'โรม' ตั้งคำถาม เมื่อไรจะถึงเวลาจัดการระบบตั๋ว และวัฒนธรรมการใช้ความรุนแรงในราชการ

รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่จังหวัดหนองบัวลำภูเมื่อ 6 ตุลาคม 2565 ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 35 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กรวมถึงตัวผู้ก่อเหตุและครอบครัวว่าเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสั่นสะเทือนให้สังคมไทยอย่างถึงที่สุด หากติดตามการรายงานข่าวที่ว่าผู้ก่อเหตุนั้นเป็นอดีตตำรวจที่ถูกให้ออกจากราชการเพราะเรื่องยาเสพติด ก็ควรต้องคิดได้แล้วว่าเพราะอะไรกันผู้มีหน้าที่ต้องปราบปรามอาชญากรรมจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาชญากรรมเสียเองได้ ระบบอะไรกันที่สร้างสภาวะแบบนี้ขึ้นมาได้

ตนเคยอภิปรายเรื่องเกี่ยวกับระบบเส้นสาย ระบบตั๋วในวงข้าราชการอยู่บ่อยครั้ง เคยต้องย้ำเตือนต่อผู้มีอำนาจหน้าที่อยู่หลายครั้งว่าระบบแบบนี้นี่แหละที่ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องผันตัวไปเป็นผู้ประกอบธุรกิจมืดเสียเอง การที่อดีตตำรวจคนนี้ไปพัวพันกับยาเสพติดในขณะที่ยังรับราชการอยู่ได้ ผู้บริหารที่มีสามัญสำนึกต้องและจริงจังได้แล้วว่าตำรวจทุกวันนี้กำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหนมากไปกว่านั้น ภาพเหตุการณ์ในครั้งนี้หรือการกราดยิงครั้งที่ผ่าน ๆ มา มีส่วนหนึ่งที่ทับซ้อนกันกับภาพเหตุการณ์ตำรวจสลายการชุมนุมราษฎร หรือภาพทหารสังหารหมู่คนเสื้อแดง นั่นคือเป็นภาพสะท้อนวัฒนธรรมการใช้ความรุนแรงที่ฝังรากลึกในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐมาอย่างยาวนาน

ทุกครั้งที่ผู้มีอำนาจปล่อยให้ตำรวจคลุมถุงดำผู้ต้องหา ปล่อยให้ คฝ. สาดกระสุนยางตรงใส่ผู้ชุมนุม ปล่อยให้ทหารสั่งซ่อมด้วยวิธีพิสดาร ปล่อยให้เจ้าหน้าที่รัฐฉวยโอกาสใช้กำลังหรืออาวุธอย่างเกินส่วนเมื่อสบจังหวะ นั่นก็คือทุกครั้งที่เครื่องจักรสังหารที่โหดเหี้ยมอำมหิตได้ถูกผลิตขึ้นเช่นกัน ผู้มีอำนาจอาจชอบที่มีเครื่องจักรเหล่านี้ไว้ใช้สนองประโยชน์ตัวเอง แต่ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งสิ่งเหล่านี้อาจหันมาคร่าผู้บริสุทธิ์อย่างเช่นในวันนี้

"เคยหวังตั้งแต่เหตุกราดยิงโคราชเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ว่าจะต้องมีการทบทวนความผิดพลาดทั้งหมดของระบบราชการ โดยเฉพาะทหารตำรวจผู้ถืออาวุธ เพื่อที่จะไม่ให้โศกนาฏกรรมเช่นนั้นเกิดขึ้นได้อีก แต่เมื่อได้ฟัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวโยนไปให้เป็นแค่เรื่องของผู้ก่อเหตุเสพยาแต่เพียงคนเดียว สงสัยว่าทั้งผมและสังคมไทยคงต้องผิดหวังอีกครั้ง" รังสิมันต์ทิ้งท้าย