Friday, 3 May 2024
บิ๊กตู่

‘บิ๊กตู่’ วอน การเมืองเบาได้เบา โอดรัฐบาลมีปัญหาเพียบ แต่ไม่ท้อ โยนถามประชาชนเลือกใครเป็นผู้นำ หลังหลายพรรคเปิดตัว ‘แคนดิเดตนายกฯ’

เมื่อวันที่ 20 ต.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า เรื่องการเมืองขอให้เบาๆ หน่อยช่วงนี้ เพราะยังมีปัญหาอีกมากที่รัฐบาลต้องแก้ไข ซึ่งปัญหามาพร้อมกันหลายอย่าง อยากให้คำนึงถึงความยากง่ายในการแก้ไขปัญหาแต่ละอย่าง ทั้งสถานการณ์โควิด-19 ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและการค้า ซึ่งรัฐบาลพยายามมีมาตรการใหม่ๆ เกิดขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ รวมถึงปัญหาระหว่างประเทศ เพราะประเทศไทยอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องอยู่ตรงกลาง ต้องสร้างความเข้มแข็งให้ได้ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมทั้งภาคประชาชน ภาครัฐ และเอกชน ต้องร่วมมือกัน

เมื่อถามว่านายกฯ เจอปัญหาจำนวนมากจะสู้ต่อใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ท้อ ไม่มีท้อ”

เมื่อถามย้ำว่า หากในอนาคตมีเรื่องข้อกฎหมาย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ปัญหาและอุปสรรคต้องมี เป็นสิ่งที่ผู้นำต้องแก้ไขปัญหา ไม่อย่างนั้นจะเป็นทำไมผู้นำ ส่วนจะแก้ได้มากได้น้อย ก็ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นบางเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กัน ก็ต้องดูข้อเท็จจริง จึงขอให้ฟังหน่วยงานที่ชี้แจงด้วย ถ้าเราอยู่กันอย่างไม่ไว้ใจกัน ก็ไปไม่ได้ และจะปั่นป่วนอลหม่าน เกิดความเสียหาย

เมื่อถามว่าแต่ละพรรคการเมืองเปิดตัวผู้นำที่จะมาชิงเป็นแคนดิเดตนายกฯ จากรายชื่อทั้งหมดคิดว่าจะสู้ได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ถามประชาชน ถามคนเลือกสิจ๊ะ”

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึง ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากราคาน้ำมันพุ่งสูงว่า รัฐบาลเข้าใจถึงความเดือดร้อนของสมาคมขนส่งหรือสมาคมรถบรรทุก ซึ่งรัฐบาลได้พยายามดูแลอย่างเต็มที่ แต่สถานการณ์น้ำมันโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และยังไม่รู้ว่าจะขึ้นอีกเท่าไหร่ 

“บิ๊กตู่” พร้อมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 39 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 39 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบการประชุมทางไกล ระหว่างวันที่ 26 – 28 ตุลาคม 2564 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 39 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นบทสรุปของการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของบรูไนดารุสซาลาม ภายใต้แนวคิดหลัก “เราห่วงใย เราเตรียมพร้อม เรารุ่งเรือง” (We care, We prepare, We prosper) ซึ่งถือว่าเป็นปีที่มีความท้าทายในทุกมิติทั้งจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ และสถานการณ์ในภูมิภาค โดยเฉพาะสถานการณ์ในเมียนมา 

ทั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ จะทรงเป็นองค์ประธานการประชุมสุดยอดทั้งหมด โดยมีผู้นำ หรือผู้แทนของประเทศสมาชิกอาเซียน เลขาธิการอาเซียน ตลอดจนผู้นำของคู่เจรจาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ จีน สาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย อินเดีย รัสเซีย และนิวซีแลนด์ นอกจากนี้ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกและองค์การการค้าโลกได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 16 ในช่วงเริ่มต้นการประชุมเพื่อบรรยายสรุปเกี่ยวกับการบรรเทาผลกระทบของโควิด-19 และการสร้างเสริมความร่วมมือเพื่อรับมือกับภาวะวิกฤตในอนาคต

นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุมในกรอบอาเซียนทั้งหมดจำนวน 12 การประชุม ตามเวลาประเทศไทย โดยวันอังคารที่ 26 ตุลาคม เวลา 08.00 น.  การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 เวลา 10.00 น.  การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 39 เวลา 12.30 น.การประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 22 เวลา 14.00 น.  การประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ครั้งที่ 24 เวลา 20.00 น.   การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ ครั้งที่ 9 สำหรับวันพุธที่ 27 ตุลาคม เวลา 09.30 น.  การประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 24 เวลา 11.30 น. การประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย ครั้งที่ 1 เวลา 14.00 น.การประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 24 เวลา 18.00 น. การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 16 ส่วนในวันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม เวลา 10.15 น.  การประชุมระดับผู้นำแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจ สามฝ่ายอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) ครั้งที่ 13 เวลา 12.30 น.  การประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 18 เวลา 14.00 น.การประชุมสุดยอดอาเซียน-รัสเซีย ครั้งที่ 4 เวลา 15.30 น. พิธีปิดและส่งมอบตำแหน่งประธานอาเซียน    

“บิ๊กตู่” สั่งเร่งสำรวจความเสียหายน้ำท่วมพร้อมจัดงบเยียวยา

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มอบหมายฝ่ายปกครอง ทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุทกภัย หลังหลายพื้นที่น้ำลดลง เพื่อเร่งช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเสียหายทางบ้านเรือน ทรัพย์สิน ที่ทำกิน และสัตว์เลี้ยง ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 และเยียวยาเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมไร่-นา ตามหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2564

“บิ๊กตู่”เข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 เร่งอาเซียนขับเคลื่อนข้อริเริ่มต่างๆ และการร่วมมือแก้ปัญหาโควิด-19 อย่างเป็นรูปธรรม

ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 ผ่านระบบการประชุมทางไกล พร้อมผู้นำสมาชิกอาเซียน โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 นี้ ซึ่งที่ประชุมมีประเด็นหลักที่หยิบยกขึ้นหารือหลักได้แก่ การรับมือกับความท้าทายสำคัญ โควิด – 19 บรูไนในฐานะประธานได้กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดและผลกระทบของโควิด – 19 ซึ่งได้ติดตามความคืบหน้าและพัฒนาการที่สำคัญของประชาคมอาเซียนด้วย 

นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงว่า การต่อสู้กับโควิด – 19 สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของภูมิภาคต่อภัยคุกคาม ดังนั้น นอกจากเราจะต้องร่วมมือกันแก้ไขเรื่องการแพร่ระบาดและผลกระทบของโควิด – 19 แล้ว ควรถอดบทเรียนจากโควิด – 19 มาใช้เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ประชาคมอาเซียนพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ ในอนาคต ซึ่งก็แต่ง จึงขอเสนอประเด็นที่อาเซียนควรให้ความสำคัญ 3 ประการประการแรก ต้องดำเนินการตามข้อริเริ่มในกรอบอาเซียนเพื่อแก้ไขปัญหาโควิด-19 ให้มีประสิทธิภาพ และยินดีที่มีความคืบหน้ากรณีการเงินจากกองทุนอาเซียนจัดซื้อวัคซีนโควิด –19 และหวังว่าประเทศสมาชิกจะได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงโดยเร็ว

ทั้งนี้ ไทยได้แจ้งรายการสิ่งของที่บริจาคแก่คลังสำรองอุปกรณ์ทางการแพทย์อาเซียนแล้ว หวังว่าจะมีการนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป ซึ่งอาเซียนควรเสริมสร้างความพร้อมในการรับมือกับโรคอุบัติใหม่และเสริมสร้างความมั่นคงทางสาธารณสุขในระยะยาว ส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีน ซึ่งไทยกำลังพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ และยินดีร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนในเรื่องนี้ต่อไป 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประการที่สอง ควรเริ่มเปิดภูมิภาคและส่งเสริมการเดินทางไปมาหาสู่กันอย่างปลอดภัย ใช้ประโยชน์จากกรอบการจัดทำระเบียงการเดินทางของอาเซียน และควรจัดทำแนวทางการรับรองวัคซีนระหว่างกัน เพื่อความสะดวกในการเดินทาง ที่ผ่านมาประเทศไทยได้เปิดพื้นที่นำร่องต้อนรับนักท่องเที่ยวภายใต้โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ และสมุยพลัสไปแล้ว และจะเริ่มเปิดประเทศอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เป็นต้นไป เราต้องหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการที่ไม่จำเป็นและเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนย้ายสินค้า เพื่อรักษาความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทาน และใช้ประโยชน์จากตลาดภายในอาเซียนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ในการนี้ นายกรัฐมนตรีหวังว่าเพื่อส่งเสริมสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการค้าการลงทุน ความตกลง RCEP จะมีผลใช้บังคับตามเป้าหมาย และจะเดินหน้าการเจรจา FTA อาเซียน-แคนาดาได้โดยเร็ว ประการที่สาม โควิด–19 ตลอดจนภัยธรรมชาติอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อุทกภัย ไฟป่า และหมอกควันข้ามพรมแดน สะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนของแนวทางการพัฒนาในปัจจุบันที่เน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยละเลยผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นที่มาของวิกฤตต่าง ๆ ที่รุนแรง ดังนั้น ถึงเวลาที่จะต้องปรับกระบวนทัศน์ในการใช้ชีวิตทุกด้าน    เพื่อสร้างความสมดุล ทำให้การฟื้นฟูและพัฒนาอาเซียนเป็นไปอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่ไทยดำเนินการอยู่ 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วาระสีเขียวของอาเซียน ควรเป็นแนวทางของภูมิภาคในอนาคตเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนเป็นมิตรกับโลก โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียวเข้ามาช่วยสนับสนุน และต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงจากทุกภาคส่วน อาทิ

“โฆษกรัฐบาล” ยัน บิ๊กตู่-รมต.ทั้ง 6 คน หารือวานนี้ไม่เกี่ยวการเมือง ย้ำ ไม่ก้าวก่ายเรื่องใน พปชร. พร้อมเผย “นายก” ปลื้ม ปชช.ชอบ “คนละครึ่ง เฟส 3” เร่งเดินหน้ามาตรการคุมราคาสินค้า 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีวานนี้ (25 ต.ค.)ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสร็จสิ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม  นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เข้าหารือที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ทำให้มีการคาดการณ์กันไปต่างๆ นานา ทั้งการหารือเรื่องภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และการทำพื้นที่ การประชุมร่วมรัฐสภาที่จะมีการพิจารณากฎหมายสำคัญในวันที่ 9 ตุลาคม นั้น 

ยืนยันว่า การหารือดังกล่าวเป็นการหารือเรื่องการทำงาน การบริหารราชการแผ่นดินรวมถึงการแก้ปัญหาต่างๆ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนและเพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งมี่ผ่านมาเราเสียโอกาสไปมากในช่วงที่มีการระบาดโควิด-19 ยืนยันไม่ได้เกี่ยวการเมือง นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่บริหารราชการประเทศ ไม่ก้าวก่ายการทำงานของพรรคพลังประชารัฐ  (พปชร.)การเมืองเป็นเรื่องของหัวหน้าพรรค  นายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลภายนอกพรรค ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง การกระทำการใดๆ เกี่ยวกับการเมือง นายกรัฐมนตรีไม่สามารถทำได้ และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีระมัดระวังเรื่องนี้มาโดยตลอด

นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่า จากผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อมาตรการช่วยเหลือของรัฐในช่วงโควิด-19 ของสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จากประชาชนทั่วประเทศที่ได้เข้าร่วมมาตรการ โครงการของรัฐ ระหว่างวันที่ 18-21 ต.ค.2564ในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 จาก 5 มาตรการ ได้แก่ มาตรการคนละครึ่งเฟส 3,มาตรการลดค่าไฟฟ้า น้ำปะปา,มาตรการช่วยเหลือผู้ปกครอง 2,000 บาท,มาตรการลดค่าเทอมนักเรียน นักศึกษา ,มาตรการเยียวยาผู้ประกันตน ม.33 ม.39 และ ม.40 ในพื้นที่จังหวัดสีแดงเข้ม พบว่า ประชาชนกลุ่มสำรวจ มีความพึงพอใจมาตรการ “คนละครึ่ง เฟส 3” มากที่สุด เพราะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละวันได้ ประคับประคองการบริโภค ทำให้ประชาชนมีการวางแผนการใช้จ่ายดีขึ้น รองลงมาคือมาตรการลดค่าไฟฟ้า น้ำปะปา มาตรการช่วยเหลือผู้ปกครอง 2,000 บาท มาตรการลดค่าเทอมนักเรียน-นักศึกษา และมาตรการเยียวยาผู้ประกันตน ม.33 ม.39 และม.40 ในพื้นที่จังหวัดสีแดงเข้ม ตามลำดับ 

นายธนกร กล่าวว่า ของความคืบหน้ามาตรการใช้จ่ายลดค่าครองชีพของรัฐ ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มียอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 40.30 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 124,414.8 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 25.44 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 110,123.4 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 55,975.3 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 54,148.1 ล้านบาท 2.โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 84,680 คน ยอดใช้จ่ายส่วนประชาชนสะสม 2,764 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายด้วย e-voucher สะสม 144 ล้านบาท 3.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.54 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 10,598.9 ล้านบาท และ 4.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 1.24 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 784.5 ล้านบาท

“สงคราม” แนะใช้ 100 ล้านจ้างดนตรีในประเทศดีกว่าจ้างลิซ่า แบล็กพิงก์ โชว์ตัวคน อัด “บิ๊กตู่” ทอดทิ้งอยุธยาปล่อยชาวบ้านจมน้ำนาน 2 เดือนเหตุไม่มีส.ส.พลังประชารัฐ

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพ ให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัย ในหลายพื้นที่ของจังหวัด อยุธยา พบว่าอำเภอบางบาลน่าเป็นห่วงมาก  เพราะรัฐบาลยัดเยียดให้เป็นที่รับน้ำแทนพื้นที่เศรษฐกิจอื่นๆจนถึงเวลานี้กว่า 2 เดือน ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ชาวบ้านเริ่มบอกว่ารัฐบาลแก้ปัญหาแบบรอให้น้ำระเหยไปเอง อย่างมากที่ทำคือถ่ายรูปตอนแจกถุงยังชีพ 1 ถุง แล้วก็หายหัว ทั้งบางบาลบางจุดท่วมถึง 4 เมตรด้วยซ้ำไป

 

ก่อนหน้านี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางไปตรวจน้ำท่วมในหลายพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ส.ส.พลังประชารัฐ แต่ที่อยุธยา  ไม่มีส.ส.พลังประชารัฐ พลเอกประยุทธ์จึงไม่ให้ความสำคัญ เพราะเป้าประสงค์การเดินทางไปตรวจน้ำท่วมไปเพื่อสร้างภาพมากกว่า  น้ำท่วมปีนี้หนักมาก บางพื้นที่น้ำท่วมสูง  3 เมตร บางที่ 4 เมตร ข้าวของเสียหาย บ้านพัง ไร้ซึ่งการเหลียวแลประชาชนไม่ได้ต้องการถุงยังชีพ แต่ต้องการแค่ความจริงใจจากรัฐบาลที่จะช่วยประชาชนอย่างแท้จริง

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า กรณีที่รัฐบาลทุ่มงบประมาณหลายร้อยล้านบาทจ้าง ลิซ่า แบล็กพิงก์ และ แอนเดรีย โบเชลลี มาร่วมงานเคาต์ดาวน์ปีใหม่ ตามบัญชาของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อยากให้รัฐบาลพิจารณาให้ดีเพราะเงินที่ดำเนินการเป็นภาษีพี่น้องประชาชน ควรที่จะให้ความสำคัญกับประชาชน  กิจกรรมบันเทิงในประเทศต้องหยุดการแสดงทั้งหมด หยุดกิจกรรม  นักร้องนักดนตรี นับแสนคนตกงาน จากมาตรการรัฐ แต่พอจะเปิดการท่องเที่ยวรัฐบาลกลับไม่ให้ความสำคัญกลุ่มคนเหล่านี้

ด่วน “บิ๊กตู่” สั่งตั้งคกก.ตรวจสอบส่งออกถุงมือยางใช้แล้ว 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งออกถุงมือยางที่ใช้งานแล้วจากประเทศไทยไปต่างประเทศ ซึ่งมีปลัดหลายกระทรวง และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมกันตรวจสอบ ซึ่งจะนัดประชุมนัดแรกวันที่ 27 ต.ค.นี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเริ่มตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงกรณีนี้ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร รวมทั้งการดำเนินการในช่วงต่อไป เบื้องต้นนายกฯ ไม่ได้ระบุกรอบเวลา แต่จะต้องเร่งสรุปให้เร็วที่สุด  

ส่วนการตั้งข้อสังเกตว่ามีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ได้นับหนึ่ง จึงขอให้รอผลการหารือในวันที่ 27 ต.ค.ออกมาก่อน แต่ก็เข้าใจว่า กรณีนี้เป็นการกระทำผิดกฎหมายของผู้ที่เอาสิ่งที่ผิดกฎหมายออกไปนอกประเทศ คือถุงมือยางที่เป็นเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ใช้แล้วส่งออกไปนอกประเทศถือว่ามีความผิด อย่างไรก็ตามรายละเอียดทั้งหมดนั้นตอนนี้ยังไม่อยากพูดมากเพราะต้องให้ทางกรรมการที่มาจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ข้อมูลทั้งหมดก่อน  

โฆษกรัฐบาลเผย “นายก” มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนผ่าน “โครงการบ้านล้านหลัง” ธอส. มีผู้ลงทะเบียนแล้ว 60,752 ราย วงเงินยื่น 72,902 ล้านบาท ย้ำเชิญชวนผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนขอสินเชื่อเพื่อโอกาสมีบ้านเป็นของตนเอง  

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐบาล มีความมุ่งมั่นที่ต้องการดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้ได้มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ราคาไม่แพง โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน ผู้ที่เริ่มต้นทำงานเพื่อสร้างครอบครัว และผู้สูงอายุ ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ก.ย.64 มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ดำเนินการโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ หรือ โครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 โดยปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการอีกจำนวน 20,000 ล้านบาท และปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่เหมาะสมกับศักยภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ในอัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความคืบหน้าของผลการดำเนินงานโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 ล่าสุด ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2564 ได้มีผู้ลงทะเบียนกับ ธอส. แล้วจำนวน 60,752 ราย วงเงินยื่นกู้ 72,902 ล้านบาท และได้ยื่นกู้สะสมจำนวน 2,479 ราย ซึ่ง ธอส. ได้มีการอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 1,845 ราย คิดเป็นมูลค่า 1,509 ล้านบาท โดย ธอส. กำลังเร่งพิจารณาตามขั้นตอนเพื่อการอนุมัติสินเชื่อให้กับประชาชนผู้ที่ม่ีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไขของโครงการฯ ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังได้กำกับให้ ธอส. พิจารณาการอนุมัติสินเชื่อด้วยความละเอียดรอบคอบ เหมาะสม โดยคำนึงถึงการให้สินเชื่อแก่ผู้กู้ที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยมาก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อสร้างโอกาสและสนับสนุนประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีที่อยู่อาศัยได้มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยได้อย่างทั่วถึง  จึงขอเชิญชวนประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการขอสินเชื่อ ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ เพื่อโอกาสในการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองตั้งแต่บัดนี้ เพื่อให้สามารถทำนิติกรรมได้ภายในวันที่ 30 ธ.ค.66 หรือก่อนเต็มกรอบวงเงินของโครงการ 

“โครงการบ้านล้านหลังระยะที่ 2 เป็นการดำเนินการสานต่อความสำเร็จของโครงการบ้านล้านหลังระยะแรก ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลโดยท่านนายกรัฐมนตรีที่มีความมุ่งมั่นช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อย ให้ประชาชนได้มีบ้านเป็นของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ที่มุ่งเน้นสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เชื่อมั่นว่าโครงการดังกล่าว จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่ทำให้ประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย สามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อให้สามารถมีบ้านเป็นของตนเอง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแท้จริง” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว 

สำหรับรายละเอียดสินเชื่อโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 ที่สำคัญ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรก 1.99% ต่อปี ให้กู้ซื้อที่อยู่อาศัยราคาซื้อ-ขายไม่เกิน 1,200,000 บาท ทั้งบ้านใหม่ บ้านมือสอง และทรัพย์ NPA ของ ธอส. เงินงวดคงที่นานถึง 84 งวดแรก ฟรีค่าธรรมเนียม 4 ประเภท คือ 1. ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินกู้) 2. ค่าประเมินราคาหลักประกัน (1,900-2,300 บาท) 3. ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (1,000 บาท ต่อราย) และ 4. ค่าจดทะเบียนนิติกรรมจำนอง (1% ของวงเงินจำนอง) ระยะเวลาผ่อนไม่น้อยกว่า 7 ปี และผ่อนสูงสุดไม่เกิน 40 ปี อายุผู้กู้รวมกับระยะเวลาที่ขอกู้ต้องไม่เกิน 70 ปี ยกเว้น ข้าราชการตุลาการ อัยการ หรืออื่น ๆ ที่มีอายุเกษียณมากกว่า 60 ปี อายุผู้กู้เมื่อรวมกับระยะเวลาที่ขอกู้ต้องไม่เกิน 75 ปี 

“สงคราม” อัด “บิ๊กตู่” ปล่อยผู้ค้าน้ำมันขึ้นราคาตามใจชอบ ชี้ รัฐปล่อยราคาน้ำมันขึ้นต่อเนื่องกระทบต่อค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน  

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปล่อยให้ผู้ค้ามันในประเทศไทย ปรับราคาน้ำมัน อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการซ้ำเติมวิกฤตประเทศ อย่างแท้จริง ทั้งๆที่ปัจจุบันคุณภาพชีวิตของประชาชนก็แย่อยู่แล้ว แต่รัฐบาลกลับไม่ให้ความสำคัญ การปล่อยให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาน้ำมันต่อเนื่องหลายรอบในเดือนตุลาคม ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตของประชาชน เพราะต้นทุนสินค้าทุกอย่างขึ้น ในขณะนี้รายได้ประชาชนลดลง 

นอกจากนี้ การปรับราคาน้ำมันขึ้นอีก 60 สตางค์ ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ย่อมกระทบต่อค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน เพิ่มต้นทุนการขนส่ง เพิ่มต้นทุนภาคการผลิตพลเอกประยุทธ์ มีเครื่องมือมากมายที่จะช่วยประชาชน แต่ทำไม่เป็นใช้งานไม่เป็น เลยไม่ทำอะไร ปล่อยให้นายทุนพลังงานกดขี่คนไทย โยนภาระทั้งหมดให้ผู้บริโภค ส่วนผู้ประกอบการโกยกำไรเป็นกอบเป็นกำ  

นายสงคราม  กล่าวด้วยว่า  การที่พลเอกประยุทธ์อ้างว่าการปรับราคาน้ำมันเป็นไปตามกลไกตลาด เป็นการพูดเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น ทั้งๆที่รัฐบาลสามารถที่จะตรึงราคาน้ำมันที่ผันผวน ไม่ให้กระทบกับพี่น้องประชาชนมากนัก โดยต้องเร่งลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตลงลิตรละ 5 บาทและพิจารณางดเว้นการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ซึ่งจะช่วยตรึงราคาน้ำมัน ไม่ให้แพงมากเกินไปได้ แต่รัฐเลือกที่จะไม่ทำ 

‘บิ๊กตู่’ ขาอ่อน เดินสะดุดโพเดียมหน้าคะมำ โหมงานจนอ่อนแรง ประชุมอาเซียน 3 วันติด

'บิ๊กตู่' เดินสะดุดโพเดียมหน้าคะมำ ก่อนแถลง ศบค. บอกไม่ค่อยมีแรง หลังประชุมอาเซียน 3 วันติด วอนผู้ชุมนุมหยุดป่วน หวั่นเปิดประเทศแล้วต่างชาติไม่มา

29 ต.ค. 64 - ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 17/2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้หารือเป็นการส่วนตัวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ประมาณ 10 นาที

ขณะที่ช่วงเวลาเดียวกัน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน กรรมการบริหารพรรค นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ได้ยืนพูดคุยกันที่บริเวณห้องโถง ตึกสันติไมตรี ประมาณ 5 นาที ก่อนที่นายพีระพันธุ์ จะเดินเข้าไป ที่ห้องสีเหลือง ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.อนุพงษ์ พูดคุยกันอยู่

จากนั้นเวลา 13.10 น. พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินไปที่โพเดียมเพื่อแถลงข่าว แต่ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ ได้สะดุดพื้นเวทีที่ยกระดับขึ้น และเซถึงสองครั้ง ก่อนยืนตั้งหลักได้และมีสีหน้าเสียเล็กน้อย ก่อนกล่าวกับสื่อมวลชนแก้เขินว่า “เห็นไหมว่าเวลาอยู่ต่อหน้าสื่อรู้สึกจะกดดันมากไปหน่อย พอดีว่าไม่ค่อยมีแรง ประชุมมา 3 วันติด ๆ เดี๋ยวถ้าพรุ่งนี้ใครเอารูปฉันหกล้มไปเมื่อกี้ล่ะก็ มีเรื่องนะ เอาเรื่องที่เป็นสาระ”

จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ได้แถลงผลการประชุมศบค. โดยระบุว่า ตามที่ประกาศให้วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันเปิดประเทศ ต้อนรับชาวต่างชาติ 46 ประเทศ เข้ามาทางอากาศโดยไม่ต้องกักตัว ซึ่งความร่วมมือที่อยากจะได้จากประชาชนทุกคน ประกอบด้วย 

1.) ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันระมัดระวังใช้มาตรการทางสาธารณสุขอย่างเต็มที่ ข้อสำคัญต้องมีวินัยในตัวเอง ไม่เป็นผู้แพร่เชื้อ 

2.) มาตรการเดินทางเข้าประเทศเส้นทางอื่น ทางบก ทางน้ำต้องกักตัวเหมือนเดิม

“ส่วนการค้าขายชายแดน ผมให้นโยบายไปยังกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดให้ทยอยเปิดจุดผ่านแดนซื้อขายสินค้า แต่ต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัย มีมาตรการส่งสินค้าระหว่างกัน เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อ 

3.) บุคลากรทางการแพทย์ เราต้องมีแผนเผชิญเหตุ เตรียมโรงพยาบาลสนามและพื้นที่กักตัว ต้องมีความพร้อมเช่นเดิม เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจรุนแรง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนยา ได้สั่งจองยาโมลนูพิราเวียร์ไปแล้ว รวมทั้งเร่งรัดสกัดยาจากสมุนไพรไทยชนิดอื่น ๆ นอกจากยาฟ้าทะลายโจร 

4.) เมื่อประกาศเปิดรับนักท่องเที่ยว คงไม่ได้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาทันที เพราะแต่ละประเทศต้องประเมินวางแผนให้คนของเขาออกมานอกประเทศเหมือนกัน แต่การประกาศล่วงหน้าของเรามีประโยชน์ จะทำให้นักท่องเที่ยวและประเทศต่าง ๆ ได้วางแผน เตรียมการ จึงทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรก ๆ ที่เขาจะพิจารณาเดินทางในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของเรา


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top