Wednesday, 2 July 2025
WORLD

รู้หรือไม่? ป้าย ‘Hollywood’ ที่มีชื่อเสียงระดับโลก จริง ๆ แล้วคือป้ายโครงการบ้านจัดสรร!!

เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 66 ผู้ใช้งานติ๊กต็อก ชื่อ ‘englishworld_jason’ ได้โพสต์วิดีโออธิบายเกี่ยวกับป้าย ‘Hollywood’ ที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก โดยระบุว่า…

ป้าย ‘Hollywood’ ที่มีชื่อเสียงระดับโลกแห่งนี้ แท้จริงแล้วมันคือ ป้ายสำหรับ ‘โครงการบ้านจัดสรร’ นอกจากนี้ เดิมทีป้ายนี้ไม่ได้มีชื่อว่า ‘Hollywood’ แต่มีชื่อว่า ‘Hollywoodland’ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2466 โดยในตอนแรกตั้งใจจะติดป้ายนี้ไว้ประมาณปีครึ่งแล้วคอยเอาออก แต่หลังจากที่ทางการของเมืองลอสแอนเจลิสได้ทำการซื้อไป และป้ายก็ได้กลายเป็นสัญญาลักษณ์ของเมืองนี้ไปแล้ว

ดังนั้น ป้าย Hollywood จึงยังคงติดตั้งอยู่ และเอาคำว่า ‘Land’ ออก เหลือแค่คำว่า ‘Hollywood’ ไว้อย่างที่ทุกคนได้เห็นในปัจจุบันนี้นั่นเอง


ที่มา : https://vt.tiktok.com/ZS8pQBjKa/

‘นักวิเคราะห์’ ชี้!! ซื้อหุ้นเทคโนโลยีตอนนี้ดีหรือไม่ หลังกระแส AI อาจจะช่วยดันหุ้นเทคได้มากขึ้น

(1 เม.ย.66) World Maker เผยว่า ท่ามกลางกระแสข่าวร้ายของภาคธนาคารที่โหมกระหน่ำตลาดไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังแทบไม่สะทกสะท้านและดีดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ในไตรมาส 1 ของปี 2023 นี้ Nasdaq100 ซึ่งเป็นดัชนีรวมของกลุ่มเทคโนโลยีเด่น ๆ ปรับตัวสูงขึ้น +17% ขณะที่หุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่หลายตัวดีดขึ้นมาจากจุด Low มากกว่า +50% เลยทีเดียว!

การดีดขึ้น +17% ของ Nasdaq ในช่วง 1 ไตรมาสถือว่าทำสถิติได้ดีที่สุดในรอบ 20 ปี ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนหลายคนคิดว่าเป็นแรงหนุนสำคัญก็คือเรื่องของ Generative AI อย่าง ChatGPT รวมถึงท่าทีของ FED ที่ผ่อนคลายลงบ้างในเรื่องดอกเบี้ย

โดยหุ้นกลุ่มเทคพุ่งขึ้นท่ามกลางวิกฤต Bank Run และความเชื่อมั่นที่ลดลงของภาคธนาคาร ในขณะที่ FED ปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุด +0.25% และแม้ว่า Jerome Powell จะกล่าวว่า FED อาจขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีก แต่การปรับขึ้น +0.25% นั้นดูผ่อนคลายกว่าท่าทีก่อนหน้านี้ที่ FED กล่าวว่าอาจกระชับดอกเบี้ยให้เร็วขึ้นอีก (ทำให้ก่อนเกิด Bank Run มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยคาดว่า FED มีโอกาสกลับไปขึ้นดอกเบี้ย +0.5%)

นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมักจะมีความอ่อนไหวด้านความเคลื่อนไหวของราคาต่อการประกาศดอกเบี้ยของ FED ดังนั้น ในช่วงที่ FED ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วจึงทำให้หุ้นเทคฯ หลายตัวร่วงลงจนมีมูลค่าน่าดึงดูดใจ ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤต Bank Run และนักลงทุนจำนวนไม่น้อยคาดว่า FED จะชะลอหรือลดดอกเบี้ย จึงมีกระแสเงินไหลกลับเข้าไปในหุ้นเทค

อีกเหตุผลที่นักวิเคราะห์กล่าวคือ ก่อนหน้านี้ในช่วงปลายปี 2022 หุ้นเทคได้ถูกจัดอยู่ในโซนมีการขายมากเกินไป (Oversold) และความเชื่อมั่นของหุ้นเทคได้ปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ พร้อมกับข่าวปลดพนักงานจำนวนมากที่หลายคนมองว่าจะทำให้หุ้นเทคมีผลกำไรดีขึ้น

เมื่อเหตุผลตามหลักเศรษฐศาสตร์เหล่านี้มารวมกัน มันจึงกลายเป็นสิ่งที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์มองว่าไม่น่าแปลกใจที่หุ้นเทคโนโลยีสามารถดีดขึ้นได้ท่ามกลางวิกฤตธนาคาร

นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยียังดูดีกว่าในเรื่องของความสามารถในการทำกำไรท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยสูง แต่มีสัดส่วนหนี้ค่อนข้างต่ำ พร้อมกับงบดุลที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะธนาคาร และยังถือเป็นผู้ได้รับประโยชน์จาก Megatrend ของโลกที่จะเปลี่ยนไปสู่ Digital Economy มากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ทำให้หลายคนมองว่าเทคโนโลยีอาจเป็นจุดที่สดใสของตลาดได้ต่อไป?

อย่างไรก็ตาม บางคนไม่ได้มองเช่นนั้น โดยกล่าวว่านักลงทุนกำลังตัดสินใจผิดที่มองว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสามารถเป็นที่หลบภัยได้ท่ามกลางสภาพตลาดในตอนนี้ เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในการเติบโต แต่ปัจจัยดังกล่าวกำลังเสื่อมถอยลง และอนาคตก็ไม่แน่นอน เนื่องจาก Demand เริ่มอ่อนตัวในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว

คนกลุ่มนี้มองว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่บริษัทเทคกำลังเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก เพราะบริษัทตระหนักว่าไม่สามารถเพิ่มรายได้ในการดำเนินธุรกิจ จึงต้องลดค่าใช้จ่ายลง แตกต่างจากกลุ่มแรกที่มองว่าการลดพนักงานจะยิ่งส่งผลให้กำไรสูงขึ้น (ซึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้จริง ๆ แต่ก็อาจไม่ใช่เรื่องดี?)
 

 3 ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญต่อหุ้นเทคโนโลยีนั้นถูกมองไว้ดังนี้...

1.) ความสามารถในการทำกำไร
2.) สภาพคล่องในตลาด (เช่นการ QE และ QT ของ FED) และดอกเบี้ย
3.) การประเมินมูลค่าหุ้น

ดังนั้น แม้ว่าปัจจุบันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะดูน่าดึงดูดในสายตาของหลายคน แต่พร้อมกันนี้ก็อาจมีความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ซึ่งอาจส่งผลเชิงลบได้ในอนาคต นั่นหมายความว่าเราไม่ควรประมาทหรือ Bias มากเกินไปว่าหุ้นกลุ่มเทคจะพุ่งขึ้นแบบไม่บันยะบันยังท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ เพราะมีความเป็นไปได้เช่นกันที่หุ้นเทคจะเกิดการปรับฐานอีกครั้งในระยะสั้น แม้ว่าจะไม่มีใครการันตีได้ 100% ว่าจะเกิดขึ้นจริงก็ตาม

อนึ่ง ทางด้าน Michael Burry นักลงทุนชื่อดังจาก The Big Short ได้ออกมา Tweet ยอมรับว่า “เขาผิด” ที่ก่อนหน้านี้ออกมาแนะนำให้ ‘นักลงทุนขายหุ้น’ เนื่องจากตลาดปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่ที่เขาทวีตข้อความว่า Sell มาจนถึง ณ วินาทีนี้

โดยรวมแล้ว สถานการณ์ของหุ้นในปัจจุบันดูยืดหยุ่นว่าตลาดตราสารหนี้ซึ่งผันผวนอย่างมากในแต่ละวัน แต่หลังจากจบไตรมาสนี้ไปจนถึงท้ายปี เราก็คงต้องมาลุ้นกันว่าตลาดหุ้นจะยังคงความยืดหยุ่นและทนทานต่อแรงกดดันด้านเศรษฐกิจต่อไปได้อีกหรือไม่?

ไม่มีใครปฏิเสธว่ามีโอกาสที่หุ้นเทคฯ จะพุ่งได้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีใครรู้เช่นกันว่าจะมีการปรับฐานหรือไม่ ดังนั้นสำหรับคำถามที่ว่าเราควรซื้อหุ้นเทคในตอนนี้หรือไม่นั้น คงไม่มีใครให้คำตอบกับเราได้ดีเท่ากับตัวเราเอง ซึ่งเราก็ควรชั่งน้ำหนักและตัดสินใจเอาระหว่างความเสี่ยงกับโอกาสในระยะยาว ว่าควรลงทุนหรือไม่ควร แล้วถ้าลงจะลงมากน้อยแค่ไหนเพื่อไม่ให้เสี่ยงเกินไป?

พร้อมกันนี้ Janet Yellen ออกมากล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ยังมีงานต้องทำอีกมากในการยกระดับกฏระเบียบการกำกับดูแลระบบการเงินของประเทศ หลังจากการล้มของ SVB, Silvergate และ Signature Bank แสดงให้เห็นว่ากฏระเบียบในปัจจุบันยังเข้มงวดไม่เพียงพอ โดยเฉพาะกับธนาคารขาดเล็ก-กลางที่มีกฏหมายยกเว้นให้ไม่ต้องทดสอบความเครียดเหมือนกับธนาคารใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Bank Run ขึ้นมา

คำกล่าวของ Yellen เกิดขึ้นในขณะที่ทำเนียบขาวกำลังเร่งให้หน่วยงานกำกับดูแลภาคธนาคารมีการกำหนดกฏเกณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะด้านการทำ Stress Test ที่เข้มงวดขึ้นโดยใช้มาตรฐานเดียวกันไม่ว่าจะเป็นธนาคารและสถาบันการเงินขนาดเล็กไปจนถึงยักษ์ใหญ่

แน่นอนว่า เมื่อใดก็ตามที่ธนาคารล้มเหลว จะทำให้เกิดความกังวลอย่างมาก ซึ่งข้อกำหนดด้านกฎระเบียบก็ได้รับการผ่อนปรนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (ในยุคของทรัมป์) ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนทีมบริหาร จึงน่าจะถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ จะประเมินผลกระทบของการผ่อนคลายกฎระเบียบ และดำเนินการกระชับการสอดส่องดูแลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

‘ตุรเคีย’ ไฟเขียว ให้สัตยาบัน‘ฟินแลนด์’ ร่วมสมาชิกนาโต ด้าน ‘สวีเดน’ ยังรอลุ้น เลขาฯ วอน ตุรเคียเร่งรับรองโดยเร็ว

เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 66 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า รัฐสภาตุรเคียลงมติให้สัตยาบันรับรองฟินแลนด์ เข้าร่วมเป็นสมาชิก องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) โดยฟินแลนด์จะได้รับการรับรองเข้าร่วมนาโตอย่างเป็นทางการและเป็นสมาชิกนาโตประเทศที่ 31 ในการประชุมสุดยอดผู้นำชาติสมาชิกนาโตครั้งถัดไป ในเดือน ก.ค.ที่จะถึงนี้

ขณะที่สวีเดน ซึ่งยื่นขอเข้าร่วมองค์การนาโตพร้อมกับฟินแลนด์ เมื่อเดือน พ.ค.2565 ได้รับรองจากสมาชิก 28 ประเทศ เหลือเพียงตุรเคียและฮังการีซึ่งมีประเด็นกระทบกระทั่งบานปลาย โดยตุรเคียไม่พอใจที่สวีเดนปฏิเสธการส่งกลุ่มนักรบชาวเคิร์ด ซึ่งตุรเคียเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังความพยายามในการก่อรัฐประหารโค่นอำนาจเมื่อปี 2559 กลับมาดำเนินคดี

อย่างไรก็ตาม นายเย็นส์ สต็อลเตินบาร์ก เลขาธิการองค์การนาโต เรียกร้องให้ชาติพันธมิตรเห็นพ้องกับกระบวนการให้สัตยาบันรับรองสวีเดน และหวังว่าจะได้ต้อนรับสวีเดนในฐานะสมาชิกเข้าสู่ครอบครัวนาโตโดยเร็วที่สุด


ที่มา : https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_7589876

‘จีน’ พบ ‘แหล่งน้ำมัน-ก๊าซ’ ขนาดใหญ่ในทะเลโป๋ไห่ คาด มีปริมาณกักเก็บสำรองมากกว่า 1 พันล้านตัน!!

เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, เทียนจิน รายงานว่า บริษัทน้ำมันนอกชายฝั่งแห่งชาติจีน (CNOOC) ประกาศการค้นพบแหล่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ปริมาณสำรองประมาณ 300 ล้านตัน ในทะเลโป๋ไห่ของจีน ในปี 2022

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเลขดังกล่าว พุ่งแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ คือการค้นพบบ่อน้ำมัน 2 แห่งเมื่อปีที่แล้ว ได้แก่ โป๋จง 19-2 (Bozhong 19-2) และโป๋จง 26-6 (Bozhong 26-6) ซึ่งโป๋จง 26-6 เป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติกว่า 100 ล้านตันเทียบเท่าน้ำมัน

ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการค้นพบบ่อน้ำมันรวม 5 แห่ง ที่มีปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซมากกว่า 100 ล้านตัน บริเวณทะเลโป๋ไห่ ขณะที่ปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซที่ค้นพบใหม่ในพื้นที่ทะเลดังกล่าวสะสมมากกว่า 1 พันล้านตัน


ที่มา : https://www.xinhuathai.com/china/348797_20230331

‘จีน’ เผย ยอดขาย ‘เครื่องใช้ภายในบ้าน’ กระฉูด พุ่งสูงถึง 2.41 ล้านล้านบาท ในปี 2022

(31 มี.ค. 66) สำนักงานข่าวซินหัวรายงานว่า จากศูนย์การพัฒนาอุตสาหกรรมสารสนเทศแห่งประเทศจีน สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน ระบุว่า ยอดค้าปลีกออนไลน์ของเครื่องใช้ภายในบ้านของจีน ครองสัดส่วนร้อยละ 58.2 ของยอดขายทั้งหมดในปี 2022 ท่ามกลางอีคอมเมิร์ซที่เฟื่องฟูในประเทศ

ยอดจำหน่ายทางออนไลน์ของเครื่องใช้ภายในบ้านรวมอยู่ที่ 4.86 แสนล้านหยวน (ราว 2.41 ล้านล้านบาท) ในปี 2022 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.24 จากปีก่อนหน้า โดยสัดส่วนคำสั่งซื้อออนไลน์ของสินค้าเครื่องใช้ในบ้านหลากหลายหมวดย่อย ทำสถิติสูงสุดใหม่ในปีที่แล้ว

‘Valerie’ หญิงเมืองน้ำหอม ผู้ประท้วงเสื้อกั๊กเหลือง ถูกดำเนินคดีข้อหา ‘หมิ่นประมาทประธานาธิบดีฝรั่งเศส’

ประเทศประชาธิปไตยอย่างเช่น ‘ฝรั่งเศส’ ก็มีการดำเนินคดีกับผู้ที่หมิ่นประมาทประธานาธิบดี ดังเช่นกรณีของ Valerie หญิงผู้ประท้วงกลุ่มเสื้อกั๊กเหลืองที่ได้ปฏิเสธว่า เธอไม่ได้จงใจเรียกประธานาธิบดี Emmanuel Macron ว่า ‘ขยะ’ บนโซเชียลมีเดีย

มีรายงานว่า หญิงชาวฝรั่งเศสรายนี้อาจต้องเผชิญกับโทษจำคุก 6 เดือน และค่าปรับอีก 22,500 euros เนื่องจากการโพสต์กล่าวหาว่า ประธานาธิบดี Emmanuel Macron ว่าเป็น ‘ขยะ’ ในเพจของเธอบนโซเชียลมีเดีย นั่นเป็นไปตามรายงานข่าวของ ‘La Voix du Nord’ สื่อท้องถิ่น เมื่อวันอังคารที่ 28 ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่าหญิงคนนี้ชื่อ ‘Valerie’ จาก St. Martin

ด้วยข้อหาดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เธอยืนยันว่า เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะอธิบายถึงประธานาธิบดี Macron แบบนั้นด้วยซ้ำ โดยกล่าวโทษระบบการแก้ไขภาษาอัตโนมัติบนโทรศัพท์ของเธอ และอ้างว่า รัฐบาลกำลัง ‘เอาเธอเป็นตัวอย่าง’

ผู้ประท้วงเสื้อกั๊กเหลืองผู้นี้ถูกจับกุมเมื่อวันศุกร์ (24 มี.ค.) หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นายปรากฏตัวที่ประตูอพาร์ตเมนต์ของเธอ เธอบอกกับสำนักข่าว

โดย ‘Valerie’ ถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจท้องที่ โดยไม่ทราบว่าเป็นการล้อเล่นหรือไม่

เธอบอกว่า พวกเขาสงสัยว่าเธอเขียนคำว่า ‘Macron ordure’ (มาครง ขยะ) บนกำแพงในชุมชน Arques ของเขต Pas-de-Calais ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส

แต่เธอก็อธิบายโดยปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมระบุว่า “ฉันแค่ถ่ายรูปและยิ้มกับมัน”

นอกจากนี้ เธอยังพบกับโพสต์บน Facebook เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมีข้อความว่า “ขยะจะปราศรัยในวันพรุ่งนี้เวลา 13.00 น. สำหรับคนที่ไม่มีอะไรเลย เราเจอขยะในทีวีเสมอ” เป็นวันที่ก่อนที่ประธานาธิบดี Macron จะมีกำหนดให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์กับสำนักข่าวใหญ่สองแห่งของฝรั่งเศส

‘หน่วยความมั่นคงฯ รัสเซีย’ จับผู้สื่อข่าว 'วอลล์สตรีท เจอร์นัล' ชี้ ข้อหาจารกรรม พยายามเข้าถึงข้อมูลลับของรัสเซีย 

(31 มี.ค.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หน่วยความมั่นคงกลางรัสเซียได้จับกุม อีวาน เกิร์ชโควิช นักข่าวของสำนักข่าวดังอย่าง Wall Street Journal ในข้อหาจารกรรม โดยพยายามเข้าถึงข้อมูลลับ เขาถูกคุมตัวได้ในเมืองเยคาเตรินเบิร์ก

หน่วยความมั่นคงกลางรัสเซีย กล่าวว่า เขากำลังรวบรวมข้อมูลลับเกี่ยวกับกิจกรรมของหนึ่งในองค์กรของศูนย์อุตสาหกรรมทางทหารของรัสเซีย ทั้งนี้ ไม่มีการระบุว่าการจับกุมอีวาน เกิร์ชโควิช เกิดขึ้นเมื่อใด โดย อีวาน เกิร์ชโควิช กำลังดำเนินการตามคำสั่งของสหรัฐฯ ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของหนึ่งในองค์กรของศูนย์อุตสาหกรรมทางทหารของรัสเซียที่ถือเป็นความลับของรัฐ

ธุรกิจการ์เมนต์เมียนมาสะเทือน เมื่อ 3 เจ้าใหญ่ต่างทยอยถอนตัว

นับจากการประกาศของ Mark & Spencer เมื่อปีที่แล้วที่จะถอนธุรกิจออกจากเมียนมาในเดือนมีนาคมนี้ ล่าสุดทางนิเกอิ ก็ได้รายงานว่า บริษัทฟาสต์ รีเทลลิงของญี่ปุ่น เจ้าของแบรนด์ 'ยูนิโคล่' (Uniqlo) ได้กลายเป็นอีกบริษัทที่ตัดสินใจถอนธุรกิจออกจากเมียนมาด้วยเช่นกัน 

โดย Uniqlo ได้ถอดรายชื่อกลุ่มพันธมิตรในเมียนมาออกจากรายชื่อโรงงานผลิตเสื้อผ้า ซึ่งที่ผ่านมาฟาสต์ รีเทลลิงรายนี้ ได้จ้างผลิตเสื้อแจ็กเก็ตและเสื้อเชิ้ตสำหรับแบรนด์ GU แต่ก็จะยุติการผลิตสินค้าสำหรับฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวปี 2566 ไปโดยปริยาย  

ไม่เพียงเท่านั้น ด้านบริษัทเรียวฮิน เคคะคุ เจ้าของแบรนด์ 'มูจิ' (Muji) จากญี่ปุ่น ก็มีแผนที่จะยุติการจ้างผลิตเสื้อแจ็กเก็ตและสินค้าชนิดอื่น ๆ จากเมียนมาภายในเดือนสิงหาคมนี้ด้วย 

สำหรับการถอนตัวของแบรนด์ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ มาจากเหตุผลเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือ บริษัทไม่สามารถละเลยต่อการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยธรรมที่เกิดขึ้นในเมียนมาได้ 

‘จีน-บราซิล’ บรรลุข้อตกลงการค้า ใช้สกุลเงิน ‘หยวน-เรอัล’ หวังลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ หนุนการค้าทวิภาคีมากขึ้น

เมื่อวันพุธที่ 29 มี.ค. 66 รัฐบาลบราซิล ได้ประกาศว่า จีนและบราซิลบรรลุข้อตกลงการค้า โดยใช้สกุลเงินหยวนและเงินเรอัล ในการทำธุรกรรมกันโดยตรงแทนการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินกลาง ซึ่งนับเป็นความพยายามล่าสุดของจีน ที่จะลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ในการค้าระหว่างประเทศ

ด้านสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนของบราซิล (ApexBrasil) แถลงว่า “ข้อตกลงนี้ เป็นที่คาดหวังว่าจะช่วยลดต้นทุน สนับสนุนการค้าทวิภาคียิ่งขึ้น และอำนวยความสะดวกในการลงทุน”

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวานนี้ (29 มี.ค. 66) ว่า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของบราซิล โดยเมื่อปีที่แล้ว มีมูลค่าการค้าทวิภาคีสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1.505 แสนล้านดอลลาร์

ข้อตกลงดังกล่าว เกิดขึ้นหลังเสร็จสิ้นการประชุมภาคธุรกิจระดับสูงระหว่างจีน-บราซิล ในกรุงปักกิ่ง โดยก่อนหน้านี้มีการทำความตกลงเบื้องต้นระหว่างสองประเทศเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา

'อีลอน' ติง 'บิลเกตส์' ไม่เข้าใจถึงอันตรายของการพัฒนาระบบ AI เรียกร้องให้โลกหยุดการพัฒนา AI ขั้นสูงเอาไว้โดยด่วน

(30 มี.ค.66) World Maker เผยว่า เรื่องของกระแส AI ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่องและขณะเดียวกันก็มีข่าวออกมาให้หลายคนกลัว !!! เพราะล่าสุดทาง Elon Musk ซึ่งเป็น 1 ในผู้นำเทคโนโลยีโลกได้ออกมาเรียกร้องให้บริษัททั้งหมดทั่วโลกหยุดการพัฒนา AI ขั้นสูงที่ฉลาดกว่า ChatGPT-4 เอาไว้ก่อนโดยด่วน !

ซึ่งเหตุผลคือเขากลัวว่าโลกของเราจะเป็นอันตราย อาจมีการใช้ AI ที่ฉลาดล้ำเหล่านี้เป็นอาวุธและโลกอาจพัฒนาด้านความปลอดภัยไม่ทันความฉลาดของ AI !!! โดยจดหมายเปิดผนึกของ Musk มีคนร่วมลงนามมากกว่า 1,100 คน ในรายละเอียดระบุว่า โลกควรหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงเป็นเวลา 6 เดือนอย่างน้อย ! เพื่อให้ระบบต่าง ๆ ได้เตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก

Musk มองว่านับตั้งแต่การเปิดตัว ChatGPT ทำให้ทั่วโลกเข้าสู่การแข่งขันทางด้าน AI อย่างบ้าคลั่งและไม่สามารถควบคุมได้ ขณะที่แม้แต่บริษัทผู้สร้าง AI เองก็ยังไม่สามารถเข้าใจ ทำนาย หรือควบคุมมันได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ ดังนั้นหากปล่อยให้พัฒนาเร็วเกินไปจะเสี่ยงทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น !

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังวิจารณ์ Bill Gates อยู่ซ้ำ ๆ หลายครั้ง โดยเน้นย้ำว่า ความรู้ด้าน AI ของ Bill Gates นั้น “มีจำกัด” ทำให้ Bill Gates อาจไม่เข้าใจถึงอันตรายของการพัฒนาระบบ AI

Elon Musk เองถือเป็น 1 ในผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI แต่เขาได้จากบริษัทไปในปี 2018 และตั้งแต่นั้นมาเขาก็เริ่มตั้งตัวเป็นผู้วิจารณ์บริษัทนี้ (โดยเฉพาะหลังจาก Microsoft เข้าลงทุนใน OpenAI ในปี 2019) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ค่อยถูกกับ Bill Gates มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และไม่รู้ว่าเขาหวังดี ๆ จริง ๆ หรือมีเหตุผลอื่นแฝงกันแน่ ? หรือว่าเขารับรู้ถึงอันตรายอะไรที่เราไม่รู้ ? เพราะขณะเดียวกันก็มีข่าวว่า Musk เองกำลังเร่งพัฒนา Generative AI เป็นของตนเองอยู่ด้วย

นอกจากนี้ยังมีข่าวอีกว่า Sam Altman และผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ได้ปฏิเสธข้อเสนอของ Musk ในการที่เขาจะขึ้นบริหารบริษัทด้วยตนเอง ทำให้เราไม่รู้ชัดเจนว่าที่เขาออกมาเตือนเป็นไปเพราะเรื่องส่วนตัวหรือห่วงโลกจริง ๆ กันแน่ ? และก่อนหน้านี้ยังมีข่าวที่ Bill Gates เข้า Short Sell หุ้น Tesla ก่อนจะร่วงยับราว -80% เมื่อเร็ว ๆ นี้อีกด้วย

แต่ทั้งนี้ ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่า ChatGPT และ Bing AI ของ Microsoft ที่ใช้เทคโนโลยีของ OpenAI สามารถทำงานหลายอย่างและอย่างน่าเหลือเชื่อและมีผลงานดีมากกว่ามนุษย์หลายคนด้วย แต่นั่นก็ทำให้หลายคนกลัวว่ามันจะฉลาดมากเกินไปจนกลายเป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์ ?

ตอนนี้ Microsoft, Google กำลังเป็นผู้นำในแง่ของการนำ AI มาใช้งาน ในขณะที่ธนาคารยักษ์ใหญ่ของ Wall Street อย่าง Morgan Stanley ก็กำลังฝึก Algorithm ของ ChatGPT-4 เพื่อสร้าง AI ที่ใช้ในการ ”ให้คำปรึกษาด้านความมั่งคั่ง” โดยเฉพาะ ! ซึ่งแน่นอนว่าในอนาคต AI เหล่านี้จะฉลาดกว่า ChatGPT เวอร์ชั่นปัจจุบันอีกมาก

แถลงการณ์ระบุว่า “การวิจัยและพัฒนา AI ควรมุ่งเน้นไปที่การทำให้ระบบที่ทรงพลังและล้ำสมัยในปัจจุบันมีความแม่นยำ ปลอดภัย ตีความได้ โปร่งใส แข็งแกร่ง สอดคล้องกัน เชื่อถือได้ และมีความภักดีมากขึ้น เนื่องจากระบบ AI ที่มีความฉลาดในการแข่งขันของมนุษย์สามารถก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อสังคมและมนุษยชาติ”

และดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่แถลงการณ์เล่น ๆ เพราะมีการกล่าวเสริมอีกว่า “รัฐบาลควรเข้ามาใช้กฏหมายบังคับ” หากบริษัทต่าง ๆ ไม่ยอมหยุดพัฒนาและเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส

แน่นอนว่าการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วของ AI ทำให้แม้แต่นักวิจัย ผู้นำด้านเทคฯ และนักจริยธรรมจำนวนไม่น้อยเกิดความกังวล ซึ่งผลกระทบเหล่านี้อาจเกิดขึ้นกับการจ้างงาน วิถีชีวิตของผู้คน การใช้เป็นอาวุธสงครามหรือทำเรื่องเลวร้าย และสุดท้ายคือการที่มนุษย์อาจปรับตัวตามไม่ทันความฉลาดของมัน ?

ผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ในจีน เสี่ยง!! ตกงาน หลังบริษัทเทคโนโลยี เริ่มปั้นผู้ประกาศข่าว Ai

(30 มี.ค.66) เฟซบุ๊ก 'ไทยคำจีนคำ' ได้โพสต์เรื่องราวหลังจากได้เห็นข่าวในเมืองจีนมาสักระยะแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงตรงหน้า ว่า...

เมื่อเพื่อนคนจีนของแอดมิน #ไทยคำจีนคำ โทรศัพท์มาขอให้ช่วยเซตอัพทีมถ่ายทำ Green Screen หรือ “ฉากเขียว” โดยจะให้เพื่อนจีนอีกคนที่ปกติทำงานเป็นผู้ดำเนินรายการออนไลน์มาอ่านข่าว 🎬

เราก็จัดไปตามการร้องขอ ต้องการสตูดิโอ, กล้อง, ไมค์, ไฟ เราจัดให้ได้หมด

สุดท้ายมาหน้างานรู้สึกสงสัย เลยถามเพื่อน “พวกนายจะเอาวิดีโอแบบนี้ไปทำอะไร?” 🤔

ที่ถามเพราะมันเป็นการอ่านข่าวธรรมดา ๆ รวม 3 ข่าวยาว ๆ ทุกข่าวเปลี่ยนเสื้อผ้า 1 ชุด อ่านผิดก็ไม่เป็นไรแค่อ่านต่อไปให้ครบ 10 นาที พูดอะไรก็ได้ บางท่อนไม่ต่อเนื่องกันด้วยซ้ำ

สุดท้ายได้คำตอบว่า “พวกเราส่งวิดีโอนี้ไปให้บริษัทเทคโนโลยีที่เมืองจีนทำการสร้างเป็น ‘ผู้ประกาศข่าว AI’ ” 

AI หรือที่ย่อมาจาก Artificial Intelligence แปลเป็นไทยว่า “ปัญญาประดิษฐ์”

ภารกิจของเราในวันนี้แค่บันทึกภาพของการอ่านข่าว โดยเฉพาะการขยับปาก และการเคลื่อนไหวของมือเล็กน้อย เพื่อสะท้อนถึงการแสดงออกทางอารมณ์

รวมถึงบันทึกเสียง เพื่อเป็นแค่หลักยึดให้กับระบบในคอมพิวเตอร์

สุดท้ายแล้วบริษัทที่เมืองจีน ซึ่งรับเอาวิดีโอนี้ไป จะนำหน้าหล่อ ๆ ของเพื่อนคนจีนที่มานั่งอ่านข่าวในวันนี้ ไปสร้างเป็นผู้ประกาศข่าว AI

คือแค่ยืมรูปลักษณ์ภายนอก และบุคลิกภาพ โดยไม่ได้สนใจเนื้อหาที่เราบันทึกกัน

“ต่อไปคือเราแค่นำบทความ หรือเนื้อข่าวใส่เข้าไปในโปรแกรม มันจะสั่งการให้ผู้ประกาศข่าว AI อ่านตาม และแสดงอารมณ์ออกมาตามเนื้อข่าว”

หน้าตาของผู้ประกาศข่าว AI ถอดแบบมาจากคนจริง ๆ (เพื่อนจีนของแอดที่มานั่งอ่านข่าววันนี้) และการขยับปาก จะเปลี่ยนแปลงไปตามเนื้อหาหรือบทที่เราใส่เข้าไป

นั่นหมายความว่าต่อไป ไม่จำเป็นต้องให้คนจริง ๆ มาแต่งหน้า ใส่สูท และอ่านตามบทที่ปริ้นท์ออกมาในกระดาษ 🖨

แต่ใช้แค่การพิมพ์บทเข้าไปในระบบ แค่นี้ผู้ประกาศข่าว AI จัดการอ่านให้ และผู้ชมก็แค่รอดูข่าวเหมือนเดิม

“เทคโนโลยีตัวนี้เมืองจีนเริ่มใช้กันแล้ว ต่อไปคาดการณ์ว่าอาชีพผู้ประกาศข่าวที่เป็นคนจริง ๆ จะตกงานหมด”

“คนเขียนบทยังอาจจะพอมีงานทำอยู่บ้าง หรืออาจจะตกงานเหมือนกัน ต้องรอดู”

พูดง่าย ๆ คือเนื้อหายังคงมีความสำคัญ แต่ผู้ประกาศข่าวที่เดิมมีหน้าที่แค่อ่านตัวหนังสือและพูดออกมา อาจจะไม่จำเป็นอีกแล้ว

ทุกวันนี้ผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ในเมืองจีนที่มีชื่อเสียง ถูกเชิญมา Copy บุคลิกและใบหน้าแบบนี้ และนำไปใช้งานอย่างแพร่หลายในแพลตฟอร์มออนไลน์แล้ว

เมื่อครูยึดขนบปฏิบัติจนขาดความยืดหยุ่นและเมตตา  ส่วนพ่อแม่ก็ยัดเยียดความเกลียดชังให้ลูกตั้งแต่เด็ก

ไม่ร้องเพลงชาติ อาจเจอครูแจ้งจับ

เมื่อไม่นานมานี้ มีคดีน่าสนใจคดีหนึ่ง นั่นคือครูอเมริกันแจ้งตำรวจให้มาจับนักเรียนของตัวเอง ด้วยข้อหาประหลาดว่า “นักเรียนรายนี้ไม่ยอมร้องเพลงชาติ”

ความน่าสนใจของเรื่องนี้คือเด็กนักเรียนที่เปรี้ยวใส่กฎระเบียบโรงเรียนอายุแค่ 11 ขวบเท่านั้น และเป็นเด็กผิวดำแอฟริกัน-อเมริกัน 

ครูสาวในโรงเรียนลอว์ตัน ไชลส์ มิดเดิล อคาเดมี รัฐฟลอริดา โทรเรียกตำรวจมาจับเด็กนักเรียนชายวัย 11 ขวบ เพราะนักเรียนคนนี้ไม่ยอมยืนตรงเคารพธงชาติ โดยให้เหตุผลว่าการเคารพธงชาติเป็นการเหยียดผิว และเพลงชาติมีเนื้อหาที่เต็มไปด้วยการดูหมิ่นแอฟริกันอเมริกัน

กรณีนี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงในโซเชียลมีเดีย ว่า เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นอะไร? และจบลงอย่างไร?

ตามเนื้อข่าว เมื่อครูอเมริกันถามนักเรียนว่า...

“ทำไมจึงไม่ไปอยู่ที่อื่น หากว่าที่นี่เลวร้ายเกินทน”

คำถามแบบนี้ฟังดูคุ้นๆ หูอีกแล้ว แต่เด็กสวนกลับไปทันควันว่า...

“พวกเขา (หมายถึงคนผิวขาว) นำผมมาที่นี่”

เดี๋ยวนะ...หนู สงสัยพ่อแม่เปิดหนังเรื่อง ‘รูทส์’ ให้ดูตั้งแต่เกิดเลยล่ะมั้ง คือตอบเอาจริงเอาจังไปมั้ยน่ะ แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงก็ตามที

เมื่อเรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วประเทศ ความเห็นของฝรั่งอั้งม้อออกไปในแนวว่า พ่อแม่เด็กเสี้ยมให้ลูกเกลียดชังทุกสิ่งทุกอย่างในอเมริกา 

หลายคนมองว่าครูทำเกินกว่าเหตุ เรื่องแค่นี้ไม่น่าต้องโทรเรียกตำรวจมาจับเด็กที่อายุแค่ 11 ขวบเลย แต่ควรใช้หลักความเมตตาอบรมสั่งสอนดีๆ ซึ่งครูสาวส่ายหน้าท่าเดียว เพราะนอกจากพูดจาท้าทายแล้ว เด็กชายคนนี้ยังมีอาการต่อต้านทุกคนอย่างชัดเจน เช่น ขู่ทำร้ายครูและไม่ยอมออกจากห้องเรียน

ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร เด็กผิวสีรายนี้ก็ถูกส่งไปสถานสงเคราะห์สำหรับเยาวชน หรือเทียบง่ายๆ คือบ้านเมตตาบ้านกรุณาของเราอะไรทำนองนั้นนั่นแหละ

โฆษกของเขตการศึกษาโพล์ค เคาน์ตี พับลิก สกูลส์ แถลงการณ์ว่าเด็กชายถูกจับ เพราะทำให้ระบบของโรงเรียนยุ่งเหยิง และปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งโรงเรียน ไม่ได้ถูกจับเพราะไม่ยอมทำความเคารพธงชาติ 

หากจะถามว่าการที่เด็กไม่เคารพธงชาติมีความผิดไหม ถ้ายึดตามตัวบทกฎหมายอเมริกัน คงต้องตอบว่าไม่ผิด ตามกฎหมายพลเมืองสหรัฐฯ ว่าด้วยบทข้อแก้ไขที่ 1 ที่เรียกว่า The First Amendment ห้ามโรงเรียนบังคับให้เด็กนักเรียนต้องกล่าวปฏิญาณต่อธงชาติสหรัฐฯ หรือเคารพธงชาติ  

แต่ในความเป็นจริง เคยเกิดคดีอื้อฉาวที่ครูโรงเรียนมัธยมคนหนึ่งใช้ด้ามธงชี้กระดานดำประกอบการสอน ผลคือ ครูคนนั้นถูกไล่ออกจากโรงเรียนทันที

เด็กผิวสีอ้างว่าไม่อยากร้องเพลงชาติและเคารพธงชาติ เพราะเป็นเรื่องการเหยียดผิว ซึ่งก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ เนื้อหาเพลงชาติอเมริกาที่เรียกว่า ‘เดอะสตาร์สแปงเกิลด์แบนเนอร์’ หรือแปลง่ายๆ ว่า ‘ธงดาราประดับ’ มีที่มาจากบทกวี Defence of Fort M'Henry หรือการพิทักษ์ป้อมแมคเฮนรี่ แต่งโดยฟรานซิส สก็อตต์ คีย์ ผู้เป็นทั้งทนายและกวี  

แรงบันดาลใจนั้นมาจากธงชาติอเมริกา สะพัดเหนือป้อมเมื่อฝ่ายอเมริกันได้ชัยชนะ ในยุทธการบัลติมอร์ ปี ค.ศ. 1812 ต่อมานำมาทำเป็นเพลงชาติและใช้ชื่อว่า ‘เดอะสตาร์สแปงเกิลด์แบนเนอร์’

‘จีน’ ออกข้อบังคับ ‘สถานรับเลี้ยงเด็กที่บ้าน’ ฉบับทดลอง สะท้อนความมุ่งมั่นในนโยบายการเพิ่มจำนวนประชากร

(29 มี.ค. 66) เมื่อวันอังคารที่ 28 มี.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง เปิดเผยว่า ‘ไช่นา เดลี’ (China Daily) รายงานว่า คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน ได้เผยแพร่ข้อบังคับฉบับทดลอง ว่าด้วย ‘บริการสถานรับเลี้ยงเด็กที่บ้าน’

ก่อนหน้านี้คณะกรรมการฯ ออกข้อบังคับฉบับทดลองเกี่ยวกับผู้ให้บริการสถานรับเลี้ยงเด็กที่บ้าน ซึ่งอยู่ระหว่างการขอความเห็นจากสาธารณชนจนถึงวันที่ 14 เม.ย. 66 โดยผู้ให้บริการเหล่านี้ คือหน่วยงานที่ปรับเปลี่ยนพื้นที่พักอาศัยเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี จนถึงอายุ 3 ปี และสามารถดูแลเด็กได้ไม่เกิน 5 คน ส่วนผู้ดูแลแต่ละคนสามารถดูแลเด็กสูงสุด 3 คน

ผู้ดูแลควรเป็นคนมีประสบการณ์ หรือมีภูมิหลังทางการศึกษาเกี่ยวกับการรับเลี้ยงเด็กและสุขภาพเด็ก และได้รับการฝึกอบรมด้านสุขภาพจิต ความปลอดภัยทางอาหาร การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และความปลอดภัยด้านอัคคีภัย โดยผู้ที่มีประวัติด้านจิตเวชและเคยก่ออาชญากรรมจะไม่สามารถประกอบอาชีพนี้ได้

‘เซเลนสกี’ เอ่ยปากเชิญ ‘สี จิ้นผิง’ ผู้นำจีน เยือนยูเครน เย้ย ‘ปูติน’ ไร้พันธมิตร - สูญเสียทุกอย่างเพราะสิ่งที่ตัวเองก่อ

(29 มี.ค. 66) ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ออกปากเชื้อเชิญประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนไปเยือนกรุงเคียฟเพื่อร่วมหาทางออกให้กับสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังจากที่ผู้นำจีนเพิ่งจะเดินทางไปเยือนมอสโกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ระหว่างให้สัมภาษณ์พิเศษกับผู้สื่อข่าว AP บนขบวนรถไฟจากเมืองซูมี (Sumy) ‘เซเลนสกี’ ผู้นำยูเครน ได้เอ่ยย้ำคำเชิญไปยัง ‘สี จิ้นผิง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำชาติมหาอำนาจที่ยังไม่เคยไปเยือนกรุงเคียฟ นับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากรุกรานเมื่อเดือน ก.พ. ปีที่แล้ว

“เราพร้อมที่จะพบกับท่านที่นี่” เซเลนสกี กล่าว

“ผมอยากจะพูดคุยกับท่าน ผมเคยติดต่อท่านก่อนที่สงครามจะปะทุอย่างเต็มรูปแบบ แต่ตลอดช่วง 1 ปีเศษที่ผ่านมา ผมยังไม่มีโอกาสเช่นนั้นเลย”

จีนมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับรัสเซีย ทั้งในทางเศรษฐกิจการเมืองมานานหลายสิบปี และแม้รัฐบาล สี จิ้นผิง จะประกาศจุดยืน ‘เป็นกลาง’ ในสงครามครั้งนี้ ทว่าในทางปฏิบัติก็ยังคงให้การสนับสนุนทางการทูตต่อประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำของรัสเซีย

การเยือนมอสโกของ สี จิ้นผิง ระหว่างวันที่ 20-22 มี.ค. ที่ผ่านมานั้น ทำให้ชาติตะวันตกหวาดระแวง ว่าจีนอาจตัดสินใจส่งอาวุธและเครื่องกระสุนไปช่วยเติมเต็มคลังแสงของรัสเซีย ที่ร่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ ทว่าสุดท้ายแล้วการเยือนก็จบลงแบบไม่มีคำแถลงใด ๆ ที่มีนัยสำคัญ

หลายวันต่อมา ปูติน ประกาศจะส่งขีปนาวุธทางยุทธวิธีไปประจำการที่เบลารุส ซึ่งเท่ากับว่า ‘คลังแสงนิวเคลียร์’ ของรัสเซียกำลังจะถูกลำเลียงเข้าใกล้แผ่นดิน ‘นาโต’ มากขึ้นอีก

เซเลนสกี มองว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ ปูติน น่าจะเป็นความพยายาม ‘แก้เก้อ’ จากการที่ผู้นำจีนไม่ได้รับปากมอบความช่วยเหลือทางทหารอย่างเป็นรูปธรรม และอาจเป็นการตอบโต้ที่อังกฤษจะส่งกระสุนยูเรเนียมด้อยสมรรถนะ (depleted uranium ammunition) ให้กับยูเครนด้วย

กรณีศึกษา Nestle ถอนตัวออกจากเมียนมา   สะท้อน!! ไม่มีใครทำร้ายชาติเราได้เท่าคนในชาติตัวเอง

เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีข่าวที่ดังไปทั่วเมียนมาเมื่อบริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่อย่าง Nestle ที่ตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1991 ถอนตัวออกจากเมียนมา โดยมีแถลงการออกมาจากทาง Nestle ว่าทางบริษัทจะยุติการดำเนินการทั้งสายโรงงานและการปฏิบัติงานในส่วนของออฟฟิศทั้งหมด  

ข่าวนี้สร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจของเมียนมาพอสมควร โดยทาง Nestle อ้างว่าการที่บริษัทตัดสินใจเช่นนี้เป็นเพราะบริษัทมีปัญหาในเรื่องการนำเข้าและปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน 

พออ่านมาถึงจุดนี้ คือต้องมาเอ๊ะ เดี๋ยวก่อน….เราควรมาดูข้อมูลรอบตัวของข่าวนี้ก่อนดีไหม? เริ่ม!!

ข้อแรก Nestle เป็นบริษัทของสวิตเซอร์แลนด์ แต่การดำเนินการของ Nestle เมียนมานั้นอยู่ภายใต้การดำเนินการของ Nestle สาขาประเทศไทย ซึ่งสวิตเซอร์แลนด์เป็น 1 ในประเทศคู่ค้าของกลุ่ม EU ที่ทำการแซงชันเมียนมา โดยการแซงชันของ EU นั้น นอกจากเน้นไปที่ตัวบุคคลแล้วยังเน้นไปยังกลุ่มธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้าของเช่น อัญมณี เหมืองแร่ น้ำมันและก๊าซรวมถึงป่าไม้ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าธุรกิจเหล่านั้นได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแซงชันดังกล่าว โดยเฉพาะธุรกิจน้ำมันและก๊าซในเมียนมาที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีคนนอกในการผลิตและแปรรูป  

จึงไม่แปลกที่ธุรกิจของประเทศในกลุ่มดังกล่าวจะโดนกดดันจากฝั่งเมียนมา ซึ่งบางธุรกิจเช่นธุรกิจผลิตวัตถุดิบบางอย่างของสัญชาติอเมริกันก็เลือกที่จะปิดตัวเองเลย ซึ่งแม้บริษัทเหล่านั้นอาจจะมีการทำ Political Insurance ไว้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเงินสินไหมจะทดแทนกับมูลค่าที่ลงทุนและโอกาสทางการตลาดที่เสียไปได้หรือไม่

กลับมาที่ Nestle เมียนมา ก็ต้องขอปรบมือให้ทีมบริหารที่ใช้ความพยายามในการผลักดัน เพราะตลอดระยะเวลา 2 ปีในขณะที่หลายๆ บริษัท ทั้งบริษัทที่เป็นของชาวต่างชาติก็ดี หรือของคนเมียนมาเองก็ดี ต่างทยอยปิดตัวลงจากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น แทบจะเรียกได้ว่า Nestle เป็นบริษัทท้ายๆ ที่ใช้เหตุผลนี้มาปิดบริษัท เพราะตอนนี้ก็เหมือนเหตุการณ์ที่เป็นวิกฤตต่างๆ เริ่มคลี่คลายลงแล้ว ซึ่งสังเกตได้จากหลายๆ บริษัทในเขตนิคมเองก็เปิดมากขึ้น  

อย่างไรก็ดีด้วยประเด็นของการที่ประเทศในกลุ่มอียูมีนโยบายแซงชันเมียนมา จึงเป็นอะไรที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เนสเล่ ที่เจ้าของคือ สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งผู้เป็นคู่ค้ารายสำคัญของกลุ่มประเทศอียูจะโดนบีบให้ปฏิบัติตามด้วยก็ไม่แปลก เพราะหากเทียบความสูญเสียที่เกิดขึ้นในเมียนมากับมูลค่าที่จะสูญเสียในยุโรปนั้น Nestle บริษัทแม่เลือกไม่ยากเลยที่จะเลือกปิดโรงงาน ลอยแพคนงานเมียนมาและหันกลับมาใช้ระบบตัวแทนจำหน่ายที่เป็นบริษัทเมียนมาแทน  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top