Saturday, 4 May 2024
คนรุ่นใหม่

วิกฤตคนหนุ่มสาวจีน ‘หมดไฟ-ไม่อดทน-ไร้ความพยายามสู้ชีวิต’ อ้าง!! แรงแข่งขันสูงในสังคม ผลักให้กลับมาเกาะพ่อแม่กิน

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกช่องหนึ่ง ชื่อ ‘daodiy’ ออกมาเล่าถึงสถานการณ์ในสังคมยุคปัจจุบัน ที่กำลังเกิดวิกฤตจากการที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ขาดความพยายามในการเอาตัวรอดในสังคม และหันมาพึ่งพาพ่อแม่มากขึ้น โดยเจ้าของช่องได้ระบุว่า…

ในปัจจุบัน กลุ่มคนรุ่นใหม่ในจีนที่ยังต้องพึ่งพาพ่อแม่อยู่ หรือที่เรียกกันว่า ‘เกาะพ่อแม่กิน’ มีจํานวนอัตรามากกว่า 270 ล้านคนทั่วประเทศ โดยคนกลุ่มนี้ ในภาษาจีนมีชื่อเรียกว่า ‘เขินเหล่าจู๋’ (啃老族) ซึ่งถ้าแปลเป็นตรงตัวจะหมายถึง ‘กลุ่มคนที่กัดกินผู้สูงอายุ’

กลุ่มคนที่กัดกินผู้สูงอายุเหล่านี้ กำลังมีจํานวนที่เพิ่มมากขึ้นในสังคมจีน และแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต ประเด็นสําคัญที่ทําให้คนกลุ่มนี้ มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คือ

1.) ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่เป็นลูกคนเดียวของที่บ้าน โดยคนกลุ่มนี้จะได้รับการประคบประหงม ถูกดูแลอย่างดีจากคุณพ่อคุณแม่ ตั้งแต่เด็กจนโต โดยเฉพาะคนที่เกิดในช่วงปี 1985 ถึงประมาณ 1990 เป็นต้นไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว คนกลุ่มนี้มักจะเติบโตมาในครอบครัวที่มีอันจะกิน จึงทําให้พวกเขานั้นไม่มีความสามารถที่จะต่อสู้กับคนในสังคมได้มากนัก หรือก็คือ ‘ขาดทักษะในการเอาตัวรอด’ นั่นเอง เพราะว่าคนกลุ่มนี้นั้นพึ่งพาครอบครัวของเขามาตลอด

2.) การศึกษา ในระบบการศึกษาของจีนนั้นยังเน้นสอนแบบการ ‘ท่องจํา’ เป็นส่วนใหญ่ ทำให้เด็กจีนมีทักษะในการเอาตัวรอดในสังคมค่อนข้างน้อย เพราะฉะนั้น นักศึกษาที่เรียนจบไปส่วนใหญ่ มักจะเก่งแค่เรื่องของทฤษฎีและวิชาการ แต่ในด้านการปฏิบัติเมื่อต้องออกไปเจอสังคมภายนอก อาจจะทำให้เอาตัวรอดได้ยาก

3.) เศรษฐกิจของจีน สังคมในที่ทํางานส่วนใหญ่นั้นมักจะมีความกดดัน หรือการแข่งขันกันค่อนข้างสูงและรุนแรง ทําให้คนรุ่นใหม่หลายคนเกิดความเหนื่อยล้า จนยอมแพ้และลาออกจากงาน เพื่อกลับไปบ้านกับพ่อแม่ จนในที่สุดก็กลายเป็นกลุ่มคนที่เกาะพ่อแม่กินนั่นเอง

4.) ระบบในสังคมจีน ซึ่งยังเป็นระบบของที่มีการใช้ ‘ความสัมพันธ์’ (Relationship) หรือที่เรียกกันว่า ‘ระบบเส้นสาย’ ในสังคมค่อนข้างสูง ทำให้คนที่มีเส้นสายสามารถเข้าไปอยู่ในหน่วยงานดีๆ ได้ทํางานที่ดีๆ ส่วนคนที่ไม่ได้มีพื้นฐานทางครอบครัวที่ดีนัก หรือว่าที่บ้านไม่ได้มีเส้นสาย ก็ต้องไปต่อสู้ แก่นแย้งกับคนที่มีเส้นสาย ทําให้คนกลุ่มนี้ ขาดกำลังใจ เกิดความหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต และสุดท้ายก็กลับไปอยู่บ้าน ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมจีน และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงยิ่งขึ้นในอนาคต

แล้วที่ ‘ประเทศไทย’ ล่ะ… เป็นอย่างไรบ้าง?

‘ประเสริฐ’ ยก ‘อุ๊งอิ๊ง’ มีความรู้-ภาวะผู้นำ เหมาะนั่ง ‘หน.พรรค’ ชี้!! ถึงยุคของคนรุ่นใหม่ ขับเคลื่อน ‘เพื่อไทย’ ไปข้างหน้า

(24 ต.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมวิสามัญพรรคเพื่อไทย วันที่ 27 ตุลาคม ที่มีกระแสข่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย จะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค และนายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย จะขึ้นเป็นเลขาธิการพรรค ว่า ขอให้รอดูว่ากรรมการพรรคชุดใหม่จะเป็นใครบ้าง ขอให้รอดูการลงคะแนนเสียงของสมาชิกพรรค ว่ากรรมการบริหารพรรคชุดใหม่จะเป็นใครบ้าง

เมื่อถามย้ำถึงกระแสข่าวที่ออกมา นายประเสริฐกล่าวว่า เป็นกระแสข่าวสมาชิกหลายท่าน เห็นว่า น.ส.แพทองธารมีความเหมาะสมเป็นหัวหน้าพรรค มีภาวะความเป็นผู้นำ และมีองค์ความรู้ในการขับเคลื่อนพรรค จึงขอให้รอดูการโหวตของสมาชิกพรรค

เมื่อถามว่า ในฐานะรักษาการเลขาฯ หากได้รับการเสนอชื่อจะรับตำแหน่งหรือไม่ หรือจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนายสรวงศ์ตามกระแสข่าว นายประเสริฐกล่าวว่า ขณะนี้คงเป็นเวลาของคนรุ่นใหม่ในการเข้ามาทำงาน ตนรับตำแหน่งเลขาฯ มา 3 ปี ตอนนี้คงเป็นช่วงเวลาที่พรรคเพื่อไทยจะสร้างคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน ตอนนี้น่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่ตนแล้ว ส่วนทิศทางการเดินของพรรคเพื่อไทย หลังได้กรรมการบริการพรรคชุดใหม่ จะมีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้น ทั้งกระบวนการทำงาน การวางยุทธศาสตร์เพื่อเตรียมพร้อมในการเลือกตั้งครั้งถัดไป

‘พงศ์พรหม’ ห่วง!! เด็กรุ่นใหม่ ยิ่งคิดถึงตัวเองมาก ความสุขก็ยิ่งลด แนะ!! มนุษย์ต้อง ‘ห่วงใยกัน’ เพื่อป้องกันการดิ่งสู่ ‘ซึมเศร้า-ฆ่าตัวตาย’

ไม่นานมานี้ นายพงศ์พรหม ยามะรัต ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Pongprom Yamarat’ ระบุว่า...

1.) ขึ้น BTS ลงสถานีสยาม ทางลงบันไดเลื่อนมีวัยรุ่นยืนขวางทางลง คนต้องยืนต่อแถวยาว ลงไม่ได้ 

ลงมาอีกที เจอวัยรุ่นสาวสวยยืนขวางอีก เลยต้องบอกดีๆ ว่าน้องครับ ทางซ้ายคือเดิน ทางขวาคือยืน รบกวนยืนทางขวาครับ แล้วยิ้ม

ปรากฏว่าน้องไม่ยิ้มด้วย กลับเถียงว่า “ทำไมหนูถึงต้องหลบ?”

ผมเลยต้องสอนเรื่องมารยาทด้วยเสียงเข้มๆ กลับ

แต่ดูหน้าน้องแล้ว ‘สิทธิ ตัวตน’ ของน้องคงทำให้ไม่ฟังอะไร…

2.) ตกบ่ายที่หน้าห้องน้ำ Community Mall มีผู้สูงอายุกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ

วัยรุ่นคนแรกเดินสวนออกไปโดยไม่ให้ผู้สูงอายุเข้ามาก่อน และไม่เปิดประตูให้

วัยรุ่นคนที่ 2 แต่งตัวดี เนี้ยบเหมือนคนแรก เหมือนออกมาจากปกนิตยสารก็เดินสวนตามออกไป โดยให้ผู้สูงอายุที่กำลังจะเข้าห้องน้ำหลบอีก

ส่วนผม คน Gen X
ผมเดินไปเปิดประตูห้องน้ำ ค้างไว้ให้ผู้สูงอายุ แล้วพูดว่า “เชิญเข้ามาก่อนครับ” และยิ้มให้

มันคงอยู่ใน DNA คน Gen X แหละ ว่าเราต้องให้ Priority กับผู้สูงอายุ เด็ก และสตรี

3.) จอดรถไฟกะพริบอยู่ ก็มีวัยรุ่น รุ่นประมาณข้างบนเดินมาถามว่า “รถเสียรึเปล่าพี่ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?” ก็ตอบไปว่า “จอดรอครับ ขอบคุณมากครับ”

ยังดีครับ
ใน 8 คน ยังหามีน้ำใจได้ 1 คน
วัยรุ่นดีๆ ก็ขอชม

แต่พวก ‘Gen me, only me and myself’ ก็น่าเป็นห่วงจริงๆ และเยอะขึ้นมาก

ยิ่งคิดถึงตัวเองมาก ความสุขก็ลด

อัตราการป่วย Depression ก็สูงตาม ฆ่าตัวตายก็สูงตาม

เพราะลืมนึกว่ามนุษย์ต้องมีคำว่า ‘ห่วงใยกัน’ ครับ

ปล. รูปที่แปะมา เป็นสภาพลานจอดรถสวนเบญจกิติ วัยรุ่นที่มาถ่ายภาพกัน ทิ้งขยะเกลื่อนตั้งแต่ skywalk ยันลานจอดรถ

คนรุ่นก่อน เช่น ยุค Baby Boomer ไทย อาจล้าหลังหน่อย อันนี้เข้าใจ แต่คนรุ่นใหม่ก็อย่าล้าหลังตามสิครับ

'โซเชียล' ติง!! บางคนไม่ลุกช่วงเพลงสรรเสริญฯ ขึ้น 'งานโขนพระราชทาน' แต่กลับลุกเดินก้าวล่วงสิทธิผู้อื่น ที่มีใจสงบในการรับชมโขน

(6 พ.ย. 66) กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วโซเชียล หลังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์ข้อความชวนคิด ระบุว่า..

วันนี้เพื่อนผมไปดู ‘โขนพระราชทาน’ มาครับ

ได้เจอสองท่านนี้ = ไม่ลุกขึ้นยืนแสดงความเคารพ ช่วงเพลงสรรเสริญฯ ขึ้น!

(ในขณะที่ทุกคนรอบตัวลุกขึ้นยืนทั้งหมดเลย) 

(**ตามภาพ ถ่ายตอนช่วงพักครึ่ง 2 ท่านก็ลุกขึ้นได้+เดินเหินได้นะครับ) #ก้าวล่วงสิทธิผู้อื่นที่จะมีใจสงบในการดูโขน

#ไม่รักเจ้าแต่มาดูโขนพระราชทาน พี่ป้าน้าอาเค้าหันไปมอง ก็ยังเฉยจ้า #แปลกดีนะ #นายแน่มาก #อย่างนี้ก็มีด้วย

เพื่อนผม พูดเลยว่า "เป็นการจัดแสดงโขน ที่ดีงามมาก ๆ...

ประทับใจมาก ๆ บางช่วงมีน้ำตาซึมปลื้มใจ คุ้มค่ามาก ๆ แบบว่า รู้สึกรักเมืองไทย ภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย
และซาบซึ้งใจ ที่เจ้าฯ ทรงกรุณาส่งเสริม ‘โขน’ ทำให้พวกเรามีโอกาสได้ชมงานแสดงที่ล้ำค่า ในราคาที่ไม่แพงเลยจริง ๆ คณะผู้แสดงและเล่นดนตรีไทย ก็ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวทั้งนั้น (ผู้ชมก็มีทุกวัยจากเยาวชนไปถึงสว) เห็นแล้ว ใจชื้นขึ้นนะ เพราะคนรุ่นใหม่ที่ดี ๆ ก็ยังมีเยอะ..." 

หากมองบวก ก็หวังว่า 2 ท่านนั้น จะได้รับการขัดเกลาทางจิตใจได้บ้าง อาจเข้าใจตรรกะของชีวิตได้ใหม่ สู่ทางสว่าง ได้นะครับ หวังให้เป็นเช่นนั้น...

***โพสต์นี้ขอ ติติง #ติเพื่อก่อ ***ครั้งหน้าถ้าไม่ชอบ ก็อย่าไปเลยนะครับ***

‘TCSA-CSSAT’ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ คนรุ่นใหม่ไทย-จีน จัดกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ พานักเรียนจีนท่องวิถีชุมชนไทย

เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 66 สมาคมนักเรียนไทย-จีน (TCSA) ร่วมสมาคมนักศึกษาและนักวิชาการจีนแห่งประเทศไทย (CSSAT) จัดกิจกรรม ‘One day trip กระชับมิตรไทย-จีน’ สนับสนุนโดยสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย มุ่งเดินทางบนเส้นทางการท่องเที่ยวแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไปยังจังหวัดสมุทรสงคราม ณ ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคลน

กิจกรรมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ผ่านการเดินทางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นมิตรต่อชุมชน และการทำจิตอาสาปลูกจิตสำนึก ถึงคุณค่าของป่าชายเลน ซึ่งสำคัญต่อระบบนิเวศในองค์รวม นอกจากนี้ ยังเป็นกิจกรรมที่ได้นำพาเพื่อนๆ นักเรียนนักศึกษาชาวไทยและชาวจีนมาพบเจอกัน รู้จัก แลกเปลี่ยนทางภาษา เป็นสะพานในการสานความสัมพันธ์ในระดับนักเรียนนักศึกษา เพื่อสร้างโอกาสทางเครือข่าย อันจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในมุมของอนาคตความสัมพันธ์ไทย-จีน

กิจกรรม One day trip ในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมเป็นนักเรียนไทย-จีน จำนวน 40 คน เป็นคนจีน 24 คน คนไทย 16 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ศ.ดร.หวัง ฮวน ภริยา ฯพณฯ หาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และนางเฝิง จวิ้นอิง อัคราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการศึกษา 

ภิริยาทูตจีนฯ กล่าวว่า “รู้สึกประทับใจกับกิจกรรมในวันนี้ และอยากให้มีกิจกรรมแบบนี้อีกในอนาคต ตัวท่านได้เปิดประสบการณ์และเรียนรู้หลาย ๆ อย่างในวันนี้”

อาจารย์หวังฯ ยังกล่าวอีกว่า “กิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่มีความหมายเป็นอย่างมาก เพราะทำให้นักเรียนจีนในไทย ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ และได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับชุมชนท้องถิ่นในประเทศไทย ที่สำคัญ ได้ทำกิจกรรมอาสา ที่เป็นการให้ประโยชน์กลับสู่ชุมชนด้วยเช่นกัน ต้องขอชื่นชมทีมงานผู้จัดกิจกรรม ที่จัดออกมาได้อย่างแปลกใหม่ และเข้ากับยุคสมัย”

‘นักธุรกิจอินเดีย’ แนะคนรุ่นใหม่ควรทำงาน ‘สัปดาห์ละ 70 ชม.’ เพื่อผลักดันให้ประเทศเติบโตและประสบความสำเร็จมากขึ้น

(7 พ.ย.66) นายนารายนะ เมอร์ธีย์ ผู้ก่อตั้งบริษัทอินโฟซิสต์ (Infosys) จากอินเดียและเป็นพ่อตาของนายริชี ซูนัค นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้จุดกระแสถกเถียงบนโซเชียลมีเดียเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากระบุว่า คนหนุ่มสาวควรทำงานสัปดาห์ละ 70 ชั่วโมงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศอินเดีย

แม้ผู้คนจำนวนมากบนโซเชียลมีเดียแสดงความไม่พอใจต่อความคิดเห็นของนายเมอร์ธีย์ แต่กลุ่มผู้นำอุตสาหกรรมที่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีเห็นด้วยว่า การทำงานหนักอาจเป็นเรื่องจำเป็นหากอินเดียต้องการแข่งขันในเวทีโลก

“หากคุณต้องการเป็นหมายเลข 1 หากคุณต้องการดีที่สุด เช่นนั้นคนหนุ่มสาวก็ต้องทุ่มเททำงานหนักและอุทิศเวลาให้กับงาน” นายอายุชมาน กปูร ผู้ก่อตั้งเซโน (Xeno) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์จากอินเดีย ระบุ

อินเดียกำลังพยายามแข่งขันกับสหรัฐและจีน หากเราต้องการบรรลุความยิ่งใหญ่ ใช่ นั่นคือเวลาและสิ่งที่เราต้องเสียสละ” นายกปูร กล่าว

องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุว่า ปัจจุบันชาวอินเดียทำงานเฉลี่ย 47.7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งสูงกว่าสหรัฐ ซึ่งอยู่ที่ 36.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ อังกฤษ ซึ่งอยู่ที่ 35.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และเยอรมนี ซึ่งอยู่ที่ 34.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

ขณะเดียวกันชาวอินเดียยังทำงานมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น จีน ซึ่งอยู่ที่ 46.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สิงคโปร์ ซึ่งอยู่ที่ 42.6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ที่ 36.6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

นายเมอร์ธีย์ ได้วิจารณ์คนรุ่นใหม่ในอินเดียที่รับพฤติกรรมไม่ค่อยน่าพึงปรารถนามาจากตะวันตก โดยเอ่ยว่า คนรุ่นใหม่อินเดียไม่ทำงานหนักมากพอ

“อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผลิตภาพการทำงานต่ำสุดในโลก คนหนุ่มสาวของเราต้องพูดว่า นี่คือประเทศของฉัน ฉันต้องการทำงาน 70 ชั่วโมงต่อสัปดาห์” นายเมอร์ธีย์กล่าว

‘โฆษก รทสช.’ อัด!! ‘พิธา’ หยุดใช้วาทกรรมคนรุ่นใหม่ ปม ‘ตะวัน’ ชี้ ป่วนขบวนเสด็จฯ เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ไม่เกี่ยวกับเจนเนอเรชัน

(11 ก.พ.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรีในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการที่ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน ก่อเหตุก่อกวนขบวนเสด็จ  ว่า ตนได้ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจที่ นายพิธา พยายามใช้วาทกรรมคนรุ่นใหม่มาแบ่งแยกคนในสังคม

เพราะกรณีนี้ เป็นเรื่องของคนที่ทำผิดกฎหมาย และเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นสิ่งที่ นายพิธา ควรจะออกมาแสดงความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นอดีตนายประกันให้กับ น.ส.ทานตะวัน และเคยอภิปรายสนับสนุน น.ส.ทานตะวันในสภา ควรจะออกมาแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้ กับการกระทำดังกล่าวที่เป็นการกระทำที่ย่ำยีหัวใจคนไทยเป็นจำนวนมาก

“ผมจึงอยากบอกกับนายพิธาว่า ขอให้เลิกใช้วาทกรรมคนรุ่นใหม่กับคนทุกรุ่นได้แล้ว เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ หรือคนรุ่นไหน แต่มันเป็นเรื่องของคนที่ทำผิดกฎหมายและเป็นเรื่องของคนที่ไม่รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อย่าใช้วาทกรรมมาปลุกระดมคนรุ่นใหม่ เพราะคนรุ่นใหม่อีกจำนวนมากก็ไม่ได้เห็นด้วย และรังเกียจกับการกระทำของ น.ส.ทานตะวัน กับพวกในครั้งนี้” โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าว

นอกจากนี้ นายอัครเดช ยังกล่าวอีกว่า จากกรณีนี้มีแกนนำและสส.ของพรรคก้าวไกล ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมดังกล่าว แทนที่นายพิธาจะออกมาประณามการกระทำดังกล่าว กลับออกมาพูดคล้ายแบ่งแยกคนในสังคม ที่จะสร้างความแตกแยกให้กับคนในสังคมอีกหรือไม่ จึงขอให้นายพิธาได้กลับไปทบทวนสิ่งที่ตัวเองได้กระทำ ทั้งการเคยไปประกันตัว น.ส.ทานตะวัน และการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ออกมา ว่ามันเป็นการย่ำยีหัวใจคนไทย ที่รักและเทิดทูนสถาบันเป็นจำนวนมากหรือไม่

ย้อนดูจุดยืน ‘รวมไทยสร้างชาติ.’ และ ‘ไทยสร้างไทย’ ต่อประเด็น ‘คนรุ่นใหม่กับสถาบันพระมหากษัตริย์’

กาลครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้เอง!!

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 66 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า “พรรค รทสช. ไม่ได้เป็นพรรคที่จัดตั้งใหม่ แต่เป็นพรรคที่เติบโตเร็วที่สุด พรรคการเมืองมีเกิด มีอยู่ มีดับ แต่รวมไทยสร้างชาติจะอยู่ตลอดไปภายใต้แนวทางและนโยบายของลุงตู่ และหัวใจของพรรคคือ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน มีคนฝากส่งมาเรื่องหนึ่งบอกว่าอย่าลืมเรื่องประเทศไทย คนไทย 70 กว่าล้านคน แต่ทำไมวันนี้เห็นคนไม่กี่คน หยิบมือหนึ่ง สร้างความวุ่นวายปั่นป่วน ทำไมคนไทยไม่รักชาติ ทำไมชังชาติ ทำไมไม่รักสถาบัน ทำไมจะล้มสถาบัน”

นายพีระพันธฺุ์กล่าวต่อว่า “เขาถามผมว่า ถ้ามาดูแลบ้านเมืองจะทำอย่างไร ผมตอบไปว่า คำตอบง่ายมาก แผ่นดินไทยประเทศไทยมีไว้เพื่อคนรักชาติ แผ่นดินประเทศไทยเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลักชัยของประเทศ ถ้าคุณไม่ชอบคุณไม่มีสิทธิเปลี่ยน เพราะคนไทยทั้งชาติเขาเอา ถ้าคุณไม่ชอบเชิญไปอยู่ที่อื่น ไม่ห้าม ไปได้เลย ท่านชอบประเทศไหนไปเลย แต่ประเทศไทยต้องเป็นแบบนี้ตลอดไป ภายใต้รวมไทยสร้างชาติเราจะไม่เปลี่ยนแปลง ถ้ารวมไทยสร้างชาติเป็นแกนนำรัฐบาลเราจะจัดการกับพวกชังชาติ พวกล้มสถาบันโดยเด็ดขาด”

ต่อมาวันที่ 27 เม.ย. 66 น.ต.ศิธา ทิวารี กล่าวขณะลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ตอนหนึ่งว่า “สิ่งที่ผู้ใหญ่รู้เมื่อก่อน ทุกวันนี้เสิร์ชหาในกูเกิลแปปเดียวก็เจอ แต่สิ่งที่เด็กรู้วันนี้ ผู้ใหญ่เสิร์ชหาที่ไหนก็ไม่เจอ ดังนั้น ผู้ใหญ่ต้องฟังเด็ก เพราะผู้ใหญ่อีก 20-30 ปีก็ลงโลงกันหมด แล้วประเทศนี้ก็จะกลายเป็นของเด็ก เราต้องรับฟัง แลกเปลี่ยนความเห็น และหาทางออกร่วมกัน และนี่คือสาเหตุว่าทำไมผมกับคุณหญิงสุดารัตน์ และผู้ร่วมอุดมการณ์ จึงออกมาก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทย เพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนรุ่นเก่ามากประสบการณ์และคนรุ่นใหม่ไฟแรงเก่ง ๆ เพื่อสร้างประเทศไทยที่ดีที่สุด” 

ชำแหละ 'พรรคปากกล้า' แต่ขาสั่น!! ซุกตัวอยู่เบื้องหลัง ผลักดันเด็กเดินหน้ากัดเซาะ ล้มล้างสถาบันแทนตัวเอง

ถึงวันนี้ถ้าใครยังมองไม่ออกว่าประเทศไทยของเรามีพรรคการเมืองอยู่หนึ่งพรรค ที่เกลียดชังสถาบันกษัตริย์เข้ากระดูกดำ และจ้องจะล้มล้างทำลายอยู่ตลอดเวลาเมื่อมีโอกาส ก็ต้องบอกว่าเป็นคนไทยที่ 'บ้องตื้น' และ 'เบาปัญญา' มาก  

แต่พรรคการเมืองรวมทั้ง สส. ของพรรคนี้ ไม่กล้าเดินหน้าจัดการสิ่งที่ตนเองอยากกำจัดตรงๆ ก็เลยต้องใช้วิธี 'ยืมมือคนอื่นฆ่า' และหนึ่งในเหยื่อที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือมาตลอดหลายปีก็คือเหล่าบรรดาเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวที่เปราะบางทางความคิด เด็กที่ขาดการเอาใจใส่เลี้ยงดูจากครอบครัวอย่างถูกวิธี เด็กอยากเด่นอยากดัง และเด็กที่มีพื้นฐานทางธรรมที่ต่ำกว่าปกติ จะถูก 'ล้างสมอง' ให้ออกมาทิ่มแทงสถาบันที่คนไทยรักแทน 

ซ้ำยังมีกลุ่มทุนต่างชาติที่อยากเห็นสถาบันกษัตริย์ไทยพังพินาศ คอยอัดฉีดเงินหนาๆ ผ่าน 'คนไทยสันดานชั่ว' จำนวนหนึ่ง ให้มาปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา  

ตั้งแต่มีพรรคการเมืองพรรคนี้เกิดขึ้นในบ้านเรา สังคมไทยมีแต่ความวุ่นวาย เด็กวัยรุ่นวัยเรียนมีนิสัยก้าวร้าว ไม่มีความเคารพในกฎกติกาของสังคม โหยหาแต่ความเท่าเทียมจอมปลอมดังที่พรรคการเมืองพรรคนี้ยัดข้อมูลที่ผิดเพี้ยนใส่หัวเด็กให้กล้าทำในทางที่ผิด โดยเฉพาะการยุยงให้เด็กจงเกลียดจงชังสถาบันเบื้องสูง เพื่อที่จะใช้เด็กออกหน้าเป็นพลังขับเคลื่อนให้ตนเองบรรลุเป้าหมาย

แต่แผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ใครคิดคดทรยศสถาบันอันเป็นที่รักของคนไทยก็จะมีอันเป็นไปเสียทุกราย เด็กวัยรุ่นจำนวนมาก รวมถึง ส.ส. เลวๆ จากพรรคการเมืองพรรคนี้โดนคดี 112 นับไม่ถ้วน เด็กจำนวนไม่น้อยก็ติดคุกต้องเสียอนาคต และอีกมากที่กำลังรอการตัดสินของศาล

ไม่กี่วันที่ผ่านมา หนึ่งในเด็กสาวที่เคยถูกคดี 112 และเคยได้รับความช่วยเหลือจาก 'นักการเมืองโรคจิต' จากพรรคล้มสถาบันพรรคนี้ ได้กระทำการเหิมเกริมหนักกว่าเก่าด้วยการขับรถบีบแตรไล่จี้ขบวนเสด็จ พฤติกรรมที่เห็นทำให้คนไทยที่รักสถาบันเกินจะอดทนไหวอีกต่อไป 

แต่นักการเมืองพรรคนี้แต่ละคน กลับให้สัมภาษณ์ในเชิงเข้าใจที่เด็กกระทำเช่นนั้น ไม่มีสักคนที่บอกว่าการกระทำเช่นนี้ผิด เปลือยให้เห็นชัดเจนว่าทุกคนในพรรคนี้เป็น 'กลุ่มคนที่เป็นอันตราย' ต่อสถาบันกษัตริย์ไทยอย่างไม่ต้องสงสัย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top