Tuesday, 1 July 2025
WORLD

‘เวนิส’ เตรียมทดลองเก็บค่า ‘เหยียบแผ่นดิน’ หัวละ 5 ยูโร หวังคุมจำนวน นทท.ล้นเมือง กระทบผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่น

(6 ก.ย. 66) ‘เวนิส’ เมืองท่องเที่ยวชื่อดังในประเทศอิตาลี ที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เตรียมจะทดลองเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมือง 5 ยูโร (หรือราว 190 บาท) สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ค้างคืน โดยจะนำระบบนี้มาทดลองใช้ในปีหน้า ในความพยายามจัดการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยว ที่ไหลบ่าเข้าสู่เมืองประวัติศาสตร์แห่งสายน้ำอันแสนโรแมนติกของยุโรปแห่งนี้ มากจนล้นเกินจนกระทบต่อผู้คนในท้องถิ่น

จากการเปิดเผยแผนการนี้ของสภาเมืองเวนิส เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา ระบุว่า ค่าธรรมเนียมเข้าเมืองจะทดลองใช้เป็นเวลา 30 วันในปีหน้า โดยจะเน้นไปที่วันหยุดธนาคารช่วงฤดูใบไม้ผลิและสุดสัปดาห์ในฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่จำนวนนักท่องเที่ยวถึงจุดสูงสุด โดยจะเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมืองกับนักท่องเที่ยวที่มีอายุ 14 ปีขึ้นไป

“วัตถุประสงค์ก็เพื่อจะหาความสมดุลใหม่ระหว่างสิทธิของผู้อยู่อาศัย เรียนหนังสือ หรือ ผู้ทำงานอยู่ในเมืองเวนิส กับผู้ที่มาเที่ยวชมเมือง” ซิโมเน เวนทูรินี สมาชิกสภาการท่องเที่ยวเมืองเวนิส กล่าว และว่า นี่ไม่ใช่การสร้างรายได้ โดยค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการแผนงานเมืองเท่านั้น โดยกำหนดเวลาทดลองตามแผนการนี้และจะดำเนินการอย่างไรนั้น จะได้รับการเห็นชอบหลังจากมีการอนุมัติแผนงานในขั้นสุดท้ายของสภาเมืองแล้ว ที่คาดว่าจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า

แผนเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมืองเวนิสนี้ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงครั้งแรกในปี 2019 นั้น ได้ถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้นักท่องเที่ยวหายไปและด้วยเหตุผลทางเทคนิคและในแง่ของกระบวนการขั้นตอน

อย่างไรก็ดี การหลั่งไหลกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยวสู่เมืองเวนิส ซึ่งมีจำนวนมากกว่าผู้อยู่อาศัยในใจกลางเมืองเวนิสประมาณ 50,000 คน จนท่วมท้นตามตรอกแคบๆ ของเมือง โดยการมีนักท่องเที่ยวล้นเมือง เป็นปัญหาที่รุมเร้าเมืองเวนิสที่มีความเปราะบางมานานแล้ว

แผนการข้างต้น ยังนับเป็นการสนับสนุนความเคลื่อนไหวที่มีก่อนหน้านี้ในเดือนกรกรกฎาคม เมื่อผู้เชี่ยวชาญขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้เสนอแนะให้เพิ่ม เมืองเวนิส อยู่ในรายชื่อแหล่งมรดกโลกที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย โดยอ้างว่าอิตาลีไม่ได้ดำเนินการมากเพียงพอที่จะปกป้องเมืองเวนิสจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการท่องเที่ยวที่มากล้นเกิน

‘อังกฤษ’ จ่อขึ้นบัญชีดำ ‘Wagner’ กลุ่มทหารรับจ้างของรัสเซีย ชี้!! เป็นองค์กรก่อการร้ายที่มีความอันตรายเทียบเท่า ‘ISIS’

‘รัฐบาลอังกฤษ’ เตรียมที่จะขึ้นทะเบียน ‘Wagner PMC’ บริษัททหารรับจ้างเอกชนของรัสเซีย เป็นองค์กรก่อการร้าย นั่นหมายความว่าใครก็ตามที่เป็นสมาชิกขององค์กร Wagner หรือให้การสนับสนุน ถือว่าผิดกฎหมายก่อการร้ายของอังกฤษ

ซึ่งรัฐบาลอังกฤษเตรียมผ่านชงเรื่องการขึ้นบัญชีดำกลุ่ม Wagner ผ่านสภาฯ ในวันพุธนี้แล้ว และหากประเด็นนี้ผ่านการพิจารณาในสภาฯ สำเร็จ รัฐบาลอังกฤษจะมีอำนาจในการยึดทรัพย์ อาญัติบัญชีทรัพย์สินของกลุ่ม Wagner และเครือข่ายผู้เกี่ยวข้องในอังกฤษได้ทันที

‘ซูเอลลา บราเวอร์แมน’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอังกฤษ กล่าวว่า “Wagner ถือเป็น กลุ่มที่ก่อความรุนแรง สร้างความหายนะทั้งในยูเครนและแอฟริกา เป็นเครื่องมือการทหารของ ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ผู้นำรัสเซีย ที่ใช้ในการวางเป้าหมายทางการเมืองเท่านั้น ซึ่งบ่อนทำลายความมั่นคงของโลก ดังนั้น ตามกฎหมายก่อการร้ายของอังกฤษ (Terrorism Act 2000)  Wagner เข้าข่ายองค์กรก่อการร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย”

และด้วยกฎหมายก่อการร้ายฉบับปัจจุบันของอังกฤษ ได้มอบอำนาจให้กระทรวงมหาดไทยของอังกฤษสามารถขึ้นบัญชีดำองค์กรใดๆ ก็ตามในโลกที่เข้าข่ายก่อการร้าย จากเดิมที่ครอบคลุมเพียงกลุ่มก่อการร้ายในไอร์แลนด์เหนือเท่านั้น และอังกฤษก็ได้ขึ้นทะเบียนผู้ก่อการร้ายมาแล้วหลายกลุ่มทั้ง อัลกออิดะห์, ISIS, ฮามาส, โบโก, ฮาลาม และล่าสุดคือ กลุ่ม Wagner

และหลังจากขึ้นทะเบียนกลุ่มก่อการร้ายเรียบร้อยแล้ว บุคคลที่เป็นสมาชิก ผู้ที่สนับสนุนกลุ่ม Wagner หรือแม้แต่การแสดงความเห็นในที่สาธารณะในเชิงสนับสนุน จัดกิจกรรมรวมกลุ่ม หรือแม้แต่ใช้โลโก้ ธง สัญลักษณ์ของ Wagner ในอังกฤษ จะถือเป็นความผิดในคดีอาญา มีโทษจำคุกถึง 14 ปี หรือปรับเงิน 5,000 ปอนด์

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลอังกฤษได้รับแรงกดดันจากพรรคฝ่ายค้าน ให้เร่งขึ้นทะเบียนผู้ก่อการร้ายกับกลุ่ม Wagner มานานหลายเดือนแล้ว จากเหตุรุกรานยูเครนของกองทัพรัสเซีย ซึ่งกลุ่ม Wagner มีบทบาทสำคัญในการยึดครองพื้นที่ในยูเครน อีกทั้งยังมีหลักฐานการใช้ความรุนแรง การทำร้ายร่างกาย และสังหารประชาชนชาวยูเครน

แต่รัฐบาลอังกฤษเพิ่งเตรียมพิจารณาผ่านญัตติการขึ้นบัญชีดำกลุ่ม Wagner ในวันนี้ หลังจากที่กลุ่มได้สลายตัวไปหลังเหตุการณ์ Wagner ลุกฮือในรัสเซียเมื่อ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา ตามด้วยการเสียชีวิตของ ‘เยฟเกนี พริโกซิน’ หัวหน้าผู้ก่อตั้งองค์กร จากอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่ยังเป็นปริศนาในอีก 2 เดือนต่อมาก็ตาม

ถึงจะทำช้า แต่ก็ทำนะ สำหรับการตัดสินใจของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งเชื่อว่าเครือข่าย Wagner ยังคงอยู่ แม้ผู้นำจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่บทบาทจะยังคงเหมือนเดิม หรือเปลี่ยนชื่อเป็นองค์กร หรือ รูปแบบอื่นๆ ไปแล้ว ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าขอบเขตกฎหมายของอังกฤษจะตามทันหรือไม่

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘อินเดีย’ ส่งซิกอาจเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ‘ภารัต’ ในเวทีประชุม G20 ส่วนทางด้านรัฐบาลยังไม่ออกมายืนยันหรือปฏิเสธเกี่ยวกับเรื่องนี้

(6 ก.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า อินเดียอาจกำลังพยายามจะเปลี่ยนชื่อประเทศจากอินเดีย เป็น ‘ภารัต’ ซึ่งเป็นชื่อประเทศอินเดียในภาษาฮินดี

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นขึ้นมา เมื่อหลายคนพบเห็นป้ายคัตเอาท์ที่มีข้อความต้อนรับผู้นำประเทศต่างๆ เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม จี 20 ที่อินเดียเป็นเจ้าภาพที่กรุงนิวเดลี ระหว่างวันที่ 9-10 ก.ย. นี้ โดยใช้ชื่ออินเดียในภาษาอังกฤษ และ ภารัต หรือภารตะในภาษาฮินดี

นอกจากนี้ ในบัตรเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ที่ประธานาธิบดีดรูพาดี มูร์มู ของอินเดีย ส่งให้ผู้นำต่างชาติ ได้ระบุว่าเธอเป็นประธานาธิบดีแห่งภารัต ยิ่งทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลอินเดียกำลังดำเนินความพยายามที่จะเปลี่ยนชื่อประเทศอย่างเป็นทางการ จากอินเดีย เป็นภารัต อันเป็นภาษาฮินดีที่หมายถึงประเทศอินเดีย และมีที่มาจากชื่อกษัตริย์ภารตะที่เคยครอบครองดินแดนในแถบอินเดียทั้งหมด

รัฐบาลอินเดียยังไม่ยืนยันหรือปฏิเสธเรื่องนี้ ขณะที่เว็บไซต์ของทางการยังคงใช้ชื่อประเทศอินเดียอยู่ ด้านสมาชิกพรรคภารติยะ ชนตะหรือบีเจพี ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลอินเดียพากันยกย่องและแสดงท่าทีเห็นด้วย เพราะมองว่าคำว่า ภารัต เป็นความภาคภูมิใจของชาวอินเดีย เป็นชื่อประเทศอินเดียแท้ๆ ไม่ใช่คำว่าอินเดียที่ถูกนำมาใช้ในยุคที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษ และเป็นสัญลักษณ์แห่งระบบทาส ภายใต้การปกครองของอังกฤษนาน 200 ปี จนกระทั่งได้รับอิสรภาพในปี พ.ศ.2490 ขณะที่ พรรคฝ่ายค้านอินเดียวิพากษ์วิจารณ์ และแย้งว่าควรใช้ชื่ออินเดียและภารัตไว้ในฐานะชื่อทางการต่อไป

‘หัวเว่ย’ เปิดตัวสมาร์ตโฟน ‘Mate 60 Pro’ ใช้ ‘ชิป 7 นาโนเมตร’ ผลิตในจีน เร็วกว่า 5G!!

‘หัวเว่ย’ (Huawei) เปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ Mate 60 Pro ที่สร้างเสียงฮือฮาอย่างมากในหมู่ผู้ใช้งาน โดย TechInsights บริษัทวิเคราะห์ระบุว่า สมาร์ตโฟนรุ่นล่าสุดของหัวเว่ยใช้ชิป 7 นาโนเมตร ที่ถือว่าเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งผลิตขึ้นเองในจีนทั้งหมด

TechInsights เผยว่า สมาร์ตโฟน Mate 60 Pro ใช้ชิป Kirin 9000 ที่ผลิตขึ้นในจีนโดยบริษัท Semiconductor Manufacturing International Corp (SMIC) ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการใช้เทคโนโลยี 7 นาโนเมตรที่ทันสมัยที่สุดของ SMIC ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลจีนกำลังมีความก้าวหน้าในความพยายามที่จะสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้อต่อการพัฒนาชิปภายในประเทศ

การเปิดตัวสมาร์ตโฟนดังกล่าว ได้สร้างความคลั่งไคล้ขึ้นในผู้ใช้โซเชียลมีเดียของจีน และสื่อของรัฐฯ โดยผู้ซื้อโทรศัพท์มือถือ Mate 60 Pro ของหัวเว่ยได้โพสต์วิดีโอแบบแยกส่วน และแชร์ข้อมูลของการทดสอบความเร็วในโซเชียลมีเดีย ซึ่งพวกเขาบอกว่า Mate 60 Pro มีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงกว่าโทรศัพท์มือถือชั้นนำที่ใช้ระบบ 5G

บางคนตั้งข้อสังเกตว่า กระแสดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกับการเดินทางเยือนจีนของจีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่ง ‘แดน ฮัตชิสัน’ นักวิเคราะห์จาก TechInsights บอกกับรอยเตอร์ว่า พัฒนาการที่เกิดขึ้นดังกล่าวเหมือนกับการ ‘ตบหน้า’ สหรัฐฯ เพราะไรมอนโดเดินทางมาจีน เพื่อหาทางทำให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น แต่ชิปตัวนี้เหมือนจะพูดว่า “ดูสิ่งที่เราสามารถทำได้สิ เราไม่ต้องการคุณ”

ตั้งแต่ต้นปี 2019 เป็นต้นมา สหรัฐฯ จำกัดไม่ให้หัวเว่ยเข้าถึงเครื่องมือสร้างชิปที่จำเป็นสำหรับสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่มีความทันสมัยที่สุด ซึ่งทำให้บริษัทเปิดตัวมือถือรุ่น 5G ได้เพียงจำกัดโดยใช้ชิปที่มีเก็บไว้เท่านั้น

อย่างไรก็ดี บริษัทวิจัยบอกกับรอยเตอร์เมื่อเดือนกรกฎาคมว่า พวกเขาเชื่อว่าหัวเว่ยกำลังวางแผนที่จะกลับเข้าสู่อุตสาหกรรมสมาร์ตโฟน 5G ภายในสิ้นปีนี้ โดยใช้ความก้าวหน้าของตนเองในการออกแบบเซมิคอนดักเตอร์ ควบคู่กับการผลิตชิปจาก SMIC

รู้จัก Wegovy ยาลดน้ำหนักที่ ‘อีลอน มัสก์’ ยังลอง มาแรงถึงขั้นสร้างมูลค่าแซงหน้า ‘หลุยส์ วิตตอง’

(5 ก.ย. 66) เรื่องน้ำหนักตัว (อ้วน!!) เป็นปัญหาโลกแตกสำหรับทุกเพศ ทุกวัย ที่นอกจากจะมีผลกระทบกับสุขภาพแล้ว ยังลดทอนความมั่นใจสำหรับบางคนอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าหากมีใครสามารถคิดค้นสิ่งที่จะมาช่วยแก้ปัญหานี้อย่างได้ผล และปลอดภัยจริงๆ คงจะสร้างมูลค่าทางการตลาดได้มหาศาลเลยทีเดียว 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีบริษัทผู้ผลิตสินค้าเพื่อรักษาโรคอ้วนที่กำลังถูกพูดถึงอย่างมาก นั่นก็คือ บริษัทเวชภัณฑ์ของเดนมาร์กที่ชื่อ ‘Novo Nordisk’ ซึ่งได้พัฒนายา ‘Wegovy’ ซึ่งเป็นยาที่ช่วยในการควบคุมและรักษาโรคอ้วน หรือที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘Semaglutide’ โดยเพิ่งวางจำหน่ายยานี้อย่างเป็นทางการในอังกฤษ เมื่อวันจันทร์ (4 ก.ย. 66) ที่ผ่านมา 

เจ้า ‘Wegovy’ นี้ ได้รับการรับรองแล้ว จากสถาบันแห่งชาติเพื่อความเป็นเลิศด้านสุขภาพ และการแพทย์แห่งอังกฤษ ให้สามารถใช้กับผู้ป่วยโรคอ้วน หรือ ‘ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย’ (BMI) เกิน 30 ในระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 2 ปี ควบคู่กับการควบคุมอาหาร และ ออกกำลังกายได้

‘Wegovy’ เป็นยาควบคุมน้ำหนักที่ฉีดใต้ผิวหนัง มีคุณสมบัติในการระงับอาการหิว และทำให้ผู้รับยา บริโภคอาหารน้อยลงจากที่เคย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดน้ำหนัก และได้ทดสอบกับกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีอาการโรคอ้วนจำนวน 304 คน คู่กับกลุ่มที่ใช้ยาหลอก ร่วมกับการรับประทานอาหารแคลอรี่ต่ำ และ ออกกำลังกายมากขึ้นในระยะเวลา 104 สัปดาห์ พบว่า กลุ่มทดลองที่ใช้ Wegovy มีน้ำหนักลดลงอย่างชัดเจนกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ใช้ยา 

อีกทั้ง Novo Nordisk ยังอ้างว่าการใช้ Wegovy ช่วยลดความเสี่ยงจาก โรคหัวใจ และหลอดเลือดสมองได้ และมีคนดังจำนวนมาก รวมถึง ‘อีลอน มัสก์’ เปิดเผยว่าใช้ยาตัวนี้ช่วยควบคุมน้ำหนักอยู่เช่นกัน ทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งวันนี้ ที่มีการเปิดตัวจำหน่าย Wegovy ในอังกฤษ มูลค่าหุ้นของบริษัท Novo Nordisk ก็พุ่งทะยานถึง 4.28 แสนล้านเหรียญ กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดของยุโรป แซงหน้าหุ้นของ LVMH หรือ ‘หลุยส์ วิตตอง’ แบรนด์หรูของฝรั่งเศส ไปแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น หุ้นของ Novo Nordisk ยังถูกคาดว่าจะพุ่งขึ้นไปได้อีก เพราะความต้องการยาควบคุมน้ำหนัก Wegovy เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เพราะเอาแค่เฉพาะในอังกฤษ ทางกรมดูแลสุขภาพแห่งชาติ ถึงกับเปิดเผยว่า น่าจะมีคนไข้ชาวอังกฤษที่รอรับยา Wegovy หลายหมื่นคน ไม่รวมคลินิกเอกชนอีกต่างหาก ในขณะที่ Wegovy ในคลังยามีอยู่อย่างจำกัด  

ประกอบกับรัฐบาลอังกฤษยังสนับสนุนงบประมาณในการทดสอบยานี้กับผู้ป่วยโรคอ้วน เพื่อดูประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่กินงบประมาณด้านสุขภาพของอังกฤษ มากถึง 6.5 พันล้านปอนด์ต่อปี 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ‘ริชี ซูแน็ก’ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ยังเชื่อเลยว่า Wegovy อาจเป็นจุดเปลี่ยนเกมของผู้ป่วยโรคอ้วน ที่ต้องเสี่ยงอันตรายจากภาวะโรคเบาหวาน ให้กลับมามีสุขภาพที่ดีขึ้นได้

จากปรากฏการณ์นี้ จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมความต้องการยาควบคุมน้ำหนัก Wegovy ถึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทั้งในอังกฤษ, ยุโรป และในสหรัฐอเมริกา จนดันมูลค่าหุ้นของ Novo Nordisk แซงหน้าบริษัทแบรนด์หรูได้ เพราะสุดท้าย สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของคนเราก็คือ ‘สุขภาพ’ ของตัวเอง หาใช่ทรัพย์สินภายนอก

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

ร้านกาแฟจีน Luckin จับมือเจ้าพ่อสุรา ‘เหมาไถ’ เสิร์ฟ ‘ลาเต้รสเหล้าขาว’ วันแรกโกย 5.42 ล้านแก้ว

(5 ก.ย.66) ลัคกิน คอฟฟี่ (Luckin Coffee) เครือร้านกาแฟเจ้าดังของจีน ประกาศจับมือบริษัทสุรา กุ้ยโจว เหมาไถ (Kweichow Moutai) ออกเมนู ‘กาแฟนมผสมเหล้าขาว’ หวังจับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ โดยหลังเปิดตัววันแรกเมื่อวานนี้ (4 ก.ย.) ปรากฏว่าทำยอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 5.42 ล้านแก้ว

ลัคกิน แถลงว่า กาแฟนมผสมเหล้าขาวเพียงเมนูเดียวสร้างรายได้ให้บริษัทกว่า 100 ล้านหยวนในวันจันทร์ (4 ก.ย.) ทุบสถิติเมนูยอดนิยมอื่น ๆ ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ เช่น cheese latte ซึ่งมียอดจำหน่ายในวันเปิดตัว 1.31 ล้านแก้ว และ coconut cloud latte ซึ่งขายได้ในวันแรก 660,000 แก้ว

กาแฟผสมเหล้าขาวซึ่งทางร้านตั้งชื่อว่า ‘sauce-flavoured latte’ เปิดจำหน่ายวันแรกในราคาเพียง 19 หยวน หรือลดจากปกติ 50% ซึ่งปรากฏว่ามีชาวจีนในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้แห่ไปต่อคิวรอซื้อจนขายหมดเกลี้ยงในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง

ลัคกิน และกุ้ยโจว เหมาไถ ระบุว่า sauce-flavoured latte มีปริมาณแอลกอฮอล์ผสมไม่เกิน 0.5%
สำหรับสุราเหมาไถนั้นได้รับยกย่องว่าเป็น ‘สุราแห่งชาติจีน’ โดยเป็นเหล้าขาวดีกรีแรงที่นิยมเสิร์ฟกันตามงานเลี้ยงต่างๆ และสำหรับ กุ้ยโจว เหมาไถ นั้นผู้ที่เคยดื่มส่วนใหญ่บอกว่ามีกลิ่นและรสชาติใกล้เคียงกับ ‘ซอสถั่วเหลือง’

‘โฆษกสภาความมั่นคง สหรัฐฯ’ ขู่คว่ำบาตรเกาหลีเหนือ หลัง ‘ผู้นำคิม’ จ่อพบ ‘ปูติน’ หารือหนุนอาวุธสู้ศึกยูเครน

(5 ก.ย. 66) สื่อสหรัฐฯ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ‘นายคิม จอง อึน’ ผู้นำเกาหลีเหนือ มีแผนที่จะเดินทางเยือนรัสเซียในเดือนกันยายนนี้ เพื่อพบหารือกับประธานาธิบดี ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ของรัสเซีย เกี่ยวกับความเป็นไปได้ ที่เกาหลีเหนือจะจัดหาอาวุธให้รัสเซีย เพื่อสนับสนุนการทำสงครามในยูเครน

อย่างไรก็ดี บีบีซีระบุว่า ยังไม่มีการแสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับรายงานข่าวดังกล่าว และสถานที่ของการพบกันที่แน่นอนก็ยังคงไม่มีความชัดเจนเช่นกัน แต่นิวยอร์กไทม์สรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า มีแนวโน้มสูงมากที่สุดที่ผู้นำคิมจะเดินทางด้วยรถไฟหุ้มเกราะ

นายจอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า นายเซอร์เก ซอยกู รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย พยายามที่จะโน้มน้าวให้เกาหลีเหนือขายกระสุนปืนใหญ่ให้กับรัสเซีย ระหว่างที่เขาเดินทางเยือนเกาหลีเหนือครั้งล่าสุด

นายซอยกูซึ่งถือเป็นผู้แทนต่างชาติคนแรกที่นายคิม จอง อึน ให้การรับรองนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อเข้าชมการจัดงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ของเกาหลเหนือ ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธฮวาซอง ซึ่งเชื่อว่าเป็นขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวปตัวแรกของเกาหลีเหนือ ที่ขับเคลื่อนโดยใช้เชื้อเพลิงแข็ง

เคอร์บีกล่าวว่า นับตั้งแต่การเยือนของซอยกู ผู้นำคิมและปูตินได้แลกเปี่ยนจดหมายกัน เพื่อให้คำมั่นที่จะเพิ่มความร่วมมือระหว่างสองประเทศ

“เราขอเรียกร้องให้เกาหลีเหนือยุติการเจรจาด้านอาวุธกับรัสเซีย และปฏิบัติตามคำมั่นสัญญานที่เคยประกาศไว้ว่าจะไม่จัดหาหรือขายอาวุธให้กับรัสเซีย” นายเคอร์บีกล่าว และเตือนว่า สหรัฐฯ จะดำเนินการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการคว่ำบาตร หากเกาหลีเหนือจัดหาอาวุธให้กับรัสเซียด้วย

ขณะเดียวกันก็มีความกังวลทั้งในสหรัฐฯ และเกาหลีใต้เกี่ยวกับสิ่งตอบแทนที่เกาหลีเหนือจะได้รับจากข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลให้มีการเพิ่มความร่วมมือทางทหารระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซียมากขึ้น

ความกลัวอีกประการหนึ่งคือรัสเซียจะสามารถจัดหาอาวุธให้กับเกาหลีเหนือได้ในอนาคต ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกาหลีเหนือต้องการอาวุธเหล่านี้มากที่สุด และที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ‘คิม จอง อึน’ อาจขอให้ปูตินจัดหาเทคโนโลยีหรือความรู้เกี่ยวกับอาวุธ ที่มีความก้าวหน้าสูงให้กับเกาหลีเหนือ เพื่อที่จะได้มีพัฒนาการสำคัญในโครงการอาวุธนิวเคลียร์

นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า การพบกันระหว่างผู้นำทั้งสองอาจเกิดขึ้นที่เมืองวลาดิวอสต็อก ริมชายฝั่งทะเลทางตะวันออกของรัสเซีย โดยมีรายงานว่าเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านา เจ้าหน้าที่ของเกาหลีเหนือได้เดินทางไปยังวลาดิวอสต็อกและมอสโก ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอภัยที่ดูแลเกี่ยวกับการเดินทางของผู้นำเกาหลีเหนือ จึงเป็นสัญญานที่ชัดเจนถึงการเตรียมการในเรื่องดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ เกาหลีเหนือและรัสเซียเคยออกมาปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า เปียงยางไม่ได้จัดหาอาวุธให้กับรัสเซียเพื่อใช้ในสงครามยูเครน

‘เซเลนสกี’ สั่งเด้ง ‘บิ๊กกลาโหม’ หลังถูกแฉปมคอร์รัปชัน ชี้!! ถึงเวลาต้องปรับโฉม ‘กลาโหม-กองทัพ’ ใหม่ทั้งระบบ

(4 ก.ย. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนเผยเมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่า เขาได้ปลดนายโอเล็กซี เรซนิคอฟ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม พ้นจากตำแหน่งแล้ว โดยถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในกระทรวงกลาโหมยูเครนครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่เริ่มทำสงครามกับประเทศรัสเซียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว

ประธานาธิบดีเซเลนสกีกล่าวในวิดีโอเมื่อช่วงค่ำว่า “ผมได้ตัดสินใจที่จะปลดนายโอเล็กซี เรซนิคอฟ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งท่ามกลางการทำสงครามอย่างเต็มรูปแบบมานานกว่า 550 วัน ผมเชื่อว่ากระทรวงกลาโหมต้องการแนวทางใหม่ๆ และการมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นๆ กับทั้งกองทัพและสังคมโดยรวม”

นายเรซนิคอฟ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมยูเครนมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 และมีส่วนช่วยให้ยูเครนได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากชาติตะวันตก มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อช่วยทำสงครามกับรัสเซีย อาทิ รถถังจากประเทศเยอรมนี จรวดหลายลำกล้อง HIMARS และเตรียมที่จะได้รับเครื่องบินขับไล่เอฟ-16 ที่ผลิตในสหรัฐฯ อีกด้วย

อย่างไรก็ดี กระทรวงกลาโหมของเขากลับถูกกล่าวหาว่ามีการคอร์รัปชัน และถูกสื่อท้องถิ่นของยูเครนกดดันอย่างหนักมาตั้งแต่เดือนมกราคม หลังมีข้อกล่าวหาว่าทางกระทรวงทำการจัดซื้อเสบียงในราคาสูงเกินจริง ถึงแม้ว่านายเรซนิคอฟจะไม่เกี่ยวพันกับเรื่องดังกล่าวโดยตรง แต่นักวิจารณ์หลายคนให้ความเห็นว่าเขาควรแสดงความรับผิดชอบ และเมื่อเดือนที่ผ่านมา สื่อของยูเครนกล่าวหาว่า กระทรวงกลาโหมมีการคอร์รัปชันในเรื่องการจัดซื้อเสื้อกันหนาวให้กับกองทัพ ซึ่งตัวเขาออกมาแก้ต่างว่าเป็นเรื่องใส่ร้ายป้ายสี

ทั้งนี้ เซเลนสกีระบุอีกว่า เขาจะขอให้รัฐสภาแต่งตั้งนายรุสเท็ม อูเมรอฟ ประธานกองทุนแปรรูปรัฐวิสาหกิจสำคัญของยูเครน ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมคนใหม่ในสัปดาห์นี้ โดยประธานาธิบดีเซเลนสกีต้องส่งชื่อของนายอูเมรอฟให้กับรัฐสภา เพื่อพิจารณาก่อนมีการแต่งตั้ง

นายอูเมรอฟ ได้รับเสียงชื่นชมในประเทศยูเครน จากผลงานของเขาในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งควบคุมดูแลในเรื่องการแปรรูปกิจการของรัฐฯ ไปยังภาคเอกชน (privatisation) และพัวพันกับเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน ก่อนหน้าที่เขาจะเข้าดำรงตำแหน่งประธานกองทุนแปรรูปรัฐวิสาหกิจของยูเครน

คู่รัก ‘หญิง-หญิง’ ชาวเกาหลีใต้ให้กำเนิดลูกสาว ตอกย้ำ!! คู่รักเพศเดียวกันก็มีลูกได้

คู่รักหญิงเพศเดียวกันของเกาหลีใต้ ประกาศให้สังคมรับรู้ว่า “กำลังตั้งครรภ์” โดยถือเป็นคู่แรกของประเทศ ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

หลังจากเป็นกระแสที่ถูกจับตามองในประเด็นของคู่รักเพศเดียวกันไปก่อนหน้านี้ ล่าสุด ‘คยูจิน’ (31) และ ‘เซยอน’ (34) คู่รักเพศเดียวกันชาวเกาหลีใต้คู่แรก ซึ่งประกาศให้สังคมรับรู้ว่ากำลังตั้งครรภ์และจะคลอดอีกไม่นานนี้ ก็เผยข่าวดี!!

สำหรับ ‘คยูจิน’ และ ‘เซยอน’ นั้น ทั้งคู่ได้จดทะเบียนสมรสในเดือนพฤษภาคม 2019 ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และแต่งงานกันที่เกาหลีในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกัน

จากนั้น ในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว คยูจิน ก็ตั้งท้องจากการผสมเทียมด้วยสเปิร์มบริจาคจากโรงพยาบาลรักษาผู้มีบุตรยากในเบลเยียม

ล่าสุดคู่รัก ‘หญิง-หญิง’ คู่แรกของเกาหลีได้คลอดลูกสาวแล้ว โดยพวกเธอตั้งชื่อสาวน้อยคนนี้ว่า ‘รานี’ มีน้ำหนักตัว 3.2 กก. เมื่อเวลา 04.30 น. ของวันที่ 30 ส.ค. 66 ที่ผ่านมา

อย่างที่เราทราบกันดีว่า สังคมในประเทศเกาหลีใต้นั้น ยังคงปิดรับสำหรับเรื่องเพศที่หลากหลาย ดังนั้นนี่จึงเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตามอง ภายหลังที่พวกเธอทั้งสองกล้าออกสื่อ เพื่อบอกให้รู้ว่าคู่รักเพศเดียวกันก็มีลูกได้

‘Apple’ ประกาศเปลี่ยนที่ชาร์จ จาก Lightning เป็น USB-C เริ่มต้นที่ ‘ไอโฟน 15’ ที่คาดว่าจะเปิดตัว เที่ยงคืน 13 ก.ย.นี้

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 ค่ายแอปเปิล (Apple) ได้ออกมายืนยันการจัดงานอีเวนต์เปิดตัวไลน์อัปผลิตภัณฑ์ใหม่ในวันที่ 12 ก.ย. เวลา 10.00 น. ที่ สตีฟ จ็อบส์ เธียร์เตอร์ ในสำนักงานแอปเปิลพาร์ค ซึ่งตรงกับเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 13 ก.ย. (คืนวันที่ 12) ตามเวลาไทย ด้วยการส่งการ์ดเชิญไปยังสื่อทั่วโลกให้เดินทางไปร่วมงานเปิดตัว

ไฮไลต์ของงานอยู่ที่การเปิดตัวไอโฟน 15 ซีรีส์ (iPhone15) ซึ่งมีกระแสข่าวลือทางสื่อออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง โดยจะมี 4 รุ่นย่อยด้วยกัน iPhone 15, iPhone 15 Plus, iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ซึ่งเป็นตัวท็อป โดยครั้งนี้คาดหมายกันว่ารุ่นนี้อาจจะเปลี่ยนชื่อเป็น iPhone 15 Ultra

สรุปข่าวลือทั้งหมดก่อนการเปิดตัวสเปก iPhone 15 จอ 6.1 นิ้ว iPhone 15 Plus จอ 6.7 นิ้ว ทั้งสองรุ่นใช้ชิป A16 Bionic สำหรับ iPhone 15 Pro จอ 6.1 นิ้ว iPhone 15 Pro Max จอ 6.7 นิ้ว ทั้งสองรุ่นใช้ชิป A17 Bionic อัปเกรดกล้องหลักทั้งหมด 48 ล้านพิกเซล แบตใช้งานยาวนานขึ้นและรองรับ Dynamic Island ทุกรุ่น

รวมทั้งการเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C แทนที่พอร์ต Lightning แต่ความเร็วในการโอนข้อมูลจะต่างกันโดยรุ่น Pro จะมีความเร็วเทียบเท่า USB 3.2 ส่วน iPhone 15 และ iPhone 15 plus จะเทียบเท่า USB 2.0

‘หมิง ชิ กัว’ นักวิเคราะห์จาก TF Interna tional Securities ระบุว่า iPhone 15 Pro Max อาจเป็นรุ่นเดียวที่มีกล้อง Periscope ที่มีเลนเทเลสำหรับซูมแบบออปติคอลได้ไกล 6 เท่า ซึ่งอาจจะมีราคาแพงกว่ารุ่นเดิม 100-200 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่คาดว่าจะเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดถึง 35-40% ของ iPhone 15 ซีรีส์

ขณะเดียวกัน มีข่าวด้วยว่านอกจากเลนเทเลแล้ว การออกแบบจะเปลี่ยนวัสดุกรอบเป็นไทเทเนียม จากสเตนเลส โดยก่อนหน้านี้ การผลิต iPhone 15 ซีรีส์มีปัญหาการขาดแคลนเซ็นเซอร์ภาพ CMOS แม้จะแก้ไขด้วยการแบ่งการผลิตให้ซัพพลายเออร์ไปแล้ว แต่ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการจัดส่ง iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ประมาณ 10-15%

สำหรับความท้าทายในการผลิตกรอบไทเทเนียมคือการประมวลผลได้ยากและการออกแบบมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากแต่ได้รับการแก้ไขแล้วเช่นกัน จะทำให้มีน้ำหนักเบาลงและมีความแข็งแกร่ง โดย iPhone 15 Pro มีน้ำหนัก 191 กรัม เบากว่า iPhone 14 Pro ที่มีน้ำหนัก 203 กรัม iPhone 15 Pro Max หนัก 221 กรัม เมื่อเทียบกับ iPhone 14 Pro Max หนัก 240 กรัม

เว็บไซต์ iclarified.com ได้เผยแพร่เครื่องดัมมี่หรือเครื่องจำลองโดยระบุว่าจากการเปิดเผยของ Sonny Dickson ที่ทำการทวีตใน X ไปก่อนหน้า โดยเขาได้แชร์รูปภาพที่ดูคล้ายจะเป็น iPhone 15 และ iPhone 15 Plus จะมีสีฟ้าอ่อน, ดำ, เขียว, ชมพู และสีเหลือง ขณะที่เว็บดังกล่าวได้ระบุว่า iPhone 15 Pro จะมี 4 สีคือ สีน้ำเงิน, ดำ, เทาและสีเงิน

สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คาดจะมีการเปิดตัวในวันดังกล่าวประกอบด้วย Apple Watch ซีรีส์ 9 Apple Watch Ultra รุ่นที่ 2 iPad รุ่นที่ 9 AirPods Pro พอร์ต USB-C แต่รอดูวันเปิดตัวว่าจะเป็นไปตามนี้หรือไม่ ทีมข่าวไซเบอร์เน็ตจะร่วมเดินทางไปเกาะติดการเปิดตัว iPhone 15 ซีรีส์อย่างใกล้ชิดและนำมารายงานอย่างละเอียดต่อไป

‘จีน’ เผย ภาคการผลิตยานยนต์ครึ่งปีแรกโตต่อเนื่อง เพิ่มมูลค่าทางอุตสาหกรรม ดันรายได้-กำไรพุ่ง!!

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง สมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน รายงานว่า ช่วงครึ่งแรกของปี 2023 (มกราคม-มิถุนายน) อุตสาหกรรมการผลิตรถยานยนต์ของจีนขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านการผลิต รายได้ และผลกำไร

รายงานระบุว่า มูลค่าเพิ่มทางอุตสาหกรรมของภาคการผลิตยานยนต์ในช่วงเวลาดังกล่าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.1 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยมีการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมการผลิตทั้งหมดของประเทศอยู่ 8.9 จุด

รายได้จากการดำเนินงานรวมของกลุ่มบริษัทในภาคส่วนนี้แตะที่ 4.49 ล้านล้านหยวน (ราว 21.86 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.1 เมื่อเทียบปีต่อปี

ทั้งนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวปริมาณกำไรรวมของกลุ่มบริษัทในภาคส่วนนี้อยู่ที่ 2.17 แสนล้านหยวน (ราว 1.05 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

‘ฮุน เซน’ หวนใช้เฟซบุ๊กอีกครั้ง หลังถูกระงับบัญชี 6 เดือน  เหตุโพสต์คลิปขู่ดำเนินคดี-ทำร้ายคนเห็นต่างทางการเมือง

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ‘สมเด็จฯ ฮุน เซน’ อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ประกาศว่าจะกลับมาใช้งานเฟซบุ๊ก แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมในประเทศกัมพูชาอีกครั้ง โดยอ้างว่าเฟซบุ๊กได้ ‘มอบความยุติธรรม’ ให้กับเขา โดยการไม่สั่งระงับบัญชีผู้ใช้งานของเขา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ‘สมเด็จฯ ฮุน เซน’ ได้โพสต์ข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของเขา

สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้โพสต์ข้อความว่า เฟซบุ๊กได้ปฏิเสธคำแนะนำจากคณะกรรมการกำกับดูแลของเมตา บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ให้มีการระงับบัญชีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาผู้นี้เป็นเวลา 6 เดือน หลังจากที่เขาโพสต์วิดีโอข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของเขาเมื่อเดือนมกราคม ว่าจะถูกดำเนินคดีและตีด้วยไม้ หากกล่าวหาว่าพรรคการเมืองของสมเด็จฯ ฮุน เซน โกงการเลือกตั้งที่มีขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่พรรคประชาชนกัมพูชา (ซีพีพี) ของเขาคว้าชัยชนะไปอย่างถล่มทลายจนส่ง ‘พลเอกฮุน มาเนต’ บุตรชายคนโตของเขาขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้สำเร็จ

คำแนะนำดังกล่าวจากคณะกรรมการกำกับดูแลของเมตาเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้ทำให้สมเด็จฯ ฮุน เซน ไม่พอใจอย่างมาก จนเลิกใช้งานเฟซบุ๊ก พร้อมกับขู่ว่าจะปิดกั้นการเข้าถึงเฟซบุ๊กในประเทศกัมพูชา รวมถึงแบนตัวแทนของเฟซบุ๊กจากประเทศกัมพูชา และขึ้นบัญชีดำสมาชิกคณะกรรมการดังกล่าวกว่า 20 คน

หลังการประกาศกลับมาใช้งานเฟซบุ๊กอีกครั้ง สมเด็จฯ ฮุน เซน ระบุอีกว่า กระทรวงโทรคมนาคมกัมพูชาจะอนุญาตให้ตัวแทนของเฟซบุ๊กกลับเข้ามาทำงานในประเทศอีกครั้ง แต่ยังคงไม่นำชื่อของสมาชิกคณะกรรมการกำกับดูแลของเมตาออกจากบัญชีดำ

‘ห้างร้านอเมริกา’ โอดครวญ!! เหตุ ‘แก๊งขโมย’ อาละวาดหนัก  ต้องทำตู้ล็อกชั้นวางสินค้า บางแห่งถึงขั้นเหนื่อยใจยอมปิดสาขาหนี

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 ปัญหาโจรขโมยของที่กำลังเกิดขึ้นอย่างชุกชุม ส่งผลให้ห้างร้านต่างๆ ในอเมริกาต้องทำตู้ล็อกชั้นวางสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไปอย่างยาสีฟัน ช็อกโกแลต ผงซักฟอก และบางห้างกระทั่งตัดสินใจปิดสาขาในย่านที่แก๊งโจรอาละวาดหนัก

ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่างวอลมาร์ทและทาร์เก็ต ตลอดจนเชนร้านขายยาดัง ซีวีเอส และ วอลกรีนส์ รวมถึงผู้จำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวกับการตกแต่งต่อเติมบ้านอย่างโฮมดีโป และร้านรองเท้าฟุต ล็อกเกอร์ คือห้างร้านค้าปลีกส่วนหนึ่งในสหรัฐฯ ที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาโจรลักขโมยข้าวของเอาไว้ในรายงานผลประกอบการล่าสุดของพวกตน โดยชี้ว่าปัญหานี้ซึ่งผู้ก่อเหตุมีทั้งพวกลักเล็กขโมยน้อย และโจรที่รวมตัวเป็นแก๊งลักข้าวของ กำลังระบาดหนักขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงบางทีก็เกิดเหตุการณ์รุนแรง

ลอเรน โฮบาร์ต ประธานบริหาร ดิ๊กส์ สปอร์ตติ้ง กู๊ดส์ กล่าวระหว่างการประชุมผ่านทางโทรศัพท์ว่า พวกแก๊งลักขโมย และการขโมยข้าวของโดยภาพรวม กำลังเป็นปัญหาร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อห้างหลายแห่งมากขึ้น ในกรณีของ ดิ๊กส์ นั้น การขโมยของ ส่งผลกระทบต่อสินค้าคงคลังของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในผลประกอบการไตรมาส 2 และการคาดหมายสำหรับช่วงครึ่งปีหลัง

ด้านไบรอัน คอร์เนลล์ ประธานบริหาร ทาร์เก็ต เผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มีการขโมยของในห้างแบบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงหรือขู่ใช้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นถึง 120% และเสริมว่า เวลานี้ ความสูญเสียในส่วนของสินค้าคงคลังสืบเนื่องจากปัญหานี้ อยู่ในระดับสูงเกินกว่าที่จะยอมรับได้ในระยะยาวแล้ว

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นขณะที่อัตราดอกเบี้ยของอเมริกาพุ่งจากเกือบ 0% เป็น 5.5% ในระยะเวลา 18 เดือน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี เนื่องจากผู้วางนโยบายพยายามต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ

อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้กระทบต่อการกู้เงินเพื่อซื้อสินค้าชิ้นใหญ่หรือขยายธุรกิจมีต้นทุนสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ส่งผลลบถึงผู้บริโภคเช่นกัน

จากการสำรวจด้านความปลอดภัยของการค้าปลีก ของสหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐฯ พบว่า ในปี 2021 พวกห้างค้าปลีกเสียหายราว 94,500 ล้านดอลลลาร์จากสิ่งที่เรียกว่า ‘shrink’ ซึ่งหมายถึงความสูญเสียในส่วนของสินค้าคงคลังอันเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น การยักยอกของพนักงาน การขโมยของ หรือความผิดพลาดในการจัดการ

ผลสำรวจยังพบว่า ห้างค้าปลีกเผชิญปัญหาจากแก๊งโจรเพิ่มขึ้น 26.5% โดยที่ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่รายงานว่า วิกฤตโรคระบาดทำให้ความเสี่ยงนี้เพิ่มสูงขึ้น

ผลลัพธ์คือห้างหลายแห่งค่อยติดตั้งแผ่นพลาสติกใสพร้อมกุญแจล็อกครอบชั้นวางสินค้า หรือล่ามโซ่คล้องกุญแจสายยูล็อกตู้เย็น และมีปุ่มกดเรียกสำหรับพนักงานกระจายอยู่ตามทางเดิน

ส่วนชั้นวางที่ไม่มีการป้องกันจะวางสินค้าเพียงไม่กี่ชิ้นเพื่อจำกัดการถูกขโมย

อย่างไรก็ตาม มาตรการป้องกันดังกล่าวไม่ได้ผลเสมอไป เป็นต้นว่า ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมามีชายคนหนึ่งสวมแจ็คเก็ตแบบมีฮู้ดและหน้ากาก และใช้เครื่องพ่นความร้อนละลายแผ่นพลาสติกใสที่ครอบชั้นวางสินค้าในห้างวอลกรีนส์ ในย่านควีนส์ ของนครนิวยอร์กท่ามกลางสายตาลูกค้าและพนักงานร้าน ก่อนโกยของไปจากชั้น

ผู้อยู่อาศัยในย่านควีนส์ยังร้องเรียนเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยในร้านขายยาซีวีเอสหลายสาขา ซึ่งตามรายงานของสื่อนั้น บางสาขาขอให้พนักงานอย่าเข้าไปขัดขวางการขโมยของหรือแจ้งตำรวจ ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง

บางห้างกำลังพิจารณาปิดสาขา เช่น ไจแอนต์ที่กำลังชั่งใจปิดซูเปอร์มาร์เก็ตในนิวยอร์กที่ขโมยชุมและมีเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้น

วอลล์กรีน ได้ปิดสาขา 5 แห่งในซานฟรานซิสโกในปี 2021 จากปัญหาเดียวกัน และวอลมาร์ทปิด 4 สาขาในชิคาโกในปีนี้ โดยให้เหตุผลอย่างเป็นทางการว่า ไม่มีกำไร

นอกจากนั้นผู้ใช้ออนไลน์ยังรายงานเหตุการณ์ ‘flash rob’ ที่แก๊งโจรใช้คนกรูกันเข้าไปในห้างและฉกสินค้าที่คว้าได้ก่อนวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 12 สิงหาคมในร้านนอร์ดสตรอม ที่ลอสแองเจลิส กลุ่มคนสวมหน้ากากราว 30 คนเข้าไปกวาดสินค้าหรูมูลค่า 300,000 ดอลลาร์ และใช้สเปรย์ไล่หมีฉีดใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

‘อาร์เจนตินา’ เผชิญวิกฤต ‘เงินเฟ้อ’ หนัก!! หลังเงินเปโซอ่อนยับ 'ฉุดประเทศ-ประชาชน' ดำดิ่งสู่ภาวะยากจนอย่างแสนสาหัส

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 ช่องยูทูบ ‘ทันโลกกับ Trader KP’ ได้เชิญ ‘คุณบุรินทร์ อดุลวัฒนะ’ กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ (Chief Economist) บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มาร่วมวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเงินของประเทศอาร์เจนตินา ว่าเพราะเหตุใด สกุลเงิน ‘เปโซ’ ของประเทศอาร์เจนตินา ถึงอ่อนค่าลงจนทำให้เงินเปโซไร้ค่าเช่นนี้ และปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ทำให้เข้าสู่ภาวะยากจนอย่างหนัก โดยคุณบุรินทร์ได้ให้มุมมองไว้ว่า…

แบงค์ชาติของประเทศอาร์เจนตินา ได้มีการปรับค่าเงินเปโซ ซึ่งเป็นค่าเงินทางการของประเทศ จาก 287 เปโซต่อดอลลาร์ เป็น 350 ต่อดอลลาร์ กล่าวง่ายๆ ก็คือ เป็นการ ‘ลดค่าเงิน’ ประมาณ 18% ที่สําคัญมากกว่านั้นคือ ธนาคารกลางอาร์เจนตินากลัวเกิดภาวะ ‘เงินไหลออก’ จึงปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งปรับขึ้นจาก 97% เป็น 118%

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้ค่าเงินของทางการนั้นไม่มีใครใช้อยู่แล้ว และไม่มีใครเชื่อถือ เพราะในตลาดมืดหรือตลาดของจริง 1 ดอลลาร์ ควรจะมีค่าอยู่ที่ประมาณ 690 เปโซ แต่ทางรัฐบาลได้ออกมาแจ้งว่า 1 ดอลลาร์เท่ากับ 350 เปโซ ซึ่งสวนทางกับในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะในตลาดของจริงนั้น 1 ดอลลาร์ มีค่าเท่ากับ 690 เปโซ หรือสูงเทียบเท่ากับครึ่งนึงของค่าเงินที่รัฐบาลได้แจ้งไว้

ซึ่งสิ่งนี้เกิดจากการที่รัฐบาลอาร์เจนตินา มีความพยายามที่จะปิดกั้นไม่ให้เกิดภาวะเงินไหลออก ซึ่งหากคิดตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว เมื่อมีการตรึงราคาค่าเงินไว้ แล้วราคาไม่ได้สะท้อนกับกลไกทางตลาดหรือความเป็นจริง จะส่งผลทำให้เกิดการซื้อขายกันนอกตลาด หรือนอกระบบขึ้น

แล้วเกิดอะไรขึ้นกับประเทศอาร์เจนตินา? ประเทศอาร์เจนตินาได้มีการเลือกตั้ง และปรากฏว่า ‘จาเวียร์ มิลเลย์’ (Javier Milei) นักเศรษฐศาสตร์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เสรีนิยมอาร์เจนตินา ได้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยเช่นกัน และในที่สุดเขาก็สามารถคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีมาได้

ซึ่งแนวคิดของเขานั้น ค่อนข้างที่จะสุดโต่ง อีกทั้งเขายังได้ออกมาบอกว่า “พวกนักการเมืองเป็นโจร” และเขายังกล่าวอีกด้วยว่า หากเขาได้เป็นประธานาธิบดีเขาจะเผา (ยกเลิกระบบ) ธนาคารกลางให้หมด เพราะนโยบายต่าง ๆ ของเขาค่อนข้างที่จะมีความ ‘สุดโต่ง’ เป็นอย่างมาก เช่น เขาประกาศจะลดภาษี และจะปรับค่าเงินทำให้เงินดอลลาร์กลับไปเท่ากับค่าเงินเปโซ หรืออาจเปลี่ยนมาใช้ค่าเงินดอลลาร์ในประเทศแทน ซึ่งโดยปกติแล้ว ทางการห้ามใช้เงินดอลลาร์ และการหาเงินดอลลาร์นั้นได้ทำได้ยากมาก

อีกทั้งเงินเฟ้อของอาร์เจนตินาก็สูงมากเช่นกัน เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (ปี 2022) สมมติราคาสินค้าอยู่ที่ 100 ตอนนี้อาจจะขึ้นมาเป็น 200 ซึ่งถือว่าสูงขึ้นประมาณ 110% เพราะฉะนั้น คนในประเทศจึงไม่สามารถแบกรับภาระตรงนี้ได้

ต้องบอกว่าตอนนี้ เศรษฐกิจของประเทศอาร์เจนตินาอาการหนักมาก โดยประชากร 40% ในประเทศ อยู่ในภาวะ ‘ยากจน’ อย่างหนัก คือ ‘ต่ำกว่าเส้นความยากจน’ (Below Poverty Line) ซึ่งตอนนี้อาจจะอยู่ที่ประมาณ 2-4 เหรียญ แปลว่าคนในประเทศไม่มีเงินพอใช้ ดังนั้น จึงกลายเป็นว่า เกิดปัญหามีคนไร้บ้านเพิ่มมากขึ้น มีคนไร้บ้านมานอนอยู่ที่สนามบินกันเต็มไปหมด เรียกได้ว่า เป็นประเทศที่น่าสงสารมาก

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราสามารถวิเคราะห์กันได้ว่า การที่ประเทศอาร์เจนตินาได้ประธานาธิบดีคนใหม่อย่าง ‘จาเวียร์ มิลเลย์’ ซึ่งถือเป็น ‘ตัวเต็ง’ ที่สุดในบรรดาผู้สมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะเขาไม่ได้มีพรรคการเมืองใหญ่คอยหนุนหลัง และถึงแม้นโยบายของเขาจะค่อนข้างสุดโต่ง แต่นี่อาจเป็น ‘ความหวังใหม่’ ของคนอาร์เจนตินา เพราะในตอนนี้ประชากร 40% หรือเกือบครึ่งของประเทศ อยู่สภาวะยากจน ประชาชนไม่มีจะกิน ไม่มีบ้านอยู่ เกิดปัญหาคนไร้บ้าน เพราะฉะนั้น ประชาชนจึงต้องหาทางออก

ซึ่งสิ่งนี้มีความคล้ายคลึงกับการเกิด ‘เงินเฟ้อขั้นรุนแรง’ (Hyperinflation) ขึ้นที่ประเทศเยอรมนี หลังการพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 จนเป็นเหตุทำให้ประเทศเยอรมนีเผชิญกับสภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ส่งผลให้คนเยอรมันหาทางออกจากปัญหาข้าวยากหมากแพง โดยการเลือก ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ (Adolf Hitler) ซึ่งเป็นนักการเมืองเยอรมันเชื้อชาติออสเตรีย หัวหน้าพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ‘พรรคนาซี’ เป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ในปี ค.ศ. 1933-1945

ซึ่งนโยบายของฮิตเลอร์นั้น เขาให้คำมั่นสัญญากับชาวเยอรมันว่า “ผู้คนจะต้องมีงานทำ” แต่วิธีการจัดการของเขานั้น ค่อนข้างที่จะสุดโต่งอยู่พอสมควร เขาได้ทำการจัดการคนที่ไม่สามารถบริหารประเทศได้ออกไป และทำการเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆ ในประเทศ

กลับมาที่ประเทศอาร์เจนตินา จริงๆ แล้ว อาร์เจนตินา เป็นประเทศที่น่าสนใจมาก หลายๆ คนอาจจะไม่ทราบว่า เมื่อประมาณร้อยกว่าปีก่อนนั้น อาร์เจนตินา เป็นหนึ่งในประเทศที่รวยที่สุดในโลก ในตอนนั้นรายได้ที่เกิดขึ้นจากในประเทศ หรือ GDB ต่อหัวของประชากรในประเทศนั้น สูงเทียบเท่ากับประเทศสหรัฐอเมริกา สูงกว่าประเทศฝรั่งเศส และเบลเยียมเสียอีก

แล้วเหตุใด ประเทศอาร์เจนตินาจึงมาถึงจุดนี้ได้? จริงๆ แล้วมีเหตุปัจจัยหลายๆ อย่าง เนื่องจากการดําเนินนโยบายผิดไปในหลายเรื่อง เปรียบเหมือนกับการลงทุน ที่เราไม่ควรจะทุ่มจนหมดหน้าตัก แต่ ณ ขณะนั้น อาร์เจนตินาลงทุนทุ่มจนหมดหน้าตัก โดยในช่วงเวลานั้น อาร์เจนตินาได้ทำการค้ากับประเทศอังกฤษ ทุกอย่างจะส่งออกให้กับประเทศอังกฤษทั้งหมด เพราะเขามีแนวคิดว่า อังกฤษเป็นประเทศมหาอํานาจ ดังนั้น เขาจึงคิดว่า สามารถทำการค้ากับประเทศอังกฤษแค่ประเทศเดียวก็เพียงพอแล้ว

แต่ในเวลาต่อมา ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น จึงทำให้ประเทศอังกฤษไม่ได้ทำการค้าขายอาร์เจนตินา เป็นเวลากว่า 4 ปี ทำให้เศรษฐกิจของอาร์เจนตินาล้มทั้งระบบ ยิ่งไปกว่านั้น ก็ดันเกิดสงครามโลกที่ 2 ตามมาซ้ำเติมสถานการณ์ในประเทศอาร์เจนตินาให้ยิ่งวิกฤตมากขึ้นไปอีก

ในสมัยนั้น ของขึ้นชื่อของประเทศอาร์เจนตินา คือ ‘เนื้อวัว’ ดังนั้น เนื้อสเต๊กจึงถือเป็นสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของประเทศไปยังประเทศในทวีปยุโรป เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น ทำให้คนยุโรปหันไปซื้อเนื้อสเต๊ก และพวกผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทางการเกษตรจากสหรัฐอเมริกาแทน

ทำให้หลังสงครามโลกจบลง ‘ฆวน เปรอน’ (Juan Domingo Perón) ซึ่งเป็นประธานาธิบดีของอาร์เจนตินาในขณะนั้น ได้ดำเนินนโยบาย ‘ประชานิยม’ อย่างเข้มข้น เขาได้ประกาศลดภาษี ลดราคาสินค้าต่าง แจกทุกอย่างฟรี ไปจนถึงแจกเงินแก่ประชาชนอีกด้วย

ปรากฏว่า นโยบายของเขานั้นทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น เนื่องจากเขาแจกประชาชนไปหมดแล้ว อีกทั้งยังลดภาษีต่างๆ ทำให้รัฐบาลไม่มีเงินทุนสำรองมากเพียงพอในการบริหารประเทศต่อ จึงทำให้ประเทศประสบกับสภาวะ ‘เงินเฟ้อ’ จนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้น

ในตอนนี้ อาร์เจนตินากลับมาเผชิญกับวิกฤตนี้อีกครั้ง ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในตอนนี้นั้น ช่างสวนทางกับการที่อาร์เจนตินาเพิ่งคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ในศึก ‘FIFA World Cup 2022’ ที่ผ่านมาเมื่อไม่นานนี้อย่างสิ้นเชิง

อาร์เจนตินานับเป็นประเทศที่ทนทุกข์ทรมาน กับการเผชิญปัญหาการบริหารนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลมาโดยตลอด ทำให้อาร์เจนตินาเป็นประเทศที่ติดหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เยอะที่สุด เมื่อปี 2018 อาร์เจนตินาเพิ่งทำการกู้เงิน IMF ไปกว่า 57,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จนทำให้อาร์เจนตินาเรียกได้ว่าเป็น ‘ลูกค้าหลัก’ ของ IMF เลยก็ว่าได้ อีกทั้ง ในปี 2021 รัฐบาลปิดนัดชำระหนี้ IMF เมื่อปี 2021 ท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนทำให้ประชาชนต่างพากันลุกฮือ ออกมาประท้วงรัฐบาลกันเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของอาร์เจนตินา คือ ‘การขาดความน่าเชื่อถือ’ เนื่องจากเมื่อปี 2001 อาร์เจนตินาได้รับการจารึกว่าเป็นประเทศที่ผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยประกาศว่าจะไม่จ่ายหนี้คืนเจ้าหนี้ จนกระทั่งเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในปี 2005 และปี 2010 อาร์เจนตินาได้ยื่นข้อเสนอจ่ายคืนหนี้ให้บางส่วน โดยเจ้าหนี้ร้อยละ 93 ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว

ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ไม่มีใครกล้ามาลงทุนในประเทศอาร์เจนตินา และไม่มีใครกล้าให้ยืมเงินลงทุน จนท้ายที่สุด อาร์เจนตินาก็ต้องหันหน้าไปพึ่ง IMF จนเกิดเป็นปัญหาหนี้สินของประเทศ ที่ต้องตามชำระกันต่อไปอย่างไม่จบไม่สิ้น

นี่จึงถือเป็นจุดพลิกผัน ที่ทำให้ประเทศอาร์เจนตินา หนึ่งในประเทศที่รวยที่สุดในโลก กลับกลายเป็นประเทศลูกหนี้รายใหญ่ และต้องเผชิญกับการอ่อนตัวลงของค่าเงินในประเทศ จนเกิดสภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง จากการบริหารประเทศที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของรัฐบาล

ทำให้ตอนนี้ ชาวอาร์เจนตินาต้องหวังพึ่งรัฐบาลใหม่ ภายใต้การบริหารจากผู้นำที่มีแนวคิดสุดโต่งอย่าง ‘จาเวียร์ มิลเลย์’ ซึ่งสถานการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ก็คงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป…

‘ไต้หวัน’ อพยพประชาชนนับพัน หนีไต้ฝุ่น ‘ไห่ขุย’ พร้อมสั่งยกเลิกเที่ยวบิน ก่อนพายุจะขึ้นฝั่งวันนี้

(3 ก.ย.b66) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ไต้หวันเตรียมที่จะรับมือกับพายุไต้ฝุ่นไห่ขุยที่คาดว่าจะพัดขึ้นฝั่งที่ภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะที่มีภูเขาจำนวนมากและมีประชากรอาศัยอยู่เบาบาง ในช่วงบ่ายของวันนี้ (3 ก.ย.) ส่งผลให้บรรดาเที่ยวบินภายในประเทศถูกยกเลิกและได้อพยพประชาชนจำนวน 2,868 คน ทางตอนใต้และตะวันออกของเกาะไปยังที่ปลอดภัยแล้ว โดยคาดว่าพายุไต้ฝุ่นลูกดังกล่าวจะส่งผลให้มีฝนตกหนักและลมแรงในบริเวณตอนใต้และทิศตะวันออกของไต้หวัน

ประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ของไต้หวันได้กล่าวในการประชุมของเจ้าหน้าที่จัดการภัยพิบัติว่า พายุไต้ฝุ่นไห่ขุยจะเป็นไต้ฝุ่นลูกแรกในรอบ 4 ปี ที่พัดขึ้นฝั่งบนเกาะไต้หวันและเคลื่อนตัวผ่านพื้นที่เทือกเขาทางตอนกลางของเกาะ แถลงการณ์ของทำเนียบประธานาธิบดีไช่ได้แนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านหรือขึ้นไปบนภูเขา รวมถึงเลี่ยงการเดินทางไปยังชายฝั่ง ออกเดินเรือทำประมง หรือเล่นกีฬาทางน้ำ

นอกจากนั้นแล้ว ยังได้คำสั่งยกเลิกการเรียนการสอนและประกาศหยุดงานให้กับคนงานในเขตและเมืองต่างๆ ในบริเวณภาคตะวันออกและใต้ของเกาะไต้หวัน ขณะที่ UNI Air และ Mandarin Airlines ซึ่งเป็นสายการบินภายในประเทศหลักของไต้หวันได้สั่งยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมดของวันนี้ เช่นเดียวกับบริการเรือข้ามฟากไปยังเกาะที่ตั้งอยู่รอบไต้หวันก็ถูกยกเลิกเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินระหว่างประเทศได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นไห่ขุยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยมีเที่ยวบินระหว่างประเทศถูกยกเลิกเพียง 37 เที่ยวบินเท่านั้นในวันนี้ ด้านกองทัพของไต้หวันได้สั่งระดมกำลังทหารและอุปกรณ์เพื่อเตรียมรับมือกับน้ำท่วมและการอพยพประชาชนเช่นกัน

พายุไต้ฝุ่นไห่ขุยมีความรุนแรงน้อยกว่าพายุไต้ฝุ่นเซาลาที่เพิ่งพัดถล่มเกาะฮ่องกงและมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีนอยู่มาก คาดว่าไต้ฝุ่นไห่ขุยจะเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 1 หรือ 2 เท่านั้นเมื่อพัดขึ้นฝั่งที่เกาะไต้หวันโดยไต้ฝุ่นไห่ขุยมีความเร็วลมสูงสุดอยู่ที่ 137 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและมีลมกระโชกแรงสูงสุด 173 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

หลังเคลื่อนตัวผ่านทางตอนใต้ของไต้หวันแล้ว มีการพยากรณ์ว่าพายุไต้ฝุ่นไห่ขุยจะเคลื่อนตัวข้ามช่องแคบไต้หวันและมุ่งหน้าไปทางประเทศจีนอีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top