Tuesday, 14 May 2024
บิ๊กโจ๊ก

สาวร้อง “บิ๊กโจ๊ก” ล่าตัวหนุ่มอเมริกันที่รู้จักในแอปหาคู่ หลอกให้รัก ซ้อมทำร้าย ลักทรัพย์ ข่มขู่คุกคาม แอบถ่ายคลิปไปขาย

เวลา 10.30 น. นางปวีณา หงสกุล ประธานมูนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พาหญิงสาว 1 ใน 3 ราย เข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.เพื่อขอความช่วยเหลือ หลังถูก หนุ่มอเมริกันล่าแต้มในแอปฯ หาคู่ หลอกคบหาสร้างฝันมีครอบครัวที่อบอุ่น ก่อนมีความสัมพันธ์แอบถ่ายคลิป ซ้อมทำร้าย ลักทรัพย์ ข่มขู่คุกคาม และเอาคลิปไปเผยแพร่ขายในกลุ่มต่างๆ โดยขอให้ติดตามตัวหนุ่มอเมริกันรายนี้มาดำเนินคดี เพราะถือเป็นภัยร้ายของผู้หญิง หวั่นเอาคลิปสาวๆ ไปขายกลุ่มลับ คาดยังมีผู้เสียหายอีกหลายรายไม่กล้าออกมาแจ้งความ 

เหยื่อเล่าว่า รู้จักนายโทมัส อายุ 34 ปี อ้างเป็นทหารปลอดประจำการ ผ่านทางแอปหาคู่ เมื่อ 6 ธันวาคม มีการใช้ภาพเป็นทหาร หน้าตาดี เข้ามาพูดคุย อยากสร้างครอบครัว และ อนาคตด้วย จึงขอแต่งงาน แต่ยังไม่ตัดสินใจ จึงคบหาเป็นแฟนกัน และเคยไปพบฝ่ายชาย ที่บ้านเช่าย่านนนทบุรี แต่ระหว่างคบหากัน พบฝ่ายชายมีอารมณ์ร้อน ถูกทำร้ายร่างกายบ่อยครั้ง จนสุดทน เมื่อขอเลิกก็ถูกทำร้ายร่างกาย กระทั่งโทรไปขอให้ตำรวจ สภ.บางใหญ่ มาช่วยเหลือ นอกจากนี้ฝ่ายชายยังได้เอาโทรศัพท์มือถือของเธอไป แต่ไม่แน่ใจว่ากรณีของเธอถูกแอบถ่ายคลิปไว้ขาย เหมือนกับผู้เสียหาย 2 รายก่อนหน้านี้หรือไม่ 

โดยหลังเกิดเหตุไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายโทมัสในข้อหาทำร้ายร่างกาย ที่ สภ.บางใหญ่ ทั้งนี้ นายโทมัสจะเน้นหลอกผู้เสียหายเป็นสาวที่อยู่ในประเทศแถบเอเชีย มีการศึกษาดี หน้าตาดี และฐานะดี


นอกจากนี้ เหยื่อยังเล่าถึงผู้เสียหายรายอื่นอีก 2 ราย ที่ถูกกระทำคล้ายกัน เพราะหลังเกิดเหตุ ได้รวมกลุ่มผู้เสียหายที่เป็นผู้หญิงทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในทวีปเอเชีย ซึ่งผู้เสียหายรายแรก ถูกนายโทมัสหลอกลวงผ่านแอปฯ หาคู่ เช่นเดียวกันในปี 2565 

โดยนายโทมัสเดินทางมาที่ประเทศไทยช่วงเดือนเมษายน และคบหากัน 4 เดือน ผู้เสียหายได้เช่า โรงแรมย่านพระโขนง และระหว่างนั้นนายโทมัสได้ทำร้ายพร้อมถ่ายคลิปไว้ ก่อนนำไปประจานผ่านทางโซเชียล ด้วยการสร้างแอคเคาท์ปลอม และส่งคลิปไปยังกลุ่มต่างๆ ซึ่งผู้เสียหายรายที่ 2 ก็ถูกกระทำในลักษณะเดียวกัน แต่รายนี้ถูกหลอกให้จดทะเบียนสมรสด้วย และยังถูกขโมยสร้อยคอทองคำน้ำหนักสองสลึงไปด้วย จึงได้แจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจและพยายามขอฟ้องหย่า ทำให้นายโทมัสไม่พอใจและเอาคลิปไปประจานในพื้นที่ส่วนตัวและที่ทำงาน ทำให้ต้องย้ายไปอยู่ที่ภูเก็ต นอกจากนี้ยังพบผู้เสียหายที่เป็นชาวต่างชาติ เช่น ชาวอินโดนีเซีย และญี่ปุ่น

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บอกว่า คนร้ายจะใช้แผนประทุษกรรมเดิมๆ ในลักษณะคล้ายกับแก๊งโรแมนสแกม หลอกให้รักออนไลน์ กรณีนี้เป็นการรู้จักกันผ่านทางแอปหาคู่ เนื่องจากรู้จุดอ่อน กลุ่มคนที่อยู่ในแอป เป็นคนโสดและต้องการผู้ชายมาดูแล มีการสร้างสตอรี่ต่างๆ หลอกสร้างอนาคต หลอกมีความสัมพันธ์ ถ่านคลิปไปขายในเว็บโป๊ 

ล่าสุดมีรายงานว่านายโทมัส เดินทางออกนอกประเทศแล้ว ปลายทางที่เวียดนาม ตั้งแต่เมื่อวานนี้ จึงสั่งการให้ตำรวจ สภ.บางใหญ่ เร่งรัดในการออกหมายจับ พร้อมประสานอินเตอร์โพลในการล่าตัวมาดำเนินคดี ขณะเดียวกันได้ประสานไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เฝ้าระวังการเดินทางเข้าของนายโทมัส หากพบตัวให้จับกุมทันที 

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังได้เตือนภัยสาวไทย ให้ตรวจสอบประวัติของชายหนุ่มที่รู้จักกันผ่านแอปหาคู่ ให้ดีก่อนตัดสินใจคบหากัน เพราะอาจตกป็นเหยื่อถูกหลอก ถูกถ่ายคลิปไปประจานเพื่อเรียกร้องทรัพย์สิน หรือถูกนำคลิปแบล็กเมลไปขายในช่องทางต่างๆ

ทั้งนี้ จากการตรวจประวัติ พบนายโทมัส เดินทางเข้าออกไทยตั้งแต่ปี 2565 ใช้วีซ่าท่องเที่ยว เฉลี่ยเดินทางเข้าออกไทย ปีละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 15 วัน นอกจากนี้ จากการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมที่สหรัฐ พบว่ามีประวัติลักทรัพย์

‘เศรษฐา’ จี้!! สืบหาตัว ‘บิ๊กตำรวจ’ คุยโวสนิทผู้ใหญ่ ใน ป.ป.ช. หลังโซเชียลชี้เป้า ‘บิ๊กโจ๊ก-สุภา’ ส่อแวว ถึงเวลาปฏิรูปองค์กร!!

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีการถามไถ่กันให้วุ่นว่า คลิปเสียง ‘ตำรวจใหญ่’ ที่คุยว่าสนิทสนมกับ ‘ผู้ใหญ่’ ใน ป.ป.ช. สามารถกำหนดคดี–ชี้ชะตาคนได้ ที่หลุดว่อนโซเซียลฯ ในเวลานี้ นายตำรวจใหญ่ผู้นี้เป็นใคร และผู้ใหญ่ใน ป.ป.ช.นั้น หมายถึงใคร?

ประการสำคัญ มีคำถามว่า ทำไม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ‘ป.ป.ช.’ องค์กรอิสระที่ต้องทำงานด้วยความโปร่งใส ยึดถือความถูกต้องและยุติธรรมถึงได้ปล่อยให้ ‘คนนอก’ เข้ามาแทรกแซงด้วยความอหังการ มมังการ ประหนึ่งควบคุม ป.ป.ช. ไว้ในอุ้งมือ!!

‘ป.ป.ช.’ เป็นองค์กรอิสระแต่กลับไม่มีอิสระซะงั้น!?

ลองย้อนไปฟังที่นายตำรวจคนนี้พูดดู…

“เออ ไล่ออกปลดออกนะ แต่อาญาน่ะมันติดคุกนะ แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอกผม ส่ง ป.ป.ช.เนี่ย ป.ป.ช.ไม่ทำเรื่องคุณหรอก เดี๋ยว ป.ป.ช.ส่งมาให้ผมกลับมาทำเองนะ เออ คุณไม่ต้องกังวล เร็วแน่นอน ทุกเคสที่ผมทำ ไม่มี ป.ป.ช.รับหรอก แต่มีการพูดตรวจสอบทรัพย์สิน ตอนนี้ ‘ท่านXXX’ เขาตั้งเรื่องแล้ว นี่เรียกนายเวรเข้าไปด้วยคนหนึ่ง…”

ความระหว่างบรรทัดที่ออกจากปากเจ้าของเสียงในคลิปพูด จะเห็นได้เลยว่า ตัวเองคุมเกมคดีที่ ป.ป.ช.ได้เองเบ็ดเสร็จ โดยความร่วมมือของคนใน ป.ป.ช.

เรียกว่า “ใหญ่คับ ป.ป.ช.” จริงๆ!!

หลังคลิปนี้เผยแพร่เป็นวงกว้าง จึงสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

คนของทั้ง 2 องค์กร พูดกันมาให้เข้าหูเลยว่า นี่เป็นความเสื่อมที่สุดของทั้งตำรวจ และ ป.ป.ช. เพราะนายตำรวจใหญ่ที่เป็นลุงแก่อำนาจเพียงคนเดียว!! เพราะผู้ใหญ่ใน ป.ป.ช. ที่ว่ากันว่า เป็นถึงกรรมการ ป.ป.ช.ยอมเป็นเครื่องมือให้ความช่วยเหลือ ‘คิดบัญชี’ ชำระแค้นคนนั้น คนนี้ อย่างนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ขององค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. ไม่น่าเชื่อว่า จะตกต่ำได้ขนาดนี้

เรื่องนี้เป็น ‘หลุมดำ’ จะสร้างวิกฤติศรัทธาให้กับ ป.ป.ช. อย่างแน่นอน และความหนักหนาสาหัสของเรื่องนี้ ก็มีความจำเป็นเพียงพอที่จะต้อง ‘ปฎิรูป ป.ป.ช.’ ยกใหญ่

ไม่ใช่แค่คนใน สตช. และ ป.ป.ช. ที่พูดกัน ฟังว่าเรื่องไปเข้าหู ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงกับเอ่ยปากต่อสื่อว่า “นี่เป็นเรื่องสำคัญ ต้องสืบมาให้รู้แจ้ง ยืนยันให้ได้ว่าเป็นเสียงของนายตำรวจใหญ่จริงหรือไม่ สืบทราบได้หรือเปล่าว่าเป็นใคร? หากเป็นเรื่องที่พอจะมีหลักฐานที่จะนำไปขยายผลต่อได้ ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย”

นายกฯ ออกโรงส่งสัญญานมาแบบนี้ ก็ต้องถามไปยัง ‘พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ’ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. หรือ ‘บิ๊กต่อ’ ท่านยังจะไม่ดำเนินการอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ?

คลิปหลุดงานนี้ ภาษาชาวบ้านเขาว่า ‘ชุดใหญ่ไฟไหม้บ้าน’ ขนาดนี้แล้ว ควรต้องทำตามคำของนายกฯ หาตัวนายตำรวจใหญ่ และ บอร์ด ป.ป.ช. ที่ถูกอวดอ้างว่าสนิทสนมเร่งด่วนเลย สอบสวนให้ดูดำรู้แดง แล้วแจ้งต่อสาธารณะให้รู้ อย่างน้อยๆ ก็กู้วิกฤติศรัทธากันเฉพาะหน้ามาก่อน

โดยเฉพาะ ป.ป.ช.ที่ถูกแอบอ้างเสียหายเต็มๆ พล.ต.อ.วัชรพล ต้องอย่าช้า!! ของพรรค์นี้สืบกันไม่ยาก สมัยนี้อย่าประมาทชาวโซเชียลฯ เด็ดขาด นักสืบโซเชียลฯ ทำงานกันเร็ว

หากไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร แนะนำให้ลองไถฟีดไล่ตามคอมเมนต์ข่าวนี้ดู จะเห็นคำตอบของเจ้าของคลิปเสียงที่ชาวโชเชียลฯ ส่วนใหญ่ชี้เป้าไปที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. หรือ ‘บิ๊กโจ๊ก’ เจ้าของฉายา ‘โจ๊ก หวานเจี๊ยบ’

ขณะที่คนใหญ่คนโต ป.ป.ช.ที่ถูก ‘บิ๊กโจ๊ก’ เอ่ยอ้างว่าสนิทสนมด้วยนั้น คือ ‘น.ส.สุภา ปิยะจิตติ’ กรรมการ ป.ป.ช.ที่จะพ้นวาระในอีกไม่กี่วันข้างหน้า!!

นักสืบโซเชียลฯ ยังล้วงลับตับแตกถึงความสัมพันธ์ของ ‘บิ๊กโจ๊กและสุภา’ นั้นไม่ธรรมดา อาจจะเพราะบิ๊กโจ๊กเข้าหาผู้ใหญ่เก่ง พูดจาอ่อนน้อม อ่อนหวาน ทำงานคล่องแคล่วว่องไว สุภาจึงไว้วางใจ

บิ๊กโจ๊ก มาเติมเต็มในส่วนที่ สุภา ขาดในเรื่องสืบสวนสอบสวน เวลาผ่านไปจาก ‘รู้จัก’ ก็กลายเป็น ‘มักคุ้น’ รู้ซึ่งกันและกัน แต่ความเป็นบิ๊กโจ๊กที่ทั้งชีวิตเป็นตำรวจจะเก่งเรื่องเก็บกุมความลับของคน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า สุภาที่คนใน ป.ป.ช.เรียกขานฉายา ‘ภาไม่ยอม’ เหตุไฉนจึงโอนอ่อนผ่อนตามบิ๊กโจ๊กได้นั้น อาจเพราะจำยอม จำนน เพราะถูกกุมความด้วยเหตุฉะนี้หรือไม่!?

สุภา จะรู้หรือไม่ ไม่อาจรู้ได้ แต่... รู้กันในหมู่สีกากีว่า ฉายา ‘หวานเจี๊ยบ’ ของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่พึงระวังหวานมาก ก็กลายเป็นขมได้!!

ผู้ใหญ่หลายคนที่เคยสัมผัส และให้ความเอ็นดูกับบิ๊กโจ๊ก เคยเจอกันมาแล้ว ทุกวันนี้ยังรักษาอาการ ‘หลังหัก’ ไม่หาย

ไม่ทราบว่า บิ๊กโจ๊กยังพอจะจดจำคนเหล่านี้ได้หรือไม่… พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีต ผบ.ตร., พล.ต.ท.พีระพงศ์ ดามาพงศ์ หรือแม้กระทั่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ ‘ลุงป้อม’ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ บุคคลเหล่านี้ถ้าจะบอกว่าเป็น ‘ผู้มีพระคุณ’ สำหรับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ไม่ผิดนัก!!

โดยเฉพาะ ‘ลุงป้อม’ ใครๆ ก็รู้ เอ็นดูบิ๊กโจ๊กเหมือนหลานในไส้ แต่ก็มีเรื่องงามไส้ของ ‘ป่ารอยต่อฯ’ ที่ว่ากันว่าหลุดมาจากแฟ้มลับในคอมพิวเตอร์ของหลานรัก ไปถูกอภิปรายในสภาฯ

หรือกระทั่ง ‘พี่น้อง 3 ป.’ ของลุงป้อมอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ ‘ลุงตู่’ สมัยนั่งเป็นนายกฯ ก็เคยถูกฟ้องมาแล้ว

เรียกว่า ‘คนเรา รู้หน้าไม่รู้ใจ’ อุตส่าห์หยิบยื่นความรักความเมตตาให้… แต่สิ่งที่ได้คืนไม่ต่างจากเรื่องราวกับชาวนากับงูเห่า เพียงเพราะต้องการทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตนเอง!!

ว่ากันว่า คอมพิวเตอร์ของบิ๊กโจ๊กนั้นเก็บทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งลับ และไม่ลับ เมื่อไหร่ก็ตามที่มิตรกลับกลายเป็นศัตรู วันดีคืนดี ก็จะมีข้อมูลหลุดออกมาด้อยค่าคนๆ นั้นทันที

แว่วว่าในแวดวงของผู้หลักผู้ใหญ่ที่รู้จักมักคุ้นกับบิ๊กโจ๊กต่างก็เตือนกันและกันว่า “จงระวัง ถูกเก็บข้อมูลเอาไปบิดเบือนย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองได้”

ไม่แปลก คนที่รู้ซึ้งจะเปลี่ยนฉายาจาก ‘โจ๊กหวานเจี๊ยบ’ กลายเป็นคนที่ยากจะไว้ใจ!!

นี่ไม่ขอยืนยันข้อเท็จจริงว่า จะใช่ หรือ ไม่ใช่… เรื่องจริง หรือ ไม่จริง เพราะเป็นนักสืบชาวโซเชียลฯ ว่ากันมา

ขอย้ำว่า ไม่ยืนยันว่า จริงหรือเท็จ มีแต่เจ้าตัว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เท่านั้นที่จะรู้ โดยบิ๊กโจ๊กเคยบอกว่า เรื่องครหา ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับตัวเขาเองเป็น ‘นิทาน’ ที่ยิ่งเล่าขาน ก็ยิ่งขยายแต่งเติมออกไปไม่รู้จบ…

ตัวเขาเองยึดคติที่ว่า “ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยาชูกำลัง” จึงไม่หวาดหวั่นกับศัตรูที่นาทีนี้ มากมายจริงๆ

จะด้วยเหตุผลใช่ ‘นิทาน’ หรือ ‘เรื่องจริง’ ก็ตาม งานนี้เห็นทีเป็นหน้าที่ของ พล.ต.อ.วัชรพล ประธาน ป.ป.ช. และ หน้าที่ของ ผบ.ตร. อย่าง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ที่ต้องค้นหาความจริง สอบสวน สืบสวนกันเอาเอง

คำถามย่อมเกิดขึ้นมาว่า ระหว่าง บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. สนิทสนมกันจริงหรือไม่?

ถ้ามีความสัมพันธ์แนบแน่น มีคดีไหนบ้างที่บิ๊กโจ๊กทำแล้วส่งให้ ป.ป.ช. และมีคดีไหนที่ ป.ป.ช.รับมาแล้วมี น.ส.สุภาเป็นประธานสอบ พล.ต.อ.วัชรพล ประธาน ป.ป.ช.ควรต้องรู้ และรู้อยู่แล้วหรือไม่? ก็ต้องขยายผล หาข้อมูลมาคลี่กางดู จะได้พิสูจน์ทราบ

ต้องไม่ลืมว่า องค์กร ป.ป.ช.ตอนนี้อ่อนไหวกับเรื่องนี้มาก เสียงลือเสียงเล่าอ้างต่างๆ พุ่งมาทุกทิศทุกทาง โดยเฉพาะการ ‘เลือกปฏิบัติ’ ต่อคดีที่ ป.ป.ช.กรรมการบางคนรับผิดชอบทำคดี

เพียงเพื่อกำจัดคน ‘คิดบัญชี’ ชำระแค้น สร้างเรื่อง ปั้นคดี ข่มขู่พยาน ใส่ร้ายป้ายสี กลั่นแกล้งให้ต้องได้รับโทษ ต่างๆ เหล่านี้ ไม่ควรมีอยู่ใน ป.ป.ช.

หากเป็นไปตามที่คลิปเสียงหลุดระบุ นั่นหมายความว่า จะมีคดีที่ถูกสร้างขึ้น ใส่ร้ายป้ายสี กลั่นแกล้งกันหรือไม่?

ถามว่าคดีที่ถูกพิจารณาตรวจสอบโดย สุภา ทั้งที่ผ่านมา และกำลังเป็นอยู่ มีความน่าเชื่อถือได้แค่ไหน? ควรหรือไม่ควร ที่จะต้องรื้อฟื้นคดีเหล่านั้นขึ้นมาดูใหม่?

พล.ต.อ.วัชรพล ประธาน ป.ป.ช. มีเผือกร้อนในมือแล้ว สังคมกำลังจับตาดูว่าท่านจะทำอย่างไร?

นี่คือความอัปยศอดสู เป็น ‘หลุมดำ’ ของ ป.ป.ช. หากไม่ทำอะไรให้กระจ่าง ก็เตรียมตัว… ไม่ใช่แค่ ป.ป.ช.จะว้าวุ่น แต่จะทรุดลงไปกองฮวบกับพื้นด้วยวิกฤตศรัทธาในทันที!!

บิ๊กโจ๊ก ย้ำ 1484 โรงพัก ประกาศนโยบาย”ขึ้นโรงพักไม่ต้องให้ใครมาฝาก” เผยหากไม่มี วัตถุพยานจากสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน โอกาสจับคนร้ายมาลงโทษคงเกิดได้ยาก เตรียมผลักดันเปลี่ยนเครื่องไม้เครื่องมือให้ทันสมัย ปรับจากซื้อ เป็นเช่าซื้อ เพื่อลดค่าใช้จ่าย

15 มกราคม 2566 เวลา 10:30 น. พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญ สถานีตำรวจภูธรโคกขาม จังหวัดสมุดสาคร และพิสูจน์หลักฐาน จังหวัดนครปฐม ตามนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

โดยได้มอบสิ่งของเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฎิบัติงานอย่างเข้มแข็ง จนได้รับรางวัล ปฏิบัติงานดีเด่นอันดับ 1 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติสถานีตำรวจรูปแบบที่ 2 โครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบลเพื่อสนับสนุนการป้องกันอาชญากรรมตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน.Stronger Together และยังมีผลการตรวจราชการประจำปีงบประมาณ 2566 ของกองตรวจราชการ 7 จเรตำรวจ ได้ลำดับที่ 1 นอกกลุ่มเป้าหมายระดับสถานีตำรวจขนาดใหญ่สังกัดตำรวจภูธรภาค 7 ทั้งยังได้รับรางวัลการปฏิบัติงานดีเด่นอันดับ 2 โครงการ rtp cyber​ village.ของตำรวจภูธรภาค 7

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติบอกว่า ที่ผ่านมาประชาชนจำนวนมาก ที่ได้รับความเดือดร้อนในคดีลัก วิ่ง ชิง ปล้น เดินทางไปแจ้งความที่โรงพัก ซึ่งหลายคดีต้องใช้ระยะเวลาในการสืบสวน และเจ้าหน้าที่ตำรวจมีจำนวนจำกัดทั้งยังมีอีกหลายหน้าที่ แม้ทุกคนจะปฏิบัติงานอย่างแข็งขัน แต่ก็อาจตอบสนองไม่ได้รวดเร็วอย่างที่ ประชาชน ต้องการ และหลายคนเลือกที่จะฝากคดีกับผู้มีอำนาจ เพื่อให้มากดดันการทำงานของตำรวจ 

ดังนั้นจากนี้ไปจึงขอฝากให้หัวหน้าสถานีตำรวจทั้ง 1,484 โรงพัก ปรับแผนการทำงาน โดยประกาศนโยบาย “ ขึ้นโรงพัก ไม่ต้องให้ใครมาฝาก” หากดำเนินการได้เร็วคดีค้างท่อตามโรงพักก็จะลดลง สร้างความพึงพอใจให้กับประชาชน 

และสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดในการทำคดีเพื่อนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฏหมาย ก็ต้องอาศัยวัตถุพยาน ที่พิสูจน์หลักฐานเป็นผู้ดำเนินการจัดเก็บและส่งมอบเพื่อนำมาประกอบคดี แต่ที่ผ่านมาอุปกรณ์ส่วนใหญ่ล้าสมัย และมีค่าบำรุงรักษาสูง เนื่องจากระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นระบบซื้อขาด เมื่อได้มา ก็ต้องมานั่งจ่ายค่าบำรุงรักษา ประกอบกับเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจึงทำให้อุปกรณ์ล้าหลัง

ดังนั้นจะเร่งผลักดันนโยบาย โดยการเปลี่ยนระบบการจัดซื้อจัดจ้าง เครื่องมือให้เป็นระบบ”เช่าซื้อ “ โดยผู้ให้เช่าจะเป็นคนบำรุงรักษาและเปลี่ยนทันทีที่อุปกรณ์ตกรุ่น จะได้ไม่เป็นภาระของหน่วยงาน ในการจัดเก็บเครื่องมือเก่าเก็บ และกลายเป็นงบประมาณสะสม ที่ทำให้หน่วยงานไม่มีงบประมาณมากพอ ที่จะจัดหาเครื่องรุ่นใหม่ๆ มาทำงานให้สอดคล้องกับหน้างานที่เพิ่มขึ้น

บิ๊กโจ๊ก เผย ลุงเปี๊ยกติดใจเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบใส่ขาเทียมคนเดียว มีพฤติกรรมซ้อมทรมานให้รับสารภาพ ยืนยันต้องสอบขยายผลใครเกี่ยวข้องอีก

พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เดินทางมาที่ศูนย์ช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดปทุมธานี เพื่อสังเกตการณ์การสอบสวนลุงเปี๊ยก ภายหลังจากมีการปล่อยคลิปสนทนา ยอมรับว่ามีการ ซ้อมทรมานเพื่อให้ลุงเปี๊ยกรับสารภาพ แต่อ้างว่าพยายามคุมถุงดำและให้ถอดเสื้อเปิดแอร์ เป็นแค่การเลาะกันเล่น

จากการสอบสวนเป็นเวลา 2 ชั่วโมงลุงเปี๊ยกก็ได้สีรูปของชายนอกเครื่องแบบใส่ขาเทียม ที่ถูกอ้างเป็นบุคคลในคลิปเสียง เพียงคนเดียวจากรูปทั้งหมดกว่า 10 ใบ 

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติบอกว่า จากการสอบสวนลุงเปี๊ยกวันนี้ ลุงเปี๊ยกมีท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้น โดยให้มูลนิธิวินวิน อยู่กับลุงเปี๊ยกตั้งแต่วันแรกคอยนั่งอยู่ข้างๆ โดยไม่มีการกดดันหรือบีบบังคับให้ลุงพูด ทั้งนี้การสอบสวนมีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์คอยสังเกตการณ์อยู่ด้วย

หลังจากการพูดคุยกว่า 2 ชั่วโมงลุงเปี๊ยกก็ได้ ชี้รูปภาพ ซึ่งเป็นภาพถ่ายใหม่ล่าสุดที่ถูกส่งด่วนมาจากจังหวัดสระแก้ว ให้ลุงเปี๊ยกเป็นผู้ชี้ทนับ 10 ภาพ แต่สุดท้ายลุงเปี๊ยกก็ชี้ เพียงคนเดียวพร้อมกับยืนยันว่า ติดใจกับชายนอกเครื่องแบบใส่ขาเทียมรายนี้ ส่วนเจ้าหน้าที่รายอื่นๆใช้คำพูดที่สุภาพ ไม่ได้มีพฤติกรรมข่มขู่

อย่างไรก็ตามรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติบอกว่า จะยังต้องสอบสวนต่อไปเพื่อขยายผลว่ายังมีใครที่เกี่ยวข้องอีกหรือไม่ และมีใครเป็นผู้สั่งการ ที่อยู่เบื้องหลังอีกหรือไม่ 

และหลังจากนี้ชุดพนักงานสอบสวนของจังหวัดสระแก้วก็จะต้องมีการพบสวนผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคนที่ ลุงเปี๊ยกชี้รูป เพราะจนถึงขณะนี้ คนที่ถูกชี้รูป ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์

บิ๊กโจ๊ก ลงพื้นที่จังหวัดระนอง รับฟังความคิดเห็นคนไทยพลัดถิ่น ที่วอนให้รัฐบาลชะลอโครงการแลนด์บริดจ์ เพราะกระทบแหล่งทำมาหากิน ทั้งยังเรียกร้องให้รัฐบาลเพื่อไทย สานต่อโครงการ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพื่อให้สถานะแก่คนไทยพลัดถิ่น ซึ่งวันนี้ยังใช้ชีวิตด้วยความลำบาก

ช่วงบ่ายที่ผ่านมาพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เดินทางลงไปที่หมู่บ้านห้วยปลิง หมู่ 7 ต.ราชกรูด อ.เมือง จ.ระนอง ซึ่งเป็น ถิ่นที่อยู่อาศัยของ ชาวบ้าน กลุ่มคนไทยพลัดถิ่น 

การเดินทางไปครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้พบกับแกนนำชาวบ้านที่ออกมาคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ และเรียกร้องให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้ามาดูแลความปลอดภัยให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมระหว่างที่เดินทางไปยื่นหนังสือกับนายเศรษฐา ทวีสินนายกรัฐมนตรี 

ทั้งยังเรียกร้อง ให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงพื้นที่ไปดูความเดือดร้อนของชาวบ้าน ซึ่งเป็นคนไทยพลัดถิ่นมากกว่า 3000 คนในชุมชน ที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการนี้ด้วย

จากการลงพื้นที่ และได้พูดคุยกับหญิงชราหนึ่งในแกนนำชาวบ้านที่มีสถานะเป็นคนไทยพลัดถิ่น รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยอมรับว่า ชาวบ้าน อยู่ด้วยความยากลำบากแสนเข็ญ กับการใช้ชีวิตที่ไม่มีบัตรประชาชน เนื่องจากรัฐบาล ยังไม่รับรองความเป็นคนไทย ทั้งที่ พรบ.สัญชาติไทย ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม กรณีรับรองคนไทยพลัดถิ่น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ 

ขณะที่ หญิงชรา (ก๊ะ) แกนนำที่เคยออกมาเดินขบวนเรียกร้องโดยการเดินเท้าจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ไปยังกรุงเทพมหานครเป็นเวลา 18 วัน ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพื่อขอให้ลงมาแก้ปัญหานี้ จนที่สุด รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ได้ริเริ่มพรบ.สัญชาติ 2555 

เธอบอกว่า ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดออกมาจากรัฐบาล ทำให้พวกเธออยู่ด้วยความยากลำบาก เนื่องจากไม่สามารถไปไหนมาไหนได้สะดวกเพราะไม่มีบัตรประชาชน และไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อการประกอบอาชีพได้ ทำได้เพียงการทำประมงพื้นบ้าน ซึ่งวันนี้กำลังจะถูกเวนคืนพื้นที่ ไปทำโครงการแลนด์บริดจ์อีก 

จึงอยากวิงวอนให้รัฐบาลยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย สานต่องานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ออก พรบ.สัญชาติ 2555 สำหรับคนไทยพลัดถิ่นไว้ และขอฝาก บิ๊กโจ๊ก ให้ช่วยไปบอกต่อรัฐบาลให้ด้วยว่า เมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกลับมาแล้ว ชาวบ้านก็มีความหวัง และขอวิงวอนให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย สานต่อ ความหวังของชาวบ้านพลัดถิ่น ให้ได้มีสถานะคนไทย อย่างที่เคยสัญญาไว้ด้วย

ด้านพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยอมรับว่ารู้สึกเห็นใจชาวบ้านเป็นอย่างมาก หลังจากที่ได้มาเห็นสภาพพื้นที่และความเป็นอยู่ของคนไทยพลัดถิ่น แต่อำนาจในการดูแลเรื่องนี้เป็นอำนาจของกระทรวงมหาดไทย ดังนั้นจึงทำได้เพียงเป็นตัวกลาง บอกต่อความรู้สึก และความต้องการของชาวบ้าน ไปยังรัฐบาล พร้อมกับแนะนำชาวบ้านว่า ขอให้จัดทำเอกสาร ปัญหาและความเดือดร้อนของกลุ่มคนไทยพลัดถิ่น เสนอไปยังนายกรัฐมนตรีพร้อมกับข้อเรียกร้องของโครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะยื่นเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้

ทั้งนี้ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังบอกเลยว่า จากที่เคยทำการสำรวจเรื่องความปลอดภัยของชาวบ้านโดยเฉพาะตามชายขอบ พบว่าทั้งประเทศยังมีกลุ่มคนไทยพลัดถิ่นอีกมาก ที่ไม่ ได้รับสถานะเป็นคนไทย ทั้งที่เกิดและโตในประเทศไทย จึงทำให้คนเหล่านี้ไม่ได้รับสิทธิ์การคุ้มครองตามสิทธิพลเมือง และยังติดตาม ตามรอย ได้ยาก เมื่อเกิดปัญหาหรือคดีอาชญากรรม ดังนั้น นี่จึงเป็นอีกปัญหา ที่เชื่อมั่นว่าหากมีการดำเนินการสานต่อ ก็จะทำให้คนไทยพลัดถิ่นเหล่านี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

'นายกฯ' มาเอง!! รับเอกสารม็อบต้านแลนด์บริดจ์ ให้สัญญามวลชน จะพิจารณาปัญหาอย่างรอบคอบ

(23 ม.ค.67) หลังจากเมื่อวานนี้ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ลงพื้นที่จังหวัดระนองไปเจรจากับกลุ่มแกนนำต่อต้านโครงการแลนด์บริดจ์ ทั้งที่มาจากพื้นที่จังหวัดระนอง และจังหวัดชุมพร พร้อมกับลงดูปัญหาคนไทยพลัดถิ่น 

ล่าสุดวันนี้ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ได้เข้าพูดคุยกับกลุ่มผู้ชุมนุมอีกครั้ง เป็นกลุ่มที่มาจากอำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร โดยแนะนำให้ทางกลุ่ม เสนอปัญหาเข้าไปในเอกสาร ที่จะยื่น ต่อนายกรัฐมนตรี และขอให้ทุกกลุ่ม ยื่นเอกสารด้วยความสมานฉันท์ ไม่ส่งเสียงด่าทอ หรือสร้างความวุ่นวาย เพราะไม่เกิดประโยชน์ต่อการแก้ปัญหา ซึ่ง กลุ่มแกนนำ นำโดยนายเรียง สีแก้ว ก็รับปากที่จะยื่นหนังสือด้วยความสงบ

ภายหลัง การพูดคุย กลุ่มมวลชนก็ได้ทยอยเข้ายื่นหนังสือคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ กับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งเดินทางมารับหนังสือด้วยตนเองทุกกลุ่ม พร้อมกับรับปากประชาชนว่าจะนำข้อมูลทั้งหมด เข้าสู่คณะกรรมการศึกษาวิจัย ก่อนจะมีการดำเนินการใดในโครงการที่เกิดขึ้น

บิ๊กโจ๊ก กล่าวอีกว่าการยื่นหนังสือคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ ของกลุ่มมวลชน วันนี้เป็นไปด้วยความสงบสมานฉันท์ ตามข้อตกลง ซึ่งตนรู้สึกพอใจและขอขอบคุณมวลชนทุกกลุ่ม ที่พยายามนำเสนอปัญหา ในทุกมิติด้วยความสงบ โดยเชื่อมั่นว่าการนำเสนอในวิธีดังกล่าว จะทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีในการพัฒนาประเทศไปสู่ความเจริญ และทำให้ประชาชน ได้รับประโยชน์สูงสุดในการประกอบสัมมาอาชีพ 

บิ๊กโจ๊ก นำคณะปราบปรามการค้ามนุษย์ พบ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกัมพูชา ส่ง 22 หมายจับสำคัญ ให้ช่วยเร่งรัดจับกุม

เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้นำคณะ ศูนย์พิทักษ์เด็กสตรีครอบครัวป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เข้าพบผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกัมพูชา เพื่อพบปะ แลกเปลี่ยนความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกันมายาวนานในการป้องกันและปราบปรามตามแนวชายแดน และมีกำหนดการจะนัดประชุมหารือในวันพรุ่งนี้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเปิดเผยว่าประเด็นสำคัญที่จะมาติดตามในวันนี้ก็คือขอให้ทางการกัมพูชาเร่งรัดติดตามความคืบหน้ากรณีหมายจับในคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงลงทุน และการค้ามนุษย์ โดยในครั้งนี้ได้นำเอกสารสำคัญเกี่ยวกับหมายจับ ผู้ต้องหา 22 คนสำคัญ หรือ เรดโนติส มาส่งมอบให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกัมพูชาเพื่อขอให้เร่งรัดดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาสำคัญให้กับประเทศไทยเพื่อจะนำไปขยายผลในการดำเนินคดี 

บิ๊กโจ๊ก ย้ำ ผู้กำกับทุกท้องที่ ต้องแข่งกับตัวเอง ทำสงครามกับความรู้สึกของประชาชน ท้องที่ใดทำให้ประชาชน มีเหตุมาบอกผู้กำกับ ไม่ต้องพึ่งเพจ อินฟลูเอ็นเซอร์ หากทำได้ถือว่ารบชนะ ย้ำ จุดแตกหักของตำรวจอยู่ที่โรงพัก

วันนี้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญตำรวจในพื้นที่สถานีตำรวจภูธรทุ่งลุง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ตามนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องการให้กำลังพลมีขวัญและกำลังใจในการปฎิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะสถานีตำรวจภูธรตามแนวชายแดน

ซึ่งนอกจากจะเยี่ยมบำรุงขวัญและมอบสิ่งของเป็นขวัญและกำลังใจแล้วรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังได้ประชุมมอบนโยบายให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเฉพาะผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร โดยย้ำว่าจากนี้ไปผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรซึ่งรับภาระหน้าที่มากำกับดูแลโรงพัก จะต้องปรับตัวเร่งการทำงานสร้างความเชื่อมั่น ไม่ต้องรอให้ผู้เดือดร้อนไปพึ่งพาสื่อ เพจ หรืออินฟูลเอ็นเซอร์ ถึงจะสามารถแก้ปัญหาคดีได้

“ย้ำผู้กำกับสถานีตำรวจทุกแห่ง ต้องสร้างความศรัทธาให้ประชาชนให้ได้ ใครเป็นผู้กำกับที่ไหนต้องต่อสู้กับตัวเอง ทำให้ประชาชนในพื้นที่ทุกชุมชน ทุกตำบลทุกหมู่บ้าน ในพื้นที่ของของตนเอง มีเหตุต้องมาบอกผู้กำกับ มีเหตุต้องนึกถึงผู้กำกับ ไม่ใช่มีเหตุต้องไปบอกเพจต่างๆ สื่อสารมวลชนต่างๆ โซเชียลมีเดียต่างๆ  ผู้กำกับใด ทำได้แบบนี้ถือว่ารบชนะ ต่อความไม่ไว้วางใจของประชาชน แล้วท่านจะภูมิใจ เมื่อไหร่ ตำรวจทำงานแล้วประชาชนเขาจะรู้เอง”

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยอมรับว่า ที่ผ่านมาคนที่กำกับดูแลและแก้ปัญหาโดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดก็คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ที่ผ่านมาเกิดปัญหารอยต่อ ระหว่างตำรวจกับประชาชน ที่มีผลมาจากความเชื่อมั่นต่อการปฎิบัติหน้าที่ ทำให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนหันไปพึ่งสื่อและเพจ เพื่อให้มาจี้คดี เมื่อเป็นข่าวถึงจะมีการขับเคลื่อนในการปราบปรามหรือจับกุม

แต่จากนี้ไปผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรทุกแห่งจะต้องปรับตัว จะเป็นฝ่ายรอรับไม่ได้ต้องทำงานในเชิงรุก นั่นหมายความว่าเมื่อมีการเข้ามาแจ้งความ นอกจากจะ “ขึ้นโรงพัก ไม่ต้องฝาก” แล้ว จะต้องเร่งทำคดีแบบปิดให้ครบจบให้ไว เพื่อลดข้อกังขาและคลายความสงสัย อย่าเก็บข้อมูลไว้เมื่อเกิดปัญหาเพราะจะกลายเป็นว่าร่วมกันปกปิด และหากยิ่งคดีล่าช้าจะกลายเป็นการสมยอมหรือถูกมองว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์ เหมือนหลายคดีที่ผ่านมา

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังย้ำด้วยว่า การดำเนินการในเชิงรุกไม่จำเป็นต้องรอเงื่อนไขเวลา สามารถทำได้ทันที แม้จะต้องเหนื่อยมากขึ้น แต่หากมีการกวดขันที่เด็ดขาดและดำเนินคดีอย่างรวดเร็ว คนที่คิดจะก่อคดีหรือทำไม่ดี ก็จะค่อยๆ ลดลงภาระงานก็จะลดตามลงไปด้วย

‘บิ๊กโจ๊ก’ รับปาก ‘กลุ่มสหพันธ์เกษตรกรฯ’ ปมชะลอแต่งตั้ง คคก. ยัน!! จะส่งเรื่องถึงมือนายกฯ ด้านมวลชนพอใจ-ยุติการชุมนุมแล้ว

‘รองโจ๊ก’ รับปากมวลชนกลุ่มสหพันธ์เกษตรกรฯ นำสารหนังสือข้อเรียกร้องชะลอการแต่งตั้ง ส่งรองนายกฯ วันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้ ทำให้มวลชนพอใจ และตัดสินใจสลายการชุมนุม เดินทางกลับภูมิลำเนา หลังปักหลักชุมนุมมา 2 วัน

เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 67 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.(มค) ได้มาพบกับ นายยศวัจน์ ชัยวัฒนสิริกุล อดีตผู้แทนเกษตรกรภาคกลาง และนายดรณ์ พุมมาลี อดีตผู้แทนเกษตรกรภาคใต้ เป็นครั้งที่สองเพื่อหารือกับตัวแทนกลุ่มแกนนำ ที่ได้มีหนังสือขอให้ชะลอการนำเสนอคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการที่ได้เลือกตั้งแล้วเสร็จไปในวันที่ 16 ม.ค. 67 เนื่องจากเห็นว่าการประชุมดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้การแต่งตั้งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

โดยแกนนำย้ำว่า นายสุภาพ คชนูด ผู้สมัครเป็นผู้แทนเกษตรกรภาคใต้ ได้ยื่นฟ้องศาลปกครอง เพื่อคัดค้านผลการเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกร 4 ภาค ซึ่งต่อมา ศาลปกครองนครศรีธรรมราช มีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 67 โดยให้ระงับการแต่งตั้งผู้แทนเกษตรกรในส่วนของภูมิภาคที่ 4 (ท้องที่จังหวัดภาคใต้) ไว้ชั่วคราวก่อนจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ซึ่งศาลให้เหตุผลว่า แม้ศาลจะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับการแต่งตั้งดังกล่าว แต่คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรก็ยังสามารถแต่งตั้งผู้แทนเกษตรกรในส่วนที่เหลือเป็นคณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และคณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกรได้ กรณีนี้จึงยังไม่ถือว่าเป็นปัญหาหรืออุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นแก่การบริหารงานของรัฐหรือแก่การบริการสาธารณะแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม นายยศวัจน์ ชัยวัฒนสิริกุล และผู้แทนเกษตรกรจากทุกภูมิภาค อยากเรียกร้องให้มีการระงับการแต่งตั้งคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรชุดใหม่ โดยให้คณะกรรมการชุดเดิมปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะมีการจัดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรในส่วนของภูมิภาคที่ 4 (ท้องที่จังหวัดภาคใต้) ใหม่เสียก่อน เพื่อให้มีตัวแทนเกษตรกรจากทุกภูมิภาคมาเป็นคณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และคณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกร เพื่อเป็นตัวแทนของพี่น้องเกษตรกรจากทุกภาค

ในการนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.(มค) รับปากพี่น้องเกษตรกรว่าจะนำข้อเรียกร้องและประเด็นข้อกฎหมายเข้าพบนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ในวันจันทร์ที่ 5 ก.พ.67 เพื่ออำนวยความเป็นธรรมแก่พี่น้องเกษตรกร

ทั้งนี้ หลังจากหารือกับ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายยศวัจน์ฯ แกนนำพร้อมด้วยผู้แทนกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 15 คน ยอมรับว่า ได้ข้อสรุปเป็นที่พอใจ ทั้งหมดจึงฝากการบ้าน ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องไว้กับ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำไปมอบรองนายกภูมิธรรมฯ ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุม ตัดสินใจเดินทางกลับภูมิลำเนาทั้งหมด หลังจากที่ปักหลักชุมนุม หน้ากระทรวงการคลังมาแล้ว 2 สัปดาห์

'บิ๊กโจ๊ก' ลั่น!! ดำเนินคดีขั้นเด็ดขาด กรณีสาวเอ็นถูกบังคับเสพยาและข่มขืน

ไม่นานมานี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันจะดำเนินคดีให้อย่างเด็ดขาด กรณีหญิงสาวรายหนึ่งซึ่งมีอาชีพเสริมรับงานเอนเตอร์เทน ถูกลูกเจ้าของรีสอร์ทแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง บังคับเสพยาและข่มขืน หลังจาก 'สายไหมต้องรอด' ได้พาเข้าพบเพื่อขอความเป็นธรรม และขอให้สาวเอนฯ รักษาสุขภาพตัวเองให้ดี 

ทั้งนี้ยังได้ฝากไปยังผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรท้องที่ด้วยว่า นี่เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ผู้เสียหาย ต้องพึ่ง เพจสายไหมฯ เพื่อร้องเรียน ทั้งที่ความจริงแล้วคดีนี้ควรจะจบตั้งแต่ในพื้นที่ไม่ใช่ให้เหยื่อนั่งรถมาถึงกรุงเทพมหานคร

สำหรับกรณีนี้ ทางหญิงสาวรายดังกล่าว เล่าว่าลูกเจ้าของรีสอร์ทแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง จ้างงานเอนเตอร์เทน โดยให้นั่งรถมาเจอกันที่รีสอร์ท เมื่อไปถึงก็ได้รับการดูแลพาเดินเที่ยวชม ก่อนที่ลูกชายเจ้าของรีสอร์ทจะไปซื้อของมานั่งกินกันในห้อง

ระหว่างนั้นลูกชายเจ้าของรีสอร์ทก็ให้หญิงสาวรายดังกล่าวดื่มเบียร์จนเริ่มเมาก่อนจะหยิบยาเม็ดสีส้มให้กินเข้าไป จนมีอาการร้อนรุ่ม ไม่นานนักก็หักยา ให้กินโดยให้อมไว้ใต้ลิ้นอีก จนอาการร้อนรุ่มรุนแรงยิ่งขึ้น ก่อนที่ลูกชายเจ้าของรีสอร์ทจะบังคับขืนใจ โดยไม่ป้องกันตัว ส่วนหญิงสาวไม่อาจปกป้องตัวเองได้เนื่องจากไร้เรี่ยวแรง

วันรุ่งขึ้นลูกชายเจ้าของรีสอร์ทก็ยังคงบังคับให้อยู่ในรีสอร์ทและมีการข่มขืนกระทำชำเราอีกหลายครั้ง กระทั่งต้องร้องขอชีวิตเนื่องจากถูกทำร้ายร่างกายและใช้เท้าเหยียบที่ใบหน้าลำคอ สุดท้ายลูกชายเจ้าของรีสอร์ทที่ก่อเรื่อง ก็เดินไปบอกแม่ และแม่ก็ให้ลูกน้องพี่รีสอร์ทขี่รถจักรยานยนต์พาสาวเอ็น ไปส่งที่ท่ารถโดยให้เงินไป 30,000 บาท ซึ่งหญิงสาวรายดังกล่าวต้องใช้เงินในการรักษาตัวไปกว่า 20,000 บาทแล้ว จึงนำเรื่องมาร้องเรียนเพื่อให้มีการดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top