Tuesday, 1 July 2025
WORLD

ด่วน!! เกิดเหตุเครื่องบินตก คร่าชีวิต ‘พริโกซิน’ ผู้นำวากเนอร์ ขณะเดินทางกลับกรุงมอสโก ทางการรัสเซียเร่งสืบหาสาเหตุ

‘เยฟเกนี พริโกซิน’ หัวหน้าทหารรับจ้างวากเนอร์ ผู้ก่อกบฎรัฐบาลปูติน เสียชีวิตแล้วจากเหตุเครื่องบินตกระหว่างเดินทางไปมอสโก กระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉิน แถลง 10 ผู้โดยสารเสียชีวิตทุกคน ขณะเทเลแกรมอ้างเครื่องบินถูกยิงตก

(24 ส.ค. 66 ) สำนักข่าวอิศรา รายงานข่าวสถานการณ์ในประเทศรัสเซียว่า มีรายงานจากสื่อในประเทศรัสเซียว่า นายเยฟกินี พริโกซิน หัวหน้าทหารรับจ้างวากเนอร์ ที่ก่อเหตุกบฏต่อรัฐบาลรัสเซียของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้เสียชีวิตแล้วจากเหตุเครื่องบินตก ในระหว่างเที่ยวบินจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กไปกรุงมอสโก

โดยเครื่องบินลำดังกล่าวมีผู้โดยสาร 10 คน ลูกเรือสามคน ซึ่งกระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉินของรัสเซียได้รายงานว่า จากเหตุเครื่องบินตกพบว่าลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด

“บนเครื่องบินมีผู้โดยสาร 10 คน รวมทั้งลูกเรือ 3 คน ตามข้อมูลเบื้องต้นทั้งหมดบนเครื่องบินเสียชีวิต” กระทรวงระบุ โดยเครื่องบินตกในภูมิภาคตเวียร์ ตอนเหนือของมอสโก

ขณะที่สํานักงานขนส่งทางอากาศแห่งสหพันธรัฐของรัสเซียกล่าวว่า ได้เริ่มการสอบสวนอุบัติเหตุเครื่องบินตก และกล่าวต่อไปว่ามีชื่อของนายพริโกชินรวมอยู่ด้วย

“การสอบสวนอุบัติเหตุเครื่องบินรุ่นเอ็มบราเออร์ Embraer ในภูมิภาคตเวียร์เมื่อเย็นวานนี้ได้เริ่มต้นขึ้น ตามรายชื่อผู้โดยสารชื่อและนามสกุลของนายเยฟกินี พริโกซิน รวมอยู่ในรายชื่อนี้” สำนักข่าวในรัสเซียระบุ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีรายงานจากโซเชียลมีเดียเทเลแกรมช่อง Grey Zone ซึ่งเป็นช่องของกลุ่มวากเนอร์ระบุว่าเครื่องบินลำดังกล่าวถูกยิงตก

‘แพ็ค กัง-ฮยุน’ เด็กอัจฉริยะ IQ204 แห่งเกาหลีใต้ ผู้ถูกคาดหวังสูงจากสังคม จนเข้ากับสังคมไม่ได้

(23 ส.ค. 66) ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจทีเดียว สำหรับประเทศเกาหลีใต้ ที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นประเทศพัฒนาแล้วแถวหน้าของโลกได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการพัฒนาศักยภาพเยาวชนได้อย่างมีคุณภาพ ที่เป็นกำลังสำคัญในการสร้างชาติ 

แต่สิ่งที่ตามมา คือความกดดันในสังคมและครอบครัว ที่คาดหวังต่อพัฒนาการของเด็กคนหนึ่ง ที่อาจทำลายพรสวรรค์ที่เขามีโดยไม่รู้ตัวก็ได้

อย่างกรณีของ ‘เด็กชายแพ็ค กัง-ฮยุน’ เด็กอัจฉริยะวัย 10 ขวบ ที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ ในความฉลาดอย่างน่าทึ่ง ทั้งด้านคณิตศาสตร์และดนตรี จนสื่อเกาหลีเคยตั้งฉายาให้เขาเป็น ‘โมซาร์ทน้อยแห่งเกาหลี’ มาแล้ว

แต่มาวันนี้ ชื่อ ‘แพ็ค กัง-ฮยุน’ กลับมาอยู่ในหน้าสื่อเกาหลีใต้อีกครั้ง ในฐานะเหยื่อที่ถูกรุมรังแกโดยเพื่อนร่วมชั้น และรุ่นพี่ในโรงเรียน จนมีอาการซึมเศร้า น้ำหนักลด ทำให้พ่อของเขาตัดสินใจพาลูกชายลาออกจากโรงเรียน 

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ว่าเกิดอะไรขึ้นในโรงเรียน ‘Seoul Science High School’ โรงเรียนเฉพาะทางอันดับ 1 ของนักเรียนที่มีพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของประเทศ หรือแท้จริงแล้ว แพ็ค กัง-ฮยุน เป็นเพียงเด็กธรรมดา ที่ต้องการเพียงชั้นเรียนทั่วไปเท่านั้นเอง

เมื่อย้อนกลับไปช่วง 6 ปีก่อน แพ็ค กัง-ฮยุน ถือเป็นเซเลปเด็กชื่อดังไปทั่วประเทศในฐานะ เด็กชายสมองเพชรที่มีระดับ IQ สูงถึง 204 จากการประเมินของ ‘Mensa's IQ test’ มีความฉลาดเป็นเลิศอย่างมากในด้านดนตรี และคณิตศาสตร์ 

และในปี 2017 นี้เอง ที่แพ็ค กัง-ฮยุนได้ไปออกรายการ Einstein สารคดีด้านการศึกษาของช่อง SBS และได้แสดงความสามารถในการเล่นเปียโน และประพันธ์เป็นเพลงบรรเลงได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และยังสามารถเขียนโน้ตเพลงตามที่ได้ยิน จากการบรรเลงของนักเปียโนมืออาชีพได้อย่างถูกต้อง ซึ่งความสามารถด้านดนตรีของเด็กชายแพ็ค กัง-ฮยุน ได้รับการประเมิน และตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี ยืนยันว่าเป็นของจริง 

อีกทั้งยังมีความสามารถด้านคณิตศาสตร์เกินวัยมาก สามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมต้นได้แล้ว แม้เจ้าตัวจะอยู่ในวัยประถม 1 โดยมีการทดสอบแข่งทำข้อสอบคณิตศาสตร์กับเด็กมัธยมชั้น Year 9 ซึ่งแพ็ค กัง-ฮยุน ก็สามารถทำข้อสอบเสร็จครบ และถูกต้องภายใน 20 นาทีเท่านั้น ทั้งๆ ที่เด็กมัธยมทั้งช้้นที่มาแข่งด้วย ยังไม่มีใครทำเสร็จสักคน 

ทำให้ชื่อ ‘แพ็ค กัง-ฮยุน’ กลายเป็นที่จดจำของชาวเกาหลีใต้ทั่วประเทศ ในฐานะ ‘โมซาร์ทตัวน้อย’ และ ‘เด็กอัจฉริยะสมองเพชร’ และต่างจับตามองว่า เด็กชายแพ็ค กัง-ฮยุน จะโตขึ้นมาอย่างไรในอนาคตข้างหน้า

เมื่อหลายปีผ่านไป แพ็ค กัง-ฮยุน ก็ได้รับเข้าเรียนต่อในสถาบัน Seoul Science High School ที่ได้ชื่อว่าแหล่งรวมเด็กอัจฉริยะจากทั่วประเทศ มีหลักสูตรที่เข้มข้น จัดเต็มกว่าโรงเรียนทั่วไปมาก เพราะเด็กที่ได้เข้ามาเรียนล้วนมีพรสววรค์ที่ไม่ธรรมดา  

แต่ทว่า วันนี้ชื่อโรงเรียนนี้กลายเป็นข่าวฉาวบนหน้าสื่อเกาหลีใต้เสียแล้ว จากกรณีที่ แพ็ค กัง-ฮยุน ถูกเพื่อนร่วมชั้นบูลลี่ รังแก จนเรียนต่อไม่ได้

หลังจากที่พ่อของ กัง-ฮยุน พาลูกชายลาออกจากโรงเรียน ได้ออกมาสัมภาษณ์ผ่านสื่อถึงเหตุผลที่ลูกชายไม่สามารถเรียนต่อที่นี่ได้ เพราะเขาถูกเพื่อนในชั้น และรุ่นพี่ในโรงเรียน บูลลี่ ถากถาง โดนหมางเมิน ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ไม่ยอมคุยด้วย ไม่ยอมแบ่งงานกลุ่มให้ทำ และยังพบข้อความดูถูก ถากถางอย่างรุนแรงที่พูดถึงแพ็ค กัง-ฮยุน จำนวนมากในสื่อออนไลน์ของโรงเรียน

พ่อของเขายังเล่าอีกว่า เมื่อเจอการบูลลี่จากสังคมในโรงเรียนอย่างต่อเนื่องทำให้แพ็ค กัง-ฮยุน มีอาการเครียดอย่างมาก ไม่มีความสุขในโรงเรียน ซึมเศร้า ไม่หัวเราะร่าเริงเหมือนแต่ก่อน และยังส่งผลต่อร่างกายด้วย น้ำหนักจากเดิม 27 กิโลกรัม ตอนนี้ลดลงเหลือแค่ 22 กิโลกรัมเท่านั้น

พ่อของแพ็ค กัง-ฮยุน เคยพยายามต่อรองกับทางโรงเรียน เรื่องปัญหาในการทำงานกลุ่มกับเพื่อนในชั้น อยากให้ทางโรงเรียนแก้ไข แต่ทางโรงเรียนปฏิเสธอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมปรับเปลี่ยนหลักสูตร กฎเกณฑ์ให้เด็กนักเรียนเพียงคนเดียว นั่นจึงเป็นสาเหตุให้พ่อของกัง-ฮยุน ตัดสินใจพาลูกชายลาออก 

แต่ทว่า หลังจากที่พ่อของกัง-ฮยุน ให้สัมภาษณ์ออกสื่อเพียงวันเดียว พ่อของเขาก็ได้รับอีเมลจากผู้ปกครองนักเรียนคนอื่นเป็นจำนวนมาก ข่มขู่ให้พ่อของกัง-ฮยุน หยุดพูดออกสื่อว่า แพ็ค กัง-ฮยุนถูกรังแก มิฉะนั้น จะออกมาแฉถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมแพ็ค กัง-ฮยุน ถึงเรียนต่อที่ Seoul Science High School ไม่ได้

แต่สื่อเกาหลีใต้ก็ไม่วายขุดต่อ โดยแอบไปสอบถามผู้ปกครองของนักเรียนคนอื่นๆ ในโรงเรียน บางคนกล่าวว่า ที่แพ็ค กัง-ฮยุน ต้องออก เพราะเขาเรียนตามเพื่อนไม่ทัน และแก้โจทย์เลขได้เพียงข้อเดียวเท่านั้นจากการสอบกลางภาค

ผู้ปกครองจำนวนหนึ่งสงสัยว่า ทางโรงเรียนอาจให้แพ็ค กัง-ฮยุน เข้าเรียนด้วยช่องทางพิเศษ ที่ต่างจากเด็กนักเรียนคนอื่น ที่ต้องผ่านการสอบเข้าด้วยความยากลำบาก และบางคนยังบอกว่าไม่ต้องการให้พ่อของแพ็ค กัง-ฮยุน กล่าวหาให้โรงเรียนที่มีเกียรติแห่งนี้เสื่อมเสียชื่อเสียง 

สิ่งที่น่ากลัวมากกว่าการตั้งคำถามเรื่องความเป็นอัจฉริยะของแพ็ค กัง-ฮยุน ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็คือ หลายคนลืมไปว่า แพ็ค กัง-ฮยุน เป็นเพียงเด็กวัย 10 ขวบ ที่ควรมีพื้นที่ให้เขาสามารถเรียนรู้ และ ‘ลองผิด ลองถูก’ ได้อย่างเด็กวัยอื่นๆ 

แต่สิ่งที่ แพ็ค กัง-ฮยุน ต้องแบกรับตั้งแต่วัยเด็ก คือ ‘ชื่อเสียง’ ในการเป็นเซเลปเด็กอัจฉริยะ ที่ถูกกดดันจากครอบครัว และความคาดหวังของสังคม ถูกจับตามองในทุกเรื่องที่เขาทำ และแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ‘ผิดหวัง’ เมื่อความสามารถไปไม่ถึงระดับที่ถูกคาดหวัง ที่ตั้งบาร์ไว้สูงเสียด้วย 

แพ็ค กัง-ฮยุน เคยเล่าถึงการเรียนในโรงเรียนว่า เขารู้สึกผิดหวังในตัวเอง ที่สุดท้ายเขาเป็นได้แค่เครื่องจักรในการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ 

ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา แพ็ค กัง-ฮยุน ถูกตีกรอบ ถูกกดดัน และถูกคาดหวัง มีพื้นที่ให้เขาเพียงแค่การ ‘ลองถูก’ เท่านั้น และสังคมรอบข้างมักตอบสนอง ‘การลองผิด’ ของเขาอย่างโหดร้ายเสมอ 

แพ็ค กัง-ฮยุน จึงเป็นกรณีศึกษาที่ดีสำหรับผู้ปกครอง ที่ไม่ว่าคุณจะมีลูกหลานเป็นเด็กอัจฉริยะหรือไม่ก็ตาม เพราะเด็กทุกคนล้วนมีพรสวรรค์อย่างใด อย่างหนึ่งในตัวเสมอ การเน้นแต่ผลักดัน ส่งเสริมศักยภาพด้านวิชาการของเด็กเพียงอย่างเดียว โดยละเลยการให้พื้นที่ในพัฒนาการด้านอื่นๆ ของเด็กอย่างสมวัย อาจทำให้ พรสวรรค์ของเขากลายเป็นทุกขลาภ และไปทำลายอัจฉริยภาพเหล่านั้นลงอย่างน่าเสียดายได้

‘เดอะ ซัน’ ปูด ‘ชีกจัสซิม’ ควัก 6,000 ล้านปอนด์ ปิดดีลเทกโอเวอร์ ‘แมนยูฯ’ กลางเดือน ต.ค.นี้

(23 ส.ค. 66) สื่อรายงาน ‘ชีกจัสซิม บิน ฮาหมัด อัล ธานี’ นักธุรกิจใหญ่แห่งกาตาร์ จ่อเข้าปิดดีลเทคโอเวอร์สโมสร ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ ภายในช่วงกลางเดือน ต.ค. ด้วยมูลค่า 6,000 ล้านปอนด์

สำหรับตระกูลเกลเซอร์ เจ้าของทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ประกาศหาผู้ร่วมลงทุนใหม่ รวมถึงการขายสโมสรมาตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว ซึ่งก็มีกลุ่มทุนต่างๆ ยื่นข้อเสนอเข้ามาแล้วหลายรอบ ทั้งการซื้อหุ้นส่วนน้อย รวมถึงเทคโอเวอร์สโมสรไปครองเลย

ที่ผ่านมามี 2 กลุ่มทุนที่เป็นตัวเต็งในการเทคโอเวอร์ คือ ‘ชีกจัสซิม บิน ฮาหมัด อัล ธานี’ นักธุรกิจใหญ่แห่งกาตาร์ และ ‘เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์’ นักธุรกิจชาวอังกฤษ ซึ่งต่างยื่นข้อเสนอเข้ามาราว 5,000 ล้านปอนด์ (ราว 2.19 แสนล้านบาท) ทว่ายังไม่มีการตอบรับใดๆ จากฝั่งเจ้าของทีมมาจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามล่าสุด ‘เดอะ ซัน’ สื่ออังกฤษระบุว่า ชีกจัสซิม เป็นฝ่ายเอาชนะ แรตคลิฟฟ์ ในการเข้าซื้อสโมสร แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยมูลค่า 6,000 ล้านปอนด์ (ราว 2.63 แสนล้านบาท) และกระบวนการจะเสร็จสิ้นในช่วงกลางเดือน ต.ค.

โดยขณะนี้ทางฝั่ง ชีกจัสซิม ซึ่งต้องการเทคโอเวอร์สโมสรมาครอบครองแบบ 100% กำลังเสร็จสิ้นการตรวจสอบสถานะกับสโมสร และส่อมีการประกาศเรื่องเจ้าของใหม่ของ ‘ปีศาจแดง’ ในช่วงต้นเดือน ก.ย.นี้

‘ไบเดน’ ลงพื้นที่ ‘ฮาวาย’ ติดตามความเสียหายจากไฟป่า พร้อมเยี่ยมให้กำลังใจผู้ประสบภัย หลังถูกวิจารณ์รับมือล่าช้า

เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 66 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ ของสหรัฐฯ เดินทางเยือนฮาวาย เพื่อตรวจตราความเสียหายจากภัยพิบัติไฟป่าเมื่อไม่นานมานี้ ที่เผาวอดเมืองทั้งเมือง และพบปะบรรดาผู้ประสบเหตุที่รอดชีวิต

ไบเดนและภริยา พร้อม ‘จอช กรีน’ ผู้ว่าการรัฐฮาวาย เดินสำรวจความเสียหายของเมือง หลังผ่านไปเกือบสองสัปดาห์ที่ไฟป่าได้เผาทำลายเมืองประวัติศาสตร์ลาไฮนา และคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 114 ราย

เปลวไฟลุกลามอย่างรวดเร็วจนชาวบ้านไม่ทันระวังตัว และต้องกระโดดลงทะเล เพื่อหลบหนีภัยพิบัติไฟป่าที่เลวร้ายที่สุดของสหรัฐอเมริกา ในรอบกว่า 100 ปี

หลังการสำรวจความเสียหายโดยรวม ไบเดนมีกำหนดจะประกาศมอบเงินทุนบรรเทาทุกข์เพิ่มเติม และแต่งตั้งผู้ประสานงานจากรัฐบาลกลางเพื่อประจำการช่วยเหลือในพื้นที่

บรรดานักวิจารณ์ รวมถึงผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติดังกล่าวในฮาวาย และฝั่งตรงข้ามอย่างพรรครีพับลิกัน ต่างระบุว่า ความช่วยเหลือในปัจจุบันยังไม่เพียงพอ และยังไม่มีการกำหนดมาตรการและวิธีการช่วยเหลือฟื้นฟูที่ดีพอ

แม้กระทั่งอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังกล่าวโจมตีว่า เป็นเรื่องน่าอับอายที่ประธานาธิบดีเพิ่งปรากฏตัวในพื้นที่ ทั้งๆ ที่เหตุจบไปแล้วเป็นสัปดาห์ ขณะที่ทำเนียบขาวชี้แจงว่า ไบเดนชะลอการเดินทางของเขา เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่และหน่วยกู้ภัยที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ต้องเสียสมาธิ

การเดินทางไปฮาวายครั้งนี้ ไบเดนกล่าวว่า “ผมรู้ว่าไม่มีอะไรสามารถทดแทนการสูญเสียชีวิตได้ ผมจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อช่วยให้เมาวีฟื้นตัว และถูกสร้างขึ้นใหม่จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้” พร้อมหวังว่าการเยือนของเขาจะสร้างความมั่นใจในการฟื้นตัวให้กับฮาวาย

ชาวเมืองเมาวีกล่าวว่า กระบวนการตามหาผู้ที่ยังสูญหาย รวมทั้งการระบุตัวตนผู้เสียชีวิตนั้นดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เพราะรัฐบาลตอบสนองช้า

“แม้ว่าการค้นหาผู้สูญหายจะดำเนินการครอบคลุมพื้นที่ไปกว่า 85%แล้ว แต่อีก 15% ที่เหลืออาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ เพราะความร้อนจัดของไฟที่เผาไหม้ อาจทำให้ซากใดๆ สูญสลายไปเกินกว่าจะค้นเจอได้” จอช กรีน ผู้ว่าการรัฐฮาวาย ชี้แจงประเด็นดังกล่าว พร้อมเสริมว่ารัฐบาลกลางได้ส่งผู้เชี่ยวชาญจากเอฟบีไอ, กระทรวงกลาโหม และกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ มาเพื่อช่วยในกระบวนการระบุตัวตนที่ต้องใช้ความละเอียดอดทนสูง

‘คนขับแท็กซี่’ ช็อก!! หลังพบแมวติดอยู่ในตะแกรงรถ เหลือเชื่อที่รอดมาได้ แม้ตนจะขับรถมานานหลายวัน

(23 ส.ค.66) เว็บไซต์ BBC รายงานว่า คนขับรถแท็กซี่ในประเทศเวลส์ต้องตกใจหลังจากที่เขาเจอแมวติดอยู่ในตะแกรงรถยนต์ของเขา และที่เหลือเชื่อกว่าคือแมวตัวดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่แม้เขาขับรถมานานหลายวันและเดินทางไกลเป็นระยะไกลถึง 804 เมตร

โดยคู่หมั้นสาวของนาย ทอม ฮัทชิง คนขับรถแท็กซี่ วัย 32 ปี คนดังกล่าวสังเกตถึงความผิดปกติเมื่อว่าที่สามีจอดรถหน้าบ้าน คู่หมั้นสาวบอกว่าเธอเห็นอะไรบางอย่างในตะแกรงแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร นายฮัทชิงเลยลงไปดูก่อนจะเห็นแมวตัวดังกล่าว

“ผมไม่คิดเลยว่าผมจะเห็นตาสีเขียวและจมูกสีชมพู โผล่อยู่หน้าผมห่างไม่กี่เซนติเมตร” นายฮัทชิง ให้สัมภาษณ์

โดยเขาได้นำกันชนด้านหน้ารถยนต์ออกและยกมันขึ้นเพื่อให้แมวออกมาได้ ก่อนจะนำแมวตัวดังกล่าวส่งสัตวแพทย์ และตลอดทางที่พาแมวไปหาสัตวแพทย์แมวตัวนี้นอนหลับ อาจจะเพราะความเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียที่ติดอยู่ในตะแกรงรถยนต์นานหลายวัน หลังจากที่หาแพทย์เรียบร้อยแล้ว นายฮัทชิงก็ได้ประกาศหาเจ้าของก่อนจะพบว่าแมวตัวนี้ชื่อกิสโม่และหายไปจากบ้านได้สัปดาห์นึงแล้ว

ซึ่งเจ้าของดีใจมากที่ได้เจอกับแมวของพวกเขาอีก โดยพวกเขาสารภาพว่าไม่คิดว่าจะได้เจอแมวของเขาอีกแล้ว

ด้านนายฮัทชิงให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแมวเข้าไปติดในนี้ได้อย่างไร พร้อมระบุว่าเกือบทุกเรื่องในเหตุการณ์นี้เป็นเหมือนปริศนาสำหรับเขา

‘พริโกซิน’ ผู้นำวากเนอร์ โพสต์วิดีโอครั้งแรกในรอบ 2 เดือน โว!! กำลังต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธ เพื่อทำให้ ‘แอฟริกา’ มีอิสระขึ้น

นายเยฟเกนี พริโกซิน ผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างวากเนอร์ ปรากฏตัวครั้งแรกในวิดีโอที่โพสต์บนเทเลแกรม หลังจากหายไปจากโลกโซเชียล นับตั้งแต่ความพยายามก่อกบฎในรัสเซียเมื่อเดือนมิถุนายนล้มเหลว โดยพริโกซินซึ่งสวมชุดนักรบระบุว่าเขาอยู่ในแอฟริกา และวากเนอร์กำลังทำให้แอฟริกามีอิสระมากขึ้น

พริโกซินกล่าวในวิดีโอว่า วากเนอร์กำลังสำรวจแร่ และต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธอิสลามและกลุ่มอาชญากรอื่นๆ

“เรากำลังทำงานอยู่ท่ามกลางอุณหภูมิมากกว่า 50 องศา วากเนอร์กำลังปฏิบัติการลาดตระเวนและค้นหา ทำให้รัสเซียยิ่งใหญ่ขึ้นในทุกทวีป และทำให้แอฟริกาเป็นอิสระมากขึ้น” พริโกซิน กล่าว

พริโกซินกล่าวด้วยว่า ความยุติธรรมและความสุขสำหรับชาวแอฟริกัน เรากำลังทำให้ชีวิตเป็นฝันร้ายสำหรับกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) อัลเคด้า และกลุ่มโจรผู้ร้ายอื่นๆ

พริโกซินกล่าวว่า วากเนอร์กำลังเปิดรับสมัคร และเราจะดำเนินการตามภารกิจที่กำหนดไว้ต่อไป เราสัญญาว่าเราจะประสบความสำเร็จ

ทั้งนี้ เชื่อว่าวากเนอร์มีนักรบหลายพันคนอยู่ในทวีปแอฟริกา ซึ่งวากเนอร์มีผลประโยชน์ทางธุรกิจมากมายอยู่ในภูมิภาคนี้

โดยมีรายงานว่า ทหารของพริโกซินฝังตัวอยู่ในประเทศต่างๆ ในแอฟริกา รวมถึงมาลีและสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ซึ่งกลุ่มสิทธิมนุษยชนและสหประชาชาติกล่าวหาพวกเขาว่า ก่ออาชญากรรมสงคราม

นักรบวากเนอร์ยังถูกสหรัฐฯ กล่าวหาว่าได้สร้างรายได้ให้กับตัวเองด้วยการทำข้อตกลงเกี่ยวกับการค้าทองคำเถื่อนในแอฟริกาอีกด้วย

'ทุเรียนไทย' เนื้อหอม!! เฉิดฉายในงานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 เบิกทางผู้ประกอบการไทย พาสินค้าสยามสู่ชาวจีนตอนใต้มากขึ้น

(22 ส.ค.66) สำนักข่าวซินหัว เผยว่า 'ทุเรียน' ถือเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ได้รับความนิยมชมชอบจากประชาชนในฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะกับ 'ทุเรียนไทย' ที่สามารถดึงดูดความสนใจจากชาวจีน และรวมถึงฝูงชนที่เข้าร่วมงานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 ในนครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

เฉินเจี๋ย ผู้จัดแสดงสินค้าทุเรียนอบแห้งจากไทย กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าสู่จีนในปัจจุบันนั้นปลอดภาษี ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของการทำธุรกิจในตลาดจีนอย่างมาก ขณะกลุ่มประเทศหุ้นส่วนในภูมิภาคอาเซียนยังช่วยมอบโอกาสทางธุรกิจอันดี

ผลิตภัณฑ์ของเฉินสามารถเข้าสู่ตลาดจีนอย่างรวดเร็วผ่านทางรถไฟจีน-ลาว ซึ่งตอนนี้ขยับขยายเส้นทางการเดินรถถึงจังหวัดจันทบุรี ไม่ไกลจากสวนทุเรียนที่เขาร่วมมืออยู่ด้วย ทำให้ขนส่งผลิตภัณฑ์สดใหม่สู่ผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ 'ทุเรียน' เปรียบเป็นนามบัตรใบสำคัญของไทย ท่ามกลางการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เฟื่องฟูยิ่งขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มบริษัททุเรียนไทยคาดหวังส่งออกผลิตภัณฑ์สู่จีนเพิ่มขึ้น

งานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 ในนครคุนหมิง จึงเป็นโอกาสใหม่แก่จีนและกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังเช่น บริษัท จันทบุรี ฟรุ๊ต โปรดักส์ จำกัด ที่ปีนี้ส่งออกผลไม้แปรรูปสู่จีน 12 ตู้คอนเทนเนอร์แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 ในแง่ปริมาณ และร้อยละ 30 ในแง่มูลค่า เมื่อเทียบปีต่อปี

"งานแสดงสินค้าฯ ในคุนหมิงถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภคชาวจีนตอนใต้" วิชญะ พฤกษากิจ ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทฯ กล่าวทิ้งท้าย

‘ลุงขับสามล้อไฟฟ้า’ ชน 'เฟอร์รารี่’ ราคา 22.5 ล้านบาท แต่คนขับใจดีให้จ่ายแค่ 950 บาท แม้ค่าซ่อมจะสูงก็ตาม

สปอร์ตและใจดี กลายเป็นเรื่องราวที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก หลังเกิดเหตุลุงขับสามล้อไฟฟ้าชนรถยนต์สุดหรูสัญชาติอิตาลีอย่าง ‘เฟอร์รารี่’ (Ferrari) ซึ่งมีมูลค่าราว 4.5 ล้านหยวน (ประมาณ 22.5 ล้านบาท) ทว่าหนุ่มเจ้าของรถกลับยอมให้จ่ายแค่นี้

เมื่อวานนี้ (22 ส.ค.66) เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ของวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา บนถนนแห่งหนึ่งในนครเซี่ยงไฮ้ ขณะที่รถเฟอร์รารี่สีเหลืองกำลังจอดรอสัญญาณไฟจราจรอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีรถสามรถล้อไฟฟ้าขับมาขูดที่ด้านข้าง ทำให้บริเวณด้านข้างของรถและกระจกมองข้างเป็นรอยเสียหาย

ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่หนุ่มแซ่กาน เจ้าของรถเฟอร์รารี่กำลังโทรศัพท์แจ้งตำรวจ ลุงขับสามล้อไฟฟ้ากลับอาศัยจังหวะนั้นพยายามที่จะหลบหนี จนหนุ่มคนนี้ต้องตามไปหยุดไว้

เมื่อตำรวจมาถึงก็บอกให้ลุงขับสามล้อไฟฟ้ารับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม หนุ่มเจ้าของเฟอร์รารี่ก็ไม่อยากทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่และไม่ได้อยากใจร้ายกับลุง จึงรับคำขอโทษและขอให้ลุงจ่ายเงินชดเชยเพียง 190 หยวน (ประมาณ 950 บาท) เท่านั้น แม้ค่าซ่อมแซมรอยขีดข่วนจะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 100,000 หยวน (ประมาณ 5 แสนบาท) ก็ตาม

หลังเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างชื่นชมหนุ่มเจ้าของรถเฟอร์รารี่คนนี้ พร้อมคอมเมนต์ เช่น “นายกานใจดีมาก”, "ใจกว้างจริงๆ", "เจ้าของรถผู้ร่ำรวยและใจดี ขอให้คุณมีสุขภาพแข็งแรงนะ", "เขาคงรู้และเข้าใจว่าลุงไม่สามารถจ่ายค่าชดเชยได้มากกว่านี้..."และ"เห็นได้ชัดว่า นายกานไม่ต้องการเรียกร้องค่าชดเชยใดๆ จากคุณลุง เขาแค่หวังว่า คุณลุงจะได้รับบทเรียนจากการกระทำของตนเอง”

ขณะเดียวกัน ชาวเน็ตจำนวนมากต่างวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของลุงขับสามล้อไฟฟ้า เช่น"ลุงขับสามล้อทำไมถูกต้อง", "ลุงทำผิดกฎจราจร"และ"เดี๋ยวนี้ผู้สูงอายุบางคนขับรถไม่สนใจอะไรเลย อย่าว่าแต่สัญญาณไฟจราจร บางทีแม้แต่ถนนก็ยังไม่ยอมมอง"

'สีจิ้นผิง' เดินทางถึงแอฟริกาใต้ เข้าร่วมประชุมสุดยอด BRICS ด้าน 'ไซริล รามาโฟซา' ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ต้อนรับอย่างอบอุ่น

(22 ส.ค.66) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เดินทางถึงนครโจฮันเนสเบิร์กของแอฟริกาใต้ เมื่อวันจันทร์ (21 ส.ค.) เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS Summit) ครั้งที่ 15 และเยือนแอฟริกาใต้อย่างเป็นทางการ

ไซริล รามาโฟซา ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ พร้อมด้วยนาเลดี แพนดอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศของแอฟริกาใต้ และโนซาซานา คลาริซ ดลามินี-ซูมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสตรี เยาวชน และคนพิการของแอฟริกาใต้ ได้ต้อนรับสีจิ้นผิงอย่างอบอุ่น ณ ท่าอากาศยานนานาชาติโออาร์ แทมโบ แห่งโจฮันเนสเบิร์ก

ประธานาธิบดีรามาโฟซาต้อนรับสีจิ้นผิงอย่างอบอุ่นสำหรับการเยือนแอฟริกาใต้อย่างเป็นทางการ สีจิ้นผิงกล่าวว่าเขาดีใจที่ได้เดินทางเยือนแอฟริกาใต้อีกครั้ง และหวังจะได้แลกเปลี่ยนมุมมองเชิงลึกกับรามาโฟซาในด้านการกระชับความสัมพันธ์จีน-แอฟริกาใต้ และประเด็นที่สนใจร่วมกัน

'เอกวาดอร์' นำร่องประชาธิปไตยเพื่อสิ่งแวดล้อม ชวน ปชช.ทำประชามติตัดสินใจเดินหน้าหรือยุติโครงการขุดเจาะน้ำมันในเขตป่าแอมะซอน

เมื่อวันอาทิตย์ (20 ส.ค.66) เป็นเลือกตั้งใหญ่ในเอกวาดอร์ที่นอกจากคนเอกวาดอร์จะต้องออกมาเข้าคูหาเลือกผู้นำคนใหม่แล้ว ยังมีโอกาสได้เลือกอนาคตของชาติด้วยว่า จะยังคงเป็นชาติที่มีเศรษฐกิจพึ่งพารายได้จากพลังงาน โดยยอมแลกกับทรัพยากรสิ่งแวดล้อมของชาติหรือไม่

เนื่องจากในวันนั้น รัฐบาลเอกวาดอร์กำหนดให้เป็นวันทำประชามติ ถามความเห็นประชาชนโดยตรงว่าจะยังคงให้มีการสำรวจ ขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ Yasuní National Park ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าดิบชื้นแอมะซอน หนึ่งในสถานที่ที่มีความสมบูรณ์ด้านความหลากหลายทางชีววิทยามากที่สุดในโลก และยังเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัวสูง  

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเอกวาดอร์ ที่ให้สิทธิ์ประชาชนร่วมตัดสินใจในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังจับตาถึง แนวทางประชาธิปไตยเพื่อสิ่งแวดล้อมในครั้งนี้จะได้คำตอบออกมาเช่นไร 

Yasuní National Park ในเอกวาดอร์ มีพื้นที่มากถึง 9,823 ตารางกิโลเมตร เป็นป่าฝนดิบชื้น ที่อุดมสมบูรณ์ทั้งในด้านแหล่งน้ำ สัตว์ป่า ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นเขตสงวนชีวมณฑลขององค์กรยูเนสโก้ เป็นแหล่งธรรมชาติที่ทรงคุณค่าที่ยังคงเหลืออยู่ไม่มากแล้วในโลก 

แต่ทว่า ใต้พื้นดินในเขตป่าแอมะซอนของเอกวาดอร์ ยังเป็นแหล่งน้ำมันดิบมหาศาลกว่า 1.7 พันล้านบาร์เรล เทียบเท่ากับ 40% ของแหล่งน้ำมันสำรองที่บ่อน้ำมัน Ishpingo-Tiputini-Tambococha แหล่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของเอกวาดอร์ 

ย้อนกลับไปราวปี 2007 อดีตประธานาธิบดีเอกวาดอร์ ราฟาเอล กอร์เรอา เคยนำประเด็นแหล่งน้ำมันในอุทยานแห่งชาติ Yasuní มาต่อรองกับประชาคมโลก ว่าเอกวาดอร์จะยอมยุติการขุดเจาะ และสกัดน้ำมันภายในพื้นที่อุทยานป่าแอมะซอนแห่งนี้ แลกกับเงินช่วยเหลือจากประชาคมโลกจำนวน 3.6 พันล้านเหรียญ ซึ่งเทียบเท่ากับรายได้ครึ่งหนึ่งจากบ่อน้ำมันแห่งนี้ คำนวณจากราคาน้ำมันดิบในปีนั้น 

เรื่องราวควรได้ข้อยุติไปแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึง 10 ปี ในปี 2016 บริษัทน้ำมันของรัฐบาลเอกวาดอร์ได้เปิดพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Yasuní ที่เรียกว่าเขต Block 43 เพื่อขุดเจาะน้ำมันใต้ดินขึ้นมาใช้อีกครั้ง และปัจจุบันสามารถผลิตน้ำมันได้ถึง 55,000 บารเรลต่อวัน คิดเป็น 12% ของปริมาณน้ำมันดิบที่ขุดได้ในเอกวาดอร์ 

และได้สร้างมลพิษอย่างมากมายให้กับพื้นที่แห่งนี้ ทั้งคราบน้ำมันปนเปื้อนในแหล่งน้ำ การทำลายป่าเป็นวงกว้างเพื่อขุดเจาะน้ำมัน และการเบียดเบียนทำลายระบบนิเวศทางธรรมชาติในพื้นที่ สร้างความไม่พอใจอย่างมากต่อชนพื้นเมือง นักวิทยาศาสตร์ นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม และประชาชนจำนวนมาก 

แต่ก็มีชาวเอกวาดอร์ไม่น้อยเช่นกันที่สนับสนุนโครงการขุดเจาะน้ำมันในเขตป่าแอมะซอน ที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจในประเทศ นำรายได้จากการส่งออกน้ำมันมาแก้ปัญหาความยากจน และยังช่วยสร้างงาน และรายได้ให้แก่แรงงานชาวเอกวาดอร์จำนวนมาก 

เมื่อประเด็นการขุดน้ำมันในอุทยานแห่งชาติ Yasuní มีการถกเถียงกันมานานกว่า 10 ปี ศาลรัฐธรรมนูญของเอกวาดอร์จึงตัดสินให้รัฐบาลต้องทำประชามติ ถามความเห็นของประชาชนโดยตรง ในวันเดียวกับวันเลือกตั้งใหญ่ของประเทศ ให้ประชาชนได้ใช้สิทธิ์ตัดสินใจเรื่องระดับชาติไปในคราวเดียวกัน

ทำให้การออกมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของชาวเอกวาดอร์ในครั้งนี้ มีความหมายมากกว่าทุกครั้ง แม้ในด้านหนึ่ง เอกวาดอร์กำลังเผชิญวิกฤติด้านสังคม และ การเมืองอย่างรุนแรง บ้านเมืองถูกครอบงำด้วยแก๊งมาเฟีย และเครือข่ายพ่อค้ายาเสพติด มีการซุ่มลอบสังหารนักการเมืองหลายคนในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และเศรษฐกิจตกต่ำยาวตั้งแต่ช่วง Covid-19 

แต่สำหรับการลงประชามติในโครงการขุดเจาะน้ำมันที่ Yasuni กลับมีบรรยากาศที่ผิดกัน ชาวเอกวาดอร์มีความกระตือรือร้น และรู้สึกมีความหวังกับการตัดสินใจครั้งนี้มากกว่าการเลือกตั้งทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด เพราะเชื่อว่าการแสดงออกผ่านประชามติครั้งนี้ พวกเขาสามารถเลือกอนาคตของชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ หรือ รักษาสิ่งที่พวกเขาหวงแหนได้อย่างแท้จริง

ซึ่งก็ต้องมาติดตามว่า ชาวเอกวาดอร์จะเลือกรักษาสภาพแวดล้อมของผืนป่าแอมะซอน และลดการพึ่งพาเศรษฐกิจพลังงาน หรือจะยอมแลกพื้นที่ป่าเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชนที่ยังต้องพึ่งรายได้จากการส่งออกน้ำมันเป็นสำคัญ

และยังเป็นการชี้วัดว่า การใช้กระบวนการทางประชาธิปไตยเพื่อสิ่งแวดล้อม จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการแก้ปัญหาความเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกได้หรือไม่ 

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

'จีน' ส่ง 'เกาเฟิน-12 04' ดาวเทียมสำรวจโลกดวงใหม่สู่วงโคจร ลุยภารกิจ 'สำรวจที่ดิน-วางแผนผังเมือง-รับมือภัยพิบัติ'

(21 ส.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีนได้ส่งดาวเทียมสำรวจโลกดวงใหม่ขึ้นสู่อวกาศจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ

รายงานระบุว่า จรวดขนส่งลองมาร์ช-4ซี (Long March-4C) ซึ่งบรรทุกดาวเทียมเกาเฟิน-12 04 (Gaofen-12 04) ทะยานออกจากศูนย์ฯ ตอน 01.45 น. ตามเวลาปักกิ่ง และเข้าสู่วงโคจรที่กำหนดสำเร็จ

ดาวเทียมดวงนี้จะถูกใช้งานหลายด้าน อาทิ การสำรวจที่ดิน การวางผังเมือง การออกแบบโครงข่ายถนน การประเมินผลผลิตทางการเกษตร และการบรรเทาภัยพิบัติ

อนึ่ง การส่งดาวเทียมดวงนี้นับเป็นภารกิจที่ 484 ของจรวดขนส่งตระกูลลองมาร์ช

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.66 จีนได้ส่งดาวเทียมสำรวจโลกเกาเฟิน-12 03 (Gaofen-12 03) ขึ้นสู่อวกาศโดยจรวดขนส่งลองมาร์ช-4ซี (Long March-4C) เมื่อเวลา 23.46 น. ตามเวลาปักกิ่ง และเข้าสู่วงโคจรที่กำหนดสำเร็จไปแล้ว

‘อดีตผู้ช่วยปธน.’ เตือน!! ‘เซเลนสกี’ เป็นตัวอันตรายสำหรับยูเครน ศักยภาพความเป็นผู้นำที่ไม่เพียงพอ อาจก่อหายนะระดับประเทศได้

(21 ส.ค. 66) ศักยภาพความเป็นผู้นำที่ไม่เพียงพอของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ก่อหายนะระดับประเทศแก่ยูเครน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรควรหาทางลงโทษเขา จากความเห็นของโอเล็ก โซสกิน ผู้ซึ่งเป็นผู้ช่วยของประธานาธิบดียูเครนมาแล้ว 2 คน

เขากล่าวในวิดีโอที่โพสต์ลงบนช่องยูทูบของตนเองเมื่อวันเสาร์ (19 ส.ค.) ระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศถูกทำลายท่ามกลางความขัดแย้งกับรัสเซีย "กองกำลังยูเครนไม่สามารถฝ่าทะลวงแนวหน้าใดๆ ได้เลย ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม" พร้อมบอกว่าประชาชนไม่ควรเชื่อคำพูดของบรรดานายพลปลดเกษียณทั้งหลายที่ออกมากล่าวอ้างว่ากองทัพเคียฟกำลังรุกคืบ

โซสกิน กล่าวต่อว่า เซเลนสกี ยืนยันว่ายูเครนจะเอาชนะรัสเซีย และเขาลังเลที่จะยอมรับว่าสถานการณ์ที่แท้จริงคือสัญญาณบ่งชี้ว่าประธานาธิบดีรายนี้ ไม่มีความสามารถเพียงพอทั้งในฐานะผู้บริหารจัดการและในฐานะบุคคลหนึ่งๆ

"เซเลนสกี เป็นอันตรายสำหรับประเทศ เขาเป็นอันตรายสำหรับประชาชน" โซสกินกล่าวเตือน โดยเขาเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยของประธานาธิบดีลีโอนิด คราฟชุค ในปี 1992 ถึง 1993 และผู้ช่วยของประธานาธิบดีลีโอนิด คุชมา ระหว่างปี 1998 ถึง 2000

"ควรทำอะไรบางอย่างกับเซเลนสกี ผมขอเรียกร้องสำหรับสิ่งนี้อีกครั้ง รวมตัวกัน ใครบางคนจำเป็นต้องริเริ่ม จำเป็นต้องวางเงื่อนไขบางประการแก่ประธานาธิบดี" โซสกินยืนยัน อ้างถึงบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยูเครน

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้ว เซเลนสกีอ้างว่าคณะทำงานของเขา "กำลังเตรียมการสิ่งต่างๆ ที่ทรงพลังสำหรับยูเครน" ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตระวันตก โดยบอกว่ายูเครนได้ก้าวย่างอีกขั้นในการมุ่งหน้าสู่วงจรของบรรดารัฐที่เข้มแข็งที่สุดในโลก

ปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ที่ได้รับคาดหวังไว้อย่างสูงของยูเครนได้เริ่มขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน โดยเคียฟใช้อาวุธยุทโธปกรณ์อย่างดีที่สุดที่ตะวันตกจัดหาให้ เช่นเดียวกับกำลังพลที่ได้รับการฝึกฝนจากตะวันตก ในความพยายามตัดขาดสะพานเชื่อมต่อทางบกของรัสเซีย ระหว่างภูมิภาคดอนบาสกับแหลมไครเมีย

จากคำกล่าวอ้างของรัสเซีย ยูเครนสูญเสียกำลังพลไปมากกว่า 43,000 นาย และอาวุธยุทโธปกรณ์เกือบ 5,000 ชิ้น ระหว่างปฏิบัติการดังกล่าว แต่ล้มเหลวบรรลุเป้าหมายของการรุกคืบใดๆ จนถึงตอนนี้ยูเครนรายงานว่าสามารถยึดหมู่บ้านมาได้หลายแห่ง แต่ดูเหมือนยังคงอยู่ห่างจากแนวป้องกันหลักของยูเครนพอสมควร

ในช่วงกลางสัปดาห์ หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์อ้างรายงานข่าวกรองชั้นความลับของสหรัฐฯ บ่งชี้ว่าปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ของยูเครนจะประสบความล้มเหลวไปไม่ถึงเมืองมาลิโตโพล ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ และสะพานทางบกที่เชื่อมรัสเซียกับแหลมไครเมีย จะไม่สามารถถูกตัดขาดได้ในปีนี้

'ต้มยำกุ้ง' เจิดจรัส!! งานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ที่คุนหมิง หลังลูกค้าสอบถามถึงเครื่องปรุง 'ต้มยำกุ้ง' กันมากที่สุด

(20 ส.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว เผย ณ พาวิลเลียนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนหนึ่งของงานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 ในนครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน 'จ้าวปิน' สาละวนอยู่กับการแนะนำสารพัดสินค้าเครื่องปรุงอาหารไทยแก่ลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย โดยบรรดาลูกค้าสอบถามถึงเครื่องปรุง 'ต้มยำกุ้ง' กันมากที่สุด

กลุ่มผู้จัดแสดงสินค้าที่ 'พาวิลเลียนไทย' ส่วนย่อยของพาวิลเลียนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พากันนำเสนอเครื่องปรุงต้มยำกุ้ง เพื่อช่วยให้คนรักอาหารไทยได้ลองลิ้มชิมรสชาติต้นตำรับได้ที่บ้าน โดยจ้าวเผยว่าเครื่องปรุงที่นำมาจำหน่ายผลิตในไทย และเขาเตรียมสินค้าสำหรับงานแสดงสินค้าฯ ในปีนี้มากถึง 18 ตัน

จ้าว ผู้บริหารบริษัท การค้านำเข้าและส่งออก บริษัท คุนหมิง สุวรรณภูมิ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจหลักเกี่ยวกับอาหารไทย เครื่องปรุง เครื่องดื่ม และอื่นๆ เผยว่าแต่ละปีบริษัทของเขาจัดจำหน่ายเครื่องปรุงอาหารไทยเมนูต่างๆ สู่มณฑลอวิ๋นหนาน กุ้ยโจว และซื่อชวน (เสฉวน) คิดเป็นปริมาณมากกว่า 20 ตัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องปรุงต้มยำกุ้ง

จ้าว เริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้าสินค้าไทยตั้งแต่ปี 2009 โดยตอนนั้นสินค้าไทยเป็นที่ยอมรับในระดับทั่วไป ยอดจำหน่ายไม่ได้หวือหวา รายการสินค้าไม่ได้มากมาย มีเพียงขนมขบเคี้ยว สบู่หอม หรือเครื่องเทศ สวนทางกับตอนนี้ที่อาหารไทยและสินค้าไทยเป็นที่ยอมรับอย่างมากในจีน ทำให้มีสินค้าให้เลือกหลากหลายและยอดจำหน่ายเฟื่องฟู

อนึ่ง งานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวและการประสานงานเพื่อการพัฒนาร่วมกัน" ระหว่างวันที่ 16-20 ส.ค. มีผู้เข้าร่วมจัดแสดงสินค้าทางออนไลน์และออฟไลน์จากกว่า 85 ประเทศและภูมิภาค รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ จำนวนกว่า 30,000 ราย

สำหรับพาวิลเลียนไทยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมจัดแสดงสินค้า 58 ราย แบ่งเป็นผู้ประกอบการไทย 38 ราย และผู้นำเข้า-จัดจำหน่ายสินค้าไทย 20 ราย ซึ่งนำเสนอสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม เสื้อผ้าและเครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน ฯลฯ

รายงานระบุว่าเครื่องปรุงต้มยำกุ้งทุกรูปแบบกลายเป็นสินค้าที่มียอดจำหน่ายดีที่สุดในพาวิลเลียนไทย ดังเช่นชายแซ่หยางจากนครเฉิงตู เมืองเอกของมณฑลซื่อชวน ซื้อเครื่องปรุงต้มยำกุ้งกระปุกใหญ่กลับบ้านถึง 3 กระปุก ขณะเดียวกันสินค้าอย่างเครื่องปรุงผัดไทและน้ำจิ้มสุกี้แบบไทยได้รับความสนใจจากลูกค้าเช่นกัน

อาหารไทยชื่อดังระดับโลกอย่างต้มยำกุ้งได้ส่งกลิ่นหอมขจรขจายทั่วงานแสดงสินค้าครั้งนี้ ตอกย้ำวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์และมนต์เสน่ห์ของอาหารไทย โดยสถิติจากเหม่ยถวนและเตี่ยนผิงระบุว่าช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กรกฎาคม) จำนวนร้านอาหารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บนแพลตฟอร์มในจีนเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 64 เมื่อเทียบกับปี 2019

นครคุนหมิงมีร้านอาหารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้น 98 แห่งในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ขณะผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม เตี่ยนผิงในคุนหมิงค้นหาคำว่า "อาหารไทย" เพิ่มขึ้นร้อยละ 102 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยเฉพาะความต้องการของคนอายุต่ำกว่า 30 ปี ที่ครองสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 53 ของการค้นหาทั้งหมด

นอกจากนั้นความนิยมชมชอบต้มยำกุ้งยังก่อให้เกิดกระแสอาหารคาวหวานหลายเมนูที่มีรสชาติต้มยำกุ้งในจีน เช่น หม้อไฟต้มยำกุ้ง ซุปหม่าล่าต้มยำกุ้ง ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้ง รวมถึงความสนใจเมนูอื่นๆ อย่างข้าวเหนียวมะม่วง ปลานึ่งมะนาว และต้มเล้งแซ่บอีกด้วย

‘นายกฯ ญี่ปุ่น’ ถูกวิจารณ์ยับ หลังส่งเงินช่วยไฟป่าฮาวายอย่างไว แต่ภัยพิบัติประเทศตัวเองกลับเคลื่อนไหวล่าช้าเหลือเกิน

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่าจะจัดส่งเงินช่วยเหลือ 2 ล้านดอลลาร์สำหรับภัยพิบัติไฟป่าในรัฐฮาวาย ในขณะที่เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในประเทศว่า ความเคลื่อนไหวนี้ช่างแตกต่างจากการตอบสนองต่อภัยพิบัติธรรมชาติในญี่ปุ่นเหลือเกิน

นับตั้งแต่เกิดไฟป่าในเกาะเมาอีของฮาวายเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม จนถึงตอนนี้มีผู้เสียชีวิตรวมแล้ว 100 ราย แต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและกู้ภัยยังคงปฏิบัติงานค้นหาต่อไป หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่า พวกเขาได้รับคำขอความช่วยเหลือจากทางสหรัฐฯ และพวกเขาจะส่งเงินช่วยเหลือประมาณ 290 ล้านเยน

ในวันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม มีรายงานข่าวว่า นายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ จะแสดงความเสียใจในที่ประชุมซัมมิตญี่ปุ่น-สหรัฐฯ ด้วยตนเอง ถึงแม้จะมีเสียงชื่นชมถึงความรวดเร็วในการตอบสนอง แต่ก็มีเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ในญี่ปุ่นเช่นกัน

โดยในตอนนี้ ญี่ปุ่นเองมีรายงานความเสียหายและผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นหมายเลข 7 ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่มีรายงานเช่นกันว่า คิชิดะกำลังมีแผนไปตีกอล์ฟที่ฮาวาย ความกังวลนี้ถูกพูดถึงแม้กระทั่งภายในพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือแอลดีพีเอง

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม จังหวัดคิวชูรายงานฝนตกหนัก แต่นายกรัฐมนตรีคิชิดะใช้เวลากว่าสัปดาห์กว่าจะไปเยี่ยมพื้นที่ภัยพิบัติ โดยในตอนนั้นมีรายงานว่า เขาอยู่ระหว่างการเยือน 3 ประเทศในตะวันออกกลาง และใช้เวลาทั้งวันอยู่ในที่พักรับรอง

ถึงแม้ว่าจะถูกวิจารณ์ในเรื่องการเลือกปฏิบัติเช่นนี้ แต่จนถึงตอนนี้รัฐบาลคิชิดะยังคงไม่มีความแน่ชัดในเรื่องการช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัย ยิ่งก่อให้เกิดความไม่พอใจในโซเชียลมากขึ้นไปอีก

โดยความคิดเห็นหนึ่งระบุว่า "ทำไมช่วยเหลือประเทศอื่นเร็วจัง แต่ประเทศตัวเองกลับช้าเป็นเต่าคลาน" และอีกความคิดเห็น ระบุว่า "ฉันรู้ว่าไฟป่าฮาวายมันรุนแรง แต่ 2 ล้านดอลลาร์เลยหรอ 

‘หวังอี้’ เผย 'จีน' เล็งขยายความร่วมมือกับ 'ไทย' หลายด้าน เชื่อเสถียรภาพไทย แม้สถานการณ์ภายในจะมีการเปลี่ยนแปลง

(20 ส.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันเสาร์ (19 ส.ค.66) หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้พบปะกับดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ซึ่งเดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน

หวัง ซึ่งเป็นกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน กล่าวว่าการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ระหว่างประเทศหรือสถานการณ์ภายในประเทศของไทย พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าไทยจะยังคงมีเสถียรภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืน

จีนพร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านต่างๆ กับไทยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น สนับสนุนการเร่งสร้างทางรถไฟจีน-ไทย และเส้นทางเชื่อมทางรถไฟจีน-ลาว-ไทย และร่วมพยายามปราบปรามกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งรวมถึงการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม

นอกจากนั้น หวัง กล่าวถึงความพร้อมของจีนที่จะสนับสนุนการสร้างประชาคมอาเซียน สนับสนุนความเป็นกลางของอาเซียน และสนับสนุนความพยายามร่วมกันสร้างศูนย์กลางการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันจีนพร้อมทำงานร่วมกับกลุ่มประเทศอาเซียนเพื่อเร่งการปรึกษาหารือเกี่ยวกับประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ พยายามกำหนดกฎเกณฑ์ระดับภูมิภาคอันมีประสิทธิภาพและแก่นสารตั้งแต่ระยะแรก และสร้างทะเลจีนใต้เป็นทะเลแห่งสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือ

หวัง ชี้ว่ากลุ่มประเทศในภูมิภาคควรป้องกันกองกำลังนอกภูมิภาคมายั่วยุการเผชิญหน้าแบบแบ่งพรรคแบ่งพวกและกระตุ้นความคิดเกี่ยวกับสงครามเย็น ซึ่งจะบ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพอันได้มาอย่างยากยิ่ง

ด้าน นายดอน กล่าวว่า ไทยยินดีเสริมสร้างการเสวนาหารือและการแลกเปลี่ยนกับจีน ส่งเสริมความร่วมมืออันเป็นประโยชน์ซึ่งกันและกันในด้านต่างๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และสนับสนุนการเชื่อมต่อทางรถไฟจีน-ลาว-ไทย และทำงานเพื่อการพัฒนาร่วมกัน ภายใต้สถานการณ์ระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นและความไม่แน่นอนในภูมิภาคในปัจจุบัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top