Tuesday, 14 May 2024
บิ๊กโจ๊ก

เบื้องหลังมติ 9:1:2 ‘ผบ.ตร.14’ มาวิน!! ม้วนเดียวจบ ส่วนอนาคต ‘บิ๊กโจ๊ก’ ส่อแวววูบ!! หากใจไม่รู้จักเย็น

ใครจะว่าอย่างไรก็ว่าไป แต่สำหรับ 'เล็ก เลียบด่วน' ขอคารวะและปรบมือดังๆ ให้กับการลงจากตำแหน่ง ผบ.ตร.อย่างสมเกียรติของ 'บิ๊กเด่น' พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ แห่ง นรต.38 เตรียมทหารรุ่น 22 

หนึ่งในพิธีอำลาที่โรงเรียนนายร้อยสามพรานเมื่อเย็นวันที่ 26 ก.ย.คือ พิธีสวนสนามและเชิญธงพิทักษ์สันติราษฎร์ลงจากยอดเสา ณ ลานฝึกศรียานนท์ได้เกิดพายุฝนพัดกระหน่ำอย่างหนักหน่วงรุนแรง แต่ทุกคนในพิธียืนหยัดจนพิธีเสร็จสิ้น...ไม่กลัวฝนไม่กลัวฟ้าผ่า...

เฮ่อ!! ชีวิต 'บิ๊กเด่น' ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่ง ผบ.ตร.ตั้งแต่ 1 ต.ค.2565 จนถึง 30 ก.ย.66 พูดได้เต็มปาก แทบจะไม่มีซักสัปดาห์เดียวเดือนเดียวที่มีความรื่นรมย์ในการทำงาน...โดยเฉพาะเดือนส่งท้าย...คดีกำนันนก...ที่บานปลายขยายวงมาเป็นคดีกำนันโจ๊ก...อุ๊ย!! 'บิ๊กโจ๊ก' กล่าวได้ว่า...บิ๊กเด่นคือ "สำลีระหว่างเหล็ก" เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง...

ใครจะว่าจะอย่างไรก็ว่าเถอะ..นายตำรวจที่มือสะอาดอย่าง 'บิ๊กเด่น' ฝากผลงานหลายด้านให้กับวงการตำรวจ โดยเฉพาะด้านไซเบอร์ ปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ หากรัฐบาลไม่รีบคว้าตัวไปใช้งานก็นับว่าน่าเสียดาย...

กลับมาที่สถานการณ์แนวรบสีเลือดหมูในขณะนี้ดีกว่า...ในที่สุดคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมาก็มีมติแต่งตั้ง 'บิ๊กต่อ' พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร.ที่อาวุโสลำดับ 4 ขึ้นเป็น ผบ.ตร.คนที่ 14 ด้วยมติ 9:1:2  จาก ก.ตร.ทั้งหมด 16 คน ลาประชุม 2 คนคือ 'บิ๊กโจ๊ก' และ 'บิ๊กรอย' ส่วน 'บิ๊กต่อ' และ 'บิ๊กต่าย' แม้จะมา แต่โหวตไม่ได้เพราะเป็นแคนดิเดต...ต้องออกจากห้องประชุม

ขยายความมติสักนิด...9 เสียง คือ เห็นชอบตามที่นายกฯ เสนอชื่อ 'บิ๊กต่อ' เป็นผบ.ตร. ส่วน 1 เสียงไม่เห็นชอบ คือ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ทรงคุณวุฒิ ส่วน 2 เสียง คือ งดออกเสียง ประกอบด้วยตัว นายกฯ และ รศ.ประทิต สันติประภพ  ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ...

แหล่งข่าวที่นั่งอยู่ในห้องประชุม ก.ตร.เปิดเผยกับ 'เล็ก เลียบด่วน' ว่า...หากจะสรุปสั้นๆ ปฏิบัติการม้วนเดียวจบ ไม่ปล่อยให้เกมยืดเยื้อดังที่มีการปล่อยข่าวว่า จะให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผบ.ตร.ที่อาวุโสสูงสุดรักษาการไปพลางก่อน ค่อยมาเคาะกันปลายเดือน ต.ค. ก็พอจะสรุปได้ดังนี้...

1) เกมนี้มีการตั้งธงกันมานานแล้วว่า...ยังไงๆ หวยต้องออกที่ 'บิ๊กต่อ' ที่เหลืออายุราชการแค่ปีเดียว...แม้บิ๊กต่อจะอาวุโสน้อยกว่าทุกคน แต่กฎกติกาก็ไม่ได้ระบุว่าความอาวุโสมีน้ำหนักกี่เปอร์เซ็นต์เพียงแค่ระบุว่าให้ 'คำนึงถึง' เท่านั้น ขณะเดียวกันมีสัญญาณผู้นำทางจิตวิญญาณพรรคเพื่อไทยว่า...ต้องจบในวันที่ 27 ก.ย.

2) ก่อนประชุม ก.ตร.นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในฐานะประธาน ก.ตร.ส่งสัญญาณให้ ก.ตร.รับทราบชัดเจนว่า...ต้องเป็น 'บิ๊กต่อ'

3) นาทีก่อนลงมติ 'บิ๊กเด่น' ได้ประเมินประสิทธิผลของงาน 4 รอง ผบ.ตร.ที่เป็นคนดิเดตให้ที่ประชุมรับทราบ โดยให้น้ำหนักไปที่ 'บิ๊กต่อ' ทั้งเนื้องานและความมีวุฒิภาวะผู้นำ

สรุปรวมความแล้ว...ดุลอำนาจใน สตช.ขณะนี้...ฝ่าย 'บิ๊กต่อ' ที่แม้จะอยู่ในอำนาจเพียงปีเดียว  แต่สามารถกระชับอำนาจไว้แทบหมดสิ้น ขณะที่ 'บิ๊กโจ๊ก' ที่ประกาศว่ามีข้อมูลในมือมากมาย เปิดเผยเมื่อไหร่จะตายกันทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น หลายฝ่ายประเมินดูแล้วว่า...อาการน่าเป็นห่วง แม้จะเหลือเวลาราชการถึงปี 2574 หรืออีก 8 ปี แต่ก็ไม่ใช่หลักประกันว่าจะต้องได้เป็น ผบ.ตร.แต่ประการใด...เพราะดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการตำรวจก็มีมากมาย...

จะหาผู้ใหญ่ใจดีแบบ 'ลุงป้อม' คอยโอบอุ้ม...จนเป็นแมวเก้าชีวิตได้ อนาคตคงไม่ง่ายดายแล้ว…ใจเย็นลงสักนิดก็น่าจะดีนะครับบิ๊กโจ๊ก..!!

‘บิ๊กโจ๊ก’ ร่วมยินดี ‘บิ๊กต่อ’ นั่ง ผบ.ตร.คนใหม่ พร้อม ‘พูดคุย-ถ่ายภาพ’ ลบข้อครหาปมขัดแย้ง

(29 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เดินทางไปยังห้องทำงานของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุวิมล ที่กองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ กองปราบปราม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี เพื่อแสดงความยินดีกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุวิมล ที่ได้รับเลือกจากคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนใหม่

โดยทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมกับถ่ายภาพเป็นที่ระลึก เพื่อลบข้อครหาว่าทั้งสองขัดแย้งกัน ก่อนจะเดินทางกลับ

หลังจากก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวความขัดแย้งระหว่าง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ว่าที่ ผบ.ตร.กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ตั้งแต่เช้าวันที่ 25 ก.ย.เป็นต้นมา หลังจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกค้นบ้านพักของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยกล่าวหาว่า ลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พัวพันกับเว็บพนันออนไลน์

ขณะที่กระแสข่าวระบุว่า เป็นการดิสเครดิต พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก่อนการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 27 ก.ย.

ต่อมาวันที่ 27 ก.ย.คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) มีมติเลือก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ ขณะที่วันดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ขอลาหยุด ถึงวันที่ 29 ก.ย.

'ศาลอาญา' เเจงปมออกหมายค้นบ้าน 'บิ๊กโจ๊ก' ชอบเเล้ว ชี้!! เป็นไปตามพยานหลักฐาน ไม่ต้องคำนึงเป็นบ้าน ขรก.ระดับสูง

(29 ก.ย.66) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอาญาได้ออกเอกสารข่าวชี้เเจงกรณีตามที่ปรากฏข่าวจากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนหลายสำนัก เป็นที่แพร่หลายจนทราบกันทั่วไปในขณะนี้ว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้นำหมายค้นซึ่งออกโดยศาลอาญาไปตรวจค้นบ้านพักอาศัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ซึ่งต่อมามีบุคคลอ้างว่าเป็นข้าราชการตำรวจตำแหน่งระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ข่าวว่าเป็นบ้านพักอาศัยของตน เจ้าพนักงานตำรวจผู้ร้องขอให้ออกหมายค้นหลอกลวง ศาลด้วยการปิดบังข้อเท็จจริงไม่ให้ข้อมูลต่อศาลว่าบ้านหลังที่ขอให้ออกหมายค้นเป็นบ้านพักของข้าราชการตำรวจตำแหน่งระดับสูง ในลักษณะว่าเป็นเหตุให้ศาลออกหมายค้นไปโดยผิดหลง นั้น

ศาลอาญาตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า ศาลอาญาออกหมายค้นไปโดยชอบ ตามพยานหลักฐานที่ผู้ร้องขอให้ออกหมายค้นนำเสนอ ซึ่งกรณีหากมีเหตุที่จะออกหมายค้นที่รโหฐานใด ๆ ตามกฎหมาย

เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่สามารถร้องขอให้ศาลออกหมายค้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงว่าที่รโหฐานนั้น จะมีข้าราชการตำแหน่งระดับสูง หรือผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง หรือบุคคลสำคัญคนใด เป็นเจ้าของหรือครอบครองอาศัย อยู่หรือไม่

แต่ในการยื่นคำร้องขอให้ออกหมายค้นหรือในการนำเสนอพยานหลักฐานต่อศาล ผู้ร้องมีหน้าที่ต้องเบิกความหรือให้การต่อศาลตามความเป็นจริงโดยไม่ปิดบังข้อมูลว่า บ้านหลังที่ขอค้นมีบุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งข้าราชการระดับสูง หรือผู้มีตำแหน่งระดับสูง หรือบุคคลซึ่งสังคมให้ความสำคัญโดยฐานะหรือโดยสถานภาพทางหน้าที่การงาน ครอบครองเป็นเจ้าของหรือพักอาศัยอยู่หรือไม่ เพื่อศาลจะได้ใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคำร้องขอให้ออกหมายค้นอย่างรอบคอบว่า...

มีเหตุที่จะออกหมายค้นตามกฎหมายจริงตามที่เจ้าพนักงานผู้ร้องขอให้ออกหมายค้นกล่าวอ้างหรือไม่ซึ่งเป็นไปตามหลักการในการรับฟังพยานหลักฐาน มิเช่นนั้นแล้วหากได้ข้อมูลไม่ครบถ้วนย่อมมีความเสี่ยงที่จะกระทบสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการครอบครองอยู่อาศัยในเคหสถานของบุคคลโดยปกติสุข ตามที่มีการรับรองไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

ดังนั้นศาลอาญาจึงอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบต่อไปว่ามีกรณีที่เจ้าพนักงานผู้ร้องขอให้ออกหมายค้นหรือผู้ที่ให้การเป็นพยานในชั้นขอให้ศาลออกหมายค้นเจตนา ปิดบังข้อเท็จจริงต่อศาลในการนำเสนอพยานหลักฐานตามที่มีการเสนอข่าวหรือไม่

ทั้งนี้เพื่อให้ปรากฏข้อเท็จจริงโดยชัดเจนเพื่อความโปร่งใสและเพื่อให้ผู้ร้องขอให้ออกหมายค้นพึงระมัดระวังมาตรฐานในการ นำเสนอพยานหลักฐานของตนต่อศาล และเพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

‘จตุพร’ เชื่อมือ ‘บิ๊กต่อ’ 1 ปี มุ่งปฏิรูปสีกากี-ฟื้นความเชื่อมั่น แนะ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ร่วมมือสร้างความเปลี่ยนแปลงระบบตำรวจไทย

‘จตุพร’ เชื่อ ‘บิ๊กต่อ’ เป็น ‘ผบ.ตร.’ คนเดียวมีฤทธิ์เดชสูง มากภูมิต้านทานแข็งแกร่ง หวังว่าเวลาไม่เป็นอุปสรรค แค่ 1 ปีมุ่ง ‘ปฏิรูปสีกากี’ ได้น้ำได้เนื้อ เร่งขจัดวิ่งเต้น สร้างยุติธรรมให้ประชาชนได้พึ่งพิงอุ่นใจ แนะ ‘บิ๊กโจ๊ก’ นำข้อมูลหารือร่วมมือ ผบ.ตร.ผ่าวิกฤตศรัทธา ฟื้นเชื่อมั่น

(29 ก.ย. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ เรียกร้องให้ ผบ.ตร.คนใหม่ ใช้เวลาในตำแหน่งแค่ 1 ปีให้คุ้มค่าเกิดประโยชน์กับวงการสีกากี ด้วยการปฏิรูปตัวเอง สะสางปัญหาการวิ่งเต้นเอาตำแหน่งเติบโต ซึ่งเป็นปัญหาฉุดรั้งความยุติธรรมไม่เกิดขึ้นกับประชาชน

นายจตุพร กล่าวถึงกรณีการค้นบ้าน ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และแต่งตั้ง ผบ.ตร. รวมถึงสัปดาห์หน้าจะมีเรื่องใหญ่ในวงการสีกากี ว่า ไม่มั่นใจว่า บิ๊กโจ๊ก จะมีการเดินหน้าต่อหรือไม่ เพราะเคยบอกมีข้อมูลเยอะ ถ้าเปิดเผยออกมาจะตายหมดทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แม้เป็นคำพูดแสดงถึงความรู้สึก อารมณ์คับข้องใจก็ตาม แต่จะปล่อยให้ผ่านเลยไปไม่ได้เช่นกัน

“ยิ่งต้องยอมรับความจริงกันว่าในเวลาที่เหลืออยู่ 1 ปีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ว่าที่ ผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่งเป็นคนเดียวที่มีฤทธิ์เดช จะสามารถปฏิรูปวงการตำรวจได้หากจะทำ ส่วน รอง ผบ.ตร. ที่เหลืออีก 3 คน คงไม่อาจทำได้ เพราะในตัวเองไม่มีภูมิต้านทานแข็งแรงเท่ากับ ผบ.ตร.คนใหม่” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า การได้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เป็น ผบ.ตร. ส่วนหนึ่งทำให้สังคมตำรวจหายใจโล่งขึ้น เนื่องจากหลายปีผ่านมาตำรวจเจ็บปวดกับการแต่งตั้ง โยกย้ายข้ามหน้าข้ามตาอย่างมาก หาก ผบ.ตร.ใหม่สะสางการวิ่งเต้น โดยเบื้องต้นให้ตำรวจได้รับความยุติธรรมเสียก่อน จึงจะทำให้เป็นที่พึ่งของประชาชนได้

ทั้งนี้ ความไม่ยุติธรรมในตำรวจถูกสะสมกันมายาวนาน อีกอย่างการเน้นระบบอาวุโส 33% จึงเป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ทำให้ตำรวจไม่มีเส้นสายวิ่งเต้นต้องอยู่ในตำแหน่งอย่างตรอมใจ มองคนอีก 67% วิ่งเต้นก้าวข้ามไปตำแหน่งสูงขึ้นผ่านหน้าไปคนแล้วคนเหล่า จึงเป็นความอยุติธรรมที่รู้ๆกัน แต่ไม่มีการจัดการในสำนักงานตำรวจ ดังนั้นเชื่อว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เพียงคนเดียวซึ่งมีภูมิต้านทานแข็งแรง ย่อมจัดการปฏิรูปตำรวจให้มีความยุติธรรมได้

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าระบบตำรวจไม่ต้องวิ่งเต้น ก็ไม่ต้องจ่ายเงิน แล้วไม่ไปไถ รีดนาทาเร้น เชื่อว่าระบบตำรวจจะเปลี่ยนได้ ดังนั้นเวลาในตำแหน่ง ผบ.ตร. เพียง 1 ปีจึงไม่สำคัญ และหวังว่าจะเป็นโอกาสเวลาที่ทำให้เห็นความคุ้มค่าได้เกิดขึ้นต่อตำรวจทั้งประเทศ

“ส่วน บิ๊กโจ๊ก จะเปิดเผยข้อมูลหรือไม่นั้น หากนำข้อมูลที่มีมาร่วมมือกัน โดยหารือกับ ผบ.ตร.คนใหม่ จะเกิดประโยชน์ในการแก้ไขปัญหา ชำระสะสางได้อย่างมาก เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปตำรวจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยตัวเอง” นายจตุพร กล่าว

บิ๊กเคลียร์!! 'บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก' กอดเอวจับมือ ลงตัว!! จากนี้ 'บิ๊กโจ๊ก' เดินหน้า ทิ้งคำว่า 'ผบ.ตร.' สักคำรบ

เช้าวันศุกร์ที่ 29 ก.ย. คอการตำรวจ คอการเมืองได้เห็นภาพสองบิ๊กสีกากี … ‘บิ๊กต่อ’ กับ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ยืนกอดเอวกันในห้องทำงานของ ‘บิ๊กต่อ’ ที่กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษหรือคอมมานโด เมืองทองธานีแล้ว...หลายคนก็คงจะรู้สึกดีประมาณว่า...เสือสองตัวน่าจะอยู่ในถ้ำเดียวกันได้แล้ว วงการตำรวจก็น่าจะดีขึ้น

แต่อีกกลุ่มที่อาจจะซาดิสม์เล็กน้อย ก็อาจจะมองว่า...นี่มันมวยล้มต้มคนดูกันชัดๆ นี่หว่า...เพราะไม่กี่วันก่อน ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ยังประกาศเปรี้ยงว่า มีข้อมูลในมือเยอะ เปิดเผยเมื่อไหร่ตายกันยกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่เลย..ไหงอยู่ดีๆ จับมือจูบปากกันซะแล้ว!! 

ครับ ก็สุดแท้แต่มุมมองของแต่ละท่าน…

ถ้าถามมุมมองของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ก็ต้องมองแบบนักวิเคราะห์ว่า … ทันทีที่ มติ ก.ตร.ออกมา 9:1:2 เห็นชอบให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ‘บิ๊กต่อ’ ผงาดสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.คนที่ 14 ‘บิ๊กโจ๊ก’ เองก็คงรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร...การที่จะสวมบท ‘โจ๊ก อัคนี’ อย่างที่ทนายอนันตชัยตั้งฉายาให้ก็มีแต่จะเผาไหม้ตัวเอง ผ่อนเกียร์เร่งลง ประเมินสถานการณ์ต่างๆ ใหม่อีกรอบน่าจะเป็นการดีต่อชีวิตที่สิบของแมว…

ส่วนประเด็นว่า...การไปกินข้าวล้างใจและกอดเอวกันนั่น ใครชวนใครกันแน่ อันนี้ข่าวลึกยังไม่แจ้งชัด แต่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ เชื่อจากรายงานข่าวส่วนตัวว่า ‘บิ๊กต่อ’ เป็นคนเชิญชวน เป็นการสนองนโยบายของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่บอกบิ๊กต่อว่าอยากเห็นภาพความรักความสามัคคีกันระหว่างสองบิ๊ก...บังเอิญว่า ‘บิ๊กโจ๊ก’ ก็อยากลดดีกรีความร้อนแรงลงพอดี...ทุกอย่างก็ลงตัว

อย่างไรก็ตาม ภาพกอดเอวจับมือกันดังกล่าว กล่าวกันอย่างถึงที่สุดก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า จากนี้ไปความขัดแย้งขัดแข้งขัดขาขัดผลประโยชน์กันในสตช.จะลดระดับลง หรือคดีสำคัญต่างๆ ที่งัดกันมาเล่นจะหายวับไปกับตา...เพียงแต่เดือนสองเดือนนี้คงจะลดความร้อนแรงลงบ้าง...ฝ่ายบิ๊กโจ๊กที่คิดจะดับเครื่องชนก็คงเบาเครื่องลง…

ประเด็นต่อมา...ถามว่าปลายปีหน้า 2567 เมื่อ ‘บิ๊กต่อ’ ลงจากตำแหน่งแล้ว ‘บิ๊กโจ๊ก’ ซึ่งจะเป็นรองผบ.ตร.ที่อาวุโสลำดับที่ 1 มีโอกาสขึ้น ผบ.ตร.หรือไม่...คำตอบคือ…มี แต่ไม่มาก...และต้องย้ำว่าอาวุโสสูงสุดไม่ใช่หลักประกันการันตีว่าจะต้องได้ แต่หากว่าปีนี้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผบ.ตร.ที่อาวุโสลำดับ 1 ได้ขึ้น ผบ.ตร. โอกาสของบิ๊กโจ๊กในปีหน้าจะมีมาก เพราะถือว่าปีนี้ได้ใช้หลักอาวุโสนำร่อง...ความชอบธรรมของบิ๊กโจ๊กที่จะขึ้นย่อมมีมาก แต่น่าเสียดายที่ พล.ต.อ.รอย ท่านวืดไปแล้ว...!!

สรุปว่า...จากนี้ไปจนถึง 2574 ปีเกษียณ ‘บิ๊กโจ๊ก’ มีเวลาอีกไม่น้อย แต่ก็ต้องบริหารโอกาสของตัวเองให้ดี เพราะสถานการณ์ต่างๆ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว...จาก 'โจ๊ก หวานเจี๊ยบ' เป็น 'โจ๊ก อัคนี' เห็นทีจะต้องกลับสู่สามัญ...เป็น โจ๊ก ธรรมดา ใส่ไข่แค่ฟองเดียวก็พอแล้ว…

ค่าของคน อยู่ที่เป็นคนของใคร...ปล่อยให้เขาว่ากันไป...แต่ค่าของโจ๊กต้องอยู่ที่ผลของงาน...สวมวิญญาณไม่ต้องหมกมุ่นกับตำแหน่ง ผบ.ตร. และเกมอำนาจดูสักตั้ง...ฟ้าดินน่าจะเข้าใจและเคียงข้าง!!

เปิดใจ ‘ผบ.ตร.’ เคลียร์ใจ ‘บิ๊กโจ๊ก’ มีอะไรให้ใช้สติ บอก "ถ้าขาดพี่ จะหาคนจริงใจอีกไม่ได้แล้ว"

(2 ต.ค.66 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์รายการ ‘เจาะลึกทั่วไป อินไซต์ไทยแลนด์’ เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นภายในองค์กรสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)

>> ปัญหาที่เกิดขึ้นใน ตร.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเยียวยาอย่างไร?

“กำลังจัดวางตำแหน่งรอง ผบ.ตร.และการแต่งตั้งโยกย้ายระดับนายพลให้เป็นระบบคุณธรรม อยากสร้าง ตร.ให้เป็นโฮม ซึ่งอยู่ที่น้องๆ ช่วยกัน ผมใช้คำว่า พี่ น้อง เรื่องนี้ต้องเริ่มจากผู้บังคับบัญชาที่ดี การแต่งตั้งหน้างาน ผมอยากให้รอดู ขณะนี้กำลังจัดวาง ถ้าไม่เอาผู้ช่วยฯ ขึ้นมาด้วย จะไม่พอพิจารณา ทุกระดับต้องมีบอร์ดหมด”

>> การแต่งตั้งครั้งนี้ ทั้งระดับ รอง ผบ.ตร.ถือเป็นการเยียวยาองค์กรใช่หรือไม่?

“ทุกคนเราคุยกันหมด เราทำงานเพื่อ ตร.ผมมีเวลาแค่ 1 ปี ตอนนี้ผ่านไป 2 วันแล้ว จะเอาเวลามาทะเลาะกัน มดงานก็คาดหวังจาก ผบ.ตร.หมด ก็จะเร่งทำ ขอให้เราได้ทำงานก่อน ขอเวลานิดนึง”

>> แสดงว่าการแต่งตั้งรอง ผบ.ตร.จะเป็นการเยียวยา แล้ว พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.จะได้ดูงานเดิมหรือไม่?

“เดิมดูอาวุโส ตอนนี้ให้ทุกคนดูเลยว่าใครอยากได้งานอะไร ให้เลือกตามอาวุโส คือ รองฯ รอยได้เลือกก่อน ตามด้วยรองฯ โจ๊ก (พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล) จากนั้นเป็น ผช.ผบ.ตร.จะเป็นใครขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่ จะมอบภาระงานให้เลย เพราะรอไม่ได้ ใครจะมาช่วยรอง ผบ.ตร.คนไหน โดย บก.1 บก.2 บก.3 บก.4 ก็ต้องเลือกคนที่ทำงานได้ด้วย จะต้องคุยกันหมด เพราะไม่ใครจะเก่งทุกเรื่อง กรณีรองฯ โจ๊ก ต้องให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ใช่แถลงกันไปมา แล้วคนก็มโนทั้ง 2 ฝ่าย”

>> วันนั้น ใครส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษ คอมมานโด หรือพีซีที ไปบ้านบิ๊กโจ๊ก?

“พีซีทีดูแลเรื่องเว็บพนันออนไลน์ เป็นเรื่องของ ตร.ไม่เกี่ยวกับการขอกำลังเข้าค้นทั่วไป ถ้าผมรู้ผมต้องไปแล้ว วันนั้นผมเข้าเวรอยู่ ไม่ได้ไป ท่านรองฯ โจ๊กโทรมา ผมก็ยังงงๆ อยู่ ผมไม่รู้จริงๆ เราอยู่กับพี่น้อง เป็นเรื่องของพีซีที ขึ้นตรงกับ ตร.วันนั้นผมเป็นรอง ผบ.ตร.ไม่ใช่ ผบ.ตร.ผมก็เช็กให้ ไม่ใช่ไม่คุย หรือไม่รับสาย”

>> คืนที่มีภาพกอดเอวถ่ายรูปกับรองฯ โจ๊ก ผบ.ตร.เรียกพบ หรือรองฯ โจ๊กขอเข้าพบ?

“ผมเรียกรองฯ โจ๊กมาพบ ว่ามีเรื่องอะไร ผมรับทราบนโยบายของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน มาด้วย ว่าอยากให้แก้ปัญหาภาพรวมขององค์กร ตร.ถ้า ตร.ทะเลาะกัน เด็กๆ จะมองเราอย่างไร เราอาจจะไม่ได้ทะเลาะกัน แต่อาจมีคนไม่หวังดี ผมก็บอกน้องว่าเราอย่าทะเลาะกัน มีคนไม่หวังดี เรื่องนี้อาจมีคนนอกมองว่าองค์กร ตร.ทะเลาะกันหรือเปล่า อาจเป็นเพราะมีคดีเกิดขึ้นในช่วงนั้นหลายคดี นายกฯ บอกถ้าไม่ได้ทะเลาะกันก็ไปแก้ปัญหา เป็น ผบ.ตร.แล้ว ไปแก้ปัญหา”

>> คืนวันนั้นคุยอะไรกัน?

“คืนนั้นคุยกันว่า ในชีวิตผมเคยบอกโจ๊กเสมอว่า ถ้าขาดพี่ไปแล้ว จะหาคนจริงใจแบบผมไม่ได้ ผมเป็นคนไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่ทำใครข้างหลัง ถ้าเอากันก็เอากันซึ่งหน้า ผมก็บอกว่าถ้ามีอะไร ให้ใช้สติ อย่าแก้ปัญหาด้วยอารมณ์ แต่ทุกวันนี้แก้ปัญหากันด้วยอารมณ์ ผมโดนมาเยอะ แต่ผมนิ่ง ใช้อุเบกขา คิดว่าให้เวลาเป็นตัวเล่าดีกว่า”

‘นายกฯ’ ลั่น!! ปัญหา ‘บิ๊กโจ๊ก-บิ๊กต่อ’ แค่ลิ้นกับฟัน ย้ำ เห็นต่างได้แต่งานอย่าเสีย เตือนอย่ามีข่าวลบ

‘เศรษฐา’ เผยสไตล์ทำงานแบบมิติใหม่ เน้นคุยวงเล็กต้องพร้อมทุกเมื่อ ไม่ต้องซีเรียส หวังให้กระตือรือร้น ลั่นปัญหา ‘โจ๊ก-ต่อ’ แค่ลิ้นกับฟัน เห็นต่างได้แต่งานอย่าเสีย เตือนอย่ามีข่าวลบ จ่อตั้งอดีตตำรวจช่วยงานปราบยาเสพติด

(3 ต.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการเชิญ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. มาหารือภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เรื่องการพบปะกับข้าราชการระดับสูง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หัวหน้าหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงินการคลัง ฝ่ายความมั่นคง จากนี้ต่อไปจะเป็นการทำงานในลักษณะแบบนี้ ไม่จำเป็นจะต้องไปประชุมใหญ่ที่มีองคาพยพขนาดใหญ่ ในลักษณะการประชุมหลาย 10 คน แต่อย่างการมาประชุมวันนี้ก็ประชุม 3-4 คน หรือ 6 คนเต็มที่ จากนั้นเป็นเรื่องการสั่งการและรับฟังความคิดเห็น จากเหตุการณ์ปัจจุบันอย่างเรื่องการให้วีซ่าฟรีของชาวจีนว่าจากการดำเนินการที่ผ่านมามีปัญหาอะไรบ้าง มีการบริหารจัดการกันอย่างไร และมีข้อเรียกร้องกันอย่างไร เพราะบางข้อเรียกร้องก็เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้ภาษีต่างๆ ซึ่งเราก็ได้รับฟังและจะมีการหารือในกลุ่มอื่นต่อไป

นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นการพบปะกันธรรมดา ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ในการทำงาน ไม่มีอะไรผิดปกติ เรื่องแบบนี้เราทำกันมาอยู่แล้วและภาคส่วนอื่นก็ทำเช่นนี้ เพราะถ้าไม่มีการพูดคุยส่วนตัวคิดว่าน่าเป็นห่วงมากกว่า การประชุมต่อไปนี้ไม่ต้องเป็นทางการมาก ไม่ต้องมีการเตรียมงาน แต่จะเป็นการกระตุ้นให้กับทุกคนและตัวตนเองว่าข้อมูลต้องพร้อม ต้องเตรียมตัวให้ดีตลอดเวลา ไม่ต้องไปเตรียมตัว 2-3 วัน บอกเช้ามาบ่ายก็ได้ จึงอยากให้ผู้ร่วมงานทุกคนและหน่วยงานมีความกระตือรือร้น แต่ไม่ต้องซีเรียสมากที่จะมาพูดคุยกัน ถ้าหากไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ก็กลับไปหาข้อมูลกันมาได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าจากการพบกันครั้งนี้ ได้มีการเคลียร์ปัญหาในวงการตำรวจหรือไม่ โดยเฉพาะกรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ หักพาล รอง ผบ.ตร. กับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ นายเศรษฐากล่าวว่า คิดว่าตั้งแต่ช่วงที่มีการแต่งตั้งออกไป ทั้ง ผบ.ตร. และรอง ผบ.ตร.สุรเชษฐ์ ก็มีภาพข่าวออกไปแล้วว่ามีการพูดคุยกันในเชิงบวก

“คนเราอยู่ด้วยกันก็มีลิ้นกับฟันเป็นธรรมดา แต่ผมเชื่อว่าความตั้งใจจริงของทั้งสองท่าน และอาจจะยังมีอีกหลายๆคู่ที่อาจเป็นคู่กรณีกัน ซึ่งผมไม่ทราบ แต่เรามีนโยบายชัดเจนว่าเรามีภารกิจใหญ่ คือความมั่นคงของประเทศ การดูแลทุกข์สุขของประชาชน ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เรื่องส่วนตัวเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องทำงานให้ได้ ต้องไม่มีข่าวเชิงลบ ต้องบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้พี่น้องประชาชนได้ตลอดเวลา” นายเศรษฐา กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่ามีความขัดแย้งกันเองจริงๆ และยังมีอีกหลายคู่ที่มีความขัดแย้งกันใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นธรรมดาในทุกวงการ แม้แต่วงการสื่อมวลชน อยู่ที่นี่ก็อาจจะมีการทะเลาะกันบ้างเป็นธรรมดา บางคนไม่พูดคุยกันก็มี ถือเป็นธรรมดา

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีพร้อมจะห้ามศึกใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ ผมคิดว่าเราไม่ต้องห้าม เรามีการพูดคุยกันอย่างเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่จำเป็นที่ว่าการพูดคุยแล้วจะต้องมีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่จำเป็น เราผิดใจกันได้ แล้วก็กลับมาสมานใจกันได้ใหม่ สังคมอยู่ด้วยกันมาจากหลายที่หลายทาง จะให้เห็นตรงกันทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องมีการพูดคุยกันในภาษาที่น่าฟัง ไม่ใช่ไปด้อยค่าซึ่งกันและกัน ต้องไม่มีการดูถูกดูแคลนกัน ที่ผ่านมาสังคมแตกแยกกันเยอะแล้ว ก็ขอให้มีมิติใหม่ ในการพูดคุยกันดีกว่า” นายเศรษฐา กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ภาพลบที่ออกไปประชาชนมีความคาดหวังอยากให้มีการปฏิรูปตำรวจ นายกรัฐมนตรีมองอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าทุกองค์การทุกสถาบัน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง หรือการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน การดูแลทุกข์สุขของประชาชน การพัฒนาความสัมพันธ์ มีการแก้ไขในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เชื่อว่าทุกคนตระหนักดี และรู้ว่าอะไรไม่ดีก็ต้องมีการแก้ไข

เมื่อถามว่าได้มีการสั่งการอะไรพิเศษกับ ผบ.ตร. คนใหม่บ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เท่าที่พูดคุยกันวันนี้ได้ขอให้มีการติดตามในเรื่องวีซ่าฟรีคนจีนเข้ามาต้องไม่มีปัญหา เรื่องของการตรวจคนเข้าเมืองต้องอำนวยความสะดวกให้ดี แต่อย่าให้สะดวกเกินไปจนกระทั่งลืมเรื่องของความมั่นคง นอกจากนี้ยังได้สั่งการในเรื่องยาเสพติด ต้องดูให้ดี เพราะปัจจุบันเหมือนจะมีเข้ามาเยอะ ตนลงพื้นที่ไปเพราะมีประชาชนมาพูดคุยและแสดงความเป็นห่วงในเรื่องนี้มาก ก็ได้กำชับกับ ผบ.ตร.คนใหม่ไป และอีก 2-3 วัน ตนจะมีการแต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ที่จะไปช่วยดูแลตรงนี้ ซึ่งเป็นอดีตนายตำรวจที่เพิ่งเกษียณอายุราชการไป

พี่โจ๊ก ควง ผู้ว่าชัชชาติ ตรวจสภาพการจราจรพื้นที่สามเสน นางเลิ้ง ดูสภาพความเป็นจริง และให้กำลังใจตำรวจจราจรในพื้นที่

วันนี้ (วันพุธที่ 8 พ.ย.66) เวลาประมาณ 06.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.(มค) รับผิดชอบงานจราจร พร้อมด้วย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมกันลงตรวจสภาพการจราจรในพื้นที่เขตสามเสน นางเลิ้ง ของกรุงเทพมหานคร ใน ถ.สามเสน , ถ.ราชดำเนิน , ถ.จรัญสนิทวงศ์ , สะพานพระราม 8 , สะพานกรุงธนบุรี เป็นหลัก ร่วมกับ พล.ต.ท.นิธิธร จิตกานนท์ ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. (อดีต ผบก.จร.) , พล.ต.ต.ธวัช วงศ์สง่า รรท.รอง ผบช.น. ที่รับผิดชอบงานจราจร, พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ บัณฑิตย์ รรท.ผบก.จร., พ.ต.อ.จิรกฤต จารุณภัทร์ รอง ผบก.จร., พ.ต.อ.กมล นุ่นหอม รอง ผบก.น.1 , พ.ต.อ.จามร ทองพัน ผกก.กก.1 บก.จร. , พ.ต.อ.นิพนธ์ นิธิการุณย์เลิศ ผกก.สน.สามเสน และ พ.ต.อ.รัฐธนนท์ เอกฐิติกุลพัทธ์ ผกก.สน.นางเลิ้ง เพื่อให้เห็นสภาพความเป็นจริง โดยลงพื้นที่หน้าโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ซึ่งเป็นโรงเรียนหลักบนถนนสามเสน ที่มีผู้ปกครองเดินทางมาส่งบุตรหลานเป็นจำนวนมาก อาจส่งผลต่อสภาพการจราจรบนถนนสามเสน ต่อเนื่องแยกซังฮี้ ที่ข้ามมาจากฝั่งธนบุรีได้ แต่ก็พบว่าทาง สน.สามเสน ได้ร่วมกับสำนักงานเขตดุสิต และ สมาคมผู้ปกครองของโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ช่วยกันอำนวยความสะดวกการจราจร ดูแลบุตรหลานและประชาชนบริเวณดังกล่าวได้เป็นอย่างดีเยี่ยม ไม่มีปัญหารถสะสมบริเวณหน้าโรงเรียนแต่อย่างใด หลังจากนั้นได้ไปตรวจสภาพการจราจรบริเวณสะพานกรุงธนบุรี , แยกบางพลัด , ถ.จรัญสนิทวงศ์ , ถ.ราชดำเนิน และ แยก จปร. ตรวจเยี่ยมให้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ มอบกาแฟกระป๋อง ไว้เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ รอง ผบ.ตร.(มค) เปิดเผยว่า ท่าน ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้รับผิดชอบดูงานจราจรภาพรวมทั้งประเทศ ก่อนหน้านี้ก็ได้รับรายงานถึงปัญหาการจราจรต่าง ๆ มาแล้ว วันนี้จึงตัดสินใจลงมาให้เห็นด้วยสายตาตัวเอง และต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชน พ่อแม่ ครู ผู้ปกครอง ผู้อำนวยการโรงเรียนต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันปัญหาการจราจรเป็นหนึ่งในปัญหาหลักของประเทศ ที่ตำรวจต้องร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ช่วยกันแก้ไขปัญหา จะทำเพียงหน่วยงานเดียวไม่ได้ โดยคิกออฟด้วยการสั่งให้สำรวจสภาพปัญหาทางกายภาพ ปัญหาภูมิประเทศ ที่ส่งผลต่อการจราจร ทำให้การจราจรติดขัด ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น พื้นผิวการจราจรที่ขรุขระ เป็นหลุม เป็นบ่อ แล้วประสานงานกับหน่วยงานอื่น ๆ ร่วมกันช่วยกันแก้ไขปัญหา โดยตัว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ เอง จะลงมาช่วยเสริมเติมเต็มในการช่วยประสานงานกับหน่วยงานข้างเคียง โดยเฉพาะในส่วนของ กทม. ซึ่งได้หารือร่วมกับ นายชัชชาติฯ ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจร และการลดอุบัติเหตุ

ส่วนในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย มีกฎหมายใหม่ออกมาหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.เปรียบเทียบปรับเป็นพินัย ที่ออกมาเพื่อให้สอดคล้องและคุ้มครองสิทธิของพี่น้องประชาชน บรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งเมื่อวันที่ 3 พ.ย.66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ก็จะไปเข้าพบปรึกษาหารือกับ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรโณ ประธานกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้แนวทางในการปฏิบัติงานและจะมีการจัดอบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทั่วประเทศ ในวันพรุ่งนี้ เพื่อให้ลูกน้องมีความเข้าใจ มีความมั่นใจ เดินหน้าไปในทิศทางเดียวกันว่าการบังคับใช้กฎหมายจะบังคับใช้อย่างไร การบังคับใช้กฎหมายเราต้องทำเพื่อการจัดการจราจร จัดระเบียบสังคม ต้องไม่ทำเพื่อหวังเงินค่าปรับหรือเงินรางวัล และการตั้งด่านจราจรก็ทำเพื่อสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน โดยมุ้งเน้นเป้าหมายที่การลดอุบัติเหตุ และให้การกระทำความผิดลดลงและหมดไป ทั้งนี้เรายังต้องตั้งด่านตามปกติ แต่ต้องไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์ที่ด่านจราจร เพราะด่านคือตัวแทนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่น เห็นด่านต้องวิ่งเข้าด่าน เพราะเขามั่นใจในความปลอดภัย

ในเรื่องสถิติการเกิดอุบัติเหตุจราจรต่าง ๆ ต้องลดลง และต้องลดลงอย่างมีนัยนะสำคัญ ไม่ใช่ลดลงด้วยการทำตัวเลข ต้องเอาเรื่องจริงมาพูดคุยกัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ก็จะมาช่วยเสริมเติมเต็ม ซึ่งที่ผ่านมาในพื้นที่ก็ช่วยกันทำงานดีอยู่แล้ว และในวันนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยท่าน ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ก็ได้เตรียมการ เตรียมแผนในเทศกาลลอยกระทง เทศกาลปีใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว จุดประสงค์เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย มีความเชื่อมั่น มีความมั่นใจ และกลับมาทำงานด้วยความปลอดภัย สิ่งสำคัญคือการสร้างองค์ความรู้ด้านกฎหมาย สร้างวินัยจราจร สิ่งใดที่เป็นควิกวินที่ต้องรีบทำ ต้องเร่งดำเนินการ เช่น การรณรงค์ให้สวมหมวกกันน็อค การรณรงค์เมาไม่ขับ เรื่องฟุตบาท ทางเท้าต่าง ๆ เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นการสนองตอบต่อนโยบายรัฐบาล ที่ต้องการให้เกิดความปลอดภัยกับพี่น้องประชาชน ประชาชนมีความเชื่อมั่น

สุดท้ายในการตรวจเยี่ยม การลงพื้นที่ ดูการปฏิบัติหน้าที่ของเพื่อนข้าราชการตำรวจ ก็จะได้นำความห่วงใยจากท่าน ผบ.ตร. ลงไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ สร้างขวัญและกำลังใจ ช่วยเสริม เติมเต็มเป็นสำคัญ ต่อไป 

บิ๊กโจ๊กนำทีมตรวจแอลกอฮอล์คนขับรถโดยสารหลัง รับ-ส่ง ประชาชนกลับภูมิลำเนาและเดินทางกลับมาทำงาน ทั้งโครราช ขอนแก่น

ขณะที่ประชาชนทั่วไปถูกจับคดีเมาแล้วขับ 3,207 คดี ศาลสั่งคุมประพฤติแล้ว 343 คดี อุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 5 วันของการรณรงค์ (29 ธ.ค. 66 – 2 มกราคม 67) เกิดอุบัติเหตุรวม 1,839 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ รวม 1,860 คน ผู้เสียชีวิต รวม 212 ราย จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุดได้แก่ กาญจนบุรี

ทล. พบ ยังมีปริมาณรถสะสม 10 เส้นทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพกว่า 500,000 คันจากเมื่อวานนี้เข้ามาแล้ว 600,000 กว่าคัน คาด 6 โมงเย็นวันนี้จะสามารถระบายรถได้ครบตามจำนวนคืนสู่สภาวะปกติ

พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางไปที่สถานีขนส่งจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดขอนแก่น เพื่อตรวจจุดคัดกรองเมาแล้วขับบริเวณสถานีขนส่งแห่งใหม่จังหวัดนครราชสีมาและขอนแก่น ตามแผนรณรงค์เมาไม่ขับ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาในช่วงเจ็ดวันอันตรายโดยวันนี้เป็นการตรวจสอบในช่วงเดินทางกลับ

โดยจุดแรกได้ไปที่สถานีขนส่งใหม่จังหวัดนครราชสีมา พบว่าในช่วงเวลาดังกล่าวมีรถขนส่งที่เข้ามาสู่ตัวสถานี ประมาณ 50 คันเนื่องจากเป็นสถานีรอยต่อภาคอีสานมุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร

ต่อจากนั้นได้เดินทางไปยังสถานีขนส่งจังหวัดขอนแก่นซึ่งเป็นศูนย์กลางของภาคอีสาน พบว่ามีรถโดยสารมุ่งหน้าเข้ามาสู่ตัวสถานีประมาณ 20 คันต่อชั่วโมง

ทั้งนี้ จากการสรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 5 วันของการรณรงค์ (29 ธ.ค. 66 – 2 มกราคม 67) เกิดอุบัติเหตุรวม 1,839 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ รวม 1,860 คน ผู้เสียชีวิต รวม 212 ราย จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุดได้แก่ กาญจนบุรี (69 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรี (73 คน) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่กรุงเทพมหานคร (15 ราย) จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 17 จังหวัด

จัดตั้งจุดตรวจหลัก 1,792 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 51,553 คน โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรีและสงขลา (จังหวัดละ 12 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรี (17 คน) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ สงขลา (3 ราย) 

ขณะที่สถิติคดีที่ศาลสั่งคุมความประพฤติวันที่ 1 มกราคม 2567 มีจำนวน 348 คดี จำแนกเป็น คดีขับรถขณะเมาสุรา 343 คดี คิดเป็นร้อยละ 98.56 คดีขับเสพ 5 คดี คิดเป็นร้อยละ 1.44 

ทำใหสถิติยอดรวมสะสม 4 วัน ที่มีการควบคุมเข้มงวด ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2566 – 1 มกราคม 2567 มีจำนวน 3,278 คดี จำแนกเป็น คดีขับรถขณะเมาสุรา 3,207 คดี คดีขับรถประมาท 1 คดี และคดีขับเสพ 70 คดี

พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่าผลการตรวจแอลกอฮอล์ที่สถานีขนส่งตั้งแต่ตำรวจภูธรภาค 1-9 และที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พบว่ามีการเรียกตรวจพนักงานขับรถทั้งสิ้น 8,420 ราย จาก 218 สถานีขนส่ง ไม่พบว่ามีพนักงานขับรถโดยสารคนใดเมาแล้วขับ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ต้องชื่นชมทั้งพนักงานขับรถ ผู้ควบคุม ไปจนถึง บริษัทขนส่งที่เอาใจใส่กวดขันอย่างเข้มงวด

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือในการรณรงค์เมาไม่ขับ จนทำให้สถิติอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุลดลง เป็นที่น่าพอใจ และมั่นใจว่าหากรณรงค์เข้มข้นในช่วงทุกเทศกาลก็จะทำให้จำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรวมถึงพิการจากอุบัติเหตุลดลง และหมดไปอย่างแน่นอน

ส่วนคนที่ดื่มสุราแล้วมาขับขี่ยวดยานพาหนะ ก็มีบทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรงและเอาจริงเอาจังโดยล่าสุดศาลได้สั่งคุมประพฤติแล้วกว่า 300 คดีจากการจับกุมทั้งหมดกว่า 3,000 คดี

สำหรับ สถานการณ์ การจราจรจนถึงขณะนี้ ยังมีปริมาณรถสะสมในทุกเส้นทางโดยเฉพาะสายเหนือ สายอีสาน และสายใต้ ซึ่งจนถึงขณะนี้กองบังคับการตำรวจทางหลวง แจ้งว่ายังมีปริมาณรถสะสมตามช่องทางต่างๆทั้ง 10 ช่องทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพมหานครประมาณ 5.7 แสนคัน จากเมื่อวานนี้อยู่ที่ 6.3 แสนคัน แต่ก็ยังสูงกว่าในช่วงเวลาปกติที่มีอยู่เพียง 400,000 กว่าคันต่อวัน ซึ่งในบางช่องทางยังคงมีการเปิดช่องทางพิเศษให้รถวิ่งโดยเฉพาะที่จังหวัดขอนแก่น และคาดว่ารถทั้งหมดจะเดินทางเข้าสู่กรุงเทพมหานครในช่วงเวลา 18:00 น. วันนี้ และจะเข้าสู่ภาวะปกติในลำดับต่อไป

"บิ๊กโจ๊ก"ลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น กวดขันพนง.ขับรถโดยสารสาธารณะในช่วงเทศกาลปีใหม่

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติหน้าที่ตรวจวัดแอลกอฮอล์และสารเสพติดในพนักงานขับรถโดยสารสาธารณะในช่วงเทศกาลปีใหม่ เน้นย้ำปัญหาที่เกิดขึ้นจะต้องปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เกิดอุบัติเหตุน้อยที่สุด และปรับปรุงจุดเสี่ยงในพื้นที่ของแต่ละจังหวัด ไม่ให้เป็นจุดเสี่ยง

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 3 ม.ค. 66 ที่ สถานีขนส่งผู้โดยสารขอนแก่น แห่งที่ 3 ต.เมืองเก่า อ.เมืองขอนแก่น จ.ขอนแก่น ภายใต้การอำนวยการของ นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.ขอนแก่น มอบหมายให้ นายยุทธพร พิรุณสาร รอง ผวจ.ขอนแก่น ให้การต้อนรับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ในโอกาสมาตรวจเยี่ยมการปฏิบัติหน้าที่ตรวจวัดแอลกอฮอล์และสารเสพติดในพนักงานขับรถโดยสารสาธารณะเพื่อป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567  โดยมี พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี รอง ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.อนุวัตร สุวรรณภูมิ ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น, นายพงศ์ธร จันทราธิบดี ขนส่งจังหวัดขอนแก่น , นายประสิทธิ์ ทองแท่งไทย รองนายก อบจ.ขอนแก่น ,หน.สนง.ปภ.ขอนแก่น ,จนท.สนง.ขนส่งจังหวัด, หน.สถานีรถโดยสาร ร่วมรับการตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง.ผบ.ตร. กล่าวว่า ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจในการคุมเข้มในการดูแลกำกับการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 4 ตัวเลขสถิติการเกิดอุบัติเหตุในปีนี้นั้นลดลงกว่าปีที่แล้ว รัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องการเห็นประชาชนคนไทยมีความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และเน้นหนักในเรื่องความปลอดภัยเป็นที่สุด ทั้งในสถานการณ์ปกติและในช่วงเทศกาลต่างๆ ประชาชนต้องปลอดภัยให้มากที่สุด เกิดอุบัติเหตุต่ำสุด น้อยที่สุดแต่อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชนในช่วงเทศกาลยังต้องทำงานหนักต่อไปเพื่อที่จะทำให้ตัวเลขสถิติการการเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตลดน้อยลงที่สุดให้ได้

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  กล่าวด้วยว่า ในส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นจะต้องปรุบปรุงแก้ไข เพื่อให้เกิดอุบัติเหตุน้อยที่สุด และปรับปรุงจุดเสี่ยงในพื้นที่ของแต่ละจังหวัด ไม่ให้เป็นจุดเสี่ยง โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ รถสกายแล็ป ที่มักจะเกิดเหตุบ่อยที่สุด เกิดจากขับรถเร็วและไม่ใส่หมวกกันน็อก ขับรถย้อนศร ใช้รถยนต์ ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย จึงต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ในส่วนของประชาชนที่ยังตกค้างใน บขส.นั้น ในวันที่ 4 ม.ค. 2567 จะต้องได้กลับเข้ากรุงเทพฯ กันทุกคน และต้องไม่มีผู้โดยสารตกค้างเด็ดขาด เพราะวันนี้ตนและทุกหน่วยงานได้มาส่งทุกท่านเดินทางให้ถึงจุดหมายปลายทางด้วยความปลอดภัยทุกคน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top