การเมืองไทย’ น่าเป็นห่วง เมื่อคนรุ่นใหม่เชิดชูแนวคิดสุดโต่ง หลงตัวเองว่าใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน สุดท้ายจะกลายเป็นคนที่ไร้ราก

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 66 ‘ผักกาดหอม’ คอลัมนิสต์ ได้เขียนบทความ ‘สุดโต่ง-สุดตรีน’ ที่กล่าวถึงประเด็นที่กลุ่มคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าในปัจจุบัน มีแนวคิดที่สุดโต่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จนดูเหมือนจะเป็นการฝืนธรรมชาติ โดยเนื้อหาบทความระบุว่า…

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 66 ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดง FC พรรคเพื่อไทย เดินทางไปรวมตัวที่หน้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยถอนตัวออกมาจากการร่วมรัฐบาล

ทำไมเป็นงั้นล่ะครับ?

มิตรรักแฟนเพลงทุกพรรค อยากให้พรรคที่ตัวเองเลือกเป็นรัฐบาลกันทั้งนั้น มันมีเหตุผลอะไรให้ FC พรรคเพื่อไทยกลุ่มนี้ อยากให้พรรคที่รักไปเป็นฝ่ายค้าน

ไปดูข้อเสนอ 5  ข้อกันครับ

1.) ให้ทบทวนถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลในครั้งนี้
2.) ให้เกียรติพรรคอันดับ 1 ได้รวบรวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลตามมารยาททางการเมือง
3.) ให้โหวตสนับสนุนแคนดิแดตนายกรัฐมนตรี ที่มาจากพรรคที่ได้อันดับ 1
4.) ให้โหวตสนับสนุนกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน
5.) ถ้าพรรคอันดับ 1 ไม่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ ให้พรรคเพื่อไทยใช้สิทธิในการเป็นพรรคอันดับ 2 รวบรวมเสียงข้างมาก เพื่อจัดตั้งรัฐบาลและนำนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชน มาผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป หรือแล้วแต่พรรคจะใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่น

เป็น 5 ข้อเสนอที่ลึกซึ้งทีเดียวครับ

ไม่เชี่ยวชาญการเมืองจริง ไม่มีทางเขียนข้อเสนอที่ซับซ้อนในการแสดงท่าทีแบบนี้ได้ โดยเฉพาะข้อ 3 ที่เข้ากันไม่ได้เลยกับข้อ 1

FC กลุ่มนี้เก่งครับ วางเพื่อไทยไว้เหนือทุกพรรคการเมือง สปิริตสูงครับ แต่หลังฉากเป็นคนละเรื่องครับ กะกินรวบ เป็นเรื่องยากมากครับ ที่ก้าวไกลจะล็อบบี้ ส.ว. กว่า 60 คน ให้ช่วยโหวต ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกรัฐมนตรี

ฉะนั้น การที่เพื่อไทยโหวตให้ ‘พิธา’ เป็นนายกฯ จะได้ใจสีส้มไปเต็มๆ แต่ผลลัพธ์ คือ สิ่งที่ต่างออกไป

เพื่อไทยรู้ดีอยู่แล้ว เสียงสนับสนุน ‘พิธา’ เป็นนายกฯนั้นไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา การวางหมากถอยออกมาจากก้าวไกล และเริ่มจัดตั้งรัฐบาลในฐานะพรรคอับดับ 2 คือ แผนที่วางไว้ตั้งแต่ต้น

ที่มีข่าวว่าเริ่มได้กลิ่นตุตุ ก้าวไกล จะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน มันถูกกำหนดตั้งแต่หลังรู้ผลเลือกตั้งแล้ว

FC เพื่อไทยกลุ่มนี้มาช่วยโยนหินถามทางถึงหน้าพรรค ให้ทบทวน และถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ แต่ช่วยโหวตให้ ‘พิธา’ เป็นนายกฯ เป็นทางออกที่ลงตัวที่สุด ถูกด่าน้อยที่สุด ใครจะบอกว่าทรยศหักหลังก็ไม่ได้ เพราะก้าวไกลในฐานะพรรคอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เอง

สอดคล้องกับการเดินสายพบปะผู้คนของว่าที่คณะรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ที่ไม่ได้รับเสียงตอบรับสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจที่มีคำถามว่า ‘พัฒนา’ หรือ ‘หายนะ’ ???

เช่น ‘ศิริกัญญา ตันสกุล’ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงวิสัยทัศน์ตามตำราเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น แต่ประสบการณ์เชิงบริหารยังไม่มี วิสัยทัศน์จึงขาดๆ เกินๆ

ตัวดึงก้าวไกล อย่าง ‘อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล’ ก็สร้างปัญหาให้พรรคห่างจากการจัดตั้งรัฐบาลไปเรื่อยๆ

รู้อยู่แล้วว่า ม.112 คือ ‘จุดตาย’ ของก้าวไกล แต่กลับเอามาตอกย้ำให้เห็นถึงเป้าหมายที่แท้จริงของก้าวไกล ว่าไม่เคยลดราวาศอกแม้แต่นิดเดียว

‘อมรัตน์’ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กข้อความว่า

“ม.112 นี่ครอบคลุมถึงพระสยามเทวาธิราชด้วยรึเปล่า?”

คิดว่าคนโพสต์มีทัศนคติกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และ ม.112 อย่างไรครับ? ถึงได้เอาพระสยามเทวาธิราช มาล้อเล่นกับการเมือง พระสยามเทวาธิราชศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่? ก็แล้วแต่คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ห้ามกันไม่ได้

แต่ ‘พระสยามเทวาธิราช’ มีที่มาที่ไป และผูกโยงกับความเป็นไทย

สยามตอนต้นรัตนโกสินทร์หวุดหวิดจะกลายเป็นอาณานิคมของฝรั่งตะวันตกอยู่หลายครั้ง แต่ก็รอดมาทุกครั้ง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชดำริว่า เมืองไทยนี้มีเหตุการณ์หวิดๆ จะต้องเสียอิสรภาพมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่เผอิญมีเหตุให้รอดพ้นภัยมาได้เสมอ ชะรอยจะมีเทพยดาองค์ใดองค์หนึ่งที่คอยพิทักษ์รักษาไว้ จึงเห็นสมควรจะทำรูปเทพองค์นั้นขึ้นถวายสักการะบูชา

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ (พระเจ้าหลานเธอ ในรัชกาลที่ 1) นายช่างสิบหมู่ ทรงปั้นรูปเทพองค์นั้นขึ้น แล้วหล่อด้วยทองทั้งองค์

ทรงถวายพระนามว่า ‘พระสยามเทวาธิราช’

คนไม่เชื่อก็มองว่าเป็นแค่ ‘ทองคำหล่อ’ มิได้มีความสำคัญต่อบ้านเมืองแต่อย่างใด

คนที่เชื่อ ก็รู้ครับว่าเป็น ‘ทองคำหล่อ’ แต่มีมูลค่าทางจิตใจเหลือคณานับ เป็นศูนย์รวมทางจิตใจยามที่ประเทศมีปัญหาไร้ซึ่งทางออก

จิตใจเป็นเรื่องสำคัญ หากประชาชนส่วนใหญ่มีจิตใจทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ปัญหาจะทุเลาเบาบางลง

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่สุด จะทำอะไรก็ได้ ไม่สนใจชาติ ศาสน์ กษัตริย์ การเสียสมดุลจะบังเกิด สุดท้ายจะกลายเป็นประชาชนที่ไร้ราก

ฉะนั้น ฝากไปถึงก้าวไกล ใช่ ส.ว.จะมองแค่เรื่องแก้หรือไม่แก้ ม.112 อย่างเดียว ท่าทีที่ไม่เป็นมิตร และก้าวร้าวต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทำกันมาต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ ส.ว.จะยกมือเลือกหรือไม่เลือก ‘พิธา’ เป็นนายกรัฐมนตรี

ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับนักธุรกิจ นักลงทุน ที่เริ่มกลัวว่า หากก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะก่อปัญหาเรื่องต้นทุนจนไม่อาจสู้ ประเทศเพื่อนบ้านได้

อ่านโพสต์ของ ‘นันทิวัฒน์ สามารถ’ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เรื่อง ‘Gang of 4’ แล้วอดคิดไม่ได้

“... สภาพการณ์การเมืองไทยตอนนี้ ยังอยู่ในขั้นยัน เป็นช่วงของการต่อรองเพื่อผลประโยชน์และความได้เปรียบทางการเมืองของนักการเมือง จะจบยังไงปล่อยวางไว้ก่อน น่าเป็นห่วงต่อแนวความคิดของกลุ่มวัยรุ่น ที่ถูกอ้างว่าเป็น ‘มวลชน’ ของคนก้าวหน้าที่นิยมความรุนแรง ชอบการข่มขู่ ขยันลงถนน แถมชื่นชมแนวคิดพ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงลูก ไม่ถือเป็นบุญคุณที่จะต้องตอบแทน ไม่ต้องนับถือผู้อาวุโสกว่าด้วยการเรียกขาน ‘ลุง ป้า น้า อา’ ให้ใช้สรรพนาม ‘คุณ ผม’ แทน

ประการสำคัญ ปลุกระดมต่อต้านให้ยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 ที่ใช้ปกป้องสถาบันฯ อยากสะท้อนพัฒนาทางการเมืองของไทยในเวลานี้ คล้ายๆ กับเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นในจีน ในยุคของการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน มีกลุ่มบุคคลในพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่พยายามที่จะยึดอำนาจการนำในพรรคคอมมิวนิสต์จีน และพยายามทำลายล้างคู่แข่งทางการเมือง กลุ่มนึ้ประกอบด้วย เจียงชิง เมียของประธานเหมาเจ๋อตุง จางชุนเฉียว เหยาเหวินหยวน และหวังหงเหวิน และถูกเรียกว่า ‘Gang of Four’ หนึ่งหญิงสามชาย เหมือนหรือคล้ายกับเมืองไทยหรือไม่?

ในช่วงปี 1966 – 1976 แก๊ง 4 คนของจีน ได้ตั้งกลุ่มเยาวชนเรดการ์ด ที่มุ่งมั่นทำลายระบบความเชื่อเดิมๆ ของจีน ทำลายแนวคิดทุนนิยม รื้อเลิกระบบครอบครัว ให้เยาวชนเรดการ์ดตรวจสอบพ่อแม่ ลากพ่อแม่เอาแห่ประจานกลางเมืองในข้อหาเป็นนายทุนจักรวรรดินิยม รวมทั้ง เติ้งเสี่ยวผิง ที่ถือว่าเป็นศัตรูทางการเมือง เป็นตัวแทนของการพัฒนาจีนให้ทันสมัย

แต่สุดท้ายแก๊งออฟโฟร์ถูกกำจัดและติดคุก ผู้นำแนวความคิดทุนนิยม คือ ‘เติ้งเสี่ยวผิง’ ได้กลับเข้ามามีอำนาจและพัฒนาประเทศจีนด้วยนโยบายสี่ทันสมัย ฟื้นฟูจีนกลับสู่วัฒนธรรมดั้งเดิม

อะไรที่มันสุดโต่ง ไปไม่รอดหรอก ฝืนธรรมชาติ…”

วันนี้เราเผชิญกับนักการเมืองสุดโต่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่สุดท้ายแล้ว พระสยามเทวาธิราช ยังคงคุ้มครองให้ประเทศไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ครับ