Sunday, 19 May 2024
กระทรวงพลังงาน

สะพัด!! ‘พีระพันธุ์’ สั่ง ‘กกพ.’ สอบ ‘ปตท.’ ย้อนหลัง  ปมสัญญาซื้อขายก๊าซ หวั่น!! เอาเปรียบประชาชน

‘รมว.พลังงาน’ สั่ง กกพ.สอบ ‘ปตท.’ ย้อนหลังปมสัญญาซื้อขายก๊าซ หาเงินอุ้มค่าไฟ ระบุเป็นการกระทำที่เอาเปรียบประชาชน เหตุทำให้การส่งผ่านราคาก๊าซฯ ที่สูงขึ้น ส่งผลต่อการคำนวณค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น

(27 ธ.ค. 66) แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ได้ส่งหนังสือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ขอให้ตรวจสอบการจัดหาราคาก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ว่า มีช่วงเวลาใดอีกที่ไม่สามารถส่งมอบก๊าซได้ตามเงื่อนไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ หรือ ชอร์ตฟอล นอกเหนือจากช่วง ต.ค. 63 - ธ.ค. 65 ที่มีมูลค่ารวมกว่า 4,300 ล้านบาทอีกหรือไม่

ทั้งนี้ เนื่องจากหากมีการกระทำดังกล่าว จะถือเป็นการเอาเปรียบประชาชน เพราะทำให้การส่งผ่านราคาก๊าซฯ ที่สูงขึ้น ส่งผลต่อการคำนวณค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น กระทบต่อภาคประชาชน และภาคเอกชน  ซึ่งบอร์ด กกพ.ได้นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมในวันที่ 26 ธ.ค. โดยสั่งการให้สำนักงาน กกพ.เข้าไปตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวแล้ว 

แหล่งข่าวจาก กกพ. กล่าวว่า ที่ประชุม กกพ.ได้รับหนังสือจากกระทรวงพลังงาน และหารือในที่ประชุมบอร์ดแล้ว โดยจะเร่งเข้าไปตรวจสอบอย่างรอบคอบ ซึ่งหากตรวจสอบเรียบร้อยจะส่งไปยังกระทรวงพลังงานต่อไป 

อย่างไรก็ดี บอร์ดยังได้พิจารณามติสำนักงาน กกพ. รายงานความคืบหน้าการบังคับใช้มาตรการทางปกครอง หลังจาก กกพ. ใช้อำนาจ ตาม พ.ร.บ. การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 มาตรา 127 ออกคำสั่งที่ 44/2566 เรื่อง การส่งผ่านราคาก๊าซธรรมชาติ กรณีที่ผู้ผลิตไม่สามารถส่งมอบก๊าซได้ตามเงื่อนไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ ซึ่งปตท. ต้องนำมูลค่าก๊าซฯ ที่มีการปรับลดลงจากผู้ผลิตประมาณ 4,300 ล้านบาท มาสะท้อนในราคารับซื้อเฉลี่ยหรือพูล ก๊าซ ในเดือนม.ค. 67 จะลดต้นทุนค่าไฟฟ้างวดเดือนม.ค. - เม.ย. 67 แต่ปตท. ยื่นอุทธรณ์คำสั่ง ต่อมาการประชุม กกพ. วันที่ 20 ธ.ค. 66 มีมติให้ยกคำอุทธรณ์ของ ปตท. และมอบหมายให้สำนักงาน กกพ. ดำเนินการบังคับใช้มาตรการทางปกครองตามมาตรา 128 ที่กำหนดให้ กกพ. ต้องมีหนังสือเตือนอีกครั้ง หากยังฝ่าฝืนจะมีคำสั่งปรับวันละไม่เกิน 5 แสนบาท ก่อนนำไปสู่การออกคำสั่งพักใช้ใบอนุญาตต่อไป

อย่างไรก็ตาม กกพ. ยืนยันว่า ได้ปฏิบัติตามขั้นตอน โดยดำเนินการมาตรการทางปกครอง ก่อนจะใช้มาตรการทางอาญาในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ. การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 มาตรา 132 ที่บัญญัติว่า ผู้ใดให้ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือบิดเบือนแก่ กกพ. และการกระทำนั้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใช้พลังงาน ต้องระวางโทษจำคุก 6 เดือน หรือ ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ระหว่างปี 65 สำนักงาน กกพ. ได้ตรวจสอบการคำนวณราคาพูล ก๊าซ พบข้อมูลชอร์ตฟอล ซึ่งเป็นตัวเลขปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ผู้ผลิตก๊าซต้องส่งให้กับ ปตท. ระหว่างเดือนต.ค. 63 - ธ.ค. 65 โดยสัญญาซื้อขายก๊าซฯ กำหนดว่า หากผู้ผลิตก๊าซส่งก๊าซธรรมชาติไม่ครบได้ตามปริมาณในสัญญาต้องคิดราคาก๊าซฯ งวดต่อไปตามจำนวนที่ขาดส่งในราคาประมาณ 75% จากราคาปกติ เป็นผลให้ ปตท. ซื้อก๊าซฯ ในส่วนดังกล่าวถูกกว่าราคารับซื้อปกติ มีมูลค่าประมาณ 4,300 ล้านบาท

แต่ ปตท. กลับนำก๊าซฯ ในส่วนดังกล่าวตามราคาเต็ม 100% มาคำนวณในราคา พูล ก๊าซ ซึ่งส่วนใหญ่จะสะท้อนไปยังต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากประชาชนในช่วงเวลาดังกล่าว

'รสนา' พร้อมยกพลขอบคุณ 'พีระพันธุ์' ถึงทำเนียบ ถ้าราคา LPG ครัวเรือนต่ำสุดที่ 219 บาท ต่อ 15 กก.ได้จริง

(29 ธ.ค. 66) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

ข่าวเชียร์พีระพันธุ์สอนมวยก้าวไกลตอบกระทู้ในสภาว่าครัวเรือนได้ค่าก๊าซหุงต้มต่ำสุดที่ถังละ 219 บาท แต่ราคาจริงยังอยู่ที่ 495.75 บาท/ถัง

ดิฉันได้ดูคลิปที่มีคนทำขึ้นมาเชียร์รมว.พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค สอนมวยก้าวไกลในการตอบกระทู้เรื่องพลังงานในรัฐสภา เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 ว่าคำถามเรื่องพลังงานของก้าวไกลล้าสมัยหมดแล้ว โดยระบุมีมติ กพช. เรื่องการจัดสรรราคาก๊าซจากอ่าวไทยใหม่แล้ว เมื่อ 7 ธันวาคม 2566 ว่าปิโตรเคมีได้ใช้ก๊าซในราคา 362 บาทเท่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่น (ไม่ได้ระบุว่าราคาต่อหน่วยอะไร)

ส่วนประชาชนในครัวเรือนได้ใช้ LPG เป็นก๊าซหุงต้มในราคาถูกที่สุด ที่ราคา 219 บาท ท่านไม่ได้ระบุเช่นกันว่า 219 บาทเป็นราคาต่อหน่วยอะไร

ดิฉันอนุมานว่า 219 บาทน่าจะเป็นราคาก๊าซหุงต้มต่อถัง 15 กิโลกรัมจากโรงแยกก๊าซที่ยังไม่ได้บวกภาษี และค่าการตลาด เมื่อสันนิษฐานเช่นนี้ แสดงว่าก๊าซหุงต้มราคาต่อกิโลกรัมคือ 14.60 บาท

แต่เมื่อมาดูตารางราคาก๊าซ LPG ในโครงสร้างราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้มในตารางส้มของวันนี้ (วันที่ 28 ธันวาคม 2566) จะพบว่าราคาเนื้อก๊าซหน้าโรงแยก ที่ยังไม่ได้รวมภาษี และค่าการตลาด ราคายังอยู่ที่กิโลกรัมละ 25.7135 บาท ซึ่งตัวเลขยังไม่ได้ปรับลดลงเป็นกิโลกรัมละ 14.60 บาท (219 บาท/15 กิโลกรัม) ตามที่ท่านรัฐมนตรีตอบกระทู้ในสภา

ราคาก๊าซในตารางส้ม เนื้อก๊าซหน้าโรงแยก ราคากิโลกรัมละ 25.7135 บาท เมื่อบวกภาษี ค่าการตลาด และเอากองทุนน้ำมันมาชดเชยราคา - 7.1826 บาท ทำให้ราคาเนื้อก๊าซปลายทางมีราคากิโลกรัมละ 25.87 บาท ถ้าไม่เอากองทุนฯ มาอุ้มราคา 7.1826 บาท ราคาก๊าซหุงต้มขายปลีกจะมีราคากิโลกรัมละ 33.0526 บาท เมื่อคำนวณราคาต่อถัง 15 กิโลกรัม ราคาขายปลีกจริงคือ 495.789 บาท

ถ้าราคา LPG สำหรับครัวเรือนตามที่ท่านพีระพันธุ์พูดว่าจะได้ราคาต่ำสุดที่ 219 บาทนั้น หากการอนุมานของดิฉันถูกต้อง ราคาเนื้อก๊าซหุงต้มจะเป็นราคากิโลกรัมละ 14.60 บาท เมื่อรวมภาษีและค่าการตลาดแล้วจะเป็นราคากิโลกรัมละ 21.65 บาท ราคาต่อถัง 15 กิโลกรัมจะมีราคาเพียง 324.75 บาท ถูกกว่าราคาปัจจุบันที่ 495.75 บาท/ถัง และไม่ต้องใช้กองทุนน้ำมันมาอุ้มราคา และถูกกว่าราคาที่รัฐบาลจะตรึงราคาที่ถังละ 423 บาทไปถึง เดือนมีนาคม 2567 อีกด้วย

ดิฉันต้องขอให้ท่านรัฐมนตรีกรุณาตอบคำถามให้ชัดเจนว่าตัวเลขที่ท่านบอกว่าครัวเรือนจะได้ใช้ก๊าซอ่าวไทยถูกที่สุดในราคา 219 บาทนั้น เป็นไปที่ดิฉันคำนวณหรือไม่ หากไม่ใช่ ก็ขอให้ท่านกรุณาตอบให้ดิฉันได้ทราบว่าก๊าซหุงต้มตามตัวเลขที่ท่านตอบกระทู้ในสภานั้น จะมีราคาขายปลีกเท่าไหร่กันแน่ ?

ขอคำตอบชัด ๆ ให้กับกระทู้นอกสภาของดิฉันด้วย !!

ถ้าท่านรัฐมนตรีสามารถทำให้ครัวเรือนได้ใช้ก๊าซหุงต้มราคาหน้าโรงแยกที่ 219 บาท/15 กิโลกรัมได้จริง จะถือว่าท่านได้ทำการแก้ไขต้นทุนก๊าซหุงต้มที่เป็นธรรมต่อประชาชนอย่างแท้จริง และถ้าท่านทำได้จริงตามที่พูด ดิฉันจะเชิญชวนประชาชนไปร่วมขอบคุณท่านรัฐมนตรีถึงทำเนียบรัฐบาลเลยทีเดียว 

เช็กลิสต์!! พลังงาน 'ยุคพีระพันธุ์' ช่วยใครไปแล้วบ้าง?

(3 ม.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงการแก้ปัญหาความเดือดร้อนจากค่าก๊าซ NGV ที่มีราคาสูงขึ้นจนกระทบผู้ประกอบการรถบรรทุก รถสาธารณะ และรถแท๊กซี่ ว่า…

ตามที่พี่น้องผู้ประกอบการรถบรรทุก รถสาธารณะ และรถแท๊กซี่ได้มาร้องเรียนเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาให้ผมแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากค่าก๊าซ NGV ที่มีราคาสูงขึ้นจนกระทบการประกอบอาชีพนั้น 

ผมได้ตั้งคณะทำงานดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา โดยท่านประธานที่ปรึกษา ณอคุณ สิทธิพงศ์ เป็นประธานและทำข้อเสนอไปยังบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และคณะกรรมการบริษัท ปตท. โดยปลัดกระทรวงพลังงาน ท่านประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ในฐานะประธานบอร์ด ปตท. พิจารณามีมติเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่ผ่านมา เห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอไป นับเป็นของขวัญปีใหม่อีกชิ้นสำหรับพี่น้องผู้ประกอบการรถแท๊กซี่ รถโดยสารสาธารณะ รถบรรทุก และรถทั่วไป ตามรายละเอียดดังนี้

1.รถแท๊กซี่ 
ขยายระยะเวลาการช่วยเหลือราคา NGV สำหรับผู้มีบัตรสิทธิประโยชน์อยู่แล้ว โดยแบ่งเป็นสองระยะดังนี้

-ระยะที่ 1 ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 - วันที่ 30 มิถุนายน 2567 จำหน่ายก๊าซ NGV ที่ราคา 14.62 บาทต่อกิโลกรัม

-ระยะที่ 2 ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 - วันที่ 31 ธันวาคม 2568 จำหน่ายก๊าซ NGV ที่ราคา 15.59 บาทต่อกิโลกรัม

ขณะเดียวกันก็เปิดให้มีการสมัครบัตรสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในเดือนมกราคม ถึง กุมภาพันธ์ 2567 โดยผู้ที่สมัครสิทธิประโยชน์ใหม่ในช่วงนี้จะสามารถซื้อก๊าซในราคาเดียวกับผู้ที่มีบัตรสิทธิประโยชน์เดิมได้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ปตท. จะพิจารณาเพิ่มวงเงินซื้อก๊าซ NGV จากเดิม 10,000 บาทต่อเดือนต่อคัน เป็นวงเงิน 12,000 บาทต่อเดือนต่อคัน

2.รถโดยสารสาธารณะ
-ขยายระยะเวลาการช่วยเหลือราคา NGV สำหรับผู้มีบัตรสิทธิประโยชน์อยู่แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567 จำหน่ายก๊าซ NGV ที่ราคา 18.59 บาทต่อกิโลกรัม

-เปิดรับสมัครบัตรสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม สำหรับรถโดยสารสาธารณะ หมวด 1 และ หมวด 4 ในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2567

-ให้การช่วยเหลือราคาก๊าซ NGV ดังนี้

*รถหมวด 1 และหมวด 4 (กทม.) แบ่งเป็นวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567 จำหน่ายในราคา 14.62 บาทต่อกิโลกรัม และวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่  31 ธันวาคม 2568 จำหน่ายที่ราคา 15.59 บาทต่อกิโลกรัม

*รถหมวด 2 และ 3 (ต่างจังหวัด) ที่ได้รับสิทธิประโยชน์เดิม ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 จำหน่ายที่ราคา 18.59 บาทต่อกิโลกรัม

โดยมีวงเงินช่วยเหลือรถขนาดเล็กที่ 10,000 บาทต่อเดือนต่อคัน และรถขนาดใหญ่ที่ 40,000 บาทต่อคันต่อเดือน

3.รถบรรทุก
-เปิดรับสมัครรถบรรทุกที่ร่วมโครงการรณรงค์ความปลอดภัย โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน

-ให้ส่วนลดราคาจำหน่ายก๊าซ NGV เป็นระยะเวลา 6 เดือน  หลังจากการรับสมัครแล้วเสร็จ โดยแบ่งเป็นสถานีนอกแนวท่อ ให้ส่วนลดประมาณ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จากราคาประกาศสถานีบริการ และสถานีแนวท่อให้ส่วนลดประมาณ 1 บาทต่อกิโลกรัม จากราคาประกาศสถานีบริการ

-เมื่อการช่วยเหลือครบ 6 เดือนแล้ว ราคาขายปลีกก๊าซ NGV จะเป็นตามโครงสร้างราคา

4.รถทั่วไป
ขยายระยะเวลาการช่วยเหลือราคาก๊าซ NGV ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 โดยจำหน่ายก๊าซ NGV ที่ราคา 19.59 บาทต่อกิโลกรัม หลังจากนั้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV จะเป็นไปตามโครงสร้างราคาเพื่อให้สอดคล้องกับรถบรรทุก

‘พีระพันธุ์’ อึ้ง!! ‘สส.ก้าวไกล’ ใช้ ‘ข้อมูลคาดการณ์’ อภิปรายฯ งัดข้อมูลจริง ‘กฟผ.’ ยัน!! ‘ลดค่าไฟ’ ไม่ได้สร้างปัญหาการเงิน

(5 ม.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กระบุว่า…

วันนี้ติดภารกิจตลอดทั้งวัน เพิ่งมีโอกาสได้สรุปข้อเท็จจริง

ช่วงหัวค่ำเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 66 ท่านศุภโชติ ไชยสัจ สส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อภิปรายงบประมาณ ปี 2567 พาดพิงเรื่องที่รัฐบาลลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนว่าทำให้เป็นปัญหาการเงินให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.)

น่าแปลกที่เรื่องเดียวกันท่านกลับเลือกพูดเรื่องปัญหาการเงินของ กฟผ. แทนที่จะพูดเรื่องประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากการช่วยแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าให้ประชาชนทั้งประเทศที่ผมและรัฐบาลนี้ทำสำเร็จ

ท่านบอกว่า กฟผ. มีสถานะเงินสดต่ำมากจนน่าเป็นห่วง โดยมีแนวโน้มตามกราฟิกที่นำมาแสดงว่าตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 กฟผ. จะมีกระแสเงินสดเหลือเพียง 39,234 ล้านบาท และลดลงเรื่อย ๆ ถึงขั้นมีกระแสเงินสดเหลือแค่ 10,000 กว่าล้านบาท โดยเฉพาะเดือนกรกฎาคม ตุลาคม และธันวาคม 2567 จะไปถึงขั้นกระแสเงินสดติดลบเอาเลย แถมยังมีหนี้สินที่ต้องชำระให้ ปตท. อีกหลายหมื่นล้านบาท 

ในขณะที่จะต้องส่งรายได้ให้รัฐอีกปีละหลายหมื่นล้านโดยปี 2566 กฟผ. ต้องนำรายได้ส่งรัฐ 17,142 ล้านบาท และปี 2567 ที่จะติดลบกระแสเงินสดด้วยนี้ กฟผ. กลับจะต้องนำส่งรายได้ให้รัฐถึง 28,386 ล้านบาท สูงกว่าปี 66 ถึง 65% แล้วจะทำอย่างไร

ฟังแล้วน่าตกใจว่ารัฐไปยัดปัญหาให้ กฟผ. เพิ่มทำไม ประชาชนทางบ้านและสื่อมวลชนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงก็จะตกใจตามไปด้วย

ผมก็ตกใจครับ ไม่ได้ตกใจในข้อมูลและตัวเลขที่ท่านพูด แต่ตกใจว่าทำไมท่านเลือกเอาข้อมูลที่เป็นเพียง ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่ทำล่วงหน้าก่อนของจริงตั้งแต่ตุลาคม 2566 ปีที่แล้วมาพูด แทนที่จะเอา ‘ข้อมูลจริง’ ที่ ‘เกิดขึ้นจริง’ ณ เวลานี้ มาพูด

ขอเรียนตามนี้ครับ
1) ข้อมูลตัวเลขต่าง ๆ ที่ผมนำมานั้น มาจากรองผู้ว่าการ กฟผ. ฝ่ายการเงิน หรือ CFO ที่ให้ข้อมูลผมตอนที่จะนำงบการเงินปี 2564 - 2565 ของ กฟผ. รายงานต่อ ครม. เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 67 และอีกครั้งก่อนที่ผมจะตอบชี้แจงเมื่อคืน จึงเชื่อถือได้ว่าเป็น ‘ข้อมูลจริง’ แต่ถ้าท่านไม่เชื่อคงต้องไปเถียงกับ กฟผ. เอาเองนะครับ

2) ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่ท่าน สส. ศุภโชติ แห่งพรรคก้าวไกล นำมาพูดนั้น เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าตั้งแต่ตุลาคม 2566 ก่อนมี ‘ข้อมูลจริง’ ณ ปัจจุบัน ดังนี้

(ก) ตารางหรือกราฟที่ท่าน ส.ส. ศุภโชติ นำมาใช้นั้น เป็นเพียงการคาดการณ์เพื่อแสดงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเท่านั้น และมิได้แปลว่าจะเกิดขึ้นจริงตามนั้น เพราะ กฟผ. จะต้องบริหารจัดการมิให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้น อย่างไรก็ตาม กฟผ. ก็ต้องประมาณการแบบ ‘ร้าย’ หรือแบบ worst case scenario ไว้ก่อน และตารางหรือกราฟนั้นก็เป็นเพียงเอกสารภายในที่ใช้เพื่อชี้แจงพนักงานของ กฟผ. ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลจริงในการบริหาร และไม่อาจใช้อ้างอิงได้ เพราะไม่ใช่ข้อมูลที่จะเกิดขึ้นจริง

(ข) มีปัจจัยที่เป็น ‘ข้อมูลจริง’ อื่น ๆ ที่ทำให้ กฟผ. มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ตามตารางที่นำมาแสดงอีกประมาณเกือบ 15,000 ล้านบาท เช่น กำไรจากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นประมาณ 4,000 ล้านบาท กำไรจากการรับงานภายนอกองค์กรประมาณ 1,000 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 2,600 ล้านบาท ต้นทุนลดลงจากการบริหารจัดการประมาณ 5,000 ล้านบาท และกำไรจากรายได้อื่นๆ ประมาณ 2,100 ล้านบาท เป็นต้น ทำให้ ณ สิ้นปี 2566 กฟผ. มีเงินสดคงเหลือจริงประมาณ 91,000 ล้านบาท ไม่ใช่ 63,623.6 ล้านบาท ตามที่ปรากฏในตารางคาดการณ์ที่นำมาแสดง

(ค) อัตราค่าไฟฟ้าที่จะเรียกเก็บจากประชาชนตามการคาดการณ์ในตารางจะอยู่ที่ 3.99 บาท / หน่วย ตลอดปี 2567 และคาดการณ์ว่าเป็นภาระของ กฟผ. เองทั้งหมดแต่เพียงหน่วยงานเดียว แต่ ‘ข้อมูลจริง’ ค่าไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น อยู่ระหว่าง 4.15 ถึง 4.20 บาท / หน่วย ตั้งแต่มกราคมถึงเมษายน 2567 ส่วนค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกินเดือนละ 300 หน่วย ที่รัฐบาลคงไว้ที่ 3.99 บาท / หน่วย นั้น รัฐบาลเป็นผู้แบกรับภาระจากเงินงบกลางเป็นเงินประมาณ 1,995 ล้านบาท จึงไม่เป็นภาระของ กฟผ. ฝ่ายเดียว ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาแสดง

(ง) การแบกรับภาระอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลงทั้งสองครั้งนี้ ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ เป็นการคาดการณ์ว่า กฟผ. จะเป็นผู้แบกรับภาระเองทั้งหมดแต่เพียงหน่วยงานเดียว แต่ตาม ‘ข้อมูลจริง’ รัฐบาลมีการบริหารจัดการและช่วยดำเนินการในหลายรูปแบบ โดยในครั้งนี้รัฐบาลมีการปรับโครงสร้าง Pool Gas และให้ กกพ. เรียกเก็บค่า Shortfall มาลดภาระ รวมทั้งใช้เงินงบกลางเข้ามาช่วยลดภาระ กฟผ. ด้วย
ข้อมูลใน (ค) และ (ง) นี้ก็ไม่ปรากฏในตารางที่เป็น ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาพูด เพราะในเวลาที่ทำตารางเมื่อเดือนตุลาคม 2566 นั้น ‘ข้อมูลจริง’ นี้ ยังไม่เกิดขึ้น

3) จากสถานะการเงินที่เป็น ‘ข้อมูลจริง’ ณ สิ้นปี 2566 กฟผ. มีเงินสดในมือประมาณ 91,000 ล้านบาท จึงเป็นไปไม่ได้ที่ ณ เดือนมกราคม 2567 เพียงหนึ่งเดือนให้หลังกระแสเงินสดของ กฟผ. ก่อนหักค่าใช้จ่ายจะเหลือเพียง 39,234 ล้านบาท ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาแสดง

4) มาตรฐานทางการเงินของ กฟผ. จะต้องคงสถานะเงินสดไม่ให้ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาท หากเมื่อใดมีแนวโน้มว่าจะลดต่ำลงกว่ามาตรฐานนี้ กฟผ. จะดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ทันที และที่ผ่านมา กฟผ. ก็ดำเนินการตามนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริงที่สถานะการเงินจริงของ กฟผ. ในปี 2567 จะลดลงเรื่อย ๆ จนถึงขั้นติดลบในเดือนกรกฎาคม ตุลาคม และธันวาคม 2567 ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาแสดง

5) ตาม ‘ข้อมูลจริง’ นั้น กฟผ. ชำระหนี้เดิมที่มีกับ ปตท. หมดสิ้นแล้วตั้งแต่มกราคม 2566 สำหรับปี 2566 ทั้งปีนั้น กฟผ. ไม่ได้ติดหนี้อะไร ปตท. โดยมีการชำระหนี้ให้ ปตท. ตามกำหนดเวลาตลอดมา ณ วันนี้ กฟผ. จึงไม่มีหนี้สินอะไรกับ ปตท. อีก

6) การส่งรายได้ให้รัฐของ กฟผ. กำหนดมาตรฐานไว้ที่ประมาณ 50% ของกำไรในแต่ละปี สำหรับปี 2566 ที่ผ่านมา ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าในปี 2566 ว่า กฟผ. จะนำส่งรายได้ให้รัฐ 17,142 ล้านบาท แต่ตาม ‘ข้อมูลจริง’ กฟผ. จะนำส่งรายได้ให้รัฐสำหรับปี 2566 นี้ประมาณ 24,000 ล้านบาท ไม่ใช่ 17,142 ล้านบาท ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาพูด ข้อมูลที่นำมาพูดจึงผิดไปจากความจริงที่เป็น ‘ข้อมูลจริง’ ถึง 28.575% และนี้ยังแสดงให้เห็นประสิทธิภาพของ กฟผ. ด้วยว่าขนาดอัตราค่าไฟฟ้าลดลง แต่ กฟผ. ยังสามารถนำส่งรายได้สูงกว่า ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า

7) สำหรับปี 2567 ล่าสุด กฟผ. คาดการณ์ว่าจะนำส่งเงินรายได้ประจำปี 2567 ให้รัฐประมาณ 20,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ประมาณ 16.6666% ไม่ใช่จะนำส่งรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง 65% จาก 17,142 ล้านบาท เป็น 28,386 ล้านบาท ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาพูดอีกเช่นกัน แต่ไม่แน่นะครับ เอาเข้าจริง กฟผ. อาจสามารถบริหารจัดการให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นเดียวกับปี 2566 ที่ผ่านมานี้ได้อีก ก็เป็นไปได้นะครับ

‘พีระพันธุ์’ เล็ง ‘รื้อระบบพลังงานไทย’ หลังวางแผนผิดมาหลาย 10 ปี

อยากรู้ อยากเคลียร์เบื้องลึก ว่าทำไม ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ถึงกล้าที่จะประกาศ ‘รื้อ’ โครงสร้างพลังงานทั้งระบบอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน!! ติดตามต่อเต็ม ๆ ได้ที่ >> ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ 👉 https://youtu.be/WoVPPtVOM0c 

‘พีระพันธุ์’ ยังไม่พอใจ!! มองราคาค่าไฟยังลดได้อีก ยัน!! แผนรื้อโครงสร้างราคาพลังงานทุกชนิด ไม่เงียบ

(12 ม.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ปี 67 จะดำเนินการรื้อ ลด ปลด สร้าง จะแก้กฎหมายกฎระเบียบ หรือการเขียนกฎหมายขึ้นมาใหม่ เพื่อให้โครงสร้างราคาพลังงานทุกชนิด ไม่ใช่แค่เฉพาะไฟฟ้าให้มีความเป็นธรรม โดยมองว่าประชาชนต้องไม่ได้รับความเดือดร้อนจากราคาพลังงาน และจะต้องมีความยั่งยืน

"ในอนาคตจะมีการรื้อโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้า โดยพยายามหามาตรการ เช่น การหาแหล่งเชื้อเพลิงต้นทุนต่ำ การรื้อสัญญาโรงไฟฟ้าที่มีข้อผูกพันในระยะยาว การเข้าไปดูแลการนำเข้า Spot LNG"

ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานพยายามหามาตรการในการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ซึ่งในส่วนของค่าไฟฟ้า จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ บ้านที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน จะจ่ายค่าไฟฟ้าในอัตราเดิมคือ 3.99 บาทต่อหน่วย

ส่วนบ้านที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 300 หน่วยต่อเดือน จากเดิมที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานได้ประกาศไว้ที่ 4.68 บาทต่อหน่วย แต่ด้วยความร่วมมือจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ,การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ลดค่าไฟฟ้าเหลือเพียง 4.18 บาทต่อหน่วย หรือลดลงอีก 50 สตางค์ต่อหน่วยจากที่ กกพ. ประกาศ

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่า กระทรวงพลังงานได้ดำเนินทุกมาตรการที่สามารถดำเนินการได้ในระยะเวลาที่จำกัด แต่เนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิง โดยเฉพาะค่าก๊าซธรรมชาตินำเข้าหรือ LNG แม้จะเริ่มมีราคาลดลง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง แต่คาดว่าค่าไฟฟ้าในงวด พ.ค.-ส.ค. 67 จะมีแนวโน้มไปในทางที่ดี เนื่องจากก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในอ่าวไทยจะสามารถผลิตได้ตามแผนที่วางไว้ที่ 800 ล้านลูกบาศ์กฟุตต่อวัน รวมถึงการปรับโครงสร้างราคาที่กำลังดำเนินการอยู่ ก็คาดว่าจะทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงจากราคาปัจจุบันได้อีก

นายพีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า กระทรวงพลังงานให้แต่ละหน่วยงานหามาตรการ เพื่อให้สามารถลดภาระค่าครองชีพของประชาชนได้มากที่สุด โดยตัวอย่างที่ดำเนินการแล้ว เช่น การให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติมาใช้ราคา Pool Gas (ราคาเฉลี่ยรวมก๊าซธรรมชาติจากทุกแหล่ง) ก็เป็นส่วนหนี่งที่ทำให้ราคาค่าไฟลดลงมาได้ และที่สำคัญคือเป็นการลดแบบถาวร

นอกจากนี้ ยังได้ความร่วมมือจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในการขยายหนี้ออกไปอีก 1 งวด และ ปตท. ในการกำหนดราคาขายก๊าซธรรมชาติ

‘พีระพันธุ์’ พร้อม!! ตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาท 3 เดือน ลั่น!! จะดูแลราคาพลังงานให้อยู่ในระดับนี้ตลอดปี

ข่าวดี!! ‘พีระพันธุ์’ ลั่น!! ตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาท ทั้งปี 67 ด้านค่าไฟเริ่มเห็นสัญญาณต้นทุนทรงตัวจากปริมาณก๊าซในแหล่งอ่าวไทยเพิ่มขึ้น พร้อมลุย!! ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ เต็มรูปแบบควบคู่การดูแลราคาพลังงาน

(12 ม.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ปี 2567 จะดูแลราคาพลังงานให้อยู่ในระดับนี้ต่อไป โดยตลอดปีนี้ ทั้งค่าไฟ ที่เริ่มเห็นสัญญาณต้นทุนทรงตัว เพราะจะมีปริมาณก๊าซในแหล่งอ่าวไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงน้ำมันโดยเฉพาะน้ำมันดีเซลต้องอยู่ระดับไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรต่อไป ขณะที่ ราคาแอลพีจี (LPG) และเอ็นจีวี (NGV) จะดูแลให้อยู่ระดับนี้ต่อไปด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐบาล ทุกหน่วยงานรัฐ

นอกจากนี้ จะเดินหน้า ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ เต็มรูปแบบควบคู่การดูแลราคาพลังงาน โดยคาดว่ากฎหมายหลายฉบับที่ปรับแก้ รื้อ หรือยกร่างใหม่จะชัดเจนทั้งหมด อาทิ ประเด็นโครงสร้างราคาน้ำมัน ปัจจุบันประกอบด้วย ราคาหน้าโรงกลั่นของฝั่งเอกชน บวกฝั่งรัฐคือ ภาษีต่าง ๆ บวกส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือกองทุนฯ อุดหนุน ซึ่งฝั่งรัฐกลายเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเกือบ 100%

ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ทันทีคือ การหารือกับกระทรวงการคลัง (นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) และกระทรวงมหาดไทย (นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) โดยเป็นการหารือระดับรัฐมนตรี เพื่อเป็นนโยบายรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนอย่างถาวร เพราะโครงสร้างจากรัฐมีมานานตั้งแต่ตั้งกระทรวง ไม่มีการปรับแก้ 

ส่วนต้นทุนหน้าโรงกลั่นเมื่อแก้กฎหมายแล้ว กระทรวงพลังงานจะมีอำนาจเรียกดูข้อมูลที่เอกชนอ้างเป็นความลับทางการค้า ทั้งหมดนี้ราคาน้ำมันของไทยจะลดลงด้วยโครงสร้างที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง

ด้านกรณีการตรึงราคาดีเซล 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค. 67) ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร โดยไม่มีการช่วยเหลือทางภาษีจากกระทรวงการคลังนั้น คาดว่าวันที่ 16 มกราคมนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอคือ ลดภาษีดีเซลเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยรายละเอียดอยู่ที่กระทรวงการคลังในการพิจารณาอัตรา และช่วงเวลาการสนับสนุน

นายพีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า ผลงานสำคัญของกระทรวงพลังงานปีที่ผ่านมาคือ การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่าไฟฟ้า ล่าสุดงวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 67 อยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย และกลุ่มเปราะบาง 3.99 บาทต่อหน่วย

ขณะที่น้ำมัน กลุ่มเบนซินไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ลดกลุ่มเบนซิน โดยเฉพาะน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ราคาลดลง 2.50 บาทต่อลิตร นอกจากนี้ยังตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (เอ็นจีวี) ด้วย

"ประเด็นค่าไฟได้มีการปรับโครงสร้างก๊าซธรรมชาติ ด้วยการบริหารให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติใช้ก๊าซในราคาพูลก๊าซ คือ ราคาเฉลี่ยจากทุกแหล่งที่มา ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าลดลงได้ ถือเป็นความสำเร็จหนึ่งในการปรับโครงสร้างพลังงานประเทศที่ผมประกาศไว้" นายพีระพันธุ์ ทิ้งท้าย

‘พีระพันธุ์’ เคาะ!! ‘ค่าไฟฟ้าสีเขียว’ 4.55 บาท/หน่วย เปิดทางพลังงานสะอาด ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ

‘กระทรวงพลังงาน’ คาด ก.พ. เคาะราคาค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว คาดราคาเหมาะสม 4.55 บาทต่อหน่วย ปลดเงื่อนไขทางต่างชาติต้องการพลังงานสะอาด ด้านกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งแก้กฎหมายโรงงานผลิตไฟฟ้าโซลาร์หลังคาเกิน 1,000 หน่วยไม่ต้องขออนุญาต

(20 ม.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ภายในไม่เกินเดือน ก.พ.2567 กระทรวงพลังงานจะประกาศอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว หลังจากที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศหลักเกณฑ์การให้บริการและการกำหนดอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียวไปแล้ว นับว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่มีความพร้อมในการจัดหา ‘ไฟฟ้าสีเขียว’ มีทั้งกระบวนการผลิต จัดหา และการรับรองไฟฟ้าสีเขียวเพื่อรองรับความต้องการพลังงานของธุรกิจ

นอกจากนี้ ยังรวมถึงบริษัทข้ามชาติ ที่ต้องการขยายการลงทุน หรือย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย ทั้งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย ขจัดอุปสรรคด้านการค้า การลงทุน จากมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) ได้เป็นอย่างดี มั่นใจว่าจะมีไฟฟ้าสีเขียวในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ

ทั้งนี้ จึงมีโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนตามแผน PDP เพื่อเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในระบบอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยแบบที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสีเขียวจะไม่สามารถเจาะจงแหล่งที่มาของไฟฟ้าสีเขียวจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในสัญญาบริการ และแบบที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถเจาะจงแหล่งที่มาได้

รับฟังความเห็นสาธารณะ ม.ค. นี้
เสมอใจ ศุขสุเมฆ ประธานกกพ.กล่าวว่า ตั้งแต่การประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าพลังสะอาดภายใต้โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 - 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง จำนวน 5,203 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนดให้ผู้ผลิตไฟฟ้าที่ได้รับคัดเลือกจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) เข้าสู่ระบบกว่า 4,800 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 ควบคู่ไปกับการออกแบบกำหนดหลักเกณฑ์การคิดอัตราค่าไฟฟ้าสีเขียว และแนวทางการกำกับดูแลให้กระบวนการบริหารจัดการและรับรองแหล่งกำเนิดไฟฟ้าสีเขียวให้มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐานสากล

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การคำนวณอัตราราคาเสร็จเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว และพร้อมให้การไฟฟ้าให้บริการแล้ว และเตรียมที่จะเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะในช่วงเดือนม.ค. 2567 นี้ โดยการประกาศโครงการ การจัดทำอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff: UGT) จะสามารถขยายโครงการนี้ให้ครอบคสุมความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าได้หลากหลายขึ้นและปรับปรุงข้อจำกัดต่าง ๆ

พลังงานสะอาดจากโซลาร์เซลล์สูงสุด
ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 250 ล้านตันต่อปี โดย 100 ล้านตัน มาจากภาคการไฟฟ้า มีการตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2030 การปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงเหลือ 75 ล้านตัน และภายในปี 2080 จะมีการใช้พลังงานหมุนเวียน 80% โดยส่วนใหญ่มาจากโซลาร์เซลล์ ประมาณ 20,000 เมกะวัตต์

คมกฤชคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการ กกพ. กล่าวว่า อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียวเบื้องต้นที่คำนวณเพื่อจะนำมาเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะภายในเดือนม.ค. 2567 โดยคำนวณราคาค่าไฟไว้ที่ 4.55 บาทต่อหน่วย ที่น่าจะเป็นตัวเลขที่เหมาะสม มารับฟังความเห็นฯ โดยตัวเลขต่างๆ มีการรวบรวมจากค่าบริการของต่างประเทศที่ได้มีการประกาศใช้ไปแล้วด้วย

แก้กฎหมาย-ลดหย่อนภาษีโซลาร์หลังคา
ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเดินหน้าแก้ไขกฎหมายปลดล็อคให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าจาก Solar Rooftop ไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับ ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานอีกต่อไป ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างกระบวนการแก้ไขกฎกระทรวง คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปี พ.ศ. 2567

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้เตรียมมาตรการบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) สำหรับหน่วยงานภาครัฐ และส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาสำหรับหน่วยงานรัฐ รวมทั้งเตรียมผลักดันมาตรการลดหย่อนภาษีประจำปี ส่งเสริม Solar Rooftop ในกลุ่มบ้านอาศัย วงเงินไม่เกิน 2 แสนบาท 10 กิโลวัตต์ เพื่อสนับสนุนคนใช้โซลาร์ 9 หมื่นครัวเรือนต่อปี เพื่อลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้า สำหรับประชาชนผู้ร่วมโครงการโซลาร์ภาคประชาชน

‘รมว.พีระพันธุ์’ เดินหน้าให้ความรู้ด้าน ‘พลังงาน’ แก่คนไทย หนุนผลิต-ใช้ ‘พลังงานทดแทน’ ปักหมุด ‘ไทย’ สู่ศูนย์กลางเอเชีย

(23 ม.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ United Thai Nation Party’ โพสต์ข้อความในหัวข้อ รมว.พลังงานลงพื้นที่ จ.ชุมพร เปิดกิจกรรม ‘คาราวานความสุข @ชุมพร’ หนุนชุมชนใช้พลังงานทดแทน โดยระบุว่า…

เมื่อวันที่ 22 มกราคม นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ลงพื้นที่จังหวัดชุมพร เปิดงาน ‘กระทรวงพลังงาน คาราวานความสุข @ ชุมพร’ ตามนโยบายสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน เพื่อวางรากฐานให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาคเอเชีย และ สร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็งจากภาคพลังงาน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำองค์กรเอกชน กลุ่มพลังมวลชน ร่วมพิธีกว่า 2,000 คน ณ ลานกิจกรรมเทศบาลเมืองชุมพร อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร 

นายพีระพันธุ์ ให้สัมภาษณ์ว่า กิจกรรมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ ‘พลังงานสร้างสุข ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มั่นคง เป็นธรรม ยั่งยืน เพื่อคนไทยทุกคน’ เพื่อประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับนโยบายด้านการส่งเสริมสนับสนุนการผลิตและใช้พลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน สร้างความเข้าใจและเข้าถึงองค์ความรู้ด้านพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน ไปยังกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการอาคาร โรงงานและประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ทั้งนี้ มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ด้านพลังงานและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ด้านพลังงานและสินค้าชุมชนให้มีโอกาสพบผู้บริโภคได้โดยตรง รวมทั้งสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการและชุมชนต่าง ๆ ให้สามารถแลกเปลี่ยน ซื้อขาย ตลอดจนตกลงร่วมมือทางด้านพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน เสริมสร้างและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการสร้างความเชื่อมโยงของห่วงโซ่มูลค่าระหว่างภาคเกษตร อุตสาหกรรม บริการ และเพื่อเป็นกรณีตัวอย่างแก่ผู้ประกอบการและชุมชนอื่น ๆ ให้เกิดการขยายผลในวงกว้าง

‘รมว.พีระพันธุ์’ เกลี้ยกล่อม ‘เจ๋ง ดอกจิก’ มอบตัว หลังมีชื่อเอี่ยวก๊วนศรีสุวรรณ รีดเงินอธิบดีกรมการข้าว

(26 ม.ค. 67) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป.นำกำลังเจ้าหน้าที่ บก.ปปป. สนธิกำลังร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. และ ป.ป.ช. นำโดย พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผอ.ปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ นำหมายค้นเข้าตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายจำนวน 3 จุด ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี เพื่อจับกุมตัวผู้ต้องหาขบวนการนักเคลื่อนไหวหรือนักร้องเรียนข่มขู่เรียกเงินเจ้าหน้าที่รัฐแลกกับการไม่ร้องเรียนหรือกลั่นแกล้งให้ถูกตรวจสอบ

สำหรับปฏิบัติการครั้งนี้สืบเนื่องจากได้รับเรื่องร้องเรียนจากนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว ว่าได้ถูกนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน หรือ นักเคลื่อนไหวชื่อดัง พร้อมด้วยนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ และเป็นหนึ่งในคณะทำงานเขตราชการที่ 11 ที่ได้รับการแต่งตั้งจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี พร้อม น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมกันข่มขู่เรียกเงินจำนวน 3 ล้านบาท ก่อนจะมีการเจรจาต่อรองเหลือเพียง 1.5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการยุติเรื่องร้องเรียนโครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการปลูกข้าว และโครงการปรับปรุงการผลิตสำหรับผู้ปลูกข้าว โดยอ้างว่าพบข้อพิรุธที่ส่อไปในทางทุจริต

แต่ด้วยความที่ นายณัฏฐกิตติ์ มั่นใจว่าที่ผ่านมาตนเองนั้นบริหารงานหรือปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ถูกผู้ต้องหาทั้ง 3 รายกล่าวอ้างเพื่อข่มขู่ จึงมองว่าการถูกกระทำเช่นนี้ไม่เป็นธรรมแก่ตนเอง แต่ด้วยความที่เกรงว่าหากถูกร้องเรียนโจมตีบ่อยครั้งเข้าจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงยอมจ่ายเงินให้ครั้งแรกก่อนเป็นจำนวน 1.4 แสนบาท ก่อนแอบถ่ายคลิปวิดีโอตอนส่งมอบเงินเก็บไว้เป็นหลักฐาน 

จากนั้นจึงนำมามอบให้กับพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ก่อนมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจนเชื่อว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 รายมีพฤติกรรมดังกล่าวจริง จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางออกหมายจับ นายศรีสุวรรณ และ น.ส.พิมณัฏฐา ในข้อความผิดฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิด พร้อมออกหมายจับนายยศวริศ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ และ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก่อนวางแผนให้ผู้เสียหายทำการนัดหมายส่งมอบเงินงวดต่อมาอีก 5 แสนบาท ไปส่งมอบให้ จึงซ้อนแผนเข้าจับกุม

โดยเป้าหมายสำคัญจุดแรกเป็นบ้านเลขที่ 51/119-121 ม.9 ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านพฤกษา 17 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายศรีสุวรรณ หลังจากผู้เสียหายส่งคนนำเงิน 5 แสนบาท ไปส่งมอบให้กับภรรยาของนายศรีสุวรรณ กระทั่งเมื่อเห็นว่ามีการหยิบซองเงินเข้าไปภายในบ้านจริง จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้นจับกุม ระหว่างนั้นนายศรีสุวรรณเกิดไหวตัวพยายามวิ่งนำซองเงินไปโยนทิ้งบริเวณข้างบ้าน เจ้าหน้าที่จึงวิ่งไล่ติดตามไปตรวจยึดกลับคืนมาได้ ก่อนแสดงหมายจับให้เจ้าตัวรับทราบจากนั้นจึงทำการควบคุมตัวพร้อมพาตรวจค้นภายในบ้านพัก เพื่อค้นหาพยานหลักฐานต่างๆ เพิ่มเติมทางคดี นอกจากนี้ยังได้เตรียมเชิญตัวภรรยาของนายศรีสุวรรณ ไปทำการสอบปากคำเพื่อตรวจสอบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดด้วยหรือไม่

ภายหลังการจับกุมตัวนายศรีสุวรรณได้ไม่นาน ทางด้าน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์มายัง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เพื่อประสานติดต่อจะพา นายยศวริศ หรือเจ๋ง ดอกจิก กับ น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ ผู้ต้องหาอีก 2 ราย เข้ามอบตัว ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจานัดหมายสถานที่รับส่งมอบตัว เบื้องต้นคาดว่าทั้งสองจะเข้ามอบตัวที่ สน.นางเลิ้ง ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจะมีการแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดอย่างเป็นทางการอีกครั้งภายหลังภารกิจเสร็จสิ้น

ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล และสน.ดุสิต ได้เดินทางเข้ามาพูดคุยและเชิญ นายยศวริศ หรือเจ๋ง ดอกจิก ขึ้นรถเพื่อไปที่สน.ดุสิต ทำการสอบสวนตามขั้นตอนและกระบวนการต่อไป 

ด้านนายยศวริศ กล่าวว่า “ยังไม่ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่รู้เรื่องอะไร เพิ่งรู้เรื่องจากตำรวจ ผมประสานให้นายศรีสุวรรณเฉย ๆ ซึ่งเรื่องนี้ต้องคุยกันไม่เป็นไร ยืนยันว่าชี้แจงได้ ขอย้ำว่าชี้แจงได้ไม่มีปัญหา”

ทั้งนี้ มีรายงานว่าบรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลมีเจ้าหน้าที่สอบสวนกลางได้มาเตรียมพร้อมบริเวณห้องปฏิบัติการสื่อมวลชน 1 และด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ตั้งแต่ช่วงเที่ยง หลังมีรายการว่า นายยศวริศ เดินทางเข้ามาที่ตึกบัญชาการ 1 ตั้งแต่ช่วงสายของวัน เพื่อพบกับนายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top