Sunday, 5 May 2024
คนรุ่นใหม่

‘ดร.หิมาลัย’ เตือนสติคนรุ่นใหม่ การสร้างคนต้องมาก่อนสิ่งอื่น ชี้ อย่ามัวแต่ห่วงเรื่องสร้าง ‘กําแพง’ จนลืมสร้าง ‘คนเฝ้ากําแพง’

เมื่อวันที่ (14 เม.ย. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความ เปรียบเปรยการรุกรานจากศัตรูของเมืองจีนในอดีต กับสถานการณ์ในประเทศไทย ณ ขณะนี้ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ ‘ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ’ โดยระบุว่า…

ภายในร้อยปีแรก..หลังการสร้างกําแพงนั้น.. เมืองจีน...กลับถูกรุกรานถึงสามครั้ง!...

ในแต่ละครั้ง..กองทัพบกของศัตรู..ไม่มีความจําเป็น..ที่จะต้องทะลวงกําแพง..หรือปืนมันเลย..แม้แต่น้อย..!

แต่ทว่า.. ในทุกครั้ง...พวกเขาใช้วิธีติดสินบน..ยามเฝ้าประตู..แล้วเข้าทางประตูนั่นแหละ…

‘มาดามเดียร์’ แนะรัฐต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยโอบรับคนรุ่นใหม่ พร้อมดันนโยบายกองทุนไอเดียหมื่นล้านเติมทุนตามฝันคนทุกวัย

(22 เม.ย.66) น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเวทีเสวนา 'Lost & Found: ตามหาความฝันที่หล่นหายของคน Gen Z' กล่าวว่า เด็ก Gen Z หลายคนถูกบังคับให้เลือกบนทางเลือกที่จำกัดหรือแทบจะไม่มีทางเลือกเลย เด็กจบใหม่ไม่เป็นพนักงานประจำ ก็เป็นฟรีแลนซ์ แต่ก็มีไม่กี่คนมีทุนและได้เป็นเจ้าของกิจการ สำหรับคนที่ไม่มีทุนต้องแลกที่จะแยกออกมาอยู่คนเดียวในเมืองอยู่ในพื้นที่แคบเพื่อง่ายต่อการทำงาน ทำให้เกิดปัญหา Mental Health สังคมเริ่มป่วย ความรุนแรงเริ่มเกิดขึ้นกับคนที่อายุน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่ควรเกิดขึ้น 

ทั้งหมดนี้เกิดจากความเลื่อมล้ำ พรรคประชาธิปัตย์ต้องการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมกัน เพื่อให้เด็ก Gen Z สร้างฝันของตัวเองให้เป็นจริง โดยนโยบายทางการศึกษา ให้เรียนฟรีจนจบปริญญาตรีโดยเริ่มจากสาขาที่ขาดแคลนในตลาดก่อนและค่อยขยายไปสาขาอื่นๆ นโยบายธนาคารชุมชน-หมู่บ้าน กองทุนไอเดียหมื่นล้าน และกองทุนเอสเอ็มอี-สตาร์ตอัป เพื่อสานฝันให้คน Gen Z มีเงินทุนเพื่อประกอบธุรกิจทำตามความฝัน เติมต้นทุนในชีวิต และสุดท้ายคือนโยบายกระจายความเจริญออกไปสู่ภูมิภาค

น.ส.วทันยา ตั้งคำถามว่า คนทุกวัยมีเป้าหมายในชีวิต แต่บริบทสังคมอะไรที่จะทำให้เขาเข้าถึงเป้าหมาย และครอบครัว สังคม หรือรัฐบาลมีความเข้าใจที่จะส่งเสริมให้ถึงเป้าหมายหรือไม่? น.ส.วทันยา กล่าวว่า เราต้องสร้างตาข่ายที่รองรับให้คนรุ่นใหม่รู้สึกว่าถ้าเขาล้มเขายังอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ตั้งแต่รัฐสวัสดิการ ที่อยู่อาศัย หรือการดูแลของรัฐในช่วงเกษียณ นอกจากนี้รัฐต้องส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสที่เท่าเทียมให้ยืนบนลำแข้งของตัวเองให้ได้ และสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่โอบรับทุกคน สิทธิ เสรีภาพ ความรักความอบอุ่น ให้เขามีความเชื่อมั่นในตัวเองเพียงพอที่จะออกไปต่อสู้กับโลกภายนอก โดยเฉพาะความผันผวนของโลก ไม่ว่าจะเป็นสงคราม โลกร้อน โรคระบาด ฯลฯ 

‘ดร.หิมาลัย’ แนะ หยุดใช้วาทกรรม ‘ชังชาติ’ หวั่นเด็กรุ่นใหม่ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ชี้!! ผู้ใหญ่ควรป้อนข้อมูลที่ถูกต้อง อย่าให้เด็กถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 66 ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ร่วมเวทีเสวนา ‘ชังชาติ : วาทกรรมสังคม’ ซึ่งจัดโดยสภาพัฒนาเยาวชนกรุงเทพมหานคร ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) 

โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นางสาวนดา บินร่อหีม รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย, นายวรัญญู วอทอง ที่ปรึกษาของประธานสภาพัฒนาเยาวชนกรุงเทพมหานคร และนายณภณต์ เพิ่มความประเสริฐ รักษาการแทนนายกองค์การนักศึกษา มจธ. ซึ่งมี นายธารินทร์ เดชบุญช่วย รองประธานสภาพัฒนาเยาวชนกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ดำเนินการ

ภายหลังการเสวนา ดร.หิมาลัย ได้ตกผลึกเสียงสะท้อนของผู้ร่วมเสวนาและเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว โดยแสดงความเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่สังคมควรจะหยุดใช้วาทกรรม ‘ชังชาติ’ เพราะจะนำไปสู่ความแตกแยก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใหญ่ไม่ควรจะใช้คำนี้กับเด็ก ๆ ที่มีความเห็นต่าง และควรหยุดนำเด็ก ๆ ไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองจนเกิดความแตกแยก และทำให้เกิดช่องว่างทางความคิด ซึ่งจะนำไปสู่การต่อต้านและไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย

ทั้งนี้ ผู้ใหญ่ควรเปิดกว้างและอดทน รับฟังความคิดเห็นของเด็กรุ่นใหม่ในมุมมองแตกต่างให้มากขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อใจในการกล้าพูดกล้าคุย เพราะหากมีสิ่งใดที่เด็กสะท้อนออกมาแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ถูกหรือยังเข้าใจผิดอยู่ ผู้ใหญ่จะได้ชี้แนะในสิ่งที่ถูกที่ควรได้อย่างทันท่วงที ไม่ปล่อยให้เกิดเป็นความเชื่อผิด ๆ ที่จะส่งผลเสียต่อสังคมและตัวเด็กเองในอนาคต

อย่างไรก็ดี การชังชาติมีข้อดี คือ มันเห็นจุดบกพร่องก็เลยต้องพัฒนา ต้องแก้ไข ข้อเสียคือ เราจะมองไม่เห็นความดีที่เรามีอยู่เลย ผู้ใหญ่ต้องเปิดใจฟัง และร่วมเปลี่ยนแปลงแก้ไขมันไปด้วยกัน เราไม่จำต้องเห็นตรงกัน เราต้องทำให้ความน่าชังในสังคมนี้มันลดลง ยังไงวันนี้เราก็ยังต้องไปต่อด้วยกัน เพราะทุกคนก็รักชาติ 

ขณะเดียวกัน ในส่วนของประเด็นที่มีเยาวชนถามในเวทีเสวนาถึงการแก้ไขมาตรา 112 นั้น ดร.หิมาลัย ให้ความเห็นว่า ประเด็นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งก่อนอื่นต้องแยกเป็น 2 ประเด็น ข้อแรก ผู้ใหญ่ที่รู้ขอบเขตกฎหมายที่ควรทำหรือไม่ควรทำ ต้องอธิบายให้ความรู้กับเด็ก ๆ แทนที่จะใช้เด็กเป็นเครื่องมือ และข้อสอง ในบริบทของกฎหมาย ต้องยอมรับว่ากฎหมายแต่ละฉบับก็มีความล้าสมัย หรือไม่สมดุลอยู่แล้วในแต่ละยุคสมัย แต่กรอบของกฎหมายมีการออกแบบให้สามารถปรับแก้หรือยืดหยุ่นได้ด้วยตัวของกฎหมายนั้น ๆ อยู่แล้ว หากไม่มีการล้ำเส้นสิ่งที่ควรจะเป็น

เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่ต้องอธิบายให้เยาวชนเข้าใจ อย่าใช้เด็กเป็นเครื่องมือในทางที่ผิดหรือตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ทุกคนควรเคารพกฏหมายและกติการ่วมกันของสังคม หากจะแก้ไขให้ใช้แนวทางการแก้ไขทางรัฐสภาสามารถแก้ไขได้ ซึ่งที่ผ่านมาได้แก้ไขกฏหมายไปแล้วไปหลายฉบับเนื่องจากเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย

‘ดร.หิมาลัย’ ชี้ ผู้ใหญ่ใช้เด็กเป็นเครื่องมือทางการเมือง ทั้งที่รู้ดีว่าอะไรทำแล้วผิดกฎหมาย

(4 พ.ค. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตนายทหารชื่อดัง และ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีผู้ใหญ่ใช้เด็กเป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยระบุว่า…

‘ดร.หิมาลัย’ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดกับเด็กรุ่นใหม่ ย้ำชัด!! ควรหยุดวาทกรรม ‘ชังชาติ’ ก่อนทำสังคมแตกแยก

(11 พ.ค.66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ร่วมเวทีเสวนา : คนรุ่นใหม่ชังชาติจริงหรือไม่? ซึ่งจัดโดยเครือข่ายแรงใจ โดยมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจำนวนมาก 

พร้อมกันนี้ ดร.หิมาลัย ได้ให้ความเห็นว่า ในบริบทของสังคมไทยในปัจจุบัน โดยส่วนตัวแล้วไม่อยากให้ใช้คำว่า ‘ชังชาติ’ ไม่ว่ากับคนกลุ่มใด เพราะความรักชาติของคนแต่ละช่วงวัยนั้นไม่เหมือนกัน และอาจแสดงออกแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น จะต้องเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกัน

เพราะคนที่ถูกตราหน้าว่า ‘ชังชาติ’ นั้น แท้จริงแล้วเขาอาจจะรักชาติในมุมของเขาก็ได้ และแสดงออกในแบบที่เขาเชื่อว่าถูกต้องจนสุดโต่ง ส่วนคนที่บอกว่าตนเองรักชาตินั้น บางครั้งอาจจะเลยไปถึงขั้นชาตินิยม และจะไม่ยอมรับความเห็นต่างจากคนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากในบริบทของสังคมทุกสังคม จะต้องยอมรับความเห็นและให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของกรอบกฎหมาย

ดร.หิมาลัย ย้ำว่า สังคมไทยกำลังถูกวาทกรรมและความคิดของคนต่างวัยบ่อนทำลาย เพราะฉะนั้น อยากให้ผู้ใหญ่รับฟังความคิดเด็ก ๆ คนรุ่นใหม่โดยไม่ปิดกั้น เพราะความคิดของเด็กก็ไม่ใช่ว่าจะผิดทุกครั้ง และเช่นเดียวกัน ความคิดของผู้ใหญ่ก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป เรื่องบางเรื่องผู้ใหญ่ควรเรียนรู้จากเด็ก

“อยากจะยกตัวอย่างสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรเรียนรู้จากเด็กรุ่นใหม่ จากสิ่งที่เพิ่งประสบมาล่าสุด จากการที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติบางคน ที่ออกมาเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการหาเสียงจากทางพรรค ซึ่งเป็นนักการเมืองรุ่นเก่า ตนได้ชี้แจงไปว่า พรรคเราทำการเมืองตามอุดมการณ์ ใช้งบประมาณตามที่ได้รับบริจาคมา ซึ่งไม่มีมากนัก แต่เมื่อย้อนกลับไปดูผู้สมัครที่เป็นคนรุ่นใหม่ ทั้งที่อยู่ในพรรคของเราเอง และพรรคอื่น ๆ ที่มีความตั้งใจทำงานการเมืองอย่างที่อยากทำ กลับไม่มีการเรียกร้อง แต่ใช้การบริหารงบประมาณได้รับ และหาวิธีหาเสียงกับกลุ่มเป้าหมายโดยไม่ย่อท้อ ซึ่งตรงนี้ต้องขอยกย่องและเป็นสิ่งที่นักการเมืองรุ่นเก่าหรือผู้ใหญ่จะต้องเรียนรู้และปรับตัว”

ขณะที่ ส่วนประเด็นที่หลายคนกล่าวหาว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคเผด็จการนั้น ดร.หิมาลัย ชี้แจงว่า จากการที่ได้ทำงานร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์อย่างใกล้ชิด และท่านได้ตัดสินใจทำการเมืองต่อ ไม่ใช่เพราะการอยากจะสืบต่ออำนาจแต่อย่างใด เพียงแต่ท่านเห็นว่ายังมีสิ่งที่ยังน่ากังวล และต้องการทำสิ่งที่เริ่มต้นมาแล้วให้สำเร็จลุล่วง แต่ในขณะเดียวกันท่านได้ย้ำเสมอว่า การจะได้ทำต่อหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน ถ้าประชาชนเห็นว่าสิ่งที่ท่านทำมาตลอดนั้นมีประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ถ้าประชาชนไม่ให้ไปต่อ ก็ต้องยอมรับ เพราะท่านยึดหลักในระบอบประชาธิปไตย อำนาจอยู่ที่ปลายปากกาของประชาชน และไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเช่นไรท่านก็พร้อมจะยอมรับ

‘ศิลัมพา’ ยก ‘บิ๊กตู่’ ตัวจริงวางรากฐานประเทศ แนะ ‘คนรุ่นใหม่’ ศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ

(11 พ.ค.66) นางสาวศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กรุงเทพมหานคร เขต 24 เบอร์ 7 กล่าวถึงกรณีที่พรรคการเมืองบางพรรค หาเสียงด้วยการเน้นโปรโมตนโยบายที่จะทำเพื่อคนรุ่นใหม่ โดยระบุว่า...

พรรคการเมืองที่หาเสียงด้วยการเคลมว่า เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ และพร้อมจะดำเนินนโยบายเพื่อคนรุ่นใหม่นั้น ถือเป็นการขายสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และเมื่อมองย้อนกลับไปดูผลงานของรัฐบาล ที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเห็นว่า โครงการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการมานั้น ล้วนทำเพื่อคนไทยทุกกลุ่ม และยังได้วางรากฐานไว้เพื่อเด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่ด้วย

ยกตัวอย่างโครงการที่ดำเนินการไปแล้ว ที่จะเกิดประโยชน์กับคนรุ่นใหม่ เช่น โครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ ‘อีอีซี’ ที่จะสร้างตำแหน่งงานนับแสนตำแหน่ง, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และการสนับสนุนอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่จะเป็น New S Curve ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยในอนาคต

ขณะเดียวกัน รัฐบาลที่ผ่านมายังได้วางโรดแมปในการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศไทย โดยเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาป มุ่งสู่อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ EV ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยตกขบวน และสูญเสียตลาดไปให้กับประเทศคู่แข่ง

รวมไปถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายต่างในกรุงเทพมหานคร ซึ่งในปีนี้จะเริ่มเปิดทดลอง 2 สาย คือสายสีเหลืองและสายสีชมพู และในอนาคตอันใกล้ จะเชื่อมโยงสายสีต่างให้สามารถเดินทางได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ที่ผ่านมา ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ ได้ผลักดันโครงการต่าง ๆ สำเร็จไปแล้วจำนวนมาก แต่ก็ยังมีอีกหลายส่วนที่ยังต้องผลักดันต่อ อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ตั้งระเบียงเศรษฐกิจใหม่ 4 ภาค รวมถึงสร้างโอกาสให้คนตัวเล็กด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และยังมีอีกหลายนโยบายที่จะต้องทำต่อ เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้น

“ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง เราเริ่มเห็นพรรคการเมืองบางพรรคการ ชูนโยบายมุ่งเจาะฐานเสียงคนรุ่นใหม่ด้วยวาทกรรมต่าง ๆ รวมถึงการขายฝันโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่อยากจะฝากถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่พิจารณาข้อมูลให้ถี่ถ้วนว่า โครงการที่นำมาหาเสียงนั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ในขณะที่พลเอกประยุทธ์ ได้ลงมือทำให้เห็นเป็นรูปธรรมจับต้องได้อย่างชัดเจนมาแล้ว ไม่ใช่แค่การสรรหาวาทกรรมที่สวยหรูมาหาเสียงเท่านั้น และสุดท้ายปลายทางสิ่งที่พลเอกประยุทธ์ได้ทำมานั้น ล้วนเกิดประโยชน์กับคนไทยทุกคน” น.ส.ศิลัมพา กล่าว

ประชาชนต้องปรับตัว ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยน คนรุ่นใหม่ คนรุ่นเก่า ต้องอยู่กันต่อไป ชาติสำคัญที่สุด

ผู้ใช้ facebook ที่ชื่อว่า Napha Wong ได้โพสต์คลิปชายหนุ่มพูดถึงพรรคส้ม โดยมีใจความว่า

มันเป็นไปตามที่คิดและอยากให้เป็นกับการเลือกตั้งที่พรรคส้มได้ชัยชนะ แต่กลับไม่รู้สึกยินดีที่ไทยนั้นถูกครอบงำโดยชาติตะวันตก และความทันสมัย เห็นดีเห็นงานกับระบอบทุนนิยม มีงาน มีบ้าน มีรถ 

ซีเกมส์ที่ผ่านมาเราเป็นประเทศที่ทุกคนอิจฉา อยากจะเป็นอย่างเรามาก แต่ไม่สามารถเป็นอย่างเราได้เพราะ เราเป็นประเทศที่มีเอกราช และมีคนเก่ง แต่สิ่งเหล่านี้ เราจะสูญเสียไปในทันที ที่เราตกเป็นเมืองขึ้นทางความคิดของทางชาติตะวันตก 

หากเราตกเป็นทาสเขาเมื่อไหร่ เราจะไม่สามารถกำหนดอะไรได้เองเลย ก็หวังว่าสิ่งที่กังวลจะไม่เป็นจริง 

การเมืองไทย’ น่าเป็นห่วง เมื่อคนรุ่นใหม่เชิดชูแนวคิดสุดโต่ง หลงตัวเองว่าใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน สุดท้ายจะกลายเป็นคนที่ไร้ราก

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 66 ‘ผักกาดหอม’ คอลัมนิสต์ ได้เขียนบทความ ‘สุดโต่ง-สุดตรีน’ ที่กล่าวถึงประเด็นที่กลุ่มคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าในปัจจุบัน มีแนวคิดที่สุดโต่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จนดูเหมือนจะเป็นการฝืนธรรมชาติ โดยเนื้อหาบทความระบุว่า…

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 66 ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดง FC พรรคเพื่อไทย เดินทางไปรวมตัวที่หน้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยถอนตัวออกมาจากการร่วมรัฐบาล

ทำไมเป็นงั้นล่ะครับ?

มิตรรักแฟนเพลงทุกพรรค อยากให้พรรคที่ตัวเองเลือกเป็นรัฐบาลกันทั้งนั้น มันมีเหตุผลอะไรให้ FC พรรคเพื่อไทยกลุ่มนี้ อยากให้พรรคที่รักไปเป็นฝ่ายค้าน

ไปดูข้อเสนอ 5  ข้อกันครับ

1.) ให้ทบทวนถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลในครั้งนี้
2.) ให้เกียรติพรรคอันดับ 1 ได้รวบรวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลตามมารยาททางการเมือง
3.) ให้โหวตสนับสนุนแคนดิแดตนายกรัฐมนตรี ที่มาจากพรรคที่ได้อันดับ 1
4.) ให้โหวตสนับสนุนกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน
5.) ถ้าพรรคอันดับ 1 ไม่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ ให้พรรคเพื่อไทยใช้สิทธิในการเป็นพรรคอันดับ 2 รวบรวมเสียงข้างมาก เพื่อจัดตั้งรัฐบาลและนำนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชน มาผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป หรือแล้วแต่พรรคจะใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่น

เป็น 5 ข้อเสนอที่ลึกซึ้งทีเดียวครับ

ไม่เชี่ยวชาญการเมืองจริง ไม่มีทางเขียนข้อเสนอที่ซับซ้อนในการแสดงท่าทีแบบนี้ได้ โดยเฉพาะข้อ 3 ที่เข้ากันไม่ได้เลยกับข้อ 1

FC กลุ่มนี้เก่งครับ วางเพื่อไทยไว้เหนือทุกพรรคการเมือง สปิริตสูงครับ แต่หลังฉากเป็นคนละเรื่องครับ กะกินรวบ เป็นเรื่องยากมากครับ ที่ก้าวไกลจะล็อบบี้ ส.ว. กว่า 60 คน ให้ช่วยโหวต ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกรัฐมนตรี

ฉะนั้น การที่เพื่อไทยโหวตให้ ‘พิธา’ เป็นนายกฯ จะได้ใจสีส้มไปเต็มๆ แต่ผลลัพธ์ คือ สิ่งที่ต่างออกไป

เพื่อไทยรู้ดีอยู่แล้ว เสียงสนับสนุน ‘พิธา’ เป็นนายกฯนั้นไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา การวางหมากถอยออกมาจากก้าวไกล และเริ่มจัดตั้งรัฐบาลในฐานะพรรคอับดับ 2 คือ แผนที่วางไว้ตั้งแต่ต้น

ที่มีข่าวว่าเริ่มได้กลิ่นตุตุ ก้าวไกล จะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน มันถูกกำหนดตั้งแต่หลังรู้ผลเลือกตั้งแล้ว

FC เพื่อไทยกลุ่มนี้มาช่วยโยนหินถามทางถึงหน้าพรรค ให้ทบทวน และถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ แต่ช่วยโหวตให้ ‘พิธา’ เป็นนายกฯ เป็นทางออกที่ลงตัวที่สุด ถูกด่าน้อยที่สุด ใครจะบอกว่าทรยศหักหลังก็ไม่ได้ เพราะก้าวไกลในฐานะพรรคอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เอง

สอดคล้องกับการเดินสายพบปะผู้คนของว่าที่คณะรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ที่ไม่ได้รับเสียงตอบรับสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจที่มีคำถามว่า ‘พัฒนา’ หรือ ‘หายนะ’ ???

เช่น ‘ศิริกัญญา ตันสกุล’ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงวิสัยทัศน์ตามตำราเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น แต่ประสบการณ์เชิงบริหารยังไม่มี วิสัยทัศน์จึงขาดๆ เกินๆ

ตัวดึงก้าวไกล อย่าง ‘อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล’ ก็สร้างปัญหาให้พรรคห่างจากการจัดตั้งรัฐบาลไปเรื่อยๆ

รู้อยู่แล้วว่า ม.112 คือ ‘จุดตาย’ ของก้าวไกล แต่กลับเอามาตอกย้ำให้เห็นถึงเป้าหมายที่แท้จริงของก้าวไกล ว่าไม่เคยลดราวาศอกแม้แต่นิดเดียว

‘อมรัตน์’ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กข้อความว่า

“ม.112 นี่ครอบคลุมถึงพระสยามเทวาธิราชด้วยรึเปล่า?”

คิดว่าคนโพสต์มีทัศนคติกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และ ม.112 อย่างไรครับ? ถึงได้เอาพระสยามเทวาธิราช มาล้อเล่นกับการเมือง พระสยามเทวาธิราชศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่? ก็แล้วแต่คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ห้ามกันไม่ได้

แต่ ‘พระสยามเทวาธิราช’ มีที่มาที่ไป และผูกโยงกับความเป็นไทย

สยามตอนต้นรัตนโกสินทร์หวุดหวิดจะกลายเป็นอาณานิคมของฝรั่งตะวันตกอยู่หลายครั้ง แต่ก็รอดมาทุกครั้ง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชดำริว่า เมืองไทยนี้มีเหตุการณ์หวิดๆ จะต้องเสียอิสรภาพมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่เผอิญมีเหตุให้รอดพ้นภัยมาได้เสมอ ชะรอยจะมีเทพยดาองค์ใดองค์หนึ่งที่คอยพิทักษ์รักษาไว้ จึงเห็นสมควรจะทำรูปเทพองค์นั้นขึ้นถวายสักการะบูชา

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ (พระเจ้าหลานเธอ ในรัชกาลที่ 1) นายช่างสิบหมู่ ทรงปั้นรูปเทพองค์นั้นขึ้น แล้วหล่อด้วยทองทั้งองค์

ทรงถวายพระนามว่า ‘พระสยามเทวาธิราช’

คนไม่เชื่อก็มองว่าเป็นแค่ ‘ทองคำหล่อ’ มิได้มีความสำคัญต่อบ้านเมืองแต่อย่างใด

คนที่เชื่อ ก็รู้ครับว่าเป็น ‘ทองคำหล่อ’ แต่มีมูลค่าทางจิตใจเหลือคณานับ เป็นศูนย์รวมทางจิตใจยามที่ประเทศมีปัญหาไร้ซึ่งทางออก

จิตใจเป็นเรื่องสำคัญ หากประชาชนส่วนใหญ่มีจิตใจทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ปัญหาจะทุเลาเบาบางลง

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่สุด จะทำอะไรก็ได้ ไม่สนใจชาติ ศาสน์ กษัตริย์ การเสียสมดุลจะบังเกิด สุดท้ายจะกลายเป็นประชาชนที่ไร้ราก

ฉะนั้น ฝากไปถึงก้าวไกล ใช่ ส.ว.จะมองแค่เรื่องแก้หรือไม่แก้ ม.112 อย่างเดียว ท่าทีที่ไม่เป็นมิตร และก้าวร้าวต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทำกันมาต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ ส.ว.จะยกมือเลือกหรือไม่เลือก ‘พิธา’ เป็นนายกรัฐมนตรี

ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับนักธุรกิจ นักลงทุน ที่เริ่มกลัวว่า หากก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะก่อปัญหาเรื่องต้นทุนจนไม่อาจสู้ ประเทศเพื่อนบ้านได้

อ่านโพสต์ของ ‘นันทิวัฒน์ สามารถ’ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เรื่อง ‘Gang of 4’ แล้วอดคิดไม่ได้

“... สภาพการณ์การเมืองไทยตอนนี้ ยังอยู่ในขั้นยัน เป็นช่วงของการต่อรองเพื่อผลประโยชน์และความได้เปรียบทางการเมืองของนักการเมือง จะจบยังไงปล่อยวางไว้ก่อน น่าเป็นห่วงต่อแนวความคิดของกลุ่มวัยรุ่น ที่ถูกอ้างว่าเป็น ‘มวลชน’ ของคนก้าวหน้าที่นิยมความรุนแรง ชอบการข่มขู่ ขยันลงถนน แถมชื่นชมแนวคิดพ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงลูก ไม่ถือเป็นบุญคุณที่จะต้องตอบแทน ไม่ต้องนับถือผู้อาวุโสกว่าด้วยการเรียกขาน ‘ลุง ป้า น้า อา’ ให้ใช้สรรพนาม ‘คุณ ผม’ แทน

ประการสำคัญ ปลุกระดมต่อต้านให้ยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 ที่ใช้ปกป้องสถาบันฯ อยากสะท้อนพัฒนาทางการเมืองของไทยในเวลานี้ คล้ายๆ กับเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นในจีน ในยุคของการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน มีกลุ่มบุคคลในพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่พยายามที่จะยึดอำนาจการนำในพรรคคอมมิวนิสต์จีน และพยายามทำลายล้างคู่แข่งทางการเมือง กลุ่มนึ้ประกอบด้วย เจียงชิง เมียของประธานเหมาเจ๋อตุง จางชุนเฉียว เหยาเหวินหยวน และหวังหงเหวิน และถูกเรียกว่า ‘Gang of Four’ หนึ่งหญิงสามชาย เหมือนหรือคล้ายกับเมืองไทยหรือไม่?

ในช่วงปี 1966 – 1976 แก๊ง 4 คนของจีน ได้ตั้งกลุ่มเยาวชนเรดการ์ด ที่มุ่งมั่นทำลายระบบความเชื่อเดิมๆ ของจีน ทำลายแนวคิดทุนนิยม รื้อเลิกระบบครอบครัว ให้เยาวชนเรดการ์ดตรวจสอบพ่อแม่ ลากพ่อแม่เอาแห่ประจานกลางเมืองในข้อหาเป็นนายทุนจักรวรรดินิยม รวมทั้ง เติ้งเสี่ยวผิง ที่ถือว่าเป็นศัตรูทางการเมือง เป็นตัวแทนของการพัฒนาจีนให้ทันสมัย

แต่สุดท้ายแก๊งออฟโฟร์ถูกกำจัดและติดคุก ผู้นำแนวความคิดทุนนิยม คือ ‘เติ้งเสี่ยวผิง’ ได้กลับเข้ามามีอำนาจและพัฒนาประเทศจีนด้วยนโยบายสี่ทันสมัย ฟื้นฟูจีนกลับสู่วัฒนธรรมดั้งเดิม

อะไรที่มันสุดโต่ง ไปไม่รอดหรอก ฝืนธรรมชาติ…”

วันนี้เราเผชิญกับนักการเมืองสุดโต่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่สุดท้ายแล้ว พระสยามเทวาธิราช ยังคงคุ้มครองให้ประเทศไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ครับ

‘ดร.หิ’ ห่วงกระแส ‘ความกตัญญู’ ของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนผัน ชี้ อาจทำคนไทยแข็งกระด้าง ทำลายรากฐานอันดีงามของสังคม

เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 66 ดร. หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘คุยกับ ดร. หิมาลัย’ ถึงประเด็นค่านิยมความกตัญญูของสังคมไทยในปัจจุบัน ที่ค่อนข้าง ‘น่ากังวล’ เป็นอย่างยิ่ง โดย ดร. หิมาลัย ระบุว่า…

กระแสความกตัญญูของสังคมไทยในตอนนี้เป็นเรื่องที่ตนเป็นห่วง ยิ่งกว่าเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล และการเมืองเสียอีก ซึ่งตนไม่ทราบว่าแนวคิดเช่นนี้เข้ามาในสังคมได้อย่างไร

“ผมขอบอกเลยว่า แนวคิดเช่นนี้ เป็นแนวคิดที่ทำลายรากฐานความคิดของคนไทย ทำลายความคิดพื้นฐานดั้งเดิมไปจนหมด และเห็นได้ชัดว่าทุกวันนี้ เด็กรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่ก็ยึดหลักแนวคิดความเท่าเทียม ที่ทุกอย่างต้องเท่าเทียมไปเสียหมด แนวคิดที่บอกว่าพ่อแม่ไม่ได้มีบุญคุณ เพราะเป็นฝ่ายทำให้เกิดขึ้นมาเอง โดยที่ลูกไม่ได้มีโอกาสเลือก ดังนั้นจึงต้องดูแลตามหน้าที่ หากมองในมุมของเขาก็อาจจะถูก เพราะเหรียญย่อมมี 2 ด้าน แต่ในบริบทของสังคมนั้น มีหลายด้าน หลายแง่มุมยิ่งกว่าเหรียญเสียอีก

หากมองแนวคิดนี้ในมุมของคนรุ่นใหม่ก็อาจมองได้ เพราะก็เหมือนกับการมองว่า พ่อแม่ทำให้ลูกเกิดมาก็มีหน้าที่ต้องเลี้ยงลูก เหมือนกับการซื้อสัตว์เลี้ยงก็ต้องรับผิดชอบดูแล เหมือนกับการที่คุณครูมีหน้าที่สอนหนังสือตามการจ้างงาน รัฐบาล หรือเหมือนกับการที่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องดูแลรับใช้ประชาชน เพราะประชาชนเป็นผู้เสียภาษีให้ จะมองอย่างนี้ก็ย่อมได้ แต่การมองบริบทสังคมแบบนี้ ผมคิดว่าเป็นการมองแบบ ‘ไร้หัวใจ’” ดร. หิมาลัย กล่าว

ดร. หิมาลัย ยังได้เล่าถึงแง่มุมชีวิตส่วนตัว ถึงเรื่องราวของคุณแม่ที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงของตน พร้อมเล่าว่า ตนนั้นจะเข้าไปกราบเท้าของคุณแม่ที่เตียงเป็นประจำทุกวัน ทั้งเช้าและเย็น ก่อนไปทำงาน และหลังกลับมาจากการทำงาน

“ความกตัญญู เป็นเรื่องของ ‘ความรู้สึก’ ไม่ใช่ข้อบังคับทางกฎหมาย” ดร. หิมาลัย กล่าว

เมื่อถามไปถึงเรื่องของรัฐสวัสดิการ ดร. หิมาลัย กล่าวว่า รัฐสวัสดิการเป็นการตอบโจทย์ทางการเมือง และการดูแลประชาชน ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะมาบริหารประเทศ และการจัดตั้งรัฐสวัสดิการเพื่อดูแลประชาชน ซึ่งรัฐสวัสดิการในแต่ละประเทศก็มีความแตกต่างกันออกไป ตามฐานเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ เพราะฉะนั้น เรื่องของรัฐสวัสดิการ และความกตัญญู ควรแยกจากกัน เพราะรัฐสวัสดิการ เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย ส่วนความกตัญญู เป็นเรื่องของจิตใจ ความรู้สึกของแต่ละคน ซึ่งความรู้สึกของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน และไม่มีถูกหรือผิด

“ผมมองว่า เป็นเรื่องของความเชื่อ ซึ่งแต่คนก็มีความเชื่อที่ไม่เหมือนกัน น้อง ๆ คนรุ่นใหม่อาจจะมองว่า เป็นเรื่องของหน้าที่ที่แต่ละคนต้องทำ” ดร. หิมาลัย กล่าว

นอกจากนี้ ดร. หิมาลัย ยังได้บอกเล่าชีวิตการเรียนในวัยเด็กของตนอีกว่า เวลาที่ตนนั้นโดนคุณครูตี ตนมองว่าครูไม่ได้ตีด้วยความโกรธ หรือความเคียดแค้น แต่ตนมองว่าคุณครูท่านอยากจะสั่งสอน และดัดนิสัยที่เกียจคร้านของตนเสียมากกว่า และยังกล่าวถึงความใจดีมีเมตตาของคุณครูที่ท่านคอยให้กำลังใจ และช่วยเหลือตนมาตลอดด้วยความจริงใจ ไม่ได้ทำเพียงเพราะคิดว่าเป็นหน้าที่ แต่เป็นความห่วงใย ความรัก และความผูกพันของคุณครูที่มีต่อลูกศิษย์ทุกคน

“ผมเชื่อว่า สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ มันอยู่ในหัวใจ เพราะฉะนั้น หากคิดว่าการมีรัฐสวัสดิการที่ดี ที่ช่วยให้พ่อแม่สามารถดูแลตัวเองได้ในยามแก่ชรา เพื่อที่ลูกหลานจะได้ไม่ต้องคอยไปดูแลแบบที่คนรุ่นใหม่คิด จะคิดแบบนี้ก็อาจไม่ผิด เพียงแต่ผมมองว่า ที่ผ่านมานั้น ความกตัญญูทำให้สังคมไทยอบอุ่น เพราะที่ผ่านมา อาชีพนักจิตวิทยา แทบจะตกงานกันหมด เนื่องจากไม่มีคนไปปรึกษา แต่ในปัจจุบันนี้ อาชีพนักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์นั้น ได้รับการตอบรับที่ดีมาก

ผมไม่ได้บอกว่า เด็กรุ่นใหม่ที่คิดอย่างนี้ คือ ความคิดที่ผิดนะ เพียงแต่ความคิดของผมอาจเป็นชุดความคิดของคนรุ่นเก่าที่ล่าสมัย เป็นความคิดที่แก้ไม่ได้แล้ว ดังที่เขากล่าวกันว่า “ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก” เพราะหากจะให้ผมไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่รักพ่อแม่ ผมก็ทำไม่ได้ หากพ่อแม่ผมจะมีชีวิตที่ดี กินดีอยู่ดีจากรัฐสวัสดิการแล้วทำให้ผมไม่มีภาระต้องกลับไปดูแล ผมก็ทำไม่ได้ เพราะผมก็มีความรัก ความผูกพัน และคิดถึงท่านอยู่เสมอ ซึ่งการที่ผมยังยึดถือความกตัญญูก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด น้องๆ รุ่นใหม่ที่คิดอีกแบบก็ไม่ผิด เพราะเป็นชุดความคิดที่มีบริบทที่แตกต่างกัน” ดร. หิมาลัย กล่าว

อย่างไรก็ตาม ดร. หิมาลัย กล่าวว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ต้องแล้วแต่ว่าบริบทสังคมในอนาคตต่อจากนี้ไป จะเดินหน้าไปในทิศทางไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจห้ามได้

“ผมต้องขอฝากคนรุ่นใหม่ที่ยังมีความรู้สึกดีๆ ต่อครอบครัว ลูก ๆ คนไหน ยังมีความรู้สึกว่า พ่อแม่ยังเป็นสิ่งที่น่าเคารพ ก็ขอให้รักษาสิ่งนี้เอาไว้ เพราะการที่ได้เกิดมามีครอบครัวที่อบอุ่นนั้น นับว่าเป็นความโชคดี”

ดร. หิมาลัย กล่าวทิ้งท้าย

‘มธ.-ปตท.’ จับมือพัฒนาสถานีบริการ NGV ธรรมศาสตร์รังสิต เพิ่มพื้นที่สีเขียวพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

รองศาสตราจารย์เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (ปตท.) พร้อมด้วยผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ปตท.ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีบริการ NGV ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต สู่แหล่งรวมบริการที่หลากหลายทั้งด้านพลังงานในอนาคต ศูนย์รวมสินค้าและบริการที่ตรงกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่สะดวกสบายเข้าถึงได้ง่าย ภายใต้แนวคิด ‘Greenity+’ ในรูปแบบการผสมผสานการใช้งานพื้นที่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด และการให้บริการและสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานในพื้นที่ (Mixed Used Station)

ซึ่งประกอบด้วย สถานีให้บริการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ชนิดพิเศษ (NGV Plus Station) สถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (Charging Station) พื้นที่ทำงานร่วมของนิสิตนักศึกษา (Co-working Space) และพื้นที่กลางแจ้งส่วนกลางที่มีความร่มรื่นจากพื้นที่สีเขียว (Outdoor Common Space) รวมถึงนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลายทั้งร้านค้า ร้านอาหาร - เครื่องดื่ม ในรูปแบบทั้งไดร์ฟ-อิน (Drive-in) และ ไดร์ฟ-ทรู (Drive-through) เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้บริการที่ต้องการนั่งรับประทานอาหารในร้าน และผู้ใช้บริการที่ต้องการความสะดวกสบายในการรับอาหาร รวมถึงเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทาง และเป็นพื้นที่เรียนรู้เกี่ยวกับด้านพลังงานสะอาด โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2568 ด้วยงบประมาณ 105 ล้านบาท
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top