Friday, 18 July 2025
WORLD

เมื่อพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 เริ่มปรับเปลี่ยนงานในพระราชวัง และพระราชินีอังกฤษจะไม่มีนางสนองพระโอษฐ์

พระเจ้าชาร์ลส์เริ่มปรับเปลี่ยนงานในพระราชวัง พระราชินีอังกฤษจะไม่มีนางสนองพระโอษฐ์

แม้จะเป็นเพียงข่าวเล็ก ๆ แต่ก็น่าสนใจไม่น้อย และถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อปฏิบัติของฝ่ายในของพระราชวงศ์อังกฤษที่มีมาตั้งยุคกลางก็ว่าได้ สำนักพระราชวังบัคกิ้งแฮมเปิดเผยว่า พระราชินีคามิล่าของอังกฤษจะไม่มีนางสนองพระโอษฐ์คอยติดตามและช่วยงานเหมือนกับพระราชินีอังกฤษองค์อื่น ๆ ที่ผ่านมา หากแต่ว่าจะมีผู้ที่ติดตามหรือเป็นเพื่อนในระหว่างออกงานในตำแหน่งใหม่ที่เรียกว่า ‘Queen Companion’ แทนตำแหน่งเดิมคือ ‘Lady-in-Waiting’

การประกาศเปลี่ยนแปลงชื่อและหน้าที่การงานของผู้ช่วยฝ่ายหญิงของพระราชินีคามิล่าครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงว่าพระราชวงศ์อังกฤษกำลังมุ่งไปสู่ยุคใหม่ของการที่จะลดจำนวนข้าราชบริพารและหน้าที่ที่จะคอยรับใช้ให้มีเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เช่น ในกรณีนี้พระราชินีคามิล่าจะมี Queen Companion เพียง ๖ คนและจะไม่ต้องมาบ่อยจะมาก็เมื่อจำเป็นจริง ๆ และหน้าที่ใหม่นี้จะไม่รวมถึงการต้องตอบจดหมายที่ประชาชนส่งมาถึงพระราชินีหรืองานธุรการต่าง ๆ เช่นการเตรียมแผนงานต่าง ๆ เหมือนเช่นเคย (เดิมนั้นจดหมายที่ประชาชนส่งมาถึงพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๒ จะมีการตอบรับซึ่งมีจำนวนมาก แต่จากนี้ไปอาจจะมีพนักงานกลุ่มอื่นรับหน้าที่ไปแทน)

Queen Companion (น่าจะเรียกว่าผู้ติดตามและยังเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติอยู่) ทั้ง ๖ ท่านนี้จะมาจากบรรดาเพื่อน ๆ เก่าแก่ของพระราชินี ทั้งหมดจะไม่ได้รับเงินเดือนแต่จะสามารถเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางหรืออื่นๆที่เกิดขึ้นจากการมาทำงานได้

สำหรับนางสนองพระโอษฐ์ (Lady-in-Waiting) ที่เคยทำงานถวายสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ ๒ ผู้ล่วงลับนั้น พระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๓ ทรงมอบหมายให้มาช่วยงานที่พระราชวังบัคกิ้งแฮมในตำแหน่ง ‘ladies of the household’ เมื่อมีงานเลี้ยงพระราชทานแขก การเปลี่ยนแปลงผู้ช่วยฝ่ายในของพระราชินีดังกล่าวเหมือนกับเป็นการตัดขาดกับอดีตที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายร้อยปีที่บรรดานางสนองพระโอษฐ์พระราชินีมักจะมาจากสตรีสูงศักดิ์ ครอบครัวขุนนางที่มีอำนาจราชศักดิ์และจากความใกล้ชิดเช่นนี้บางครั้งก็นำไปสู่การวางแผนร้ายต่าง ๆ เช่นโค่นราชบัลลังก์หรือโค่นขุนนางด้วยกัน

แต่นับแต่นี้ต่อไป ผู้ที่ช่วยงานพระราชินีอังกฤษจะมีหน้าที่เพียงติดตามเมื่อท่านออกงานและไม่ได้ใกล้ชิดมากเหมือนเช่นเคย ถ้าจะพูดตามภาษาคนธรรมดาก็คือพระราชินีจะมีเพียงผู้ติดตามเท่าที่จำเป็น ทั้งนี้เพื่อจะเป็นการเตรียมหรือแสดงให้เห็นว่าราชวงศ์อังกฤษกำลังมุ่งไปสู่ความเป็นธรรมดามากขึ้นหรือเพื่อประหยัดงบประมาณที่ต้องมีข้าราชบริพารมากเกินไป

'ฟีฟ่า' ยันลูกประตูชัยทีมชาติญี่ปุ่น ยังไม่ออกหลัง ส่งผลให้ทีมแซงชนะ 2-1 พร้อมควบแชมป์กลุ่ม

‘สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ’ หรือ ‘ฟีฟ่า’ ได้ออกมาอธิบายว่าเหตุการณ์ที่ ‘ทีมชาติญี่ปุ่น’ ทำประตูเอาชนะ ‘ทีมชาติสเปน’ 2-1 จนเกิดข้อกังขาว่าลูกบอลออกหลังไปแล้วนั้น ทำให้พวกเขาต้องพิจารณาดูภาพช้าจากกล้องทุกมุมมองของ VAR และ จากภาพมุมสูงของกล้องจะเห็นว่ายังมีส่วนโค้งของลูกบอลอยู่บนเส้น จึงตัดสินให้ ญี่ปุ่น ได้ประตูชัยเหนือ สเปน พร้อมปาดหน้าเข้ารอบเป็นแชมป์กลุ่ม และได้เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในศึก ฟุตบอลโลก 2022 ต่อไป 

ประตูชัยของญี่ปุ่น ได้จาก ‘อาโอะ ทานากะ’ เริ่มจากจังหวะที่ คาโอรุ มิโตมะ เปิดบอลจากเส้นหลังกลับเข้ามาหน้าประตู ซึ่งหลังจากนั้นผู้ตัดสินในสนามใช้เวลาเช็ค VAR อยู่นาน จนตัดสินใจยืนยันให้เป็นประตู

อย่างไรก็ตาม จากภาพช้าที่ถูกฉายระหว่างเกม ทำให้การตัดสินดังกล่าวได้รับการตั้งข้อสงสัย โดย อัลลี่ แมคคอยส์ต กูรูฟุตบอลได้แสดงความเห็นต่อจังหวะนี้ว่า "ผมคิดว่าบอลออกหลังไปแล้ว แต่กรรมการให้เป็นประตู ซึ่งเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ตอนที่จังหวะนั้นเกิดขึ้น, ภาพช้าที่ปรากฏแสดงให้เราเห็นว่าบอลออกไปแล้ว

‘อียู’ เสนอยึดทรัพย์รัสเซียที่ถูกอายัด ชดเชยความเสียหายแก่ยูเครน

(1 ธ.ค. 65) สำนักข่าวซินหัว เผยว่าเมื่อวันพุธ (30 พ.ย.) ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เสนอแผนการยึดทรัพย์สินของรัสเซียที่ถูกอายัด เพื่อชดเชยความเสียหายแก่ยูเครนที่เกิดจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน

แถลงการณ์จากอัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการฯ ระบุว่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดจะถูกมอบให้ยูเครน ‘เพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดกับประเทศ’ ซึ่งมีการประเมินอยู่ที่ราว 6 แสนล้านยูโร (ประมาณ 21.87 ล้านล้านบาท)

ฟอน แดร์ ไลเอิน กล่าวว่า สหภาพยุโรป (EU) ได้ปิดกั้นเงินสำรองของธนาคารกลางรัสเซีย จำนวน 3 แสนล้านยูโร (ราว 10.93 ล้านล้านบาท) และอายัดเงินของอภิมหาเศรษฐีรัสเซีย จำนวน 1.9 หมื่นล้านยูโร (ราว 6.92 แสนล้านบาท)

สื่อผู้ดี เผย ‘แจ็ค หม่า’ อาศัยที่ญี่ปุ่นนาน 6 เดือนแล้ว หลัง ‘รัฐบาลจีน’ เข้ากวาดล้างธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยี

‘แจ็ค หม่า’ ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา บริษัทอีคอมเมิร์ซชั้นนำของโลก อาศัยอยู่ในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่นมาเกือบ 6 เดือนแล้ว หลังจากไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณะ ภายหลังจากที่ทางการจีนกวาดล้างภาคธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยี

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์ รายงานว่า ‘แจ็ค หม่า’ ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา บริษัทอีคอมเมิร์ซชั้นนำของโลก ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมากับครอบครัวของเขาที่กรุงโตเกียวและเมืองอื่น ๆ ของญี่ปุ่น และบอกว่าหม่าแวะเวียนไปที่โมสรส่วนบุคคลหลายแห่งในกรุงโตเกียวอยู่เป็นประจำ จนกลายเป็นผู้สนใจสะสมศิลปะสมัยใหม่ของญี่ปุ่นรวมถึงการหาแนวทางขยายผลประโยชน์ทางธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน นอกจากนั้น ยังมีผู้พบเห็นเขาไปปรากฏตัวในสถานที่อื่น ๆ อีกเช่น เกาะมายอร์กาในสเปนเมื่อปีที่แล้ว รวมถึงการเดินทางไปเยือนสหรัฐฯ และอิสราเอล

นายกหนุ่มแห่งอังกฤษ เลือกวิ่งชนกำแพงเมืองจีน หลังลั่น!! ยุคทองความสัมพันธ์ 'จีน-อังกฤษ' จบลงแล้ว

ในคำปราศัยของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายริชชี่ ซูแน็กเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ได้สร้างความงงๆ ให้กับคนทั่วไป แม้แต่นักการเมืองและนักข่าวของอังกฤษเองถ้วนหน้า เมื่อนายซูหนักบอกว่า “ยุคทองของความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับจีนได้สิ้นสุดลงแล้ว และอังกฤษจะปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่กับจีนให้เข้มแข็งจริงจังเหมือนคู่แข่งขันที่แท้จริง” 

นายซูแน็กยังวิจารณ์ต่อไปว่า ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างอังกฤษกับจีนนั้นเป็นเรื่องอ่อนหัด

เรื่องนี้ดูท่า นายซูแน็กดู จะเอาจริง!! เพราะที่ที่เขาพูดคืองานเลี้ยงประจำปีที่เรียกว่า The Lord Mayor’s Banquet ในกรุงลอนดอน ซึ่งแขกผู้ฟังของเขาก็คือบรรดาผู้นำทางธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ การพูดในงานเลี้ยงครั้งนี้เป็นการประกาศนโยบายต่างประเทศครั้งแรกของนายซูแน็กหลังจากเป็นนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะประเด็นที่เฉพาะเจาะจงกับจีน

แน่นอนว่า การพูดเช่นนี้ออกมา เจ้าตัวเองก็คงจะรู้ดีว่า ต้องถูกวิจารณ์ว่านี่เป็นพูดให้ดูสวยหรูดูดี แต่เขาก็ดักคอไว้ว่าสิ่งที่เขาพูดออกไป ไม่ใช่วาทศิลป์ที่ให้ฟังเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ประทับใจเท่านั้น

นั่นก็เพราะในปีใหม่ที่จะมาถึงในไม่ช้านี้นั้น นายซูแน็ก บอกว่า รัฐบาลอังกฤษจะประกาศถึงแผนการที่เขาเรียกว่า 'การทบทวนแผนรวมความมั่นคงของประเทศกับนโยบายต่างประเทศ' ที่เรียกว่า The Integrated Review ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะมีหน้าตาอย่างไรและต้องคอยดูว่าจะกล้าหาญเด็ดเดียวเหมือนในยุคของนางลิส ทรัสส์เป็นนายกรัฐมนตรีแค่ไหน 

เนื่องจากมีรายงานว่าในระหว่างที่เป็นนายกรัฐมนตรี 45 วันนั้น นางทรัสส์กำลังวางแผนที่จะจัดประเภทของจีนให้อยู่ในประเทศที่ 'คุกคาม' ต่ออังกฤษ แต่เธอยังไม่ได้ทำเรื่องนี้ ก็ต้องลาออกไปเสียก่อน กลับกันคำปราศัยของนายซูหนักในงานเลี้ยงดังกล่าวเขาเพียงแต่กล่าวว่าจีนมีความท้าทายที่เห็นได้ชัดเจนต่อความเชื่อและผลประโยชน์ของอังกฤษ และจีนได้เพิ่มความท้าทายไปสู่การเป็นเผด็จการมากขึ้นกว่าเดิม โดยนายซูหนักใช้คำว่าจีน 'ท้าทาย' แทนคำว่า 'คุกคาม' ซึ่งก็ถูกวิจารณ์ว่าอ่อนไป 

อย่างไรก็ตามการกล้าออกมาประกาศว่ายุคทองของความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับจีนหมดสิ้นแล้วก็ถือได้ว่า แข็งกร้าวใช้ได้ไม่น้อย ในขณะที่จีนกำลังมีบทบาทเด่นชัดในเวทีโลกทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจขณะนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษหมาดๆ และหนุ่มที่สุด และมีเชื้อสายอินเดียผู้นี้ ย่อมตระหนักดีว่าจีนมีบทบาทอย่างสำคัญต่อโลกในด้านต่างๆ เช่นเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกหรือปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลก (ฟังๆ ดูก็ขัดแย้งกันอยู่ว่าอังกฤษจะเอาอย่างไงกับจีน)

>> ทีนี้เมื่ออังกฤษ จะไม่ให้ความสำคัญกับจีน แล้วอังกฤษจะให้ความสำคัญกับใคร?

นายซูหนักประกาศว่ารัฐบาลของเขาจะยังคงความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับสหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น เพื่อผนึกกำลังทางการทูตและธุรกิจให้เกิดการแข่งขันที่มีพลังยิ่งขึ้น (ในการสู้กับจีน) 

กลับมาที่คำถามว่า ทำไมจู่ๆ นายกรัฐมนตรีอังกฤษผู้นี้จึงออกมาประกาศเปรี้ยงว่า ยุคทองกับจีนจบสิ้นลงแล้ว!!

ผู้สื่อข่าวบีบีซีบอกว่า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะนายซูแน็กถูก ส.ส. พรรคคอนเซอเวทีฟด้วยกันกดดันว่าอังกฤษควรมีท่าทีที่แข็งกร้าวกับจีนตั้งแต่เขาเข้ามาเป็นนายกฯใหม่ๆ อีกด้านหนึ่งนายซูแน็กก็ถูกคณะกรรมการด้านต่างประเทศของสภาผู้แทนตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ของอังกฤษที่มีต่อจีนหลังจากที่คณะกรรมการชุดนี้ไปพบกับประธานาธิบดีของไต้หวัน และมีคำถามต่อไปอีกด้วยว่านโยบายต่างประเทศของอังกฤษต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิคเป็นอย่างไรและอังกฤษจะสามารถเพิ่มอิทธิพลของตนในภูมิภาคนี้ได้หรือไม่

เพราะฉะนั้นนายซูแน็กจึงใช้โอกาสที่พบพูดจากับนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศในงานเลี้ยงของนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนประกาศถึงท่าทีของอังกฤษที่มีต่อจีนอย่างแข็งกร้าว ว่าต่อจากนี้ไปความสัมพันธ์นั้นจะเปลี่ยนเป็นการแข่งขันที่อังกฤษเอาจริง ไม่เหมือนกับท่าทีของรัฐบาลอังกฤษเมื่อสิบปีที่แล้ว ที่อดีตนายกฯ ยุคนั้นอย่างนายเดวิด แคมเมอรอน พยายามที่จะดึงจีนให้มาเป็นมิตรทางเศรษฐกิจและคู่ค้าที่สำคัญ โดยไม่เป็นศัตรูทางการเมือง

ทว่าคำประกาศที่ดูจะตัดญาติขาดมิตรไม่ยี่หระกับจีนของนายซูแน็ก ก็ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจาก ส.ส. พรรคเดียวกัน เช่น อดีตหัวหน้าพรรคคอนเซอเวทีฟ เซอร์ เอียน ดังคั้น สมิท ที่เป็นผู้หนึ่งที่ผลักดันให้รัฐบาลอังกฤษมีนโยบายไม่อ่อนกับจีนว่า "กระทรวงต่างประเทศอังกฤษจะใช้วิธีการอย่างไรที่จะสร้างความตื่นตระหนกวิตกให้จีนบ้างในคำประกาศว่าจะกระทำอย่างจริงจังนี้ช่วยขยายความหน่อย" ส่วนแน่นอนพรรคฝ่ายค้าน คือ เลเบอร์ วิจารณ์ว่า "คำพูดนี้จืดเหมือนโจ๊ก และใช้วาจาเปลี่ยนไปมากับนโยบายที่มีต่อจีน"

C919 เครื่องบินโดยสารฝีมือจีน คว้าใบอนุญาตการผลิตแล้ว

(30 พ.ย.65) สำนักข่าวซินหัว รายงาน สำนักบริหารการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน ได้ออกใบอนุญาตการผลิตเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ รุ่นซี919 (C919) ซึ่งถูกพัฒนาภายในประเทศ โดยบริษัทอากาศยานพาณิชย์แห่งประเทศจีนหรือโคแมก (COMAC) ผู้พัฒนาเครื่องบินรุ่นดังกล่าว ได้รับใบอนุญาตการผลิตจำนวนมาก (Mass Production) จากสำนักบริหารฯ ระดับภูมิภาคจีนตะวันออก

สำหรับเครื่องบินรุ่นนี้ ได้ทำการบินเที่ยวแรกสำเร็จในปี 2017 และได้รับใบรับรองแบบอากาศยานเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่าการออกแบบผ่านมาตรฐานความสมควรเดินอากาศและข้อกำหนดทางสิ่งแวดล้อม

‘เจียงเจ๋อหมิน’ ถึงแก่อสัญกรรมด้วยวัย 96 ปี จากโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว-อวัยวะล้มเหลว

(30 พ.ย. 65) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่าทางการจีนประกาศถึงการอสัญกรรมของ ‘เจียงเจ๋อหมิน’ ด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและอวัยวะล้มเหลวหลายระบบในวัย 96 ปี ณ เทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน ตอน 12.13 น. ของวันที่ 30 พ.ย. 2022 ตามเวลาท้องถิ่น

ประกาศข้างต้นออกโดยคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน คณะกรรมการถาวรประจำสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน คณะรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน คณะกรรมการแห่งชาติประจำสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีน และคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยประกาศผ่านจดหมายถึงพรรคฯ กองทัพ และประชาชนจีนทุกกลุ่มชาติพันธุ์

จดหมายระบุการประกาศด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อพรรคฯ กองทัพ และประชาชนจีนทุกกลุ่มชาติพันธุ์ว่าเจียงเจ๋อหมิน สหายผู้เป็นที่รักของปวงชน เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและอวัยวะล้มเหลวหลายระบบ หลังจากการรักษาทางการแพทย์ทั้งหมดไม่ประสบผลสำเร็จ

ยูเนสโก้ขึ้นทะเบียน มวยโบกาตอ ชี้เป็นต้นกำเนิดมวยไทย-มวยลาว

(30 พ.ย. 65) เพจ Vaccine ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ยูเนสโก้ขึ้นทะเบียน มวยโบกาตอ
ชี้เป็นต้นกำเนิดมวยไทย-มวยลาว

เพื่อนบ้านชาวเคลมเฮ ยูเนสโกขึ้นทะเบียน มวยโบกาตอ หรือ 'ลบ๊อกกาตอ' สำเร็จ

ดูในเอกสาร แล้วหวั่นใจอีกหน่อยคงจะเคลมว่ามวยไทยไม่ใช่ของไทย

คือเขมรไม่ใช่ขอม....ขอมคือยุคอังกอร์ ที่ครอบคลุมภูมิภาคนี้จนเป็นต้นกำเนิดหลายอย่าง

วอนกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงต่างประเทศ อย่านิ่งเฉย

ไทยเองเคยประกาศขึ้นทะเบียน 'มวยไทย' เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เมื่อปี2553 และ ครม. มีมติเมื่อปี 2554 เห็นชอบให้วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็นวันมวยไทย

‘กลุ่มนาโต้’ สัญญาจัดหาอาวุธส่งให้ยูเครน ด้านรัสเซีย เตือน ถ้าส่ง ‘แพทริออต’ ได้เจอดีแน่

ในวันอังคาร (29 พ.ย.) พันธมิตรนาโต้สัญญาจัดหาอาวุธเพิ่มเติมและอุปกรณ์ สำหรับช่วยกู้ไฟฟ้าและความร้อนแก่ยูเครน หลังโครงข่ายทางพลังงานได้รับความเสียหายร้ายแรงจากปฏิบัติการโจมตีด้วยขีปนาวุธและโดรนของรัสเซีย ท่ามกลางเสียงร้องขอของเคียฟเกี่ยวกับระบบป้องกันขีปนาวุธแพทริออต อย่างไรก็ตามมันกระตุ้นเสียงเตือนจากมอสโก ที่บอกว่าเหล่านั้นจะกลายเป็นเป้าหมายโดยชอบธรรมของพวกเขาในทันที

เสียงไซเรนเตือนการถูกโจมตีทางอากาศดังระงมทั่วยูเครนเป็นครั้งแรกในสัปดาห์นี้ กระตุ้นให้ประชาชนหลบหนีออกจากท้องถนนไปหาที่กำบัง ทั้งนี้ แม้ต่อมาได้มีการยกเลิกคำเตือนและปิดเสียงไซเรนทั่วประเทศ แต่มีรายงานว่าในแคว้นโดเนตส์ก ทางภาคตะวันออก กองกำลังรัสเซียได้ยิงถล่มเป้าหมายต่างๆ ของยูเครนด้วยปืนใหญ่ ปืนครกและรถถัง

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่บรรดารัฐมนตรีต่างประเทศจากพันธมิตรนาโต้ ในนั้นรวมถึง แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เริ่มการประชุม 2 วันในบูคาเรสต์ ในความพยายามหาหนทางช่วยมอบความปลอดภัยและความอบอุ่นแก่ประชาชนชาวยูเครน รวมไปถึงสนับสนุนกองทัพเคียฟ ให้ผ่านพ้นสงครามฤดูหนาวที่กำลังมาเยือน

ดมิโทร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศของยูเครน บอกกับผู้สื่อข่าวรอบนอกการประชุมนาโต้ พาดพิงถึงระบบป้องกันภัยทางอากาศต่างๆ ของตะวันตก "เราต้องการการป้องกันภัยทางอากาศ ไม่ว่าจะเป็น ไอริส ฮอว์ก และแพทริออต และเราต้องการหม้อแปลงสำหรับความจำเป็นทางพลังงานของเรา" เขากล่าว "โดยสรุปแล้ว แพทริออตและหม้อแปลงไฟฟ้า เป็นสิ่งที่ยูเครนต้องการมากที่สุด"

คำขอดังกล่าวกระตุ้นเสียงตอบโต้จาก ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ที่ออกมาเตือนนาโต้ต่อการมอบระบบป้องกันขีปนาวุธแพทริออตแก่ยูเครน และตำหนิพันธมิตรทหารข้ามแอตแลนติกแห่งนี้ว่าเป็น ‘องค์กรอาชญากรรม’ สำหรับป้อนอาวุธแก่สิ่งที่เขาเรียกว่า ‘ยูเครนผู้บ้าคลั่ง’

"ตามที่ เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต้ พูดเป็นนัย ถ้านาโต้มอบระบบแพทริออตแก่ยูเครนผู้บ้าคลั่ง เช่นเดียวกับบุคลากรของนาโต้ พวกมันจะกลายเป็นเป้าหมายโดยชอบธรรมสำหรับกองกำลังของเราในทันที" เมดเวเดฟเขียนบนเทเลแกรม

สโตลเทนเบิร์ก กล่าวก่อนหน้านี้ว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ‘กำลังพยายามใช้อากาศอันหนาวเหน็บเป็นอาวุธแห่งสงคราม’ หลังจากกองทัพรัสเซียประสบความปราชัยในสมรภูมิรบ

ในถ้อยแถลงฉบับหนึ่ง บรรดารัฐมนตรีของนาโต้ประณามรัสเซียต่อการโจมตีอย่างไม่ลดละและไร้สามัญสำนึก เล็งเป้าเล่นงานโครงสร้างพื้นฐานทางพลเรือนและพลังงานของยูเครน และยืนยันการตัดสินใจในปี 2008 ที่ว่า ท้ายที่สุดแล้วยูเครนจะได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของพันธมิตรทหารแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้ระบุถึงมาตรการที่เป็นรูปเป็นร่างหรือกรอบเวลาที่ชัดเจนใดๆ

พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และยุโรปเผยว่าบรรดารัฐมนตรีนาโต้ จะมุ่งเน้นพูดคุยกันในเรื่องความช่วยเหลือที่ไม่ใช่อาวุธสังหาร เช่น ด้านเชื้อเพลิง เสบียงทางการแทพย์และอุปกรณ์สำหรับใช้ในฤดูหนาว เช่นเดียวกับความช่วยเหลือด้านการทหาร ในขณะที่วอชิงตัน ระบุว่าจะมอบเงิน 53 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับซื้ออุปกรณ์โครงข่ายไฟฟ้า

รัฐมนตรีต่างประเทศลิทัวเนีย เรียกร้องให้สมาชิกนาโต้ ตัดสินใจทางการเมือง จัดหารถถังประจัญบานทันสมัยแก่เคียฟ เพื่อความได้เปรียบด้านการทหารเหนือกองกำลังรัสเซีย แต่ดูเหมือนมหาอำนาจตะวันตกลังเลที่จะทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าว ด้วยความกังวลว่ามันอาจโหมกระพือความขัดแย้งโดยตรงกับรัสเซีย

รัสเซียปฏิบัติการโจมตีทางอากาศขนานใหญ่เล็งเป้าหมายถล่มโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าและความร้อนของยูเครน เกือบทุกสัปดาห์มาตั้งแต่เดือนตุลาคม ในสิ่งที่เคียฟและพันธมิตรบอกว่า เป็นการโจมตีที่จงใจทำร้ายพลเรือน ซึ่งเท่ากับเป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม

มอสโกอ้างว่าพวกเขาไม่ได้เล็งเป้าหมายเล่นงานพลเรือน แต่ระบุความทุกข์ทรมานของประชาชนจะจบลงก็ต่อเมื่อเคียฟยอมรับข้อเรียกร้องของพวกเขา ซึ่งไม่ได้บอกว่าคืออะไร ทั้งนี้ แม้เคียฟสอยร่วงขีปนาวุธที่พุ่งเข้ามาได้เป็นส่วนใหญ่ แต่มันก่อความเสียหายสะสมและผลกระทบของการโจมตีแต่ละครั้งก็หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ

'อนามัยโลก' เปลี่ยนชื่อฝีดาษลิง เป็น 'เอ็มพ็อกซ์' เลี่ยงเหยียดเชื้อชาติ

(29 พ.ย. 65) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำการเปลี่ยนชื่อโรคฝีดาษลิงเป็น ‘เอ็มพ็อกซ์’ (mpox) เพื่อหลีกเลี่ยงการเหมารวมและการตีตราที่เหยียดเชื้อชาติ

แถลงการณ์จากองค์การฯ ระบุว่า จะมีการใช้ชื่อ ‘โรคฝีดาษลิง’ และ ‘เอ็มพ็อกซ์’ พร้อมกันเป็นเวลาหนึ่งปี ระหว่างการทยอยยกเลิกใช้ชื่อ ‘โรคฝีดาษลิง’ โดยการดำเนินการนี้มีขึ้นหลังจากกลุ่มคนและประเทศจำนวนมากแสดงข้อกังวลในการประชุมหลายครั้ง และร้องขอให้องค์การฯ เสนอแนวทางปรับเปลี่ยนชื่อ เนื่องจากชื่อ ‘โรคฝีดาษลิง’ ได้สร้างปัญหาเหยียดเชื้อชาติ และเป็นการสร้างตราบาป หลังจากมีการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวในกว่า 100 ประเทศ 

โดยระยะเวลาการเปลี่ยนชื่อหนึ่งปีนั้น จะช่วยลดความกังวลของผู้เชี่ยวชาญกรณีผู้คนอาจเกิดความสับสน และยังมอบเวลาการแก้ไขบัญชีจำแนกโรคระหว่างประเทศ (ICD) และปรับปรุงสื่อสิ่งพิมพ์ขององค์การฯ อีกด้วย 

ทั้งนี้เมื่อเดือนกรกฎาคม องค์การฯ ประกาศให้การระบาดของโรคฝีดาษลิงในหลายประเทศนอกพื้นที่ระบาดดั้งเดิมในแอฟริกาเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (PHEIC) อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการแจ้งเตือนระดับสูงสุดขององค์การฯ

สตาฟฟ์ 'กาน่า' อำมหิต!! รุมเซลฟี่ 'ซน' ร้องไห้ หลังเกม 'เกาหลีใต้' พ่ายแพ้ กาน่า 2-3

กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ เมื่อ ซน ฮึง มิน กองหน้าซุปตาร์ทีมชาติเกาหลีใต้ที่กำลังเสียใจจากการพ่ายแพ้ กาน่า 2-3 แต่โดนสตาฟฟ์ของ กาน่า เข้ามารุมถ่ายภาพเซลฟี่ จนโดนชาวเน็ตตำหนิว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทอย่างที่สุด

ศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 เกาหลีใต้ ตัวเเทนจากเอเชีย ลงสนามแพ้ กาน่า 2-3 ส่งผลให้มีเพียงแต้มเดียวจาก 2 นัด และนัดสุดท้ายต้องดวลกับ โปรตุเกส 

ขณะที่หลังจบเกมมีกลุ่มสตาฟฟ์ของทีมชาติกาน่า เดินปรี่มาหา ซน ฮึง มิน ที่กำลังเสียใจจากผลการแข่งขัน เพื่อถ่ายภาพเซลฟี่ดาวเตะชาวเกาหลีใต้ที่มีสีหน้าบอกบุญไม่รับ

'สหรัฐฯ' ยอมปลดล็อกคว่ำบาตรเวเนซุเอลา แลกขุดเจาะน้ำมันอย่างจำกัดได้นาน 6 เดือน

เอเจนซีส์/รอยเตอร์ - เป็นชัยชนะของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่สามารถหาแหล่งพลังงานใหม่ใกล้บ้านเพื่อช่วยเหลือชาวอเมริกันสำเร็จ หลังวอชิงตันยอมคลายคว่ำบาตรเวเนซุเอลาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี การประกาศวันเสาร์ (26 พ.ย) เกิดขึ้นเมื่อประธานาธิบดีเวเนซุเอลา นิโคลัส มาดูโร ยอมลงนามข้อตกลงข้อปกป้องทางสังคมร่วมกับฝ่ายค้านคาราคัส ระหว่างที่นอร์เวย์เป็นกาวใจให้เพื่อให้เงินช่วยเหลือกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ที่ถูกสหรัฐฯ และชาติตะวันตกสั่งแช่แข็งให้ปล่อยออกมาเพื่อมนุษยธรรม บริษัทพลังงานเชฟรอนได้รับอนุญาตจากวอชิงตันให้สามารถนำน้ำมันจากเวเนซุเอลาเข้าสหรัฐฯ ได้นานครึ่งปี

อัลญะซีเราะฮ์ สื่อกาตาร์รายงานวานนี้ (26 พ.ย.) ว่า รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน คลายมาตรการคว่ำบาตรบางส่วนให้รัฐบาลเวเนซุเอลา หลังตัวแทนคาราคัส และตัวแทนการเมืองฝ่ายค้านเวเนซุเอลาร่วมลงนามข้อตกลงการปกป้องทางสังคม (social protection agreement) อ้างอิงชื่อจากสื่อฟรานซ์ 24 เพื่อสร้างกองทุนที่มาจากสหประชาชาติเพื่อมอบความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมให้แก่ประชาชนเวเนซุเอลา

โดยในการลงนามเกิดขึ้นวันเสาร์ (26 พ.ย.) ที่กรุงเม็กซิโก ซิตี โดยมีนอร์เวย์เป็นตัวกลาง พบว่าผู้แทนรัฐบาลประธานาธิบดีเวเนซุเอลา นิโคลัส มาดูโร และฝ่ายค้านเวเนซุเอลา ที่รวมไปถึงปีกฝ่ายค้านนำโดย ฮวน กวยโด (Juan Guaido) ที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุน

การลงนามทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาอีกครั้งเพื่อปูทางนำเวเนซุเอลากลับไปสู่ประชาธิปไตยหลังหยุดไปนานร่วม 15 เดือน ฟรานซ์ 24 ชี้ว่า การลงนามทั้ง 2 ฝ่ายสำหรับข้อตกลงทางมนุษยธรรรมในด้านการศึกษา สาธารณสุข ความมั่นคงทางอาหาร มาตรการตอบโต้น้ำท่วม และโครงการกระแสไฟฟ้า และยังมีความเห็นที่จะยังคงหารือร่วมกันสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีเวเนซุเอลาที่จะถึงกำหนดในปี 2024

อัลญะซีเราะฮ์รายงานว่า กระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า ข้อตกลงที่เกิดขึ้นนี้เป็นย่างก้าวที่สำคัญในหนทางที่ถูกต้องในการกลับคืนสู่ประชาธิปไตยในเวเนซุเอลา และสหรัฐฯ ได้ออกใบอนุญาต GL 41 ให้บริษัทพลังงานเชฟรอนกลับไปขุดเจาะน้ำมันอย่างจำกัดได้อีกครั้งนาน 6 เดือน แต่สามารถยกเลิกเมื่อใดก็ได้ อ้างอิงจาก CNN สื่อสหรัฐฯ

'อ.ต่อตระกูล' ไขคำตอบความเย็นในสนามฟุตบอลโลก 2022 พลังไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เป่าลมเย็นถึงตัวผู้ชมทุกๆ คน

เมื่อตอนที่กาตาร์ ประเทศในเขตทะเลทรายอ่าวอาหรับได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า นักกีฬาและผู้ชมจะรับมือกับสภาพอากาศร้อนระอุทะลุ 40 องศาเซลเซียสได้อย่างไร

การเลื่อนเวลาจัดการแข่งขันไปเป็นช่วงฤดูหนาวคือคำตอบหนึ่งของปัญหานี้ แต่ชาติร่ำรวยอย่างกาตาร์ยังให้คำมั่นจะจัดการเรื่องนี้ด้วยวิธีการอันสุดโต่ง นั่นคือการใช้เทคโนโลยีที่จะช่วยให้แม้แต่ประเทศที่มีสภาพอากาศร้อนที่สุดสามารถจัดการแข่งขันกีฬารายการใหญ่ได้ตลอดทั้งปี

'โค้ช-ดาวยิงซาอุฯ' ปฏิเสธข่าวลือเจ้าชายฯ แจกรถโรลส์รอยซ์ ชี้!! แค่เฟกนิวส์จากหมอฟันชาวปากีสถาน

แอร์เว่ เรอนาร์ เฮดโค้ชของทีมชาติซาอุดีอาระเบีย ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่ว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน แจกรถยนต์หรูโรลส์รอยซ์ ให้แก่นักฟุตบอลทุกหลังเอาชนะอาร์เจนติน่า โดยชี้ว่ามันเป็นเพียงแค่เฟกนิวส์ เท่านั้น 

ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย แจกรถยนต์โรลส์รอยซ์ รุ่นแฟนทอม ให้แก่นักเตะทุกคนหลังคว่ำอาร์เจนติน่า ในรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลโลก 2022 เรียกเสียงฮือฮาเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ เดลีเมล สื่อชั้นนำในประเทศอังกฤษ ออกมาเผยว่าต้นตอข่าวดังกล่าวมาจากหมอฟันชาวปากีสถานรายหนึ่งที่มีผู้ติดตาม และมีอิทธิพลด้านโซเชียลมีเดียค่อนข้างสูง ออกมาเผยแพร่เรื่องนี้บททวิตเตอร์แบบลอยๆ เท่านั้น ไม่มีมูลความเป็นจริงแต่อย่างใด 

และล่าสุด แอร์เว่ เรอนาร์ กุนซือใหญ่ออกมาแก้ข่าวดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยเจ้าตัวให้สัมภาษณ์หลังเกมที่ ซาอุดีอาระเบีย พ่ายแพ้ให้กับ โปแลนด์ เมื่อคืนวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา 

"เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เรามีกระทรวงกีฬา และสมาคมฟุตบอล ที่ทำงานกันอย่างเคร่งเครียด มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะมาทำอะไรแบบนี้เลย" เรอนาร์ กล่าว 

"การแถลงข่าวก่อนเกมพบ อาร์เจนติน่า ผมแค่บอกว่ามันเป็น 1 ใน 3 เกมที่สำคัญมากสำหรับเรา และเรื่องเดียวที่ถือเป็นข่าวดีสำหรับคือ การจบรอบแบ่งกลุ่มด้วยอันดับ 1 หรือ 2 เท่านั้น" 

ส่วน ซาเลห์ อัล-เชห์รี่ ดาวยิงทีมชาติซาอุดิอาระเบีย ออกมายืนยันอีกหนึ่งเสียงว่าข่าวลือดังกล่าวไม่เป็นความจริง และนักเตะทุกคนตั้งใจลงสนามเพื่อรับใช้ประเทศ และทำผลงานให้ดีที่สุดอยู่แล้ว

"เรื่องนั้นมันไม่ใช่เลย เราอยู่ที่นี่ตรงนี้เพื่อรับใช้ประเทศบ้านเกิดของเราให้ดีที่สุด นั่นคือผลตอบแทนของพวกเขา" 

ตะกอนสองสีในหัวใจ เหยียดผิวในถิ่นมะกัน ความเกลียดชังจากคนขาว ที่ซ่อนไว้ใต้คำสวยหรูอย่าง 'สิทธิอันเท่าเทียม'

เรื่องของการเหยียดสีผิวนั้นเป็นเรื่องสาหัสมากในประเทศสหรัฐอเมริกายุคก่อน และถึงแม้ในปัจจุบันจะดูเหมือนว่าการเหยียดผิวนั้นเบาบางลง แต่บอกได้เลยว่าการเหยียดผิวระหว่างคนขาวและคนดำยังคงดำรงอยู่ในอเมริกา เพียงแต่ซ่อนไว้ภายใต้หน้าฉากอันสวยหรูของคำว่า 'สิทธิอันเท่าเทียม'

องค์กรลับที่ตั้งขึ้นเพื่อทำลายล้างคนผิวดำและผิวสีอื่นที่ไม่ใช่คนขาวคือ องค์กร 'คู คลักซ์ แคลน’ อำนาจของคู คลักซ์ แคลนแข็งแกร่งช่วงระหว่างปี คศ.1865-1870 มีกองกำลังอันเกรียงไกร สามารถกำราบคนดำในรัฐนอร์ทแคโรไลน่า, เทนเนสซี และจอร์เจียอยู่หมัด   

สมัยประธานธิบดี ยูลิซิส เอส. แกรนต์ มีการประกาศว่า คู คลักซ์ แคลน เป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายนอกกฎหมาย ถือเป็นอันตรายต่อระบอบการปกครอง จึงมีการกวาดล้างกลุ่มเอียงขวาจัดอย่างจริงจังช่วงปี ค.ศ. 1868-1870 จนทําให้กลุ่มสลายตัวชั่วระยะหนึ่ง

ปลายศตวรรษที่ 19 เริ่มมีคนผิวสีอย่างเม็กซิกันและเอเซียอพยพเข้ามาอาศัยในอเมริกามากขึ้น จึงทำให้องค์กรนี้กลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่คนผิวดำแต่เพียงอย่างเดียวแล้ว แต่คราวนี้เหมารวมเอาคนยิว คนเม็กซิกัน คนเอเซียและฝรั่งผิวขาวด้วยกันเองแต่นับถือคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคด้วย

ปีค.ศ. 1915 ที่แอตแลนต้า บาทหลวงของศาสนาคริสต์ วิลเลียม เจ. ซิมมอนส์ อ้างว่าได้ยินเสียงพระเจ้าในความฝันให้ฟื้นฟู คู คลักซ์ แคลน ขึ้นอีกครั้ง ซิมมอนส์ซึ่งเดิมมีแนวคิดนิยมคนผิวขาวอยู่แล้วจึงรวบรวมคน 34 คนประกาศการก่อตั้ง คู คลักซ์ แคลน ขึ้นใหม่ 

อยากจะเรียกการกลับมาขององค์กรนี้ว่ารุ่นพิมพ์นิยม เพราะคู คลักซ์ แคลน ที่ฟื้นตัวขึ้นมาใหม่นี้ ได้รับการตอบรับอย่างดีจากคนผิวขาวอย่างถึงขนาดจนประกาศอย่างหน้าชื่นตาบานว่า การเป็นชาวแคลนนั้นถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวชาวอเมริกันเลยทีเดียว สมาชิกก็ไม่ใช่กระจอกงอกง่อยเป็นคนขาวจนๆ คลั่งชาติอย่างพวกระดับล่าง แต่ประกอบด้วยนักธุรกิจผู้ร่ำรวย และมีนักกฎหมายระดับสูงอีกมากมาย

ในปี คศ.1922 เฉพาะที่เท็กซัสก็มีคดีทำร้ายร่างกายกว่า 100 คดีที่เกี่ยวข้องกับ คู คลักซ์ แคลน และในปี คศ.1923 เกิดคดีรุมทำร้ายที่โอกลาโฮม่าที่เกี่ยวข้องกับองค์กรนี้ 

ความกร่างของคู คลักซ์ แคลน ดูได้จากการส่งจดหมายขู่และไล่ที่ไปยังบ้านของคนผิวดำและคนผิวขาวซึ่งสนับสนุนคนผิวดำ เมื่อไม่ได้รับการปฏิบัติตามก็จะเข้ารุมทำร้าย 

นอกจากนี้ยังมีการเผาบ้าน บ้างก็ตัดแขนขา บ้างก็เอายางรถยนต์ห้อยคอผู้เคราะห์ร้ายแล้วจุดไฟ บ้างก็จับมัดไปวางให้รถไฟทับ บ้างก็จับแขวนคอ บางครั้งสมาชิก คู คลักซ์ แคลน จะมีการเผาไม้กางเขนบริเวณเชิงเขาหรือบริเวณใกล้บ้านของเหยื่อ ที่เรียกว่า Cross Burning เพื่อเป็นการเเสดงอํานาจและการข่มขู่เหยื่อ สรุปเลยคือพวกนี้สรรหาสารพัดวิธีในการทารุณกรรมนั่นเอง

ประมาณปี 1950 เด็กผิวขาวและเด็กผิวดำที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน เวลานั่งรถโรงเรียน เด็กผิวดำจะต้องสละที่นั่งด้านหน้าให้เด็กผิวขาวนั่งก่อน ส่วนเด็กผิวดำจะต้องนั่งเบาะหลังเท่านั้น บนรถเมล์ คนผิวดำจะต้องลุกให้คนผิวขาวนั่งก่อน ไม่เช่นนั้นถือว่าผิดกฎหมาย หรือในร้านอาหารก็จะมีการแยกที่นั่ง หรือบางร้านไม่ต้อนรับคนผิวดำ ในโรงภาพยนตร์แยกไม่ให้คนสองสีผิวปะปนกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้รวมไปถึงการใช้ห้องน้ำสาธารณะ การดื่มน้ำจากก๊อกน้ำสาธารณะไปจนถึงมหาวิทยาลัย    


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top