Sunday, 5 May 2024
การเมือง

‘เต้น ณัฐวุฒิ’ ประกาศยุติบทบาท ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย หลัง ‘เพื่อไทย’ ดึงพรรค 2 ลุงร่วมจัดตั้งรัฐบาล

(21 ส.ค. 66) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์รายการ ‘คุยนอกจอ’ ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา หลังจากโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ตอนหนึ่งระบุ ว่า “ข้าพเจ้าเพียงรอเวลา และเวลาของข้าพเจ้า มาถึงแล้ว”

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตนยุติบทบาทผู้อำนวยการครัวเพื่อไทย (พท.) เรื่องนี้ได้บอกกับผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรค ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม เมื่อสถานการณ์อาจจะมีแนวโน้มว่าจะมีการจับมือกับพรรคการเมืองบางพรรค ที่จะมาจัดตั้งรัฐบาล ด้วยความเข้าใจ พท. ไม่ได้โกรธเคือง ไม่ได้มีอะไรขัดข้องหมองใจกัน ตนได้บอกผู้หลักผู้ใหญ่ภายในวันนั้นว่า ถ้ามันถึงจุดนั้น ตนก็คงจะอยู่ในพรรคไม่ได้ แล้วเหตุการณ์ก็เดินมาเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 12 สิงหาคม ตนได้ติดต่อนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรค พท. ว่าจะอยู่ในพรรค หรืออยู่ในกระบวนการของรัฐบาลไม่ได้ นอกจากนี้ ได้บอก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย บอกผู้หลักผู้ใหญ่ บอกทุกคนในพรรค

“ผมได้โทรเรียนท่านนายกฯ ทักษิณ (ชินวัตร) ด้วย เพราะว่าท่านเป็นคนที่ผมเคารพนับถือ และท่านเป็นคนที่ก่อตั้งพรรคการเมืองนี้ พร้อมกับเรียนนายกฯ ยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร) ด้วย ก็บอกทุกคนไว้ตั้งแต่หลายวันก่อน เพียงแต่ผมรอเวลาให้พรรคการเมืองที่ผมรัก ให้บุคคลการเมืองที่ผมรัก เดินมาอยู่ในจุดที่เป็นสถานการณ์ที่ไม่ได้กำลังยากลำบากนัก อย่างน้อยที่สุด กำลังเดินไปสู่การโหวตนายกรัฐมนตรี ซึ่งผมได้ถามคนสำคัญในพรรค ก็ได้รับการยืนยันว่านายเศรษฐาผ่านการโหวตเป็นนายกฯ แน่ ๆ นายเศรษฐาปลอดภัยแล้ว ผมไม่เคยเดินออกมาจากใครในวันที่เขาลำบาก รอจนกว่าทุกอย่างเดินไปข้างหน้า ผมจึงมาส่งตรงนี้” นายณัฐวุฒิกล่าว

นายสรยุทธถามว่า ไม่ใช่ละครใช่หรือไม่ ทำทีจากไป แต่จริง ๆ ก็ยังอยู่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า “ครับ ผมเป็นผมครับ นักเลงเขาไม่ทำกันแบบนั้น”

นายสรยุทธถามอีกว่า ตัดขาด? นายณัฐวุฒิกล่าวว่า “อย่าใช้คำนั้น ใช้คำว่ายุติบทบาท แล้วไม่ร่วมกิจกรรมกับพรรค และรัฐบาล และไม่ได้เกี่ยวข้องแล้ว”

นายสรยุทธถามว่า เป็นผลจาก พท. ตั้งรัฐบาล โดยร่วม 2 ลุง นายณัฐวุฒิกล่าวว่า “ครับ เหตุผลนั้น เป็นเหตุผลสำคัญ ผมไม่ได้ปฏิปักษ์ส่วนตัวกับนักการเมืองคนไหนใน 2 พรรคนั้นนะ แม้ว่าจะยืนคนละข้างทางการเมือง ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นศัตรู เข้าใจ และเห็นใจ พท. อย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์ที่มันเป็น เพียงแต่ว่าวิถีการเมืองแบบผม เมื่อได้ประกาศประชาชน และแสดงจุดยืนเช่นนั้นมาตลอด ผมต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้ยืนยันมา”

“การตัดสินใจยุติบทบาทของผม มันก็เป็นเรื่องมีรอยในใจ ที่นี่เป็นบ้านผม ผมเกิดที่นี่ ผมโตที่นี่ ผมสู้ที่นี่ แล้วคนในบ้านที่น้องผมนั้น แต่ว่าถึงเวลามันต้องตัดสินใจ” นายณัฐวุฒิกล่าว

นายสรยุทธถามอีกว่า ตัดสินใจยากหรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า “ยาก ไม่ได้ยากที่ห่วงยศศักดิ์ ตำแหน่ง ไม่ได้มีอยู่แล้ว ตอนผมเข้ามาทำหน้าที่ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย พรรคพวกเพื่อนฝูง บอกว่าให้เอาเมีย หาญาติพี่น้องไปลงบัญชีรายชื่อ ในลำดับที่ปลอดภัย ผมบอกว่าไม่ใช่ผม ผมเป็นนักการเมือง แต่เมีย ลูก และญาติพี่น้องผมไม่ใช่ ก็ไม่มี จะตั้งรัฐบาล ไม่ต่อรองเรียกร้องอะไรให้ตัวเองก็ไม่มี เดินออกมามือเปล่า”

“ความยากที่เดินออกมา คือความผูกพัน ความรัก ความปรารถนาดี มันยาก แต่ถึงเวลาต้องตัดสินใจ ผมไม่มีทางที่ผมจะทำให้พรรคนี้เกิดความเสียหาย ไม่มีทางที่ออกมาแล้วเขวี้ยงก้อนหินใส่หลังคาบ้าน ไม่มี”

นายสรยุทธถามว่า ทั้งที่ไม่เห็นด้วย แล้วทำไมไม่ต่อว่า นายณัฐวุฒิกล่าวว่า “ไม่เห็นด้วย แต่อย่าทำเลย คนต่อว่า พท. เยอะแล้ว อย่าให้มันออกจากปากนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อเลย มันไม่ใช่ผม”

‘วีรพัฒน์’ ติง!! ‘แฟนก้าวไกล’ ควรมีสติ-วุฒิภาวะ เพราะการเมืองคือการทำงานร่วมกันแบบมืออาชีพ

ผู้ใช้ TikTok บัญชี @missyoumt1368 แชร์คลิปวิดีโอของรายการ โหนกระแส โดยช่วงหนึ่ง ‘วีรพัฒน์ ปริยวงศ์’ นักกฎหมายอิสระ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ ‘ด้อมส้ม’ บางคนที่คอมเมนต์ติติงและอาจไม่ค่อยคุ้นชินกับวิธีการทำงานแบบมืออาชีพในสภาฯ เพราะการเมืองนั้นมันต้องร่วมมือกัน โดยระบุว่า…

“ถ้าผมถามก้าวไกล แฟนก้าวไกลที่มาคอมเมนต์อะไรไม่ค่อยฉลาด ถ้าสมมุติเพื่อไทยเขาผลักดันกฎหมายที่คุณอยากได้ คุณจะบอกคุณพิธาไหมว่าไม่ต้องยกมือให้เพื่อไทย เขาจะผลักดันกฎหมายสุราก้าวหน้า กฎหมายไม่ต้องเกณฑ์ทหาร คุณจะให้คุณพิธาลุกขึ้นมาค้านเหรอ คุณพิธาค้านไม่ได้เพราะโดนสั่งยุติไปแล้วอีก เห็นไหมว่าการเมืองมันต้องร่วมมือกัน เพราะว่าตอนนี้แฟนคลับบางคนไม่มีสติแล้ว อะไรก็ตามที่เป็นการวิจารณ์ก้าวไกล เขารับไม่ได้เลย เหมือนพันธมิตรกับ กปปส. สมัยก่อนเลย ต้องพูดอย่างงี้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

“เพราะฉะนั้น พวกคุณต้องโตขึ้นนิดนึง มีสติปัญญาที่พัฒนาขึ้นในระดับที่สูงขึ้น มิฉะนั้นแล้วการเมืองจะเป็นการเมืองน้ำเน่า นักการเมืองที่ฝ่ายค้านก็ต้องทะเลาะกับรัฐบาลหมด จริง ๆ ปัญหาอยู่ที่ตัว สว. และพรรคลุง นั่นคือปัญหา เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดก้าวไกลกับเพื่อไทยยังมาเสียเวลาทะเลาะกัน คุณก็จะกลายเป็นการเมืองแบบน้ำเน่าสมัยก่อน เพื่อไทยจะโตในสภาฯ แต่รีบนอกสภา ส่วนก้าวไกลคุณโตนอกสภาฯ คุณก็ทําอะไรไม่ได้อยู่ดีถูกไหมครับ? ดังนั้น ต้องหาวิธีทํางานร่วมกันแบบมืออาชีพ อยู่คนละฝั่งก็ยังโหวตในสิ่งที่เห็นต้องตรงกันได้ และคุณก็ค้านเฉพาะในสิ่งที่คุณจะไม่เห็นด้วย นั่นคือการเมืองแบบมืออาชีพ”

“ผมเชื่อว่าคุณพิธากับแกนนําพรรคเขาเข้าใจ ปัญหาคือจะทําอย่างไรเพื่อให้การศึกษาแก่ฐานเสียงรุ่นใหม่บางคน ที่อาจจะยังไม่ค่อยคุ้นชินกับวิธีการทํางานแบบมืออาชีพในสภาฯ สักเท่าไหร่…”

กระบี่ผู้ครองรัฐ : ตำนานคนดีที่ไม่มีวันตาย

ผู้นำ...ใช้ "บัณฑิตห้าวหาญ" ทำปลายกระบี่
ผู้นำ...ใช้ "บัณฑิตซื่อตรง" ทำคมกระบี่
ผู้นำ...ใช้ "บัณฑิตเที่ยงธรรม" ทำสันกระบี่
ผู้นำ...ใช้ "บัณฑิตภักดี" ทำโกร่งกระบี่
ผู้นำ...ใช้ "บัณฑิตปราดเปรื่อง" ทำด้ามกระบี่

กระบี่วิเศษเล่มนี้ 
พุ่งแทงไร้สิ่งบดบัง
เงื้อชูไร้สิ่งกีดขวาง
ชี้ต่ำล้วนม้วยมลาย
ตวัดไร้ที่ต้านทาน
แทงบนกรีดแหวกหมู่เมฆ
แทงต่ำกรีดแยกแผ่นดิน

เบื้องบนเอาอย่างผืนฟ้า 
ทำตามวิถีสวรรค์
เบื้องล่างเอาอย่างผืนดิน 
ทำตามลำดับฤดูกาล

ใจเมตตาประชาราษฏร์ 
สงบร่มเย็นทั้งสี่ทิศ

เมื่อใช้กระบี่นี้ เฉกเช่นอสนีบาตผ่าฟาดทั่วทุกสารทิศ

ไม่มีผู้ใดไม่เคารพเชื่อฟังบัญชาผู้นำ

"กระบี่ผู้ครองรัฐ" 
สมควรเป็นเช่นนี้

ร้อยหมื่นคนในกองประชา
เคลื่อนไหวดุจคนๆเดียว

น่าเสียดาย บัดนี้
"กระบี่ผู้ครองรัฐ" เล่มนี้
ได้วางลงแล้ว

เหลือไว้แต่ตำนานเล่าขานสืบไป

โดย สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

‘ฮุน เซน’ หวนใช้เฟซบุ๊กอีกครั้ง หลังถูกระงับบัญชี 6 เดือน  เหตุโพสต์คลิปขู่ดำเนินคดี-ทำร้ายคนเห็นต่างทางการเมือง

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ‘สมเด็จฯ ฮุน เซน’ อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ประกาศว่าจะกลับมาใช้งานเฟซบุ๊ก แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมในประเทศกัมพูชาอีกครั้ง โดยอ้างว่าเฟซบุ๊กได้ ‘มอบความยุติธรรม’ ให้กับเขา โดยการไม่สั่งระงับบัญชีผู้ใช้งานของเขา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ‘สมเด็จฯ ฮุน เซน’ ได้โพสต์ข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของเขา

สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้โพสต์ข้อความว่า เฟซบุ๊กได้ปฏิเสธคำแนะนำจากคณะกรรมการกำกับดูแลของเมตา บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ให้มีการระงับบัญชีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาผู้นี้เป็นเวลา 6 เดือน หลังจากที่เขาโพสต์วิดีโอข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของเขาเมื่อเดือนมกราคม ว่าจะถูกดำเนินคดีและตีด้วยไม้ หากกล่าวหาว่าพรรคการเมืองของสมเด็จฯ ฮุน เซน โกงการเลือกตั้งที่มีขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่พรรคประชาชนกัมพูชา (ซีพีพี) ของเขาคว้าชัยชนะไปอย่างถล่มทลายจนส่ง ‘พลเอกฮุน มาเนต’ บุตรชายคนโตของเขาขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้สำเร็จ

คำแนะนำดังกล่าวจากคณะกรรมการกำกับดูแลของเมตาเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้ทำให้สมเด็จฯ ฮุน เซน ไม่พอใจอย่างมาก จนเลิกใช้งานเฟซบุ๊ก พร้อมกับขู่ว่าจะปิดกั้นการเข้าถึงเฟซบุ๊กในประเทศกัมพูชา รวมถึงแบนตัวแทนของเฟซบุ๊กจากประเทศกัมพูชา และขึ้นบัญชีดำสมาชิกคณะกรรมการดังกล่าวกว่า 20 คน

หลังการประกาศกลับมาใช้งานเฟซบุ๊กอีกครั้ง สมเด็จฯ ฮุน เซน ระบุอีกว่า กระทรวงโทรคมนาคมกัมพูชาจะอนุญาตให้ตัวแทนของเฟซบุ๊กกลับเข้ามาทำงานในประเทศอีกครั้ง แต่ยังคงไม่นำชื่อของสมาชิกคณะกรรมการกำกับดูแลของเมตาออกจากบัญชีดำ

'ชลน่าน' ปลื้มใจ!! หลังเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน เผย 'ในหลวง' ทรงยิ้มแย้ม ตรัสชม ‘เศรษฐา’ เป็นคนเก่ง

(5 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ว่า ครั้งนี้เป็นการเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นครั้งที่ 2 ของตนเอง ต้องเรียนด้วยความเคารพว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปฏิสันถารที่ทำให้คณะรัฐมนตรีมีกำลังใจอย่างมาก ทรงมีพระราชกระแสตรัสให้กำลังใจ หลังจากถวายสัตย์ปฏิญาณเสร็จสิ้นพระองค์ได้เดินเข้ามาหานายกฯ ด้วยพระพักตร์ที่ยิ้มแย้ม และพูดให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี ซึ่งเชื่อมั่นว่านายกฯ จะทำหน้าที่ได้ดี พระองค์ท่านยังทรงชมนายกฯ ว่าเชื่อมั่นว่าเป็นคนเก่งอยู่แล้ว และทรงมีพระสรวล เราเองก็มีความปิติตามที่เราได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ ว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประเทศชาติและบ้านเมือง และปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทุกประการ

นพ.ชลน่าน กล่าวถึงแนวทางการเข้าปฏิบัติหน้าที่ในกระทรวงสาธารณสุขหลังจากนี้ว่าส่วนตัวมั่นใจในการทำงาน เพราะนายเศรษฐา ได้มอบนโยบายชัดเจนว่าเราคือรัฐบาลของประชาชน เราคำนึงถึงประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก ดังนั้น กลไกในการบริหารราชการแผ่นดินของกระทรวงสาธารณสุข อะไรที่ยึดโยงกับประชาชนดีอยู่แล้วเราก็ทำต่อไป อะไรที่ต้องปรับเปลี่ยน เพื่อตอบสนองของประชาชนได้ดีขึ้นก็ต้องดำเนินการ ดังนั้นจึงมุ่งอยู่ที่ประชาชน ทั้งสุขภาวะร่างกายจิตใจ รวมถึงสติปัญญา เราตั้งใจมุ่งมั่นที่จะใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ รวมถึงต้องวางโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบไอที จึงต้องอาศัยความร่วมมือของทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง

‘ติ๊ก เจษฎาภรณ์’ เปิดใจครั้งแรก หลังเจอดรามาโยงการเมือง ลั่น!! อยู่ที่คนจะตีความ แต่ต่อไปนี้จะระวังเรื่องโพสต์มากขึ้น

เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 66 เรียกว่าไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรออกมาเลย หลังจากอยู่ผู้จัดหนุ่ม ‘ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี’ โดนทัวร์ลงหลังโพสต์ข้อความลงในทวิตเตอร์ (X) ไว้ว่า “ในความมืดมิด…ไม้ขีดไฟแค่ 1 ก้านที่จุดติด คนนับล้านในรัศมีไกลจะมองเห็นเปลวแสงสว่างจากปลายไม้ขีดนั้น #ยิ่งมืดยิ่งสว่าง” ซึ่งถูกโยงเรื่องการเมืองที่กำลังร้อนระอุในช่วงนั้น

ล่าสุดได้เจอ ‘ติ๊ก เจษฎาภรณ์’ ในงาน ‘ลมพัดผ่านดาว Gala Event’ ที่ สยามพารากอน หลังจบงานผู้จัดคนเก่งได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดังกล่าว

>> ถามถึงเรื่องดรามาในทวิตเตอร์ อยู่ ๆ ทัวร์ก็ลง ?

“ผมเข้าไปอ่านในคอมเมนต์เราไม่เรียกว่าทัวร์ลงดีกว่า ผมเห็นแต่คอมเมนต์ดี ๆ มันเป็นเรื่องของนานาจิตตัง ว่าคุณจะเข้าใจและตีความหมายแบบไหน แต่ถ้าย้อนกลับไปผมเป็นคนชอบเข้าป่าอยู่แล้วเราเรียนวิชาลูกเสือมา เรานึกถึงว่าในเวลายามค่ำคืน แสงสว่างที่มันจุดขึ้นมาเราจะเห็นในระยะไกลหลายกิโลเมตร ซึ่งอันนี้มันเป็นคำคมอะไรบางอย่างเท่านั้นเองครับ”

>> เราไม่ได้อิงการเมืองในตอนนี้ ?

“อิงในเรื่องธรรมชาติและพื้นป่าครับ (แต่คนก็เอาไปโยงเกี่ยวกับเรื่องการเมือง?) ผมว่าเรื่องของการโยงจะพูดแบบไหนก็แล้วแต่ มันสามารถโยงได้หมด ถ้าพูดถึงความเป็นประชาชนคนหนึ่งในสังคม ผมคิดว่าทุก ๆ คน สามารถพูดในเรื่องความคิดเห็นต่าง ๆ นี้ได้นะครับ

ต้องบอกว่าความรู้สึกของแต่ละคนมันมีความแตกต่างกันไป ผมว่าอยากให้มีการเปิดเสรีในการพูดเรื่องพวกนี้ โดยที่มันไม่ได้ทำให้เกิดความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจกับใคร แต่ผมว่ามันคือแรงขับเคลื่อนที่จะทำให้สังคมและชีวิตการเป็นอยู่ต่าง ๆ รวมถึงองค์ภาพรวมต่าง ๆ ของเรา เคลื่อนไปในทิศทางที่ดี”

>> ตกใจไหมอยู่ ๆ เราก็มาเป็นประเด็นเรื่องนี้ ?

“เคยเจอมาบ่อยเหมือนกันครับ ผมว่าเราต้องไม่รู้สึกว่าการที่ใครออกมาพูดอะไรต้องโยงถึงเรื่องการเมืองเสมอ อยากให้มองมุมเปิดกว้าง ๆ และให้มองว่าเป็นเรื่องปกติของสังคม

>> เราอยากที่จะออกมาอธิบายไหมว่าสิ่งที่เราโพสต์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง ?

“ผมว่ามันไม่จำเป็นต้องอธิบาย ผมว่าเรื่องเหล่านี้มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ผมคิดอยู่เสมอว่าตราบใดที่เรายืนอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง และเราไม่ได้ทำอะไรผิดเราก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใดบนโลกใบนี้”

>> ได้รับผลกระทบอะไรกับข่าวนี้ไหมทั้งตัวเราและครอบครัว ?

“ไม่มีครับ ทุกคนปกติไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป”

>> จากนี้เราจะระวังเรื่องการโพสต์มากขึ้นไหม การเมืองตอนนี้ค่อนข้างที่จะละเอียดอ่อน ?

“แน่นอนครับ ตอนนี้มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและเปราะบาง ผมจะบอกว่าในบางแพลตฟอร์ม มันก็คือเรื่องของการที่ทำให้เราได้ ถ่ายทอดมุมมองต่าง ๆ ที่เรานึกคิด ณ ตอนนั้น ๆ มันก็อยู่ที่คนไปจับเรื่องนี้มาตีความครับ เราอยากให้ทุกคนได้เปิดใจให้กว้าง เปิดโอกาส มองเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น สาขา หรืองานอาชีพใด ๆ เราล้วนเป็น มนุษย์ซึ่งอยู่พื้นที่เดียวกันครับ”

‘แจ็ค แฟนฉัน’ ถาม!! เล่นการเมืองต้องมีพรรคพวกห้ามเห็นต่าง ถึงจะอยู่รอดเหรอ?

ต้องมีพรรค มีพวก และห้ามเห็นต่างเหรอ?

‘แจ็ค แฟนฉัน’ ยิงคำถามเด็ดใส่ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในรายการแฉ ทางช่อง GMM 25 เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 66 โดยถามว่า 

“คนไทยที่ออกไปเลือกตั้ง เขาเลือกพรรคคุณ เลือกคุณเป็นนายก และคุณได้เป็นนายกฯ แน่ๆ แต่สุดท้ายแล้วไม่ได้เป็น แล้วประเทศไทย หรือว่าคนไทยต้องทำยังไง? หรือการเมืองมันต้องอยู่ในเห็นเหรอ ต้องมีพรรคพวกโดยเห็นต่างไม่ได้เหรอ? บทเรียนตรงนี้พี่ได้อะไรบ้าง”

โดยเมื่อได้ฟังคำถามแล้ว นายพิธา เอ่ยปากชมว่าเป็นคำถามที่ดีมากๆ ก่อนจะตอบว่า 

“เป็นคำถามที่โดนใจหลาย ๆ คน คนในระยองเขต 3 ก็ถามแบบนี้ คนถามเลยว่า เสียเวลาออกไปเลือกตั้งทำไม? ทั้ง ๆ ที่เลือกไปแล้วไม่ได้อย่างที่เลือก สื่อต่างชาติหลาย ๆ เจ้าก็อาจจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจเรา เขาอาจจะคิดว่ามันคืออำนาจนิยมที่อนุญาตให้มีการเลือกตั้ง และถ้าคิดแบบนั้น ก็ยิ่งต้องเลือก เลือกจนกว่าจะได้ จนกว่าจะเป็นฉันทามติของประชาชน ไม่จำเป็นต้องเป็นผม อาจจะเป็นคนอื่น แต่ถ้าเป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ตรงเจตนาของประชาชน อีก 4 ปีข้างหน้าก็จะมีหวัง แต่ห้ามทิ้งฐานที่มั่นคือการเลือกตั้ง ก่อนเลือกอำนาจเป็นของเรา แต่หลังเลือกตั้งอำนาจเป็นของคนอื่น อย่างน้อยเราควรทำให้มันอยู่ในระบบของบ้านเมืองเรา”

‘ปิยบุตร’ ประกาศวางมือ-งดแสดงความเห็นทางการเมือง พ้อ!! หมดกำลังใจ หลังโดนทัวร์ลงหนักจากทุกฝ่าย

(22 ก.ย. 66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล หรือ ‘อาจารย์ป๊อก’ อดีตนักการเมืองสังกัดพรรคอนาคตใหม่ ได้ออกมาไลฟ์เปิดใจและวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของ ‘ช่อ พรรณิการ์ วานิช’ ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต โดยนายปิยบุตร เผยว่าโดนโจมตีจากทุกฝ่าย ทำให้ตัดสินใจยุติการแสดงความเห็นทางการเมือง เพราะอยากกลับไปคิดถึงเรื่องของตัวเอง และปล่อยให้การเมืองเป็นหน้าที่ตามบทบาทของแต่ละคน

โดยนายปิยบุตร ได้ออกมาไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวนานกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนจะเผยความในใจว่า ตอนนี้ตนรู้สึกเบื่อ ไม่รู้จะพูดเพื่อสาธารณชนไปทำไม เพราะเมื่อพูดก็โดนทัวร์ลงจากทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายความมั่นคง และผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ตลอดจนผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล

ทำให้ตนเริ่มคิดว่าอยากจะพักผ่อนสบาย ๆ งดบทบาทในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะบ้าง ส่วนเรื่องงานเขียน นายปิยบุตรกล่าวว่าอาจหันไปเขียนอย่างอื่นบ้าง เช่น งานหนัง งานเพลง วอลเลย์บอล และฟุตบอล ไม่ต้องพูดเรื่องการเมือง

นอกจากนี้ นายปิยบุตรยังตั้งใจจะนั่งทบทวน เพื่อคิดถึงเรื่องของตัวเองบ้าง เพราะที่ผ่านมาคิดถึงแต่เรื่องสาธารณะมาตลอด เนื่องจากตนเริ่มคิดได้ว่าไม่รู้จะทำไปทำไม เพราะมีแต่คนเกลียดเข้ามาจากทุกทิศทาง จึงจะพยายามไม่พูดถึงสิ่งที่คนฟังแล้วไม่พอใจ

ทั้งนี้ นายปิยบุตรตั้งใจว่าจะกลับไปเขียนตำราหนังสือที่ทำค้างไว้ และหากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เล็งเห็นว่า ตนมีประโยชน์ให้เชิญไปสอนบรรยายก็ยินดีรับงานเช่นกัน เพราะเสียดายความรู้ที่ร่ำเรียนมา ส่วนเรื่องการเมืองก็ปล่อยให้คนอื่นว่ากันไปตามบทบาทของแต่ละคน

'พิธา' เห็นใจ 'หมอพรทิพย์' ชวนสังคมร่วมกัน 'อดทน-มีวุฒิภาวะ' ชี้!! 'ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน' ไม่ช่วย แนะ!! ควรหารูระบายขจัดขัดแย้ง

(30 ก.ย. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึง กรณีแพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภาเดินทางไปต่างประเทศ และถูกคนไทยเจ้าของร้านอาหารไล่ออกจากร้าน ว่า ทั้งในฐานะนักการเมืองและส่วนตัวตน ตนอยากเชิญชวนทุกคนมาสร้างสังคมที่อดทนอดกลั้น แสดงออกอย่างอดทนอดกลั้น มีวุฒิภาวะ เชิญชวนให้มาสร้างระบบพรรคการเมืองที่ตรงไปตรงมา และมีรูระบายในการกำจัดความขัดแย้ง

ทั้งนี้ ส่วนตัวคิดว่าตาต่อตาฟันต่อฟันไม่ได้ช่วยอะไร ตนเป็นนักการเมืองเข้าใจดีเวลาลงพื้นที่ต่างจังหวัด หรือไปกับครอบครัว ก็เจอการแสดงออกของประชาชนที่คล้าย ๆ กัน ตนเข้าใจว่าตนเป็นบุคคลสาธารณะ แต่การอนุญาตให้แสดงออกโดยไม่คำนึงถึงระบบก็น่าเสียดาย

จากที่ตนได้ตามข่าวมา คู่กรณีที่เกิดขึ้นเป็นคนที่ชื่นชอบคุณหญิงพรทิพย์ แต่เกิดขึ้นจากระบบที่ไม่ตรงไปตรงมา และระบบทำให้เกิดความขัดแย้ง มาจากเสียงประชาชนที่มาจากเลือกตั้ง และเสียงในสภาที่มาจากการแต่งตั้งที่ไม่ตรงไปตรง และเกิดความอึดอัดที่ต้องระบายออก ตนก็เข้าใจพี่น้องประชาชนที่อดทนอดกลั้น และรู้สึกไม่สบายใจกับการเข้าสู่อำนาจของการเมืองไทย และระบบการเมืองไทยที่ผ่านมา ก็อยากให้ระบบมันดี ถ้าระบบมันดี เรื่องลักษณะแบบนี้ก็จะน้อยลง เพราะมีรูระบายในระบบ แต่ในส่วนของบุคคล ความมืดไล่ความมืดไม่ได้ แต่ต้องเป็นความสว่าง จึงอยากให้ช่วยกันสร้างสังคมที่อดทนอดกลั้น และมีวุฒิภาวะ ระบบที่เสถียร ทำให้ความอึดอัดส่วนตัวน้อยลง

‘โอ๋ ชัยวุฒิ’ ไม่ห่าง ‘ลุงป้อม’ แวะเยี่ยมหาสม่ำเสมอ เหตุเพราะ ‘สำนึกบุญคุณ’ ผู้มีพระคุณที่เคยมอบโอกาสให้

(17 พ.ย. 66) จากคอลัมน์ 'เปลวสีเงิน' ได้นำเสนอบทความในหัวข้อ…อยู่กับ ‘ลุงป้อม’ เสมอ…ระบุความว่า...

นี่แหละการเมือง ยามมีอำนาจมีแต่คนรายล้อม วันสิ้นอำนาจหันมองข้าง ๆ ช่างบางตา ชีวิต ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แทบจะเป็นแบบนั้น

ย้อนกลับไปก่อนการเลือกตั้งที่ผ่านมา เมื่อครั้งยังเป็นรองนายกรัฐมนตรี บารมีเฉิดฉาย ไปที่ไหนรัฐมนตรี สส. และนักการเมือง แย่งกันเบียดเพื่อไปยืนข้าง ๆ ชนิดแทบจะเหยียบกันตาย

ขนาดงานลงพื้นที่ธรรมดา ๆ ลูกพรรคยังยกพรรคกันไปแห่รอรับ พินอบพิเทาเอาใจ ลุงป้อม ประหนึ่งขอความเมตตา

แต่มาวันนี้ เหลือกันไม่กี่คนที่ยังคอยเคียงข้างลุง แบบว่างานราษฎร์ งานหลวง ไปตลอดแทบไม่เคยขาด อย่างเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ลุงป้อม เดินทางไปเป็นประธานพิธีทอดกฐินสามัคคีที่วัดเกาะแก้ว และวัดโพธิ์เผือก อ.เมืองฯ จ.พระนครศรีอยุธยา เห็นแล้วต้องบอกว่าใจหาย นั่นเพราะข้างกายวันนี้เหลือกันอยู่ไม่กี่คน

วันดังกล่าว ข้าง ๆ ตัว ลุงป้อม มีแค่ ‘บิ๊กน้อย’ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา และ ‘บิ๊กณัฐ’ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ 2 น้องรักตั้งแต่อยู่ด้วยกันในกองทัพ

ขณะที่นักการเมืองแท้ๆ มีแค่ ‘เสี่ยโอ๋ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์’ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คนเดียวเท่านั้น

มีคนเล่าว่า ทุกวันนี้เป็นแบบนี้จริง ๆ คนที่เข้า ๆ ออก ๆ มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เหลือกันไม่กี่คน ต่างจากอดีตที่แทบจะแย่งบัตรคิวเข้าพบลุงป้อม

ส่วนในราย ‘เสี่ยโอ๋’ หลายคนยืนยันตรงกัน ยังเข้าไปหา ‘ลุงป้อม’ สม่ำเสมอ แม้วันนี้จะไม่มีตำแหน่งแห่งหนอะไร หากมีงานที่ไหน คิวว่าง อดีตเสนาบดีรายนี้ยืนไม่เคยห่าง

เรื่องของเรื่อง เพราะ ‘เสี่ยโอ๋’ ซาบซึ้งใจ ‘ลุงป้อม’ ในฐานะที่เป็นผู้ให้โอกาส ให้นักการเมืองสิงห์บุรีรายนี้ได้พาสชั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกับเขาสักครั้ง บุญคุณนี้ยากจะทดแทน

แล้วในยามที่ ‘ลุงป้อม’ เป็นแบบนี้ การปลีกห่างไม่ใช่แนวทางคนอย่าง ‘เสี่ยโอ๋’ แน่


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top