อสังคม ครอบครัว รู้รักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

2) ส่งเสริมการสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้โดยใช้เครื่องมือดิจิทัล ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศมากขึ้นในอนาคต

3) การจัดสถานการณ์การเรียนรู้ที่ทำให้นักเรียนได้รู้จักรากเหง้าความเป็นมาของชาติ และเอกลักษณ์ของชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนความเป็นตัวตนของคนไทย โดยครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องออกแบบจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้นักเรียนเกิดความรัก ความภาคภูมิใจ หวงแหนแผ่นดินเกิด และเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ไม่เอาเปรียบผู้อื่น รวมทั้งไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน สิ่งสำคัญคือต้องไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง ปลูกฝังความเป็นไทย ความรักและภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ชาติประวัติศาสตร์ชุมชน ปลูกฝังจิตสำนึกตอบแทนคุณแผ่นดินและพัฒนาบ้านเกิดในอนาคต และต้องอยู่บนหลักการที่ทำให้นักเรียนสามารถสร้างความรู้ขึ้นเองด้วยหลักของเหตุและผล

4) การยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลมีความปรารถนาและมุ่งมั่นมากที่สุด โดยทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาจะต้องพุ่งเป้าให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงในระดับห้องเรียน และต้องใช้ปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นตัวตั้ง จากนั้นครู ผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ และผู้บริหารการศึกษาจะต้องนำปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียนมาเป็น “ประเด็นท้าทาย” แล้วลงมือทำงานร่วมกันในลักษณะของชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพภายใต้กระบวนการแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพนักเรียน นำไปสู่การเรียนรู้ร่วมกันของครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งการนำความสำเร็จในการแก้ปัญหามาเป็นตัวชี้วัดผลปฏิบัติงานและความเจริญก้าวหน้าในเส้นทางวิชาชีพของครูและบุคลากรทางการศึกษาด้วย

‘สมคิด’ อัด ‘บิ๊กตู่’ กู้เงินโปะงบประมาณทุกปี ชี้!! สร้างหนี้ให้ประเทศมากกว่า 4 ล้านล้านบาท

(17 ม.ค. 66) นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ฐานะรองประธานคณะกรรมการ ประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า การจัดทำงบประมาณประจำปี 2567 ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ พบว่าเป็นการจัดทำงบประมาณขาดดุลเช่นเดิม ตลอด 8 ปีที่ผ่านมาจัดทำงบประมาณขาดดุลมาโดยตลอด มีการกู้เงินโปะงบประมาณทุกปี จากการตรวจสอบพบว่าพล.อ.ประยุทธ์ใช้การกู้เงินโปะงบประมาณมากกว่า 4 ล้านล้านบาท สร้างหนี้สินไม่รู้จบ การกล่าวอ้างว่าไม่อยากให้เป็นภาระกับรัฐบาลหน้านั้น เป็นการพูดเอาดีเข้าตัว ข้อเท็จจริงคือหนี้สินที่พล.อ.ประยุทธ์สร้างไว้ ใครมาเป็นรัฐบาลต่อไปต้องไปตามใช้หนี้ที่พล.อ.ประยุทธ์ก่อขึ้น หนี้สินก้อนนี้ กระทบเงินลงทุนในการพัฒนาประเทศอย่างแน่นอน ทั้งนี้ งบประมาณประจำปี 2567 ที่สูงถึง 3,350,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 เป็นจำนวน 165 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.18 งบประมาณที่เพิ่มขึ้น ไม่สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย  

นายสมคิด กล่าวต่อว่า หากพล.อ.ประยุทธ์อยากเป็นนายกฯ ต่อ คงไม่สามารถคำนวณได้ว่าประเทศไทยจะเป็นหนี้อีกมากเท่าไหร่ 8 ปีที่ผ่านมาเชื่อว่าประชาชนเห็นอะไรชัดเจนแล้วว่าการบริหารประเทศของรัฐบาลผลออกมาเช่นไร ถึงเวลานี้พล.อ.ประยุทธ์ ต้องยอมรับว่าตัวเองไร้ความสามารถ ประชาชนมองว่าพล.อ.ประยุทธ์แก่เกินกว่าจะมานั่งบริหารประเทศต่อไป ควรให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามานำพาประเทศ จะเกิดประโยชน์กับประชาชนมากกว่า

พท. เย้ย ‘ประยุทธ์’ หมดสภาพ จบไม่สวย หลัง รมต.พร้อมใจลาประชุม ครม.

(18 ม.ค. 66) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ทยอยแต่งตั้งคนในพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เข้ามารับตำแหน่งในรัฐบาลอย่างต่อเนื่องว่า …

พล.อ.ประยุทธ์ ต้องกลับไปศึกษาจุดจบของพรรคทหารเฉพาะกิจ ตั้งแต่สามัคคีธรรม เปรียบเทียบกับพลังประชารัฐ (พปชร.) และจะลามมาถึงพรรค รทสช. ที่สุดจะมีชะตากรรมเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์จะถูลู่ถูกังตะแบงต่อไปไม่ได้ ส.ส.แห่ลาออกแทบทุกวัน จนสภาล่มทุกสัปดาห์ ประชุม ครม.ที่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่กลับมีรัฐมนตรีพร้อมใจกันลาประชุมเกือบสิบคน พี่ใหญ่ 3 ป. ขอไปใช้ใจบันดาลแรงลงพื้นที่โดยไม่เกรงใจ พล.อ.ประยุทธ์อีกต่อไป เพราะในครม.พล.อ.ประวิตร ก็ไม่เห็นด้วยในหลายเรื่อง ภารกิจเดียวที่พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงดำรงเป้าหมายอยู่ คือความพยายามทยอยตั้งคนในพรรค รทสช.เข้ามารับตำแหน่งในรัฐบาลให้ได้มากที่สุด 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top