Friday, 3 May 2024
บิ๊กตู่

"บิ๊กตู่" ย้ำที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ เราจะกลับไปอยู่ที่เดิมไม่ได้อีกแล้ว คาดสิ้นเดือนพ.ย. ฉีดวัคซีนครบ 100 ล้านโดส เตรียมพิจารณาสถิติ เปรียบเทียบยี่ห้อวัคซีนกับภูมิต้านทาน ย้ำที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ เราจะกลับไปอยู่ที่เดิมไม่ได้อีกแล้ว คาดสิ้นเดือนพ.ย. 

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในช่วงต้นการประชุมว่า วันนี้มีหลายเรื่องที่จะต้องพิจารณา และมีหลายเรื่องที่ดำเนินการผ่านมาแล้วประสบความสำเร็จ จากการผลักดันของทุกภาคส่วน แต่อย่างไรก็ตามตนได้ประกาศในที่ประชุมเอเปค

เมื่อวันที่ 11 พ.ย.แล้วว่า ตราบใดที่โรคโควิด-19 ยังอยู่ เราจะต้องอยู่กับมันให้ได้ ภายใต้มาตรการครอบจักรวาล และมาตรการ DMHTT  และการดำเนินกิจการต่างๆจะต้องมีการอนุมัติคัดกรองเฝ้าระวัง เพราะเราจะย้อนกลับไปอยู่ที่เดิมไม่ได้อีกแล้ว พร้อมย้ำทุกคนจะต้องระมัดระวังเป็นที่สุด 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องของการฉีดวัคซีน ก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทำได้ตามเป้าหมาย ซึ่งตนได้แจ้งในที่ประชุมเอเปคแล้วว่าสามารถฉีดวัคซีนไปแล้ว 83 ล้านโดส และคาดการณ์ว่าในสิ้นเดือนนี้จะสามารถฉีดวัคซีนได้ 100 ล้านโดส และมีวัคซีนสำหรับปีหน้าแล้วด้วย อย่างไรก็ตาม จะมีการหารือเรื่องยี่ห้อของวัคซีนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งต้องหาข้อมูลทางสถิติ เพื่อพิจารณาว่ายี่ห้อใดมีภูมิต้านทานมากน้อยเท่าไหร่ 

“บิ๊กตู่” บี้จัดงานลอยกระทงต้องเน้นปลอดภัย-ปลอดโควิด

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สั่งการให้หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดูแลและเตรียมความพร้อม การจัดงานลอยกระทง ในวันที่ 19 พ.ย. 2564 ในทุกพื้นที่ให้มีความปลอดภัยและเรียบร้อยโดยยึดตามมาตรการการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 COVID-Free Setting /Universal Prevention และ DMHTT ขณะที่ จังหวัดสุโขทัย Kick off ลงทะเบียนออนไลน์ล่วงหน้า ก่อนเข้าชมงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียน เล่นไฟ วิถีใหม่ ประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 8-16 พ.ย. นี้รับตั๋วอิเลคทรอนิคส์ (E-Ticket) ก่อนเข้าชมงานประเพณีลอยกระทง จัดขึ้นระหว่าง18-20 พ.ย. นี้ ณ บริเวณอุทยาน ประวัติศาสตร์สุโขทัย

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีฝากกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตำรวจ เจ้าพนักงานปกครอง กำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เช่น ห้ามปล่อยโคมลอย งดเล่นดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด รวมถึงรณรงค์ลอยกระทงปลอดเหล้า ด้านการจราจร สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจราจรทั้งทางน้ำและทางบก ตรวจสอบความเรียบร้อยของยานพาหนะที่จะใช้รับ-ส่งประชาชนในช่วงประเพณีลอยกระทง โดยให้กรมเจ้าท่าตรวจความพร้อมของท่าเทียบเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่คาดว่าจะเป็นท่าเรือหลักๆที่ประชาชนจะมาร่วมกิจกรรมลอยกระทงเป็นจำนวนมาก ได้แก่ ท่าเรือสะพานพุทธ ท่าเรือสี่พระยา ท่าเรือเอเชียทีค และท่าเรือไอคอนสยาม ซึ่งกรมเจ้าท่าจะจัดกำลังเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ในคืนลอยกระทง ส่วนกลาง จำนวน 196 คน เรือรักษาการณ์ 88 ลำ ส่วนภูมิภาค จำนวน 753 คน เรือรักษาการณ์ 78 ลำ พร้อมออกประกาศควบคุมการเดินเรือ และเตือนให้ใช้ความระมัดระวังในการเดินเรือในช่วงเทศกาลลอยกระทงแล้ว

 

“นายกฯ”ชวน ปชช.ฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ตั้งเป้าฉีด100ล้านโดสในเดือนพ.ย.นี้ ย้ำ”อสม.-ท้องถิ่น” ช่วยกลุ่มเปราะบางเข้าถึงระบบฉีดวัคซีน

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เชิญชวนประชาชนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข้ารับการฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในเกิดขึ้นโดยเร็ว สร้างความแข็งแกร่งในระบบสาธารณสุขรองรับการระบาด ลดความรุนแรงและเสียชีวิตในประชากรกลุ่มเสี่ยง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และเปิดประเทศตามแผนที่กำหนด

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ข้อมูลการฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.2564 - 11 พ.ย.2564 ฉีดวัคซีนสะสม  83,320,621 โดส เข็มที่ 1 สะสม 44.8 ล้านราย หรือร้อยละ 62.2 เข็มที่ 2 สะสม 35.8 ล้านราย หรือร้อยละ49.7 เข็มที่ 3 สะสม 2.7 ล้านราย หรือร้อยละ 3.8  มี 9 จังหวัดที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 ร้อยละ 70 คือเชียงใหม่ กรุงเทพ สมุทรปราการ ชลบุรี ภูเก็ต ปทุมธานี สมุทรสาคร สงขลา ฉะเชิงเทรา ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุข คาดว่าจะฉีดวัคซีนได้ครบจำนวน 100 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรร้อยละ 70 ภายในเดือนพ.ย.นี้ โดยรัฐบาลกำหนดเป้าหมายที่จะฉีดเข็มที่ 1 ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 70 ภายในเดือน พ.ย. 2564 ร้อยละ 80 ภายในเดือน ธ.ค. 2564 เข็มที่ 2 อย่างน้อยร้อยละ 70 ภายในเดือน ธ.ค. 2564 ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยจัดหาวัคซีนแล้ว จำนวน 128.6 ล้านโดส มากกว่าแผนเดิมที่กำหนดไว้

'นายกรัฐมนตรี' เป็นประธานเปิดศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน สินค้า OTOP อันดามัน 6 จังหวัด แห่งแรกของไทย

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน สินค้า OTOP อันดามัน (ANDAMAN OTOP SHOP) 6 จังหวัด (ระนอง ภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง และสตูล) ณ ศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมอันดามัน เทศบาลเมืองกระบี่ อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ รวมทั้งได้เยี่ยมชมภายในศูนย์ฯ ทักทายผู้ประกอบการร้านค้า และประชาชนที่มารอต้อนรับ

สำหรับศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนสินค้าโอทอปอันดามันแห่งแรกของไทยนี้ เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดกระบี่ ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว สร้างงาน สร้างรายได้กับประเทศชาติและประชาชนในท้องถิ่น เป็นสถานที่จำหน่ายสินค้าที่มีชื่อเสียงกลุ่ม 6 จังหวัดอันดามัน อาทิ น้ำพริกกุ้งเสียบ เม็ดมะม่วงหิมพานต์เผา ปลากรอบ กาแฟชงสำเร็จรูป เครื่องประดับมุข ผลิตภัณฑ์บาติก เรือหัวโทงจำลอง มีดพร้า รูปแกะสลักหนังตะลุง ผลิตภัณฑ์จากเกล็ดปลาและใบยาง ผ่าปาเต๊ะ เป็นต้น

อาคารศูนย์ฯ ดังกล่าวได้รับงบประมาณจากกลุ่มจังหวัดอันดามัน ปี 2561 จำนวน 21 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2561 ถึง 9 กันยายน 2562 จากนั้นจังหวัดกระบี่ส่งมอบให้สำนักงานเทศบาลเมืองกระบี่ เมื่อ 20 มกราคม 2563 ทำการตกแต่งจัดภูมิทัศน์ด้านหน้าและด้านข้างอาคาร เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองและสินค้าโอทอปภาคใต้ฝั่งอันดามัน และเป็นหนึ่งในกลุ่มอาคารศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมอันดามัน ซึ่งประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์ลูกปัด หอศิลป์อันดามัน เป็นต้น

 

‘บิ๊กตู่’ ยอมรับ ‘กองทุนน้ำมัน’ ติดลบ เตรียมกู้ 2 หมื่นล้าน ตรึงราคาดีเซลอีก 4 เดือน

“บิ๊กตู่” ยอมรับกองทุนน้ำมันติดลบ ครม. อนุมัติขอเงินกู้อีก 2 หมื่นล้าน คาดสำรองจ่ายได้อีก 4 เดือน “วอน” รถบรรทุกอย่ากดดัน เตรียมรถ “บขส.-รถทหาร” ขนสินค้าแทนรถบรรทุกประท้วงราคาดีเซลแพง

เมื่อเวลา 13.15 น. ที่โรงแรมโซฟิเทล กระบี่ โภคีธรา กอล์ฟ แอนด์ สปา รีสอร์ท จังหวัดกระบี่  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรนอกสถานที่ ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา หลังกลุ่มสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ทำกิจกรรมคาร์ม็อบ เคลื่อนขบวนรถบรรทุกในถนน 4 สายหลัก และมาชุมนุมบริเวณหน้ากระทรวงพลังงาน ว่า ยืนยันแล้วว่าเราต้องรักษาให้ได้ในราคา 30 บาทต่อลิตรก่อน และถ้าราคาน้ำมันมีการปรับลดลงทุกอย่างก็จะดีขึ้น เพราะขนาดตรึงแค่ราคา 30 บาท ก็ใช้เงินอุดหนุนไปประมาณเดือนละ 3,000 ล้านบาทลงไป  

ในส่วนของกองทุนน้ำมันนั้นอยู่ในสภาพที่ติดลบแล้ว และวันเดียวกันนี้ ครม. ได้มีการอนุมัติ เงินกู้ไปเพื่อนำงบประมาณมาใช้จ่ายสำรองไว้ในช่วง 4 เดือนข้างหน้า ซึ่งถ้าราคาน้ำมันลดลงก็ไม่มีปัญหาทุกอย่างก็จะกลับคืนเข้าสู่สภาวะปกติ ราคาน้ำมันก็จะลดลงมาเอง 

ผู้สื่อข่าวถามว่าแต่มีความพยายามกดดันด้วยการนำรถบรรทุกเคลื่อนไหวบนถนนสายหลัก และมาชุมนุมที่บริเวณหน้ากระทรวงพลังงานจะแก้ปัญหาอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เท่าที่ได้รับรายงานก็เป็นความเคลื่อนไหวของสมาคมรถบรรทุก ซึ่งในประเทศไทยก็มีหลายสมาคมยอมรับว่ามีคนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อน รัฐบาลก็ต้องดูแลทุกคนซึ่งรัฐบาลก็จำเป็นต้องดูให้ละเอียดถี่ถ้วน 

'บิ๊กตู่'ฮึ่มกลุ่มเคลื่อนไหวสร้างความวุ่นวาย ถามคนไทยรับได้หรือไม่ ขอใช้มาตรการสังคมตักเตือน ลั่นคำว่าสถาบันฯต้องอยู่คู่กับไทยตลอดไป เผย จัดซื้อวัคซีนปีหน้า 60 ล.โดสแล้ว พร้อมขอให้รอดูสถานการณ์หลังมีการวิจัยพัฒนาวัคซีนใหม่ออกมาอีก

ที่โรงแรมโซฟิเทลกระบี่ โภคีธรา แอนด์ สปา รีสอร์ท จ.กระบี่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีมีการเดินหน้าเปิดประเทศและเป็นไปด้วยดี ห่วงหรือไม่ว่าการเคลื่อนไหวชุมนุมจะทำให้เสียบรรยากาศ ว่า ให้สังคมช่วยกันพิจารณา เพราะนายกฯ มีอย่างเดียวคือการบังคับใช้กฎหมายอย่างระมัดระวัง เป็นไปตามขั้นตอนและเป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่ทุกประการ ดังนั้นต้องไปดูวัตถุประสงค์การสร้างความวุ่นวายนั้นเพื่ออะไร แล้วคนไทยยอมรับได้หรือไม่ ถ้ายอมรับไม่ได้มาตรการสังคมต้องตักเตือนกัน อย่าให้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่เพียงอย่างเดียว

"ผมเน้นย้ำคำว่าสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต้องคงอยู่คู่กับไทยตลอดไป"นายกฯ กล่าว

เมื่อถามว่า ขณะนี้ยังมีการโหนเรื่อยๆ กังวลว่าจะบานปลายหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่กังวล แต่เป็นความห่วงใยมากกว่า อย่าเรียกว่ากังวล เพราะถ้ากังวลคงกังวลหลายเรื่องที่ทุกอย่างประดังประเดถมเถเข้ามาในสถานการณ์วันนี้ ทั้งราคาน้ำมัน หนี้ครัวเรือน เกษตรกรให้มีรายได้ที่ดีขึ้น รวมถึงปัญหาอะไรต่างๆ

 

“สงคราม” อัด “บิ๊กตู่” บริหารประเทศแบบคนโง่ทำประชาชนลำบาก ชี้ ผลพวงรัฐประหารสร้างเผด็จการรัฐสภากระชับอำนาจคุมเสียงส.ส.-สว.ได้เบ็ดเสร็จ 

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า  ผลการลงมติร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่ผ่านมาชัดเจนว่า รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับการตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชน ดังนั้นผลที่ออกมาคือรัฐบาลสนใจในการอยู่ในอำนาจมากกว่าประชาชน

นอกจากนี้ชัดเจนว่า ผลพวงจากการรัฐประหารเมื่อปี 2557 ยังคงอยู่และเดินหน้าในการกระชับอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด สร้างเผด็จการรัฐสภาแบบสมบูรณ์แบบ สามารถส่ง สัญญาจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถึงความต้องการกระชับอำนาจอยู่จนครบเทอมของรัฐบาล โดยไม่สนใจความเดือดร้อน ลำบากของพี่น้องประชาชน ว่าปัจจุบันประชาชนประสบความลำบากในการหากินมากน้อยแค่ไหน 

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน หลายนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนมากกว่า สนับสนุนประชาชนชน ดังนั้นประชาชนจึงไม่ได้ประโยชน์จากมาตรการรัฐ ส่งผลให้ประชาชนหลายครอบครัวต้องประสบปัญหาในการทำมาหากิน มาตรการที่รัฐออกมากระทบกับการประกอบอาชีพชัดเจน แต่รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญเพราะไม่กระทบกับรัฐบาลและเจ้าสัวที่ตักตวงผลประโยชน์จากนโยบายรัฐ

“บิ๊กตู่” หวังบัตรเลือกตั้ง2ใบคัดส.ส.มีคุณภาพ-ทำงานเพื่อประชาชน ปัดชิ่ง พปชร.หนีซบพรรคอะไหล่ ลั่นยังไม่คิดยุบสภาตอนนี้

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนากร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม มอบหมาย ถึงความเห็นเกี่ยวกับบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ว่า เรื่องนี้พล.อ. ประยุทธ์ชี้แจงว่า เรื่องมันตราเป็นความเห็นของพรรคการเมืองที่เสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร นายกรัฐมนตรีไม่มีความเห็นในเรื่องดังกล่าวแต่หวังว่าการเลือกตั้งจะได้ส.ส.ที่มีคุณภาพ ทำงานเพื่อประชาชนที่ได้เลือกตั้งเข้ามา และทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับประชาชนที่เลือก

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ จะชี้แจงอย่างไร ต่อกรณีมีข่าวว่าจะย้ายเข้าไปสังกัดพรรคไทยสร้างสรรค์ ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ที่ระบุว่าเป็นการรองรับพล.อ.ประยุทธ์ นายธนากรกล่าวว่า ในเรื่องดังกล่าวพล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่าไม่เคยมีความคิดในเรื่องดังกล่าวแต่เป็นเรื่องของการเสนอข่าวจากสื่อโซเชียล พล.อ.ประยุทธ์ยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) อยู่ในฐานะที่พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงที่ผ่านมา

'บิ๊กตู่' เป็นปลื้ม กระแส ใช้จ่าย 'คนละครึ่ง เฟส 3 -ยิ่งใช้ยิ่งได้' โค้งสุดท้าย เชื่อ ทำให้เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนมีความสุขในเทศกาลปีใหม่ แน่นอน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปลื้มกระแสการใช้จ่ายของประชาชนผ่านมาตรการใช้จ่ายลดค่าครองชีพของรัฐ ที่รัฐบาลมีการเพิ่มวงเงินสนับสนุนในการช่วยลดภาระในการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันของประชาชน ช่วยกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ จากผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ รวมทั้งเพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยความคืบหน้า (ข้อมูล ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564) มียอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 41.2 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 191,685.3 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 26.13 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 169,488.9 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 86,115 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 83,373.9 ล้านบาท 2) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 90,799 คน ยอดใช้จ่ายส่วนประชาชนสะสม 3,445.8 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายด้วย e-voucher สะสม 184.5 ล้านบาท 3) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.55 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 17,123.1 ล้านบาท และ 4) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 1.43 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 1,443 ล้านบาท

นายธนกร กล่าวว่า ในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ที่ขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม ล่าสุด มีจำนวนกว่า 75,000 ราย ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564  สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ยังสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ ผ่านเว็บไซต์  www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอป พลิเคชัน “เป๋าตัง” จนกว่าจะครบ 1 ล้านสิทธิ

“บิ๊กตู่” พอใจภาพรวมการลงทุนก่อนสิ้นปีดีขึ้น “พาณิชย์” เผยอนุญาตต่างชาติลงทุนในไทยแล้ว 213 ราย รวม 11,554 ล้านบาท ขณะที่ “BOI” เปิดมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการกลุ่ม BCG เกือบ 7 แสนล้านบาท

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภาพรวมด้านการลงทุนในไทยมีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบความคืบหน้าจากหน่วยงานด้านเศรษฐกิจและส่งเสริมการลงทุน ดังนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้ารายงานว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม - ตุลาคม 2564 คณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ได้อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย จำนวน 213 ราย เงินลงทุนรวมกว่า 11,554 ล้านบาท เกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 5,000 คน

โดยชาวต่างชาติ 3 อันดับแรก ที่เข้ามาลงทุนมากที่สุดได้แก่ ญี่ปุ่น 82 ราย (ร้อยละ 38) สิงคโปร์ 33 ราย (ร้อยละ 15) และ ฮ่องกง 20 ราย (ร้อยละ 9) และลงทุน ธุรกิจที่ได้รับอนุญาตส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ และสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ อาทิ ธุรกิจบริการเป็นที่ปรึกษา บริหารจัดการ และให้บริการเดินรถและซ่อมแซมบำรุงรักษารถไฟความเร็วสูง ภายใต้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินในประเทศไทย ธุรกิจบริการออกแบบทางวิศวกรรม วางระบบและทดสอบเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับโครงการศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าอัจฉริยะระหว่างประเทศ ธุรกิจบริการออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านประกันภัย บริการออกแบบวิศวกรรม จัดซื้อจัดหา ก่อสร้าง ทดสอบและตรวจสอบท่อลำเลียงเชื้อเพลิงก๊าซรวมถึงสถานีควบคุมและวัดปริมาตรก๊าซธรรมชาติสำหรับโครงการไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม เป็นต้น

นายธนกร กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI รายงาน ว่าการกำหนดให้โมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio - Circular - Green Economy) เป็นวาระแห่งชาติ ส่งผลให้สถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนกิจการในกลุ่ม BCG ในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2564 (ม.ค. - ก.ย.) มีสัญญาณบ่งชี้อัตราเติบโตที่ดี โดยมีกิจการขอรับการส่งเสริมการลงทุน 564 โครงการ จำนวนโครงการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 74 และมีมูลค่าลงทุน 128,370 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงเดียวกันกับปีก่อนร้อยละ 160 และสูงกว่ามูลค่าการลงทุนในปี 2563 ทั้งปี (93,883 ล้านบาท)
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top