Saturday, 4 May 2024
คนรุ่นใหม่

‘มาดามแป้ง’ ชี้!! ค่านิยมสินค้าแบรนด์หรูเริ่มกลายเป็นตัวชี้วัดคุณค่าของคนในโลกออนไลน์

"ค่านิยมสินค้าแบรนด์หรูเริ่มกลายเป็นตัวชี้วัดคุณค่าของคนในโลกออนไลน์ ผ่านการนำเสนอของยูทูบเบอร์/อินฟลูเอนเซอร์มากขึ้น ทำให้คนอยากได้อยากมีตาม...แป้งไม่ได้สนับสนุน แต่ก็ชื่นชมในคุณภาพสินค้าและคนที่มีกำลังซื้อด้วยตัวเอง...ฝากให้มองเป็นเหรียญหลายด้านและไม่เอามาเป็นสิ่งยั่วยุชีวิตเรา"

มาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ CEO บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต ประธานสโมสรฟุตบอลการท่าเรือในไทยลีก และกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐลิทัวเนียประจำประเทศไทย โพสต์คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 4 ก.ค.66

>> ติดตามรายละเอียดได้ที่ >> https://fb.watch/lEC7KRfbn8/?mibextid=cr9u03   

"ผมรอประเทศไทยเจริญไม่ทัน" ประโยคหดหู่ของเด็กไทยใน ตปท.

(20 ก.ค. 66) นายวรา ตั้งทัศนา คอนเทนต์ครีเอเตอร์ชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Slang A-hO-lic’ ที่มีผู้ติดตามกว่า 1.6 ล้านคน เกี่ยวกับเรื่องมุมมองของคนรุ่นใหม่ในต่างประเทศต่อประเทศไทย โดยระบุว่า…

“ผมรอประเทศไทยเจริญไม่ทัน!” 😔นี่คือ ประโยคนึงที่ผมฟังแล้วสะอึกมาก 

ตอนสัมภาษณ์เด็กไทยที่ต่างประเทศ ถึงสาเหตุว่า…ทำไมตัดสินใจย้ายประเทศมาที่นี่ คือมันเป็นทั้งความเศร้า สะอึก ท้อแท้ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึก 108 เลยแบบ…

คืออย่าเข้าใจผิดนะ (คนให้สัมภาษณ์บอกว่า..) “ผมก็รักประเทศไทยนะเว้ยยยย” ผู้คนน่ารัก เป็นมิตร อาหารอร่อยยย แต่ถ้าเราจะต้องมีครอบครัว มีลูกสักคน มันต้องดูคุณภาพชีวิตด้วยปะ

- การที่ลูกได้เรียนโรงเรียนใกล้บ้าน
- การที่ลูกเดินไปโรงเรียนได้
- การที่ไม่ต้องทนรถติด
- การที่มีรถขนส่งมวลชนทั่วถึง
(ผมก็ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการจราจร จริงมั้ย?)

- การที่ทุกคนมีน้ำสะอาดกินฟรี/ มีอากาศดี ๆ หายใจ
คือ เรื่องพวกนี้(แม่ง)เป็นเรื่องที่เรียบง่ายมากเลยนะ แต่ที่ไทยกลับให้ไม่ได้ 😔

“ผมรอประเทศไทยเจริญไม่ทันจริง ๆ พี่”

เป็นประโยคที่เศร้า หดหู่ ได้ยินแล้วท้อแท้  และน่าเสียดายมากเลยย แต่ทั้งหมด มันคือความจริง…

ที่ เ ถี ย ง ไ ม่ อ อ ก ! 🥲

นอกจากนี้เจ้าของโพสต์ยังได้เขียนข้อความเพิ่มเติมใต้คอมเมนต์อีกว่า…

ความรู้สึกทุกครั้งที่กลับจากต่างประเทศ ก่อนขึ้นเครื่องต้องถอนหายใจ 1 เฮือก อารมณ์แบบ กลับสู่ความเป็นจริงแล้วสินะ…

ทำไมการได้เดินริมฟุตบาทกว้าง ๆ อากาศดี ๆ น้ำสะอาดดื่มฟรี ระบบขนมวลชนที่เข้าถึงทุกที่ มันถึงกลายเป็น honeymoon period ไปได้(วะ)

(ตัดเรื่องอากาศเย็นออกไปละกันนะ) คือบ้านเรา มันก็ควรจะทำได้ปะวะ มันควรเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนควรได้สัมผัส ใช้ได้จนชิน ได้รู้สึกว่ามันคือเรื่องปกติ

ไม่ใช่บอกว่าสเน่ห์เมืองคือ อาหารริมฟุตบาทที่เละเทะ ยิ่งสกปรกยิ่งอร่อย และรบกวนคนเดินทางเท้าแบบทุกวันนี้ คือมันกลายเป็นฟีลว่า คนไทยต้องทน ๆ กันไป เก็บเงินสักก้อนแล้วสิ้นปีค่อยไปหาหาความสุขสั้น ๆ ใหม่

ทั้ง ๆ ที่…เราควรได้รับความสุขนั้นทุกวัน ในบ้านของเราเอง…
 

‘ธนาธร’ นำทัพวิทยากรสานต่อ ‘หลักสูตรเยาวชนก้าวหน้า ครั้งที่ 3’ เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ -11 สิงหาคม 2566 ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย

กลับมาอีกครั้งกับ ‘Progressive Academy หลักสูตรเยาวชนก้าวหน้าครั้งที่ 3’ ที่กรุงเทพฯ ในครั้งนี้เราออกแบบหลักสูตรใหม่ที่ครบเครื่องทั้งสาระความรู้ ความสนุกสนาน และการลงมือปฏิบัติที่จะพาคุณทะลุกะลาใบน้อยๆ ที่พวกเขาครอบหัวเราไว้ เพาะเมล็ดพันธุ์ของผู้ไม่ยอมจำนน เพื่อเปิดประตูความเป็นไปได้ใหม่ๆ สู่สังคมที่ดีกว่า

พบกับวิทยากรชั้นนำมากมาย นำทีมโดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ I ปิยบุตร แสงกนกกุล I พรรณิการ์ วานิช I กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ I พริษฐ์ วัชรสินธุ I เดชรัตน์ สุขกำเนิด I ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ I ประจักษ์ ก้องกีรติ I ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ I เคท ครั้งพิบูลย์ I ธนวรรธน์ สุวรรณปา I ชัยพงษ์ สำเนียง I คมกฤช อุ่ยเต็งเค่ง I ศุภลักษณ์ กาจญนขุน และวิทยากรรับเชิญพิเศษอีกมากมาย 

นอกจากนี้เรายังมีกิจกรรม Workshop ติดทักษะเพื่อการเปลี่ยนแปลงนำทีมโดยทีมคิด Space I Pud Production x Common School และ Vivi recap 

เพราะเราเชื่อว่าคนรุ่นใหม่คือ พลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศ

กระบวนการเรียนรู้ ทั้งหมด 62 ชั่วโมง ประกอบไปด้วย

1.) การบรรยาย (Lecture) : 28 ชั่วโมง
2.) กิจกรรมกระตุ้นการเรียนรู้ (Activity Base) : 12 ชั่วโมง
3.) กิจกรรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) : 13 ชั่วโมง
4.) การทัศนศึกษา (Field Trip) : 9 ชั่วโมง
5.) การค้นคว้าอิสระและลงมือปฏิบัติ (Independent Research)

วันรับสมัคร
เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้-11 สิงหาคม 2566 ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย!
ประกาศผลผู้ผ่านคัดเลือก 12 สิงหาคม 2566 ทางอีเมล
ระยะเวลาหลักสูตร : 6 สัปดาห์ ทุกเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม-23 กันยายน

เงื่อนไขการรับสมัคร
1.) อายุตั้งแต่ 15-25 ปี ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล
2.) ผู้สมัครต้องเข้าร่วมกิจกรรมตลอดหลักสูตร
3.) ผู้สมัครต้องทำโครงการเมื่อจบหลักสูตร

ลงทะเบียนที่ : https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSe0R_AMuAxhJ7aaA8EQxzlv6wFldrMsiBDBcKAxwusz985Wgw/viewform

จิตวิญญาณ มันต่างกัน!!

นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา อดีตนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงเยาวชน คนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน ว่า…

“สมัยผมเป็น ‘นศ.มธ.’ เราต่อต้าน จักรวรรดินิยมตะวันตก แต่เด็ก นศ.สมัยนี้กลายเป็น ‘เหยื่อ’ และ ‘หมากเบี้ยขุน’ ให้จักรวรรดินิยมเอาไว้ใช้งาน ดิสเครดิตประเทศบ้านเกิดตัวเอง จิตวิญญาณมันต่างกันจริงๆ”

‘วัยรุ่นเกาหลีใต้’ ลั่นเป็นเสียงเดียวกัน “อยากย้ายไปอยู่ประเทศอื่น” ส่วนข้อดีที่ทำให้คนต่างชาติอยากมาอยู่ที่นี่ เพราะ ‘กระแสของเกาหลี’

เมื่อไม่นานนี้ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘amiskarn’ โพสต์คลิปวิดีโอของช่องยูทูบเบอร์ชาวเกาหลีใต้ท่านหนึ่ง โดยเนื้อหาในคลิปเป็นการสัมภาษณ์วัยรุ่นชาวเกาหลีใต้ และเผยให้เห็นถึงมุมมอง รวมถึงทัศนคติที่คนรุ่นใหม่มีต่อประเทศเกาหลีใต้ อันเป็นบ้านเกิดของตน

โดยในคลิป พิธีกรได้ถามกับวัยรุ่นชาวเกาหลีใต้ 2 คนว่า คุณคิดว่าคนวัยรุ่นหนุ่มสาวชาวเกาหลีใต้ชอบการใช้ชีวิตที่เกาหลีกันไหม? 

เด็กวัยรุ่นทั้ง 2 คนตอบว่า “ไม่ค่ะ ฉันคิดว่าไม่ชอบนะคะ”

เมื่อพิธีกรถามว่า ทำไม? พวกเธอตอบว่า “อย่างแรกคือ การศึกษาที่บังคับให้เด็กเกาหลีใต้ทุกคนเรียนหนักมาก การสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั้งการทำงานก็มีความยากลำบาก และคิดว่าเป็นเพราะระบบมีความไม่ถูกต้อง”

เมื่อถามว่า ในอนาคตยังอยากอาศัยอยู่ที่เกาหลีใต้หรือไม่ หรืออยากย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศ และเพราะอะไร?

พวกเธอต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “อยากย้ายไปอยู่ที่ประเทศอื่น เพราะไม่เห็นด้วยที่มีเพียงแค่คนเรียนจบจากมหาวิทยาลัยดังๆ เท่านั้น ถึงจะสามารถได้ทุกอย่างในเกาหลี หรือมีสิทธิมากกว่าคนอื่น”

เมื่อถามว่า พวกเธอต้องการย้ายไปที่ประเทศไหน? พวกเธอตอบว่า “ประเทศไหนก็ได้”

เมื่อถามถึงความคิดเห็นของเพื่อนคนอื่นๆ ที่โรงเรียน ว่ามีความคิดเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้

พวกเธอตอบว่า “มีเพื่อนๆ หลายคนเลย ที่บอกว่าอยากแต่งงานกับชาวต่างชาติ เพราะว่าสามารถขอสัญชาติตามสามีได้ และจะได้ย้ายไปอยู่ที่นั่นได้”

เมื่อถามว่า คุณคิดเห็นอย่างไร ถึงกรณีที่มีผู้คนมากมายอยากมีอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้ และคุณคิดว่าข้อดีของประเทศเกาหลีใต้คืออะไร? พวกเธอดูมีความไม่มั่นใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “คิดว่าอาจเป็นเพียงเพราะกระแสของเกาหลี”

‘ดร.หิมาลัย’ ยกย่อง ‘น้องรินธารทอง’ แบบอย่างคนรุ่นใหม่เทิดทูนสถาบันกษัตริย์

(15 ส.ค. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์คลิป น.ส.รินธารทอง ลัทธศักดิ์ศิริ ที่ได้ทำคอนเทนต์ TikTok ถึงพระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทย เนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 12 สิงหาคม พร้อมระบุข้อความว่า 

“ขอขอบคุณ น้อง น.ส.รินธารทอง ลัทธศักดิ์ศิริ มัคคุเทศก์น้อย ที่เผยแพร่พระมหากรุณาธิคุณของสถาบันกษัตริย์ ประเทศไทย ยังมีหวัง ช่วยกันครับ น้อง ๆ เริ่มจากถวายความเคารพ เพลงสรรเสริญพระบารมี ในโรงภาพยนตร์ แล้วส่งมาให้ลุง ช่วยกันรักษาประเทศไทยของเราครับ”

สำหรับ น.ส.รินธารทอง ลัทธศักดิ์ศิริ เป็นนักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน ที่เป็นเยาวชนน้ำดี ที่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์และจะแสดงความจงรักภักดีทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่หลายคนมองว่าไม่สำคัญ อย่างการยืนถวายความเคารพ เพลงสรรเสริญพระบารมี ไปจนถึงการเผยแพร่พระราชกรณียกิจอย่างต่อเนื่อง

‘ปตท.’ ปลุกพลังคนรุ่นใหม่ ประลองไอเดียขายสินค้าชุมชน  ในโครงการ ‘Young Influencer Challenge Thailand 2023’

เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 66 นางกนกพร รอดรุ่งเรือง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารชื่อเสียงองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานปฐมนิเทศ โครงการ ‘Young Influencer Challenge Thailand 2023 : ชวน U สร้างรอยยิ้ม’ กิจกรรมที่เปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้แสดงพลังและไอเดียความคิดสร้างสรรค์ แข่งขันจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนใน ‘โครงการชุมชนยิ้มได้ โดย กลุ่ม ปตท.’ ผ่าน 30 ทีมเยาวชนจาก 10 มหาวิทยาลัย ซึ่งจัดขึ้นด้วยความร่วมมือของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีระยอง (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เทลสกอร์ จำกัด โดยมีคณาจารย์ และนิสิตนักศึกษา กว่า 200 คน ร่วมงาน ณ ปตท. สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ

นางกนกพร เปิดเผยว่า ปตท. เล็งเห็นถึงศักยภาพและพลังความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ ที่สามารถช่วยสนับสนุนให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนเข้าถึงผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น จึงจัดโครงการ ‘Young Influencer Challenge Thailand 2023 : ชวน U สร้างรอยยิ้ม’ เพื่อเฟ้นหาทีมสุดยอดนักขายผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ่าน  www.ชุมชนยิ้มได้.com ซึ่งนิสิต นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับประสบการณ์จริง จากการนำทักษะความรู้มาใช้ในการจัดทำแผนการตลาดและเทคนิคการขายสินค้าชุมชนออนไลน์ร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเจ้าของสินค้า อันจะนำไปสู่การสร้างเครือข่ายอินฟลูเอนเซอร์รุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ เป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของชุมชนให้เติบโตต่อไป

อนึ่ง ‘โครงการชุมชนยิ้มได้ โดย กลุ่ม ปตท.’ เป็นหนึ่งในโครงการ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ชุมชนมีความยากลําบากด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ปตท. จึงพัฒนา Platform www.ชุมชนยิ้มได้.com ร่วมกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด เพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทำให้ผลิตภัณฑ์ของชุมชนสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น และยังคงเปิดช่องทางจําหน่ายนี้อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และเปิด ‘ร้านชุมชนยิ้มได้ Official Store’ แห่งแรก ณ ปตท. สำนักงานใหญ่ เพื่อเป็นจุดจำหน่ายสินค้าชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย

ตลอดระยะเวลา 45 ปี ปตท. มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานประเทศ ควบคู่ไปกับการดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โครงการนี้จึงเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน

'ดร.สุวินัย' ชี้!! สาเหตุก๊วนทัวร์รุม 'เพจดัง' เตือนคนรุ่นใหม่ให้รู้จักออม เพราะไปทิ่มแทงอีโก้คนรุ่นใหม่ 'หนี้ท่วมหัว-คำเตือนผู้ใหญ่ดันเป็นจริง'

(8 ก.ย.66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ว่า...

คนรุ่นใหม่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา

ว่ากันว่าปฏิกิริยาแรกของคนส่วนใหญ่ที่ได้รับฟังจากปากของหมอว่าตัวเองเป็น "มะเร็งระยะสุดท้าย" ... คือการปฏิเสธยอมรับความจริง!!

ครั้นพอผ่านไปไม่นาน เมื่อเจ้าตัวทำใจได้แล้วในที่สุดก็จำใจยอมรับความจริงได้...การรักษาที่แท้จริงเริ่มต้นจากจุดนี้ คือเริ่มตั้งแต่เจ้าตัวยอมรับความจริง

รายการ ‘ถามอีก กับอิก’ ของคุณอิก บรรพต ธนาเพิ่มสุข เป็นรายการเกี่ยวกับเศรษฐกิจ-การเงินที่น่าติดตามในยุคนี้

วันนี้ผมได้ทราบข่าวว่า ทวิตเตอร์ส่วนตัวของคุณอิกโดนทัวร์ลงอย่างหนัก จนถึงขั้นคุณอิกต้องปิดทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขาอย่างถาวร เพราะคุณอิกดันไปแนะนำให้คนรุ่นใหม่เริ่มเก็บออมเงิน อย่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และเริ่มลงทุนตั้งแต่เริ่มทำงาน

‘ความจริง’ ที่อยู่เบื้องหลังการโดนทัวร์ลงอย่างหนักของคุณอิกคืออะไร?

‘ความจริง’ นั้นก็คือ คนรุ่นใหม่มีหนี้ท่วมหัว และครัวเรือนไทยมีหนี้ท่วมหัว

ในช่วงที่ผ่านมาเราพบว่า...

- ปี 2563 คนไทยเป็นหนี้ 33%

- ปี 2564 คนไทยเป็นหนี้ 36%

- ปี 2565 คนไทยเป็นหนี้ 37%

จะเห็นได้ว่า สัดส่วนคนที่มีหนี้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี

ทำให้ตอนนี้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ของไทยเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้นจาก 58% เป็น 90% ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา

เมื่อเข้าไปดูเนื้อในหรือประเภทของหนี้ ว่าหนี้ประเภทไหนที่มีสัดส่วนมากที่สุด เราพบว่า หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อรายได้ (ไม่รวมหนี้ซื้อบ้านซื้อรถ) มีมากสุดถึง 27%

มิหนำซ้ำ ‘หนี้เสีย’ ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน

โดยล่าสุดหนี้ครัวเรือนไทย 15,960,000 ล้านบาท เป็นหนี้เสียถึง 950,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีหนี้ที่มีความเสี่ยงว่าจะเป็นหนี้เสียอีก 600,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากกลางปี 2565 ที่อยู่ที่ 380,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 57% ภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึงปี

โดยหนี้เสียส่วนใหญ่ คือ หนี้บัตรเครดิต หนี้ส่วนบุคคล และหนี้รถยนต์ รวมไปถึงรถมอเตอร์ไซค์

โดยเฉพาะหนี้เสียรถยนต์ ที่มีโปรโมชันต่าง ๆ มากมาย ทำให้ปีที่ผ่านมามีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จากต้นปี 2565 ที่ 1.47% จนล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 2.05%

'รศ.ดร.ษัษฐรัมย์' เผย!! คนรุ่นใหม่หนุนข้อเสนอรัฐสวัสดิการเปิดเผย ไม่เชื่อ!! ขยันแล้วชีวิตดีขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่ถูกสร้างโดยคนมีอำนาจ

ไม่นานมานี้ เฟซบุ๊ก 'Sustarum Thammaboosadee' โดย รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

สัปดาห์ก่อน มีจังหวะโอกาส สอนที่ จุฬา เกษตร และ มธ. (ที่สอนประจำ) พร้อมกันทั้งสามมหาวิทยาลัย

ผมบอกได้ว่า unity ทางเศรษฐกิจการเมืองของคนรุ่นใหม่ชัดเจนมาก 

พวกเขาไม่เชื่อในระบบทุนนิยมเสรี แบบประชากร Gen X - GenY ส่วนใหญ่

พวกเขาส่วนใหญ่สนับสนุนข้อเสนอรัฐสวัสดิการอย่างเปิดเผย

และคิดว่า การเก่ง ขยัน ทำงานหนัก ทำให้ชีวิตดีขึ้น เป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นโดยคนมีอำนาจ และพวกเขาไม่คิดว่าคนมีอำนาจในสังคมเก่ง ขยัน หรือทำงานหนักแต่อย่างใด 

'ดร.สุวินัย' แฉ!! บรรษัทเทคยักษ์ใหญ่ อำนาจเหนือรัฐที่คาดไม่ถึง คุม 'การเมือง-การตลาด' ปั่นหัวคนรุ่นใหม่ ให้กลายเป็นซอมบี้

(6 ต.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ในหัวข้อ อนาคตของลูกหลานเรา กับการปฏิวัติมนุษย์นิยมภายใต้ ‘ทุนนิยมสอดแนม’ โดยระบุว่า…

เขาควบคุมผู้คนได้ง่าย หลากหลายวิธี จากการที่เราค้นหาสิ่งที่ชอบ เขาจะรู้หมด เขาจะเร้ากระตุ้นเราได้ตลอดเวลาและต่อเนื่อง จนเราถูกครอบงำโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าไม่ฝึกจิตใจฝึกสติ ขนาดผู้ใหญ่เองก็ยังไม่รอด พวกเด็กยิ่งแล้วใหญ่เลย

นี่คือข้อคิดรวบยอดหลังผมจากได้อ่าน ‘ทุนนิยมสอดแนม’ : ระบบทุนนิยมใหม่ใต้เงาบรรษัทเทคยักษ์ใหญ่ (The Age of surveillance capitalism, 2019) (ฉบับแปลไทย 2023, สำนักพิมพ์ bookspace) กับ ‘โฮโมดีอุส : ประวัติย่อของวันพรุ่งนี้’ (Homo Deus : A Brief History of Tomorrow)(2016)

ทุนนิยมสอดแนม คือรูปการล่าสุดของทุนนิยมที่ ‘กลายพันธุ์เป็นเนื้อร้าย’ โดยมีจุดเด่น 2 ประการคือ

(1) มันทำให้การกระจุกตัวของความมั่งคั่ง-ความรู้-อำนาจ มากระจุกตัวที่บรรษัทเทคยักษ์ใหญ่ของโลกเพียงไม่กี่บรรษัท โดยที่บรรษัทเทคเหล่านี้มีอำนาจเหนือ ‘รัฐชาติ’ หลายประเทศที่เติบใหญ่ขึ้นมาพร้อมกับ ‘ความทันสมัย’ (modernization) หรือทุนนิยมอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 20

(2) ประเทศที่ตระหนักถึงภัยของ ‘ทุนนิยมสอดแนม’ อย่างรวดเร็วที่สุดว่าเป็นเนื้อร้ายที่กลายพันธุ์ คือ ประเทศจีนภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จึงทำให้ประเทศจีนสามารถ ‘ควบคุม’ ทุนนิยมสอดแนมจีน ให้อยู่ภายใต้อำนาจรัฐอย่างที่ประเทศอื่นไม่สามารถทำได้

ประเทศอื่น ๆ จึงได้รับผลร้ายของทุนนิยมสอดแนมเข้าไปเต็มๆ ...ผลร้ายที่ว่านั้นคือ ‘การเมืองแบ่งขั้วอย่างสุดโต่ง’ ที่ประชาชนถูกอัลกอริทึมปั่นหัวให้ขัดแย้งอย่างรุนแรงแบบแบ่งขั้ว

นี่คือสิ่งที่หนังสือเล่มนี้เรียกว่า ‘อำนาจผ่านเครื่องมือ (อัลกอริทึม)’ ซึ่งเป็นอำนาจชนิดใหม่ ที่เข้ามาแผ่อิทธิพลครอบงำสังคมทางความคิด โดยที่ ‘อำนาจใหม่’ (อำนาจผ่านเครื่องมือ) ที่ว่านี้กำลังจะกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการมีชัยชนะทางการเมืองและทางการตลาด

ในฐานะที่เป็นปัญญาชนตัวแทนของคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ ผมต้องยืนกรานในเจตจำนงและวิสัยทัศน์ (vision) ของคนรุ่นตัวเอง…จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ผมจะต้องแสดงทัศนะของคนรุ่นผมต่อ ‘อนาคตดิจิทัล’ ในสังคมไทย ซึ่งรวมทั้งพิษภัยของทุนนิยมสอดแนมด้วย…

โลกดิจิทัลกำลังเข้ามาครอบครองและสร้างนิยามใหม่ให้แก่ทุกสิ่งในสังคมไทยที่เราคุ้นเคย

อารยธรรมสารสนเทศ (information civilization) กำลังก่อเกิด เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้าถึงผู้คนเกินกว่าครึ่งของประชากรทั้งหมดทั่วโลกไปแล้ว

แต่สิ่งที่กำลังโดนกระทบอย่างรุนแรงจริง ๆ คือ ความสั่นคลอนของ ‘เขตอภัยทานส่วนบุคคล’ (sanctuary) หรือ ‘พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์’ ในจิตใจผู้คนที่โดนกลบกลืน โดนกวาดล้าง อันเนื่องมาจากกระแสดิสรัปต์ชั่นทางเทคโนโลยีที่ตามมาด้วยความสั่นคลอนของระบบสถาบันต่าง ๆ

ผู้คนที่สูญเสีย ‘เขตอภัยทานส่วนบุคคล’ หรือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในจิตใจตนไปแล้ว ย่อมกลายร่างกลายพันธุ์ไปเป็น ‘ซอมบี้’ ที่อาละวาดไปทั่ว…

นับวันจำนวน ‘ซอมบี้’ ในสังคมไทยมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะพวกซอมบี้ที่เป็น ลูกหลานของเรา

ตราบใดที่ผู้คนยังไม่รู้ทันพิษภัยของทุนนิยมสอดแนม และไม่สามารถปกปักรักษา ‘พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์’ ในจิตใจตนเอาไว้ได้ ตราบนั้น ‘โศกนาฏกรรมเงียบ’ ย่อมคืบคลานมาสู่ครอบครัวของพวกเราทุกครอบครัวโดยแทบไม่มีข้อยกเว้น

โดยที่ลูกหลานของเราคือ เหยื่อที่เปราะบางที่สุด ต่อผลกระทบในเชิงลบของ ทุนนิยมสอดแนม ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักถึงพิษภัยของมันเลย…จนกว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงด้วยน้ำมือของเด็กและเยาวชน

ความร่ำรวยของ ‘พวกนายทุนสอดแนม’ มาจากการสร้าง ‘ตลาดพฤติกรรมล่วงหน้า’ (behaviorial futures market)

ข้อมูลเชิงพฤติกรรมที่นำมาใช้พยากรณ์ได้ดีที่สุด มาจากการแทรกแซงสถานการณ์ที่เกิดในปัจจุบัน เพื่อสะกิด โน้มน้าว ปรับค่า และต้อนพฤติกรรมให้สร้างผลกำไรมากขึ้น ผ่านกระบวนการจักรกลอัตโนมัติ (machine intelligence) ซึ่งไม่เพียง ‘รู้’ พฤติกรรมของเรา แต่ยัง ‘หล่อหลอม’ พฤติกรรมของเราอย่างมากด้วย

- เว็บพนันออนไลน์ คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในการกระตุ้นพฤติกรรมของผู้คนจาก ‘โลภะ’

- การเคลื่อนไหวในโลกโซเชียลของพรรคก้าวไกล คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในการกระตุ้นพฤติกรรมของผู้คนจาก ‘โทสะ’ และ ‘โมหะ’

- การคลั่งเกม เสพติดเกมออนไลน์ คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในการกระตุ้นจิตใต้สำนึกของลูกหลานเราให้นิยมความรุนแรง ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของคนอื่นและเห็นใจผู้อื่น ...สุดท้ายก็สำแดงความรุนแรงออกมาในโลกจริงจนได้

นี่คือวิธีการเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร (data) เป็นอำนาจสายพันธุ์ใหม่ เพื่อดัดแปลงพฤติกรรม (behavioral modification)

…พวกทุนสีเทา ใช้เว็บพนันออนไลน์ สร้างซอมบี้ผีพนัน
…พรรคปฏิวัติ 2475 สายพันธุ์ใหม่ ใช้ ‘ลัทธิอำนาจผ่านเครื่องมือ’ (instrumentarianism) สร้างสาวกซอมบี้ ฯลฯ

เพราะนี่คือ อำนาจผ่านเครื่องมืออย่างอัลกอริทึม ที่รู้จักพฤติกรรมมนุษย์ดีที่สุด และทำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์เหล่านั้นให้มารับใช้จุดประสงค์ของตนเอง

บัดนี้พวกนายทุนสอดแนมรู้แล้วว่า พวกเขาจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการ ...เขาควบคุมผู้คนได้ง่าย หลากหลายวิธี จากการที่เราค้นหาสิ่งที่ชอบ เขาจะรู้หมด เขาจะเร้ากระตุ้นเราได้ตลอดเวลาและต่อเนื่อง จนเราถูกครอบงำโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าไม่ฝึกจิตใจฝึกสติ ขนาดผู้ใหญ่ก็ยังไม่รอด พวกเด็กยิ่งแล้วใหญ่เลย

***อนาคตของลูกหลานเรา กับทิศทางของการปฏิวัติมนุษย์นิยมในสังคมไทยต่อจากนี้***

ก่อนยุคทันสมัย เซเปียนส์ใช้ชีวิตโดยเอาเรื่องเล่าของพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง (โดยเฉพาะในโลกของศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามและศาสนาพราหมณ์)

แต่พอเข้าสู่ยุคทันสมัย เซเปียนส์ได้หันมาเอาเรื่องเล่าเกี่ยวกับมนุษย์หรือความเชื่อใหม่เรื่อง ‘มนุษย์นิยม’ เป็นศูนย์กลางแทน

นี่คือที่มาของ ‘การปฏิวัติมนุษย์นิยม’ ที่เกิดขึ้นเคียงคู่ ‘การทำให้ทันสมัย’

การปฏิวัติมนุษย์นิยมกลายเป็นหลักความเชื่อใหม่ที่ ‘พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน’ สำหรับคนสมัยนั้น และทำให้สามารถพิชิตโลกทั้งโลกในช่วงสองสามศตวรรษที่ผ่านมาได้

ศาสนามนุษย์นิยมบูชาความเป็นมนุษย์ และคาดหวังให้มนุษย์แสดงบทบาทที่พระเจ้าเคยแสดงในศาสนาคริสต์และอิสลาม

มนุษย์นิยมคาดหวังให้ประสบการณ์ของมนุษย์เป็นฝ่ายมอบความหมายให้จักรวาล ผ่านการดึงประสบการณ์ภายในของตนออกมา…

เพื่อสร้างความหมายให้แก่โลกที่ไร้ความหมาย หัวใจของการปฏิวัติมนุษย์นิยมในยุคทันสมัย จึงมิใช่การสูญสิ้นศรัทธาในพระเจ้า แต่เป็นการหันมาศรัทธาในมนุษย์แทน

คำขวัญของมนุษย์นิยมในทางจริยธรรม คือ ‘ถ้ารู้สึกดี จงทำ’
คำขวัญของมนุษย์นิยมในทางการเมือง คือ ‘ผู้ออกเสียงรู้ดีที่สุด’
คำขวัญของมนุษ์นิยมในทางเศรษฐกิจ คือ ‘ลูกค้าถูกเสมอ’
คำขวัญของมนุษย์นิยมในทางสุนทรียศาสตร์ คือ ‘ความงามอยู่ในดวงตาของผู้ชม’

สรุปสั้น ๆ ได้ว่า พวกมนุษย์นิยมเชื่อมั่นในความรู้สึกของปัจเจกซึ่งเป็นอัตวิสัยเท่านั้นในการตัดสินทุกเรื่องราวในชีวิต ในยุคทันสมัยภายใต้การปฏิวัติมนุษย์นิยม ความรู้สึกของมนุษย์คือแหล่งกำเนิดของความหมายและอำนาจทั้งปวง

ด้วยเหตุนี้ เป้าหมายสูงสุดของชีวิตแบบมนุษย์นิยมคือการพัฒนาความรู้อย่างเต็มที่ผ่านประสบการณ์อันหลากหลายทางด้านปัญญา อารมณ์และทางกายภาพ เป้าหมายของการดำรงอยู่ คือ การกลั่นประสบการณ์ที่เป็นไปได้อย่างกว้างขวางที่สุดของชีวิตให้กลายเป็นภูมิปัญญา (wisdom)

จุดยอดสูงสุดแห่งชีวิตมีเพียงประการเดียวเท่านั้นคือ การได้วัดความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างในการเป็นมนุษย์

ตั้งแต่เซเปียนส์สร้างประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของตนขึ้นในช่วง 70,000 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีวัฒนธรรมไหนที่ให้ความสำคัญแก่ความรู้สึก ความปรารถนาและประสบการณ์ของมนุษย์มากเท่ามนุษย์นิยมมาก่อน

อย่างไรก็ดี ‘ลัทธิมนุษย์นิยม’ ได้แตกออกเป็นสามนิกายย่อยที่ตีความประสบการณ์ของมนุษย์แตกต่างกันไป คือ

(1) มนุษย์นิยมแบบเสรีนิยม (liberal humanism) หรือเรียกย่อๆว่า เสรีนิยม (liberalism) นี่คือมนุษย์นิยมแบบดั้งเดิมและเป็นกระแสหลักที่มองว่ามนุษย์แต่ละคนเป็นปัจเจกบุคคลที่มีความเฉพาะตัว จึงให้ความสำคัญกับเสรีภาพมากที่สุด

(2) มนุษย์นิยมแบบสังคมนิยม (socialist humanism) ที่โอบอุ้มความเคลื่อนไหวของสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์เอาไว้ โดยให้ความสำคัญกับความเสมอภาคมากกว่าเสรีภาพ และฝากศรัทธาทั้งหมดไว้ที่พรรคการเมืองของตน (เชื่อว่าพรรคการเมืองรู้ดีที่สุด)

(3) มนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการ (evolutionaly humanism) เชื่อมั่นแบบยึดมั่นถือมั่นในทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน จึงไม่ชื่อว่าวิวัฒนาการจะหยุดอยู่แค่เซเปียนส์ แต่ยังมีหนทางอีกยาวไกลที่มุ่งไปสู่การเป็น อภิมนุษย์ (superhuman)

ผู้สนับสนุนแนวคิดมนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการที่โด่งดังที่สุด คือพวกนาซี แต่นี่เป็นเพียงเวอร์ชั่นที่สุดโต่งของมนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการเท่านั้น

ลัทธินาซีเกิดขึ้นจากการจับคู่แบบมิจฉาทิฐิระหว่างมนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการกับทฤษฎีเชื้อชาติจำเพาะและอารมณ์คลั่งชาติอย่างรุนแรง

แปลกแต่จริง ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ที่เราเห็นได้ชัดถึงขีดจำกัดของมนุษย์นิยมแบบเสรีนิยม (ที่เลยจุดพีคมาแล้ว) และมนุษยนิยมแบบสังคมนิยม (ที่ส่วนใหญ่ล้มเหลวไม่เป็นท่ายกเว้นในประเทศจีน)

ปรากฏว่า มนุษยนิยมแบบวิวัฒนาการกลับผงาดขึ้นมาแทนและมีแนวโน้มว่าจะกลายมาเป็นกระแสหลักในการก่อร่างสร้างศตวรรษที่ 21 หลังจากนี้ ผ่านการผลักดันโครงการมนุษย์เทพหรือโฮโมดีอุส

โครงการ Homo Deus (มนุษย์เทพ) ที่กำลังวิจัยและพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน กับความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีชีวภาพ คือพลังทางวัตถุที่หนุนหลังแนวคิดมนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการให้ผงาดขึ้นมาอีกครั้งหลังจากนี้

พร้อมกันนั้น ศาสนาเทคโนโลยี (techno-religion) ในยุคดาต้านิยมกำลังจะเข้ามาแทนศาสนามนุษย์นิยมที่ครองโลกในยุคทันสมัย (ยุคทุนนิยม) มาอย่างยาวนาน

เพราะพร้อมๆกับการเกิดขึ้นของมวลชนที่เป็น ‘มนุษย์ที่ไร้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ’ จำนวนมหาศาล ที่เป็นผลมาจากการปฏิวัติปัญญาประดิษฐ์ในอนาคตอันใกล้

ความเชื่อความศรัทธาเรื่องมนุษย์นิยมแบบเสรีนิยมจะถูกบ่อนทำลายในระดับฐานราก

ปัจจุบัน ขบวนรถไฟแห่ง ‘ความก้าวหน้า’ ได้เริ่มเคลื่อนออกจากสถานีที่ชื่อทุนนิยมและมนุษย์นิยมไปแล้ว

สังคมไหน องค์กรไหน ปัจเจกคนไหนที่พลาดขบวนนี้จะไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง

การจะหาที่นั่งในขบวนนี้ได้ สังคมนั้น องค์กรนั้น ผู้นั้นจำเป็นต้องเข้าใจเทคโนโลยีของศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอำนาจของเทคโนโลยีชีวภาพและอัลกอริทึม

ผู้ที่ขึ้นรถไฟแห่งความก้าวหน้าในยุคดาต้านิยมได้ทัน จะได้รับอำนาจวิเศษแห่งการสร้างสรรค์และการทำลาย ส่วนพวกที่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลังจะต้องเผชิญกับการสูญพันธุ์ไม่ช้าก็เร็ว

เป็นที่น่าสนใจว่า ในการแย่งชิงความเป็นเจ้าโลกในยุคดาต้านิยมต่อจากนี้ระหว่างจีนกับสหรัฐ ขณะที่จีนเลือกโมเดล ‘มนุษย์นิยมแบบสังคมนิยม’ อย่างชัดเจน

ส่วนสหรัฐกลับเลือกโมเดล ‘มนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการ’ ผ่านโครงการโฮโมดีอุสมากกว่า …ฉะนั้นจงอย่างแปลกใจที่คนเขียน Homo Deus เป็นคนยิว

ส่วนประเทศไทย คนไทยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ยังสับสนในตัวเองอยู่เลยว่าจะผลักดันการปฏิวัติมนุษย์นิยมไปทางไหนกันแน่?

คนรุ่นใหม่ที่เป็นลูกหลานของเรา ดูเหมือนจะฝากความหวังของ ‘การปฏิวัติมนุษย์นิยม’ (การปฏิวัติล้มเจ้าล้มสถาบันในสายตาของฝั่งอนุรักษ์นิยม) ไว้ที่ ‘พรรคการเมืองของพวกเขา’ ซึ่งค่อนข้างชัดว่าเป็น ‘มนุษย์นิยมแบบสังคมนิยม’ ที่บูชาเลื่อมใส รัฐสวัสดิการ

คนรุ่นใหม่ คิดดีแล้วหรือว่านี่คือ ทิศทางไทยที่ถูกต้อง?

‘ถ้านายไม่อ่านหนังสือ นายจะไปรู้อะไร?’ (อาจารย์ศิลป์ พีระศรี)


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top