Sunday, 19 May 2024
กระทรวงพลังงาน

‘พีระพันธุ์’ เปิดอาคาร ‘Net zero energy building’ ใหญ่สุดในไทย หนุน ไทยมีอาคารใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์ 2,000 แห่ง ภายในปี 79 

(10 ธ.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารต้นแบบสาธิตการใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์ ‘Net Zero Energy Building’ (อาคาร 70 ปี พพ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันการสร้างอาคารใหม่ ๆ ของไทยได้นำแนวคิดด้านการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานทดแทน โดยการทำให้การใช้พลังงานสุทธิเท่ากับศูนย์ (Net Zero Energy Building : NZEB) เริ่มถูกนำมาประยุกต์ใช้ในอาคารและที่อยู่อาศัยมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวคิดในการพัฒนาอาคารที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์การสหประชาชาติ (United Nations) ที่จะลดก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกลงให้ได้ 45% ในปี พ.ศ. 2573 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2593

ในขณะที่ประเทศไทยในฐานะสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ได้มีการประกาศแผนการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 20% ถึง 25% ภายในปี พ.ศ. 2573 ทำให้ทุกภาคส่วนในประเทศไทยได้มีการประกาศแผนการลดก๊าซเรือนกระจกไว้ในแผนธุรกิจและแผนการบริหารจัดการองค์กรมากขึ้น

ดังนั้น กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จึงได้เห็นความสำคัญที่จะต้องวางแผนและเริ่มการศึกษา ออกแบบ และก่อสร้างอาคารที่ใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Energy Building) ซึ่งมีการดำเนินการในต่างประเทศอย่างแพร่หลาย แต่ในประเทศยังไม่มีตัวอย่างที่สมบูรณ์ให้ศึกษาเรียนรู้

โดยในปี 2562 พพ. ได้เริ่มศึกษาและได้จัดสรรงบประมาณกว่า 81,600,000 บาท เพื่อสร้างอาคารต้นแบบสาธิตการใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์ ‘Net Zero Energy Building’ หรือ ‘อาคาร 70 ปี พพ.’ แห่งนี้ โดยมีการออกแบบภายใต้หลักการการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อลดการใช้พลังงานอาคารผ่านการออกแบบที่ใช้ประโยชน์จากสภาวะแวดล้อม และการใช้วัสดุอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง พร้อมการใช้พลังงานทดแทนจากระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อให้เกิดอาคารพลังงานสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Energy Building : NZEB)

ตลอดจนมีการออกแบบตามมาตรฐานอาคารเขียวภาครัฐ ‘G–GOODs’ ของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2562 เพื่อให้การก่อสร้างอาคารมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน อีกทั้ง ยังเป็นโครงการที่เข้ารับการประเมินการรับรองมาตรฐานอาคารเขียวไทย (TREES-NC) ให้การรับรองโดยสถาบันอาคารเขียวไทย ระดับ Platinum และยังเป็นอาคารสำนักงาน ‘Zero Energy Building’ ที่มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อีกด้วย

นายโสภณ มณีโชติ รองอธิบดี รักษาราชการแทนอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า คาดการณ์ว่าภายในปี 2579 ประเทศไทยจะมีอาคารใช้พลังงานเป็นศูนย์มากกว่า 2,000 อาคาร แม้ต้นทุนในการพัฒนาอาคารใช้พลังงานเป็นศูนย์จะสูงกว่าอาคารทั่วไป แต่ก็มีความคุ้มค่าในระยะยาว ไม่เพียงอาคารใหม่ที่สามารถพัฒนา เพื่อเป็นอาคารใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์ อาคารเก่าที่เปิดใช้งานไปแล้ว ก็ยังสามารถปรับปรุงเพื่อเป็นอาคารใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์ได้เช่นเดียวกัน

'พีระพันธุ์' เผย!! ไม่มีอดีตคน ปชป.ย้ายซบ รทสช.  บอก!! ไม่ได้ยุ่งเกี่ยว แง้ม!! ยังไม่มีแพลนเปิดรับ

(12 ธ.ค. 66) ที่ทําเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนักการเมืองหลายคนลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มีใครจะย้ายมาร่วมกับพรรค รทสช. บ้างหรือไม่ ว่า “ไม่รู้ ไม่มี ไม่เห็นมีใครติดต่อมา เขาคงอยู่พรรคมั้ง ผมไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยว มันคนละพรรคแล้ว”

ผู้สื่อข่าวถามยํ้าว่า ถ้ามีจะเปิดรับหรือไม่ นายพีระพันธุ์ ยิ้มและกล่าวว่า “ยังไม่มี”

'พีระพันธุ์' ชงงบ 1.9 พันล้าน ช่วยค่าไฟกลุ่มเปราะบาง 3.99 บาทต่อหน่วย  ส่วนค่าไฟงวดใหม่ ม.ค. - เม.ย.67 มั่นใจ!! ไม่เกิน 4.20 บาทต่อหน่วย

เมื่อวานนี้ (14 ธ.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่จะมีเรื่องตัวเลขค่าไฟฟ้างวดใหม่ ม.ค. - เม.ย.67 เสนอต่อที่ประชุม ครม. โดยได้ข้อสรุปตัวเลขค่าไฟจะไม่เกินที่ 4.20 บาทต่อหน่วย ขณะนี้กำลังทำตัวเลขอยู่ว่าจะได้เท่าไหร่ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน 

ส่วนตัวเลข 3.99 บาทต่อหน่วยจะเป็นของครัวเรือนกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ก็ยังอยู่ที่ราคาดังกล่าว

ส่วนจะใช้เงินอุดหนุนค่าไฟ 3.99 บาทต่อหน่วยเท่าไหร่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ใช้งบประมาณ 1.9 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น้อยมากหากเทียบกับการช่วยเหลือคนได้ 17 ล้านครัวเรือน คาดจะนำเข้า ครม.พิจารณา 19 ธ.ค.นี้

นายพีระพันธุ์ กล่าวถึงกระแสข่าวที่นายกรัฐมนตรีระบุว่ามีคนเข้าไปล็อบบี้เรื่องค่าไฟ ว่า ท่านก็เปรย ๆ แต่ก็ขอบคุณนายกรัฐมนตรี หากไม่ได้ท่านเป็นหลักในการยืนหลักการเรื่องการลดค่าไฟก็คงจะทำงานได้ลำบาก เพราะต้องใช้ความร่วมมือจากทุกฝ่าย ลำพังกระทรวงพลังงานหน่วยงานเดียวคงไม่พอ

ส่วนได้มีการพูดคุยกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บ้างหรือไม่ เนื่องจากมีการแบกหนี้อยู่ 1.3 แสนล้านบาท นายพีระพันธุ์ ระบุว่า มันก็มีมานานแล้ว สิ่งที่ตนจะทำให้ตอนนี้จะตั้งกรรมการขึ้นมาแก้ไขดูแลเรื่องนี้ ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีเพราะ กฟผ. ก็ดูแลตัวเองมาตลอด แต่ตนคิดว่าตอนนี้ต้องเข้าไปช่วยดูแลเขาแล้ว เพื่อที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้

ส่วนที่นายกรัฐมนตรีอยากให้ได้ค่าไฟอยู่ที่ 4.10 บาทต่อหน่วย จะทำได้หรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า เป้าหมายคืออยากจะให้ราคาต่ำที่สุด อยากให้ต่ำกว่า 4.10 บาท เสียอีก แต่อย่างที่บอกว่าไม่ได้อยู่ที่ กฟผ.อย่างเดียว แต่มีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ด้วย

นอกจากนี้ไม่ได้อยู่ที่ต้นทุนแก๊สมีคนเสนอให้ปรับโครงสร้าง แต่ตนบอกไม่พอแล้ว ซึ่งต้องรื้อทั้งระบบ​ ตนทำงานมา 3 เดือน เหนื่อยแต่เมื่ออาสามาทำงานจึงไม่ต้องบ่นเรามีหน้าที่ทำงานก็พยายามทำให้ดีที่สุดสำหรับประชาชน ทั้งเรื่องของน้ำมัน พลังงาน ไฟฟ้า ระบบอะไรที่ไม่ดีมา 30-40 ปี จะรื้อให้หมด

ส่วนรัฐบาลจะต้องประกาศตัวเลขค่าไฟสองแบบหรือไม่นั้นในส่วนของกลุ่มเปราะบาง 3.99 บาทต่อหน่วย แน่นอนอยู่แล้ว หากใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วย ส่วนใครใช้เกินก็ต้องไปเสียในราคาที่ไม่ใช่กลุ่มเปราะบาง ซึ่งกำลังทำข้อมูลอยู่ว่าจะเสีย 4.10 หรือ 4.20 บาทต่อหน่วย โดยวันที่ 19 ธ.ค.นี้ น่าจะเสร็จแล้วเสนอ ครม.ได้

'พีระพันธุ์' เตรียมเสนอลดค่าไฟฟ้างวดใหม่ ครม.พรุ่งนี้  ยัน!! จะทำให้ดีที่สุด ตัวเลขต้องไม่เกิน 4.20 บาทต่อหน่วย 

(18 ธ.ค.66) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผย ว่าการประชุม ครม.วันพรุ่งนี้ (19 ธ.ค.) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เตรียมเสนอปรับลดค่าไฟฟ้างวดใหม่ ม.ค. - เม.ย.67   

โดยตัวเลขค่าไฟจะไม่เกินที่ 4.20 บาทต่อหน่วย ขณะนี้กำลังทำตัวเลขอยู่ว่าจะได้เท่าไหร่ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน ส่วนครัวเรือนที่เป็นกลุ่มเปราะบางที่เคยใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วย ก็จะมีช่วยเหลือ อยู่ที่ราคาเดิม คือ 3.99 บาท ซึ่งสามารถช่วยครัวเรือนได้ประมาณ 17 ล้านราย  

นางรัดเกล้า กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยืนยันอยากที่จะให้ค่าไฟฟ้า อยู่ที่ 4.10 บาท แต่จะต้องมีหลายส่วนที่ต้องดูให้สอดคล้องกัน และรัฐมนตรีพลังงานอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะต้องดูทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ปรับโครงสร้างเท่านั้น   

“ขอประชาชนไม่ต้องห่วง รัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจะพยายามทำให้ดีที่สุด ทั้งเรื่องของพลังงานไฟฟ้า ราคาน้ำมัน โดยจะรื้อทั้งระบบที่เคยมีมากว่า 30 ปี ทั้งนี้เข้าใจความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอย่างดี ซึ่งจะไม่สร้างภาระให้กับประชาชน และสิ่งใดที่สามารถทำได้จะทำทันที” นางรัดเกล้า กล่าว

‘พีระพันธุ์’ เผยข่าวดี!! ครม.ไฟเขียวตรึงค่าดีเซล-ก๊าซหุงต้ม 3 เดือน พร้อมลดค่าไฟกลุ่มเปราะบาง 3.99 บ./หน่วย เป็นของขวัญปีใหม่

(19 ธ.ค.66) นายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ได้มีการนำเสนอมาตรการเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน โดยจะมีการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นเวลา 3 เดือน ค่าก๊าซแอลพีจีและก๊าซหุงต้ม ตรึงไว้ที่ 423 บาทต่อ 15 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งเคยเป็นมาตรการเดิมภัยที่เคยช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางไปแล้ว

ขณะที่ค่าไฟฟ้า สำหรับกลุ่มเปาะบางที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 บาทต่อหน่วย ตรึงราคาค่าไฟที่ 3.99 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะช่วยเหลือได้ 17 ล้านราย ทั้งนี้ ต้องขออภัยกลุ่มภาคครัวเรือน ไม่สามารถยืนอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วยได้ แต่รัฐบาลได้พยายามเต็มที่ไม่ให้เกิน 4.20 บาทต่อหน่วย

ส่วนจะได้ตัวเลขได้เท่าไร ขอดูตัวเลข 1 ม.ค. 67 ก่อน เพราะพบว่ามีแนวโน้มราคาก๊าซในตลาดโลกเริ่มลดลง ดังนั้น ณ วันที่ 1 ม.ค. อาจต่ำกว่าราคาในวันนี้ ซึ่งตอนแรกตนเองเตรียมราคาที่กำหนดไว้ แต่หากกำหนดไปแล้วยังลดค่าไฟลงไปได้อีก ซึ่งจะไม่เป็นไปตามมติ ดังนั้นจึงขอดูราคาสถานการณ์ก๊าซ ณ วันที่ 1 ม.ค. 67 ก่อน

ทั้งนี้ มาตรการที่ออกมาถือเป็นมาตรการระยะสั้น ภายใต้โครงสร้างเดิมที่ใช้มานานกว่า 40 ปี ซึ่งส่วนตัวคิดว่า ไม่เหมาะสม และตนเองได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษารื้อระบบโครงสร้างราคาค่าไฟและน้ำมันแล้ว ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ และถือเป็นมาตรการระยะยาวที่ต้องใช้เวลา ระหว่างนี้ที่รอมาตรการระยะยาวสิ่งไหนทำได้ก็ทำก่อนภายใต้โครงสร้างแบบเดิม และทำให้ดีที่สุดทุกเรื่อง เพื่อลดภาระค่าครองชีพประชาชน

นายพีระพันธุ์ ยังชี้แจงที่ไม่สามารถกำหนดที่ชัดเจนได้ว่า การผลิตไฟฟ้ามีวัตถุดิบที่นำมาผลิตไฟฟ้า 3 อย่างหลักๆ คือ 1.ถ่านหิน ซึ่งไทยยังมีใช้อยู่ เป็นราคาที่ถูกที่สุดและมีการใช้พลังน้ำบ้างบางส่วน 2.ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งยังเป็นประเด็นใหญ่ในวันนี้ 3.พลังงานสะอาด จากพลังงานแสงแดด ลม ชีวมวลต่างๆ โดยทั้ง 3 อย่างคือวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าและมีต้นทุนแตกต่างกัน ที่สำคัญมีสัญญาเดิมที่ทำไว้กับผู้ประกอบการระยะเริ่มต้น เมื่อหลาย 10 ปีที่แล้ว ตนเองกำลังแก้ไขอยู่ รวมถึงแก้ไขโครงสร้างของก๊าซที่ต้องปรับรูปแบบจะดำเนินการอย่างไร ให้หลุดบ่วงราคาตลาดโลก ซึ่งถือเป็นแนวโน้มในการวางระบบและโครงสร้างใหม่ของด้านวัตถุดิบที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ซึ่งหากควบคุมตรงส่วนนี้ได้ ทำให้ราคาวัตถุดิบอยู่ภายใต้การควบคุมรัฐบาลมากขึ้น ซึ่งสามารถทำให้ลดราคาไฟฟ้าลงมาได้โดยระบบของมันเอง ไม่ใช่แบบมติครม. แต่ต้องใช้เวลาในการศึกษารูปแบบ ผลกระทบ รวมถึงส่วนที่เกี่ยวข้องต้องรับฟังความคิดเห็น ซึ่งตนเองจะพยายามทำให้เป็นรูปเป็นร่างภายในปี 2567 นี้

นายพีระพันธุ์ กล่าวถึง กรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีเตรียมพบหารือกับนายฮุน มาเนตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในปี 67 นี้ จะมีการหารือเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางพลังงานระหว่างไทยกับกัมพูชา หรือไม่ว่า เรื่องนี้ต้องดำเนินการต่อ เพราะเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขและผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว ซึ่งส่วนตัวมองว่า จะเอาเรื่องเขตแดนกับเรื่องพลังงานมารวมกันจะหาข้อยุติได้ยาก เพราะเรื่องเขตแดนเป็นเรื่องต้องใช้เวลา ซึ่งส่วนตัวมองว่า การเจรจาเรื่องเขตแดนไม่มีประเทศใดในโลกตกลงถอยหลังกันได้ง่าย แต่ไทยต้องมีความพยายามหาทางยุติลงให้ได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นห่วงในเรื่องนี้และตนก็เป็นกังวล เนื่องจากอยากใช้พลังงานในพื้นที่ตรงนั้น เพราะก๊าซธรรมชาติที่ไทยมีก็หมดไปทุกวัน หากไม่มีแหล่งใหม่มาเสริมหรือรองรับก็จะเป็นปัญหาต่อไปในอนาคต ดังนั้นเรื่องนี้เป็นสำคัญในการเจรจา

‘สุริยะ’ สั่งเข้ม!! คุมความปลอดภัยไซด์ก่อสร้าง ‘คมนาคม’ พร้อมมอบ 6 มาตรการ ป้องกันอุบัติเหตุ-ลดการสูญเสีย

(21 ธ.ค. 66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566 ได้ประชุมคณะกรรมการกำกับตรวจสอบความปลอดภัยโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคม และมาตรการความปลอดภัยในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง โดยมีคณะทำงานของกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยบริษัทเอกชนประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง เข้าร่วมหารือ เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในโครงการก่อสร้างของกระทรวงคมนาคมที่อาจจะเกิดขึ้น นำไปสู่การส่งผลกระทบในชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้ จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่โครงการก่อสร้างของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม พบว่า ในรอบปี 2565 เกิดอุบัติเหตุขึ้นบนทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) จำนวน 3 ครั้ง ได้แก่ เหตุคานสะพานกลับรถถล่ม เหตุมวลน้ำที่ขังในผ้าใบร่วงใส่รถ และเหตุท่อนเหล็กไถลไปถูกรถ ขณะที่ในปี 2566 ได้เกิดเหตุบนถนนพระราม 2 อีก 3 ครั้ง ได้แก่ เหตุคาน Segment หล่น เหตุโครงแผงผ้าใบถูกกระแทกไปโดนกระจกหน้ารถประจำทางสาธารณะ และเหตุการณ์ล่าสุดเหล็กแบบหล่นทับคนงานเสียชีวิตในโครงการก่อสร้างทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก สัญญา 1

นายสุริยะ กล่าวว่า จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นหลายครั้งดังกล่าว ในการประชุมครั้งนี้จึงได้มอบหมายให้เร่งจัดตั้งคณะทำงานฯ เพื่อเข้าตรวจสอบโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ พร้อมทั้งสำรวจและติดตามด้านความปลอดภัย ก่อนที่จะนำมาพิจารณาและกำหนดแนวทางที่เข้มงวดในอนาคตต่อไป รวมถึงได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการธุรกิจด้านรับเหมาก่อสร้าง ให้ตระหนักถึงมาตรการเชิงป้องกันและนำระบบการตรวจการณ์ความปลอดภัย Safety Audit มาใช้อย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้อุบัติเหตุเกิดซ้ำขึ้นอีก

นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ดำเนินการโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ให้เป็นไปตามเงื่อนไข กฎระเบียบ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด ไม่ประมาท และเข้มงวดกวดขัน ตรวจสอบ รวมถึงกำกับดูแลการก่อสร้างอย่างใกล้ชิดตามหลักมาตรฐานด้านวิศวกรรม โดยเฉพาะบริเวณที่มีปริมาณการจราจรสูง เพื่อไม่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง อีกทั้งยังเป็นการสร้างความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนและผู้ปฏิบัติงานเป็นสำคัญ

นายสุริยะ กล่าวว่า ขณะนี้ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานและผู้รับจ้างดำเนินการตาม 6 มาตรการ เพื่อยกระดับความปลอดภัย ดังนี้

1. ให้ทุกหน่วยงานดำเนินกิจกรรมก่อสร้าง เน้นความปลอดภัยต่อพี่น้องประชาชนและผู้ปฏิบัติงาน ตามนโยบาย “คมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน” มิให้เกิดอุบัติเหตุในระหว่างก่อสร้าง

2. ให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยให้ครอบคลุมทุกกิจกรรมในพื้นที่ก่อสร้างและพื้นที่ผิวจราจรที่เปิดให้บริการประชาชน

3. ให้ทุกหน่วยงานดำเนินการบริหารโครงการก่อสร้างให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งในช่วงการออกแบบ (Design Stage) ช่วงจัดซื้อจัดจ้าง (Procurement Stage) และช่วงก่อสร้าง (Construction Stage)

4. ให้ทุกหน่วยงานออกมาตรการกำกับผู้รับจ้างและกำหนดบทลงโทษหากพบว่าผู้รับจ้างละเลยการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว

5. ควรมีการสร้างเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะ ความปลอดภัยในการทำงานแก่บุคลากรในโครงการก่อสร้าง โดยเฉพาะแรงงานต่างชาติ สามารถสื่อสารให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องทั้งสองทาง (Two - ways Communication)

6.ให้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการตรวจสอบความปลอดภัยในโครงการก่อสร้าง เช่น การตรวจสอบ Checklist ความปลอดภัย ผ่านระบบ Mobile Applications

อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานและผู้รับจ้างปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และให้รายงานผลการดำเนินงานให้กระทรวงคมนาคมรับทราบอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะต้องไม่เกิดอุบัติเหตุในโครงการของกระทรวงคมนาคม และในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ที่จะถึงนี้ ประชาชนต้องสามารถเดินทางสัญจรได้โดยสะดวก และถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ

‘พีระพันธุ์’ แจ้งข่าวดี!! ‘OR’ ร่วมมอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ตรึงราคาน้ำมัน-เช็กสภาพรถฟรี เริ่ม 24 ธ.ค.66 - 3 ม.ค.67

(21 ธ.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในช่วงปีใหม่ เป็นเทศกาลแห่งความสุข ประชาชนมีการเดินทางกลับภูมิลำเนา ท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอย จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาของขวัญปีใหม่เพิ่มเติมให้แก่ประชาชน

ส่วนปีหน้าก็มีแผนการดำเนินงานด้านพลังงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการจ้างงานสร้างรายได้ตั้งแต่ระดับเศรษฐกิจฐานรากไปจนถึงเศรษฐกิจภาพใหญ่ของประเทศ รวมทั้งจะมีการปรับโครงสร้างราคาพลังงานทุกชนิดให้เกิดความมั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืน เป็นของขวัญปีใหม่ในปี 2567

โดยในส่วนของการเดินทางกลับภูมิลำเนาและเดินทางท่องเที่ยว บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) จะไม่ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิด ตลอด 10 วัน ในช่วงระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม 2566 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2567 (หากราคาตลาดโลกลดลง ก็จะปรับราคาในประเทศลงด้วย) นอกจากนั้น เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง และลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน สามารถนำรถยนต์เข้าตรวจสภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ก่อนการเดินทางในช่วงปีใหม่ที่สถานีบริการ FIT Auto จำนวน 35 รายการ พร้อมให้บริการเติมลมยางไนโตรเจนและปะยางฟรี อีกทั้งยังจัดส่วนลดสินค้าเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน รวมถึงช่วยป้องกันและลดการเกิดฝุ่น PM 2.5 ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567

ในส่วนของการจับจ่ายใช้สอย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. จัดแคมเปญฉลากเบอร์ 5 โฉมใหม่ ลุ้นโชคใหญ่ โดยการมอบสิทธิส่วนลด ซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ติดฉลากเบอร์ 5 ใหม่ ได้ส่วนลด 200-1,000 บาท (ขึ้นอยู่กับราคาสินค้า) รวม 15,000 สิทธิ ณ ห้างสรรพสินค้าที่ร่วมรายการ

ดังนี้ HomePro, MEGA HOME, The Mall, ไทวัสดุ, Power Buy, Power Mall, Paragon, Emporium รับสิทธิตั้งแต่วันที่ 1-31 มกราคม 2567 หรือจนกว่าสิทธิจะหมด นอกจากนั้น ทุกใบเสร็จยังได้สิทธิลุ้นของรางวัลรวมกว่า 1,500,000 บาท

นอกจากนั้น กรมธุรกิจพลังงาน ได้ประกาศให้โรงกลั่นน้ำมันทั่วประเทศ ปรับคุณภาพน้ำมันให้เป็นยูโร 5 ซึ่งสามารถช่วยลดฝุ่น PM 2.5 เป็นของขวัญให้แก่สุขภาพคนไทย และในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี จะมีการขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการควบคุมประเภทที่ 3 ประจำปี 2567 เป็นจำนวนมาก กรมธุรกิจพลังงานและสำนักงานพลังงานจังหวัดทั่วประเทศ จึงขยายเวลาให้บริการในช่วง 16.30-18.30 น. ตั้งแต่วันที่ 25 ถึงวันที่ 28 ธันวาคม 2566

“นอกจากการลดค่าไฟฟ้า การตรึงน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้ม ผมอยากหาของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชนเพิ่มเติมในช่วงเทศกาลแห่งความสุข ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพลังงาน ทั้ง ปตท. ที่จะไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมันเป็นเวลา 10 วัน รวมทั้งตรวจสภาพรถยนต์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างความปลอดภัยในการเดินทางกลับภูมิลำเนาและการท่องเที่ยว”

‘พีระพันธุ์’ เอาจริง!! คุมค่าไฟฟ้า-ตรึงราคาน้ำมัน 10 วัน พร้อมลดสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 กับทุกห้างที่ร่วม

(22 ธ.ค.66) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาของขวัญปีใหม่เพิ่มเติมให้แก่ประชาชน หลังจากที่ได้เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว โดยมีทั้งราคาค่าไฟงวดใหม่ (ม.ค. - เม.ย.67) สำหรับกลุ่มเปราะบางหรือครัวเรือนที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วย/เดือน ไว้ที่ 3.99 บาท/หน่วย และครัวเรือนทั่วไป ไม่เกิน 4.20 บาท/หน่วย, การตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาท/ลิตร และตรึงราคาก๊าซหุงต้มไม่เกิน 423 บาท/ถัง 15 กก.

นอกจากนี้ ในช่วงของการเดินทางกลับภูมิลำเนา และเดินทางท่องเที่ยว บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) จะไม่ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิด ตลอด 10 วัน ในช่วงระหว่างวันที่ 24 ธ.ค.66 - 3 ม.ค.67 หากราคาตลาดโลกลดลง จะปรับราคาในประเทศลงด้วย

ขณะเดียวกันประชาชนสามารถนำรถยนต์เข้าตรวจสภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายก่อนการเดินทางในช่วงปีใหม่ที่สถานีบริการ FIT Auto จำนวน 35 รายการ พร้อมให้บริการเติมลมยางไนโตรเจนและปะยางฟรี อีกทั้งยังจัดส่วนลดสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าติดฉลากเบอร์ 5 ใหม่ ได้ส่วนลด 200 - 1,000 บาท (ขึ้นอยู่กับราคาสินค้า) รวม 15,000 สิทธิ ณ ห้างสรรพสินค้าที่ร่วมรายการ

“เป็นความตั้งใจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่อยากจะมีของขวัญปีใหม่ให้มากที่สุด เพื่อมอบให้กับประชาชน เพื่อเป็นการลดรายจ่าย และซื้อสินค้าได้ในราคาถูกและเป็นสินค้าคุณภาพ” รัดเกล้า กล่าว

'พีระพันธุ์' ยัน!! กฎหมาย 'เผื่อเหลือเผื่อขาด' ไม่ใช่เจตนาให้ขาย 'น้ำมัน' ไม่เต็มลิตร

(26 ธ.ค.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊ก ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค - Pirapan Salirathavibhaga’ ดังนี้...

“เมื่อคืนผมมีโอกาสพบกับท่านรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่งานแต่งงานบุตรสาวของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้หารือกันเรื่องปัญหาปั๊มน้ำมันเติมน้ำมันไม่เต็มลิตร ซึ่งท่านเองก็เป็นห่วงเรื่องนี้มากและได้สั่งการให้หน่วยงานของท่านทำงานจริงจังในเรื่องนี้ เราทั้งสองกระทรวงจะช่วยกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังต่อไป ต้องขอขอบคุณท่านรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ภูมิธรรม เวชยชัย เป็นอย่างยิ่งครับ

อีกเรื่องหนึ่งครับ ผมได้รับรายงานว่าปั๊มน้ำมันบางแห่งที่เรามีการออกตรวจตรากันนั้น มีเจตนาตั้งหัวจ่ายให้จ่ายน้ำมันไม่เต็มลิตรโดยอ้างกฎกระทรวงของกระทรวงพาณิชย์ที่ให้มีอัตรา ‘เผื่อเหลือเผื่อขาด’ ที่ไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย

ผมเลยต้องขออธิบายเพื่อความเข้าใจกฎหมายที่ถูกต้องครับ

คือ กฎหมายมาตราชั่งตวงวัดและกฎกระทรวงที่อ้างถึงกันนั้นไม่ได้มีเจตนาให้ขายน้ำมันไม่เต็มลิตรนะครับ แต่กฎหมายเข้าใจว่าหัวจ่ายหรือเครื่องชั่งตวงวัดแต่ละเครื่องอาจมีความผิดเพี้ยนจากการวัดปริมาตรที่แท้จริงได้ ซึ่งเป็นไปตามปกติของเครื่องมือแต่ละเครื่อง จึงกำหนดค่า ‘เผื่อเหลือเผื่อขาด’ ไว้ ซึ่งหมายความว่าปริมาตรที่ขาดหายไปนั้นเป็นผลของความผิดเพี้ยนของหัวจ่ายหรือเครื่องตรวจวัดเอง ไม่ใช่โดยเจตนาจงใจปรับแต่งหัวจ่ายให้จ่ายน้ำมันไม่เต็มลิตร เช่นนี้จึงไม่เป็นความผิดครับ 

แต่หากตามกรณีที่เกิดขึ้นหรือปั๊มไหนจ่ายน้ำมันไม่เต็มลิตรโดยเจตนาจงใจปรับแต่งหัวจ่ายแล้ว จะมาอ้างกฎกระทรวงไม่ได้ และยังเข้าข่ายเป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกงประชาชนที่มีโทษจำคุกถึง 5 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 อีกด้วยนะครับ

ผมจะดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้ต่อครับ”

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีแห่งปี

ในบรรดารัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลเศรษฐา 1 ‘นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ถือเป็นรัฐมนตรีที่ถูกจับตามองมากที่สุด เนื่องจากกระทรวงพลังงานเป็นกระทรวง ‘เกรดเอ’ ที่ใคร ๆ ก็อยากเข้ามากุมบังเหียน อีกทั้งยังเป็นกระทรวงสำคัญที่จะเข้ามาควบคุม กำกับดูแลราคาพลังงาน ซึ่งมีผลเกี่ยวโยงกับปากท้องของประชาชนโดยตรง

สำหรับนายพีระพันธุ์ ก่อนจะเข้ามารับตำแหน่ง ‘รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน’ ก็มีบทบาทสำคัญทางการเมืองในหลาย ๆ ด้าน แต่ที่โดดเด่นและถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงก็คือ…การสอบสวนการทุจริต ‘ค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้านบาท’ หรือ ‘คดีโฮปเวลล์’ ซึ่งถูกนำไปใช้ในการต่อสู้คดีในชั้นศาลและประสบชัยชนะ ทำให้คนไทยไม่ต้องจ่ายค่าโง่พร้อมดอกเบี้ยนับหมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมทีมผ่าตัด ‘การบินไทย’ เส้นเลือดใหญ่ของธุรกิจการบินประจำชาติ ด้วยการให้ความสำคัญกับการบิน ‘เส้นทางในประเทศ’ คู่ขนานกับการ ‘สะสางคอร์รัปชัน’ และระบบ ‘เส้นสาย’ ในฝ่ายบริหาร โดยขีดเส้นไว้ชัดเจนว่าจะต้องไม่อยู่ใต้ ‘เงา’ ของนักการเมืองอีกต่อไป

หลังจากนั้นก็เดินหน้าตามแผนฟื้นฟูกิจการ พร้อมทั้งสร้างกลยุทธ์เพื่อคืนชีพการบินไทย รวมไปถึงมุ่งสร้างขวัญกำลังใจให้พนักงานได้ร่วมกันฝ่าฟัน จนวันนี้ผ่านพ้นวิกฤติและเข้าสู่ช่วงพาสายการบินแห่งชาตินี้ ตั้งลำ พร้อมเชิดหัวขึ้นอย่างเฉิดฉาย

แน่นอนว่าผลงานก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรีพลังงานนั้นเข้าขั้น ‘มาสเตอร์พีช’ แต่หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ‘รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน’ แล้ว ฝีมือและความมุ่งมั่นก็ไม่แผ่วลงแต่อย่างใด เพราะทันทีที่เข้าคุมกระทรวงพลังงาน ก็ประกาศลดราคาค่าไฟฟ้า จาก 4.10 บาท เหลือ 3.99 บาท ทันที ทำให้ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่ถูกลง ถือเป็นการช่วยแบ่งเบาและลดภาระประชาชนได้อย่างมากมาย

ไม่เพียงแค่จัดการเรื่องราคาไฟฟ้า แต่ยังเดินหน้าลดราคาน้ำมัน ได้แก่ น้ำมันดีเซลกำหนดให้มีราคาไม่เกิน 30 บาท ปรับลดราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ลง 2.50 บาท พร้อมทั้งตรึงราคาก๊าซหุงต้มขนาด 15 กก. ไว้ที่ราคา 423 บาท ต่ออีก 3 เดือน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2566

และนอกจากนี้ยังมีแผนรื้อถอนโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบให้ยั่งยืนและมั่นคง โดยไม่โอนอ่อนต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปรายวัน 

ทั้งนี้นายพีระพันธุ์ยังเคยแสดงความมุ่งมั่นต่อแผนการปรับโครงสร้างราคาพลังงานในประเทศไว้หลายครั้ง เช่น การให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘ฟังหูไว้หู’ ในหัวข้อ ‘The Special คุยกับรัฐมนตรีพลังงาน’ ออกอากาศทาง ช่อง 9 MCOT HD นายพีระพันธุ์ กล่าวถึงราคาก๊าซว่า…

"ก๊าซ LNG อิงกับราคาตลาดโลก เรื่องนี้เข้าใจได้ แต่ผมมองว่าในฐานะรัฐบาล จะเล่นราคาพลังงานเหมือนตลาดหุ้นไม่ได้ เพราะพลังงานไม่ใช่สินค้าที่จะนำมาหาจังหวะทำกำไร พลังงานเกี่ยวโยงกับชีวิตคน รัฐบาลจึงต้องวางรูปแบบที่สามารถควบคุมได้ ราคาในตลาดโลกจะเป็นแบบใดก็เป็นไป แต่ราคาในประเทศต้องนิ่ง รัฐต้องควบคุมตรงนี้ให้ได้ จะใช้วิธีการใดก็ได้ และผมกำลังคิดเรื่องตรงนี้ให้ประเทศไทย"

นอกจากนี้ยัง กล่าวถึงการยกเครื่องโครงสร้างราคาพลังงานด้วยการแก้ไขกฎหมายที่มีทั้งความ ‘ยาก’ และ ‘ต้องใช้เวลา’ ว่า “สำหรับผมนะ ไม่มีทั้ง 2 คำนั้นเลย ต้องเร็ว และไม่ยาก จึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับพลังงานทั้งระบบ เมื่อได้คำตอบ ก็จะยกร่างฯ ทันที โดยที่ผมเป็นคนกำกับดูแล เพราะฉะนั้น สำหรับผมแล้วร่างกฎหมายไม่ใช่เรื่องยาก เพราะผมร่างกฎหมายมาตลอดชีวิตของผมอยู่แล้ว และเมื่อผมมีทีมงานมาช่วย ก็จะไม่มีความล่าช้า แต่กว่าจะถึงตรงนั้น ต้องศึกษาปัญหากฎหมายให้ละเอียดเสียก่อน”

สิ่งที่นายพีระพันธุ์ ‘คิดจะทำ’ ถือเป็นก้าวสำคัญและก้าวที่ยิ่งใหญ่ต่อประเทศและประชาชนคนไทย หวังว่าในอนาคตอันใกล้นี้ คนไทยจะได้ใช้พลังงาน ทั้งก๊าซ น้ำมัน ไฟฟ้า แก๊สหุงต้ม ที่มีราคาเป็นธรรม เข้าถึงง่าย และถูกควบคุมอย่างดีภายใต้โครงสร้างที่เข้มแข็ง ดังที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หมายมั่นเอาไว้

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top