Wednesday, 2 July 2025
WORLD

'อินโดนีเซีย' ได้ฤกษ์ เปิดตัว 'Whoosh' รถไฟหัวกระสุนสายแรกในอาเซียน

อินโดนีเซีย ตัดริบบิ้น เปิดตัว Whoosh รถไฟความเร็วสูงหัวกระสุนสายแรกของภูมิภาคอาเซียน เส้นทางจาการ์ตา - บันดุง ด้วยความเร็วเต็มสปีด 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นแท่นรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งเร็วที่สุดในอาเซียน 

Whoosh ถือเป็นโครงการพัฒนาเส้นทางรถไฟ ระดับเมกาโปรเจกต์ ที่ใช้งบประมาณสูงถึง 7.3 พันล้านดอลลาร์ ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลจีน และเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Belt and Road Initiative ด้วยเช่นกัน

โดยเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายแรก เชื่อมต่อกรุงจาการ์ตา กับ บันดุง เมืองเศรษฐกิจสำคัญทางเกาะชวาตะวันตก ที่ได้รับฉายาว่าเป็น ซิลิคอน วัลลีย์ แห่งอินโดนีเซีย รวมระยะทางกว่า 150 กิโลเมตร ที่สามารถย่นเวลาเดินทางจากเดิม 3-3.5 ชั่วโมง เหลือเพียง 40 นาทีเท่านั้น

และนับเป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับเรือธงของประธานาธิบดี โจโค วิโดโด แห่งอินโดนีเซีย ที่เคยตั้งเป้าว่าจะเร่งให้แล้วเสร็จภายในปี 2019 แต่เนื่องด้วยปัญหาการจัดสรร เวนคืนที่ดิน วิกฤติ Covid-19 และ ค่าเงินที่ทำให้งบประมาณบานปลาย ทำให้โครงการล่าช้ากว่าเป้าหมายมาก 

กลูฮุท บินซาร์ ปันด์จัยตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงประสานงานกิจการทางทะเลอินโดนีเซีย กล่าวว่า เส้นทางรถไฟหัวกระสุน จาการ์ตา - บันดุง ได้เปิดให้บริการแบบทดลองฟรีแล้วตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายน จนถึงกลางเดือนตุลาคมปีนี้ ก่อนจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในเดือนหน้า

เส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายนี้ ถือเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอินโดนีเซีย และจีน ซึ่ง นายกรัฐมนตรีจีน หลี่ เฉียง และ โจโค วิโดโด ผู้นำอินโดนีเซีย เคยได้มาร่วมทดลองนั่งรถไฟหัวกระสุนรุ่นล่าสุดในช่วงงานประชุมอาเซียน ที่อินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพมาแล้ว ด้านผู้นำอินโดนีเซียเปรยว่า อาจใช้ขบวนรถไฟหัวกระสุนนี้ต้อนรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่จะมีกำหนดการมาเยือนอินโดนีเซียในไม่ช้านี้ 

ส่วนค่าโดยสารรถไฟสายนี้ ยังไม่ยืนยันตัวเลขแน่ชัด แต่คาดว่าราคาตั๋วเที่ยวเดียว น่าจะอยู่ที่ราคา  2.5 - 3.5 แสนรูปียะฮ์ (590 - 830 บาท) เมื่อเทียบกับค่ารถโดยสารในเส้นทางปกติ ต่อเที่ยว ราคา 46,600 รูเปียะห์  (110 บาท) นับว่าค่าโดยสารรถไฟหัวกระสุนยังมีราคาแพงอยู่มากสำหรับชาวอินโดนีเซียทั่วไป 

แต่ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียคาดหวังว่า เส้นทางรถไฟความเร็วสูงนี้จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของประชาชน ที่ช่วยประหยัดเวลา ปลอดภัย เชื่อถือได้ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเชื่อม 2 เมืองเศรษฐกิจหลักของอินโดนีเซียเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ 

‘ญี่ปุ่น’ ออกกฎหมายห้ามทำ ‘การตลาดแบบล่องหน’ บังคับแสดงข้อความ “ส่งเสริมการขาย” ทุกครั้งที่โฆษณา

เมื่อวานนี้ (1 ต.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มต้นห้ามการทำการตลาดล่องหน (stealth marketing) อันเป็นแนวปฏิบัติที่หลายบริษัทใช้ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์หรือการบริการของตนเองโดยปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่าเป็นการโฆษณา ซึ่งข้อบังคับใหม่นี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันอาทิตย์ (1 ต.ค.) เป็นต้นไป

รายงานระบุว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์เกิดกรณีการทำการตลาดล่องหนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทต่าง ๆ ขอให้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์หรือผู้มีอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจบนสื่อสังคมออนไลน์แนะนำผลิตภัณฑ์โดยที่ไม่ประชาสัมพันธ์อย่างเปิดเผย และแสร้งทำเป็นไม่มีสายสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับบริษัท

ทั้งนี้ สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคของญี่ปุ่นได้สั่งห้ามแนวปฏิบัติดังกล่าวภายใต้กฎหมายต่อต้านการให้รางวัลและการแสดงสรรพคุณอันไม่เป็นธรรม ซึ่งเริ่มต้นมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.

การบังคับใช้กฎหมายใหม่นี้ครอบคลุมถึงสื่อมวลชนทุกแขนง ทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และอินเทอร์เน็ต โดยการโฆษณาต้องแสดงข้อความอย่าง ‘การโฆษณา’ ‘การส่งเสริมการขาย’ และ ‘การประชาสัมพันธ์’ ที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้เป็นการทำการตลาดล่องหน ส่วนผู้ละเมิดอาจถูกห้ามทำการโฆษณาหรือต้องสัญญาจะมิทำผิดซ้ำ

สมาคมการตลาดแบบบอกต่อแห่งญี่ปุ่น (Word of Mouth Japan Marketing Association) ซึ่งมีสมาชิกเป็นเอเจนซีโฆษณาและบริษัทอื่น ๆ ที่ทำการตลาดแบบบอกต่อทางออนไลน์มากกว่า 60 แห่ง ได้แก้ไขแนวปฏิบัติการโฆษณาให้สอดคล้องกับการบังคับใช้ข้อบังคับใหม่แล้ว

ด้านสื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่าบริษัทโฆษณาและอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมากบนเครือข่ายสังคมออนไลน์กำลังศึกษาเรียนรู้รายละเอียดของข้อบังคับใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำการตลาดล่องหนโดยมิเจตนา

รัฐบาลสหรัฐฯ รอดชัตดาวน์ รัฐสภาอนุมัติงบฯ ใช้จ่าย 45 วัน หลังร่างที่อนุมัตินี้ไร้เงินหนุนยูเครนทำสงครามกับรัสเซีย

เมื่อวานนี้ (1 ต.ค. 66) ตามเวลาไทย ซึ่งตรงกับวันที่ 30 กันยายนตามเวลาสหรัฐ มติชนรายงานว่า รัฐบาลสหรัฐสามารถหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์ระบบของรัฐได้ในนาทีสุดท้าย หลังสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเห็นพ้องกับข้อตกลงงบประมาณระยะสั้น ที่จะทำให้รัฐบาลมีเงินสำหรับใช้จ่ายไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งไม่มีการเพิ่มงบช่วยเหลือให้กับยูเครนแต่อย่างใด

ร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวดังกล่าวซึ่งจะใช้สำหรับเวลา 45 วัน ได้รับการอนุมัติในวุฒิสภาด้วยคะแนน 88 ต่อ 9 เสียง เสนอโดยนายเควิน แมคคาร์ธี (Kevin McCarthy) ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน หลังจากที่ความพยายามครั้งแรกถูกสมาชิกรีพับลิกันขวาจัดในสภาล่างคว่ำไปก่อนหน้านี้

ในบ่ายวันที่ 30 กันยายน ตามเวลาในสหรัฐ สภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณในการดำเนินงานต่อไปอีก 45 วัน แต่ไม่มีการกำหนดกรอบวงเงินค่าใช้จ่ายในประเด็นหลักใด ๆ 

ร่างงบประมาณดังกล่าวได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาล่างมากกว่าสมาชิกพรรครีพับลิกัน ซึ่งลงมติคัดค้านมากถึง 90 เสียง และยังส่งผลกระทบต่อกลุ่มขวาจัดของพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎรที่ดึงดันจะให้มีการดำเนินการในการปรับลดค่าใช้จ่ายโดยไม่สนใจที่จะประนีประนอมใด ๆ

ทั้งนี้ เนื่องจากสมาชิกสภาคองเกรสส่วนใหญ่ต้องการหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์ ร่างงบประมาณที่ผ่านการรับรองโดยวุฒิสภาจึงมีข้อเรียกร้องหลักในประเด็นเดียวกับที่ฝ่ายต่าง ๆ เห็นพ้อง นั่นคือการไม่ตั้งงบประมาณอุดหนุนการทำสงครามต่อต้านรัสเซียของยูเครนอยู่ในนั้น

เดิมทีนายแมคคาร์ธีลังเลอย่างมากที่จะอาศัยคะแนนเสียงจากพรรคเดโมแครตในการผ่านร่างกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรจนถึงนาทีสุดท้าย เพราะรู้ดีว่าจะทำให้สมาชิกพรรครีพับลิกันฝ่ายอนุรักษนิยมโกรธเคือง

อย่างไรก็ตาม ในร่างงบประมาณชั่วคราวนี้ พรรคเดโมแครตก็ไม่ได้รับทุกสิ่งที่ต้องการเช่นเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการชัตดาวน์เกิดขึ้น สุดท้ายเดโมเครตก็ยอมละทิ้งความหวังที่จะจัดเงินเพื่อให้ความช่วยเหลือทางทหารเพิ่มเติมแก่ยูเครน

เจ้าหน้าที่ในรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน (Joe Biden) เตือนว่า ในระยะสั้นความพยายามในการทำสงครามของยูเครนอาจหยุดชะงัก และแสดงความคาดหวังว่าแมคคาร์ธีซึ่งสนับสนุนการให้เงินอุดหนุนยูเครนในการต่อสู้กับรัสเซียจะนำร่างกฎหมายแยกต่างหากในเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาในเร็ว ๆ นี้

‘ไทย’ สุดฮอต!! ครองแชมป์เมืองท่องเที่ยวปลายทางยอดฮิต หลัง ‘นทท.จีน’ ตบเท้าเยือนช่วงหยุดยาวไหว้พระจันทร์-วันชาติ

เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, ไท่หยวน รายงานสถานการณ์ช่วงหยุดยาวเนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์และวันชาติจีน (29 ก.ย.-6 ต.ค.) ถือเป็นอีกหนึ่ง ‘เวลาทอง’ ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจีน โดยบรรดานักท่องเที่ยวพากันจับจ่ายใช้สอยบนแพลตฟอร์มผู้ให้บริการด้านการเดินทาง ผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศคลาคล่ำเต็มโถงรับรองของสนามบินหลายแห่ง และแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในหลายประเทศได้ต้อนรับทัพนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนการเติบโตแบบก้าวกระโดดของตลาดการท่องเที่ยวต่างประเทศในจีน

‘หวังซื่อหัว’ ชาวเมืองไท่หยวน มณฑลซานซีทางตอนเหนือของจีน เป็นนักท่องเที่ยวอีกคนที่เลือกเดินทางเยือนต่างประเทศในช่วงหยุดยาวนี้ โดยหลังจากฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่บ้านแล้ว เขาและครอบครัวได้ตบเท้าขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าสู่จุดหมายยอดนิยมอย่าง ‘ประเทศไทย’ พร้อมแผนการเยือนแลนด์มาร์กชื่อดัง เช่น พระบรมมหาราชวังและเกาะเสม็ด รวมถึงสัมผัสประสบการณ์นวดไทยโบราณ และรับประทานอาหารไทยต้นตำรับรสจัดจ้าน ตลอดระยะเวลา 6 วัน

“เคยมาเที่ยวเมืองไทยแล้วเมื่อหลายปีก่อนและรู้สึกประทับใจมาก พอตอนนี้ไท่หยวนเปิดเที่ยวบินตรงไปยังไทยเลยคิดว่าต้องกลับมาเที่ยวอีก” หวัง กล่าว

ทั้งนี้ ไทยในฐานะจุดหมายปลายทางที่ครองความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวจีนมากที่สุดแห่งหนึ่งได้ประกาศนโยบายฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นระยะเวลา 5 เดือน ทำให้ปริมาณการสอบถามและจองการเดินทางสู่ไทยและพื้นที่โดยรอบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนโยบายดังกล่าวช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายราว 500 หยวน (ราว 2,500 บาท)

ด้านข้อมูลจากแพลตฟอร์มผู้ให้บริการด้านการเดินทางหลายรายบ่งชี้ว่าการท่องเที่ยวต่างประเทศได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหยุดยาวเนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์และวันชาติจีนปีนี้ ซึ่งถือเป็นช่วงหยุดยาวแรกหลังจากการท่องเที่ยวต่างประเทศของจีนเปิดกว้างเต็มรูปแบบในขั้นพื้นฐาน โดยสถิติจากแพลตฟอร์มซีทริป ฟลิกกี และอื่นๆ ระบุว่าการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงหยุดยาวดังกล่าวของปีนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 20 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะกลุ่มผู้เชี่ยวชาญมองว่าจีนในฐานะแหล่งนักท่องเที่ยวขาออกขนาดใหญ่ที่สุดของโลกจะมีบทบาทเชิงบวกต่อการฟื้นฟูการท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะหลังจากเร่งเปิดกว้างการเดินทางท่องเที่ยวแบบหมู่คณะหรือกรุ๊ปทัวร์ โดยผลสำรวจจากพีดับบลิวซี (PwC) พบว่าชาวจีนร้อยละ 62 มีแนวโน้มเพิ่มการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ส่งสัญญาณอันดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การบริการ และการค้าปลีก

‘ปูติน’ ประกาศฉลองครบรอบ 1 ปี ผนวก 4 ดินแดนของ ‘ยูเครน’ ยกเป็น ‘วันรวมชาติ’ อ้าง ปชช.ในแคว้นอยากเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย

เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 66 สำนักข่าวเอพี รายงานว่า นายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้กล่าวเน้นย้ำว่า ประชาชนใน 4 ดินแดนของยูเครนที่ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียเมื่อปีที่แล้ว ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย ในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่มีขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายน

ในวิดีโอนาน 4 นาทีที่เผยแพร่เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีการที่รัสเซียได้ผนวกรวม 4 ดินแดนของยูเครน ได้แก่ โดเนตสค์ ลูฮานสค์ ซาปอริซเซีย และเคอร์ซอน เมื่อวันที่ 30 กันยายนปีที่แล้วหลังมีการทำประชามติ ประธานาธิบดีปูตินกล่าวยืนยันว่าการผนวกรวม 4 ดินแดนของยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียนั้นตรงตามแนวปฏิบัติสากลทั้งหมด และอ้างว่าประชาชนใน 4 ดินแดนดังกล่าว ได้แสดงถึงความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอีกครั้งในการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่ทางคณะกรรมการกลางการเลือกตั้งของรัสเซียระบุว่า พรรครัฐบาลของรัสเซียได้คะแนนเสียงมากที่สุด

“เช่นเดียวกับในการทำประชามติครั้งประวัติศาสตร์เมื่อปีที่แล้ว ผู้คนได้แสดงออกและยืนยันอีกครั้งถึงความต้องการที่จะอยู่กับรัสเซียและสนับสนุนเพื่อนร่วมชาติของพวกเขา ที่พิสูจน์แล้วว่าคู่ควรที่จะได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชน ผ่านการลงมือทำงานอย่างจริงจัง” ประธานาธิบดีปูติน กล่าว

อย่างไรก็ดี ชาติตะวันตกได้ประณามการทำประชามติผนวก 4 ดินแดนของยูเครนเมื่อปีที่แล้ว และการเลือกตั้งท้องถิ่นในครั้งนี้ว่า เป็นการเลือกตั้งอย่างปลอมๆ ซึ่งมีขึ้นขณะที่ทางการรัสเซียพยายามที่จะกระชับอำนาจในดินแดนดังกล่าว ที่รัสเซียผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งอย่างผิดกฎหมาย และถึงตอนนี้รัสเซียก็ยังไม่สามารถควบคุมพื้นที่ทั้งหมดของดินแดน 4 แห่งดังกล่าว

นอกจากนั้นแล้ว รัสเซียยังได้จัดคอนเสิร์ตที่จัตุรัสแดง ในกรุงมอสโก เมื่อวันที่ 29 กันยายน เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 1 ปีการผนวกดินแดน 4 แห่งเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย โดยมีประชาชนเข้าร่วมในคอนเสิร์ตดังกล่าวจำนวนมาก และถึงแม้ประธานาธิบดีปูตินจะไม่ได้เข้าร่วมในคอนเสิร์ตดังกล่าว แต่ก็ได้ประกาศให้วันที่ 30 กันยายนเป็น ‘วันรวมชาติ’

‘อินโดนีเซีย’ มีแผนสั่งแบนห้ามซื้อขายสินค้าบน ‘เฟซบุ๊ก-TikTok’ หลังพบขายของประชันราคา ทำให้ผู้ค้าในตลาดทั่วไปรับผลกระทบ

เมื่อไม่นานมานี้ รอยเตอร์รายงาน ว่า ผู้ช่วยรัฐมนตรีพาณิชย์อินโดนีเซียแถลงต่อรัฐสภาอินโดนีเซีย ว่า รัฐบาลแดนอิเหนามีแผนที่จะสั่งห้ามการซื้อขายบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งเฟซบุ๊ก TikTok และอื่นๆ

รัฐมนตรีอินโดนีเซียหลายคนออกมาแสดงความเห็นว่า ผู้ค้าบนโซเชียลมีเดียใช้เล่ห์ทางราคาส่งผลกระทบต่อผู้ขายในตลาดปกติทั่วไปภายในประเทศ

รอยเตอร์ชี้ว่า ปัจจุบันกฎหมายของอินโดนีเซียยังไม่ครอบคลุมในการซื้อขายโดยตรงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

“โซเชียลมีเดียและอีคอมเมิร์ซยังไม่สามารถรวมกันได้” เจอร์รี ซัมบัวกา (Jerry Sambuaga) ผู้ช่วยรัฐมนตรีพาณิชย์อินโดนีเซียแถลงต่อหน้ารัฐสภา พร้อมกันนี้เขายังใช้ตัวอย่างผู้ขายใช้การขายของไลฟ์สดบน TikTok เป็นตัวอย่างให้เห็น

เขากล่าวต่อว่า “การแก้ไขข้อกฎกำหนดทางการค้านั้นกำลังดำเนินการที่จะมีการสั่งห้ามอย่างเข้มงวดและชัดเจนต่อสิ่งนี้”

TikTok ได้กล่าวแถลงตอบโต้ว่า “การแบ่งแยกโซเชียลมีเดียและการซื้อขายทางออนไลน์ออกจากแพลตฟอร์มเดียวจะเป็นการทำลายการสร้างสรรค์ และทางแพลตฟอร์มหวังว่า รัฐบาลอินโดนีเซียจะเปิดโอกาสพื้นที่ให้บริษัท”

โฆษก TikTok ประจำอินโดนีเซียกล่าวผ่านแถลงการณ์วันพุธ (13 ก.ย.) มีใจความว่า “มันจะเป็นการเสียโอกาสสำหรับผู้ค้าอินโดนีเซียและต่อผู้บริโภคทั้งหลาย”

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา TikTok ที่มีผู้ขายถึง 2 ล้านคนในแดนอิเหนาได้เคยออกมาประกาศก่อนหน้าว่า ทางแพลตฟอร์มยังคงไม่มีแผนเปิดธุรกิจข้ามพรมแดนในอินโดนีเซียหลังเจ้าหน้าที่แดนจาการ์ตาได้เคยออกมาเปรยว่า หากทำเช่นนั้นจะส่งผลให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาในอินโดนีเซีย

อ้างอิงข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษา Momentum Works พบว่า อินโดนีเซียที่มีประชากรมากกว่า 270 ล้านคน คิดเป็นเกือบ 52 พันล้านดอลลาร์สำหรับธุรกรรมอีคอมเมิร์ซแค่ในปีที่ผ่านมา

และจากจำนวนทั้งหมดพบว่า 5% อยู่บน TikTok โดยเฉพาะการขายผ่านไลฟ์สตรีม

CNN รายงานเพิ่มเติมว่า บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการทดลองฟอร์แมตใหม่ของการช้อปปิ้งในหลายตลาด เป็นต้นว่าในอังกฤษ และหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ล่าสุด (12 ก.ย.) พบว่า ByteDance เปิดตัว TikTok Shop ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอคลิปสั้นสำหรับธุรกิจสำหรับช่องทางอีคอมเมิร์ซในสหรัฐฯ ที่มีผู้ใช้มากกว่า 150 ล้านยูสเซอร์

ที่ดูเหมือนเป็นการชนกับบริษัทออนไลน์ยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ‘แอมะซอน’ เพราะอ้างอิงจาก engadget พบว่าภายใน TikTok Shop นั้นจะรวมไปถึง Shop Tab สำหรับผู้ค้าที่จะสามารถแสดงสินค้า และวิดีโอที่เกี่ยวข้องจากลูกค้าที่จะทำให้ผู้สร้างได้รายได้ค่าคอมมิชชันและโฆษณาสำหรับธุรกิจ

นอกเหนือจากนี้พบว่า TikTok ยังเปิดบริษัทโลจิสติกส์ขนส่งของตัวเองเพื่อตอบสนองชื่อ Fulfilled by TikTok คล้ายกับ Fulfilled by Amazon ที่จะเชื่อมกับโกดังสินค้าและการขนส่งสำหรับผู้ค้าที่จดทะเบียน

ทั้งนี้ ในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ Nico Le Bourgeois ได้เปิดเผยว่า TikTok Shop นั้นมีผู้ค้าลงทะเบียนแล้วกว่า 200,000 ราย และผู้สร้างสรรค์ไม่ต่ำกว่า 100,000 รายที่ได้เข้าสู่การไลฟ์สตรีมขายสด

Engadget รายงานว่าปัจจุบัน Shop Tab นั้นเปิดให้ผู้ใช้ 40% จากทั้งหมดและคาดว่ารูปแบบเต็มที่จะเปิดให้ผู้ใช้ทั้งหมดในสหรัฐฯ จะมาถึงได้เร็วสุดภายในต้นตุลาคมนี้

CNN รายงานว่า TikTok มีเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดขายทางอีคอมเมิร์ซให้ได้ 4 เท่าภายในสิ้นปี คาดว่าจะแตะ 20 พันล้านดอลลาร์ 

‘ไรเดอร์หัวร้อน’ ลูกค้าไม่รับสาย-ปล่อยให้รอนาน แต่พอเห็นเจ้าตัวออกมารับอาหาร รู้สึกผิดทันที!!

เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 66 เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เมื่อเว็บไซต์ต่างประเทศรายงานว่า โลกออนไลน์ได้การแชร์คลิปสุดพีค หลังจากไรเดอร์หนุ่มชาวมาเลเซียโพสต์คลิปไปส่งอาหารให้ลูกค้า แต่ด้วยความที่ลูกค้าไม่ยอมรับสาย และต้องยืนรอนานท่ามกลางอากาศร้อน ทำให้เขาทั้งโมโหและหงุดหงิดอย่างมาก ก่อนเห็นลูกค้าออกมารับอาหาร ถึงกับรู้สึกผิดเลยทีเดียว

โดยผู้โพสต์เล่าว่า ในวันดังกล่าวเขาส่งอาหารไปยังที่อยู่ที่ระบุ แต่ไม่มีใครรับสาย เขาต้องยืนรอหน้าประตูรั้วบ้าน ท่ามกลางอากาศร้อน ๆ และมีแดดจัด ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจและโกรธ จนกระทั่งมีเสียงในบ้านบอกให้เดินเข้าไปภายในบริเวณบ้าน และเมื่อประตูบ้านเปิดจึงทำให้เขาเห็นว่าลูกค้าที่เขาต้องมาส่งอาหารให้นั้น เป็น ‘ชายพิการนั่งรถเข็น’ ความโกรธของเขาก็กลายเป็นความรู้สึกผิดทันที

ทั้งนี้ แม้ว่าคำสั่งดังกล่าวจะระบุว่า ‘เป็นคำสั่งสำหรับคนพิการ’ แต่เขาไม่ทันได้สังเกตเห็น เขายังบอกด้วยว่า “คุณลุงดูมีความสุขเมื่อได้รับอาหาร เพราะมีคนสั่งอาหารให้เขา” ซึ่งท้ายที่สุดเขาก็กลั้นน้ำตาไม่ไหว ถึงปล่อยโฮออกมาเลยทีเดียว

‘อุรุกวัย’ ผงะ!! พบ ‘แมวน้ำ-สิงโตทะเล’ ตายเกลื่อนหาดร่วม 400 ตัว คาด ‘ไข้หวัดนก’ ระบาด เตือน นทท.เลี่ยงการสัมผัสสัตว์รอบชายหาด

เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 66 ทางการของประเทศอุรุกวัย เปิดเผยว่า พบแมวน้ำและสิงโตทะเลขึ้นมาตายตามแนวชายฝั่งของประเทศเมื่อเร็วๆ นี้ รวมกันแล้วราว 400 ตัว คาดว่ามีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสไข้หวัดนก

ขณะนี้หลายกระทรวงที่เกี่ยวข้องของอุรุกวัย กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หลังจากตรวจพบเชื้อไวรัส ‘ไข้หวัดนก H5’ ในสิงโตทะเลตัวหนึ่งเป็นครั้งแรก บนชายหาดของกรุงมอนเตวิเดโอ ซึ่งมีแม่น้ำเพลตไหลผ่านลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติก

โดยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เสียชีวิตเหล่านี้ ถูกพบบนชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและริมแม่น้ำ ซึ่งจนถึงตอนนี้ได้มีการฝังซากสิงโตทะเลและแมวน้ำที่พบตายบนหาดไปแล้ว 350 ตัว

‘คาร์เมน เลซาโกเยน’ หัวหน้ากรมสัตว์ประจำถิ่น กระทรวงสิ่งแวดล้อมของอุรุกวัย กล่าวว่า นี่เป็นสถานการณ์ที่มีพัฒนาการอยู่ในขณะนี้ และเราเชื่อมาจากเชื้อไข้หวัดที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ และเราต้องรอจนกว่าสัตว์เหล่านั้นจะมีภูมิคุ้มกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด

อย่างไรก็ตาม ‘อุรุกวัย’ ถือเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสิงโตทะเลและแมวน้ำ กว่าประมาณ 315,000 ตัว หลังเกิดสถานการณ์ข้างต้นขึ้น ทางการอุรุกวัยก็ได้ร้องขอให้ผู้ที่มาเที่ยวชมหาดอยู่ให้ห่างสัตว์เหล่านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสติดเชื้อไวรัสดังกล่าว ขณะที่การติดเชื้อไข้หวัดนกในมนุษย์ยังเกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้

‘ชายวัย 32 ปี’ บุกกราดยิง รพ.มหาวิทยาลัยแพทย์ใน ‘เนเธอร์แลนด์’ ทำ ‘หมอ-พยาบาล-คนไข้’ วิ่งหนีตายระทึก พบมีผู้เสียชีวิต 3 ราย

(29 ก.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ รายงานว่า มีชายวัย 32 ปีได้สวมชุดนักรบและเสื้อเกราะกันกระสุนบุกเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ที่อยู่ติดกับบ้านของตัวเอง ก่อเหตุกราดยิง 2 ครั้งในเมืองรอตเตอร์ดัม ของประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 3 ราย โดยเป็นหญิงวัย 39 ปี และลูกสาว วัย 14 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา

หลังจากนั้น มือปืนได้บุกเข้าไปที่ห้องเรียนในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอีราสมุส เอ็มซี และยิงอาจารย์วัย 46 ปีเสียชีวิตเป็นรายต่อไป

ก่อนจะเปิดฉากยิงขึ้นอีกครั้งภายในอาคารโรงพยาบาลดังกล่าว ทำให้แพทย์ พยาบาล และคนไข้แตกตื่น จนต้องหนีมาอยู่นอกอาคาร ก่อนที่ตำรวจจะเข้าควบคุมสถานการณ์ และคุมตัวมือปืนไปสอบสวน เพื่อหาสาเหตุและแรงจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้ จากการตรวจสอบประวัติพบว่า มือปืนรายนี้ชอบทรมานสัตว์ และเคยทรมานกระต่ายที่เขาเลี้ยงเอาไว้

สหรัฐฯ ชี้!! จีนพยายามก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก หวังครอบงำโลกในด้านการทหาร-เศรษฐกิจ-การทูต

(29 ก.ย. 66) นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ออกมาระบุว่า จีนกำลังพยายามที่จะแซงหน้าสหรัฐเพื่อก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจโลก หลังถูกตามในเวทีที่จัดขึ้นโดยนิตยสารแอตแลนติก เมื่อวันที่ 28 กันยายน

เมื่อถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขามองว่าเป็นความมุ่งหมายของจีน บลิงเกนกล่าวว่า “ผมคิดว่าสิ่งที่จีนต้องการคือการเป็นมหาอำนาจที่ครอบงำโลก ทั้งด้านการทหาร เศรษฐกิจ และการทูต นั่นคือสิ่งที่สี จิ้นผิง กำลังพยายามทำ

อย่างไรก็ดี บลิงเกนรับว่า ในแง่หนึ่งมันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะจีนมีประวัติศาสตร์ที่ไม่ธรรมดา ถ้าคุณมองและฟังผู้นำจีน พวกเขากำลังพยายามกอบกู้สิ่งที่พวกเขาเชื่อว่า เป็นที่ทางอันถูกต้องของพวกเขาบนโลกนี้

บลิงเกนยังกล่าวด้วยว่า เดิมพันในเรื่องไต้หวันนั้นสูงเป็นพิเศษ เพราะไต้หวันมีบทบาทในเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการเป็นศูนย์กลางของเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง หากมีวิกฤตที่ไต้หวันซึ่งมาจากการกระทำของจีน ก็จะทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก

“ผมคิดว่าสิ่งที่จีนได้ยินเพิ่มขึ้นจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกคืออย่ากวนน้ำให้ขุ่น เราต้องการ และทุกคนก็ต้องการ สันติภาพและความมั่นคง ทุกคนต้องการให้มีการรักษาสถานะที่ดำรงอยู่ในขณะนี้ต่อไป” บลิงเกนกล่าว

ก่อนหน้านี้บลิงเกนเคยพูดอ้อมๆ ถึงความปรารถนาของจีนที่จะปรับเปลี่ยนระเบียบโลก และฝ่ายบริหารของสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่แม้จะกดดันจีนอย่างชัดเจน แต่ก็ยังพยายามที่จะเจรจาด้วยความหวังว่าจะจัดการกับความตึงเครียดระหว่างกัน ซึ่งนำไปสู่การเยือนจีนของบลิงเกนในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเท่าใดนัก

‘ญี่ปุ่น’ เตรียมปล่อยน้ำปนเปื้อนรังสีอีกครั้ง 5 ต.ค.นี้ ท่ามกลางเสียงค้านจากนานาประเทศที่ยังคงกึกก้อง

(29 ก.ย. 66) สำนักข่าวอินโฟเควสท์ รายงานว่า ‘บริษัท โตเกียว อิเล็กทริก เพาเวอร์ โค’ (เทปโก้) ผู้บริหารโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ไดอิจิ เปิดเผยว่า ทางบริษัทจะทำการปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีครั้งใหม่ ในวันที่ 5 ต.ค.นี้

‘เทปโก้’ เปิดเผยว่า การปล่อยน้ำปนเปื้อนรังสีที่ผ่านการบำบัดในรอบนี้จะใช้เวลา 17 วัน โดยจะมีการปล่อยน้ำจำนวน 7,800 ตัน ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับการปล่อยน้ำในรอบแรก ซึ่งเริ่มขึ้นในวันที่ 24 ส.ค. และเสร็จสิ้นในวันที่ 11 ก.ย.

เทปโก้จะเริ่มเตรียมการในวันที่ 3 ต.ค.เพื่อยืนยันระดับสารทริเทียม ก่อนที่จะมีการปล่อยน้ำปนเปื้อนรังสีครั้งใหม่

‘ไมเคิล แกมบอน’ เจ้าของบท ‘ศ.อัลบัส ดัมเบิลดอร์’ เสียชีวิตแล้วในวัย 82 ปี หลังจากป่วยโรคปอดบวม

(29 ก.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เซอร์ไมเคิล แกมบอน นักแสดงชาวอังกฤษเชื้อสายไอร์แลนด์ ผู้รับบทศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนฮอว์กวอตส์ ในภาพยนตร์แฟรนไชส์ดังอย่าง ‘แฮร์รี พอตเตอร์’ ได้เสียชีวิตลงแล้วอย่างสงบในวัย 82 ปี ที่โรงพยาบาล

จากการแถลงการณ์ของเลดี้แกมบอน (ภรรยา) และเฟอร์กัส (ลูกชาย) ระบุว่า "เราเสียใจอย่างยิ่งที่ต้องประกาศการสูญเสียเซอร์ไมเคิล แกมบอนที่เป็นทั้งสามีและพ่ออันเป็นที่รัก เขาเสียชีวิตอย่างสงบในโรงพยาบาล โดยมีแอนน์ ภรรยาของเขาและเฟอร์กัส ลูกชายอยู่ข้างเตียง หลังจากป่วยด้วยโรคปอดบวม"

เซอร์ไมเคิล แกมบอน เกิดที่เมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์เมื่อปี 1940 แต่ย้ายไปอยู่ลอนดอนตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาเติบโตขึ้นมาในชุมชนผู้อพยพชาวไอริชในแคมเดน และงานแรกของเขาคือช่างทำเครื่องมือฝึกหัด เขาเริ่มมีความหลงใหลในปืนโบราณ นาฬิกา และรถคลาสสิก

เริ่มต้นเส้นทางการแสดงจากการเป็นหนึ่งในสมาชิกของโรงละครรอยัล เนชันแนล เธียเตอร์ ในกรุงลอนดอน และได้แสดงในบทประพันธ์ของเชกสเปียร์หลายเรื่อง ทั้งยังได้รับพระราชทานเครื่องราชชั้นอัศวินจากการทำงานในแวดวงอุตสาหกรรมบันเทิงในปี 1998 แต่ที่เป็นที่โด่งดังที่สุดกับการรับบทศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนฮอว์กวอตส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวละครดังในภาพยนตร์เรื่องดัง ‘แฮร์รี พอตเตอร์’ ผลงานเขียนของ เจ.เค. โรว์ลิง นักเขียนนวนิยายคนดัง
 

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ชื่นชมไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนอบอุ่น ย้ำชัด!! ‘จีน-ไทยมิใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’

นายวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงว่า จีนยินดีที่ประเทศไทยใช้นโยบายยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าประเทศไทยเป็นระยะสั้น ทั้งชื่นชมนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทยที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นเป็นมิตรกับพลเมืองจีนที่เดินหน้าเข้าประเทศไทย

หลังวันที่ 25 กันยายน ที่ผ่านมา ประเทศไทยใช้นโยบายยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวจีน ระยะเวลา 5 เดือน โฆษกจีนแถลงว่า จีน-ไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้านฉันมิตรและประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน การเพิ่มการไปมาหาสู่กันทางบุคลากรเป็นสิ่งอันพึงมีในการสานสัมพันธ์ ‘จีน-ไทยมิใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’ และเป็นส่วนสำคัญในการเดินหน้าสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของจีน-ไทยในสมัยใหม่ ทั้งนี้จีนยินดีร่วมกับประเทศไทย ขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว การศึกษา วัฒนธรรมและแวดวงอื่น ๆ มากขึ้น ให้ประชาชนจีน-ไทยเป็นมิตรกันมากขึ้น

รู้จักแอปฯ อัจฉริยะ ‘DingTalk for Asian Games’ เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของ ‘เอเชียนเกมส์หางโจว’

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 66 เผยโฉมโซลูชัน ‘DingTalk for Asian Games’ หัวใจของการจัดงาน ‘เอเชียนเกมส์หางโจว’ เป็น ‘DingTalk’ เวอร์ชันที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดงานเอเชียนเกมส์ครั้งนี้

เบื้องหน้าของมหกรรมกีฬายิ่งใหญ่ มีเบื้องหลังที่แสนอัจฉริยะ ‘DingTalk for Asian Games’ เป็นดิจิทัลโซลูชันคลาวด์-เนทีฟที่ทำงานและบริหารจัดการบนคลาวด์ที่เสถียร ปรับขนาดได้ และปลอดภัย เป็นเครื่องมือทำงานร่วมกันแบบ one-stop ที่เชื่อมโยงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดในทุกขั้นตอนของการจัดการแข่งขันเอเชียนเกมส์หางโจว ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา ผู้จัดงาน ซัพพลายเออร์ ไปจนถึงอาสาสมัคร และผู้ดำเนินงานที่ประจำอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ครอบคลุมทุกรูปแบบการทำงาน เช่น การอนุมัติด้านการบริหาร การประชุม การฝึกซ้อม การสนับสนุนของสปอนเซอร์ การตรวจสอบสภาพอากาศ การสนับสนุนทางการแพทย์ รวมถึงระบบพิเศษสำหรับการแพร่ภาพวิดีโอ การบริหารจัดการด้านไอที และการบริหารจัดการด้านอาสาสมัคร

‘อเล็กซ์ ลี’ รองประธานของ DingTalk กล่าวว่า “เราตื่นเต้นที่จะได้มอบโซลูชันนี้ที่จะช่วยให้ผู้จัดงานและการดำเนินงานของหางโจวเอเชียนเกมส์มีประสิทธิภาพมากขึ้น DingTalk มีบทบาทสำคัญมากต่อเอเชียนเกมส์ครั้งนี้ และเป็นโอกาสสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีช่วยให้การจัดงานที่มีขนาดใหญ่ระดับนี้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้อย่างไร

DingTalk for Asian Games ไม่เพียงเชื่อมต่อผู้คนให้ทำงานร่วมกันได้เท่านั้น แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มที่เป็นศูนย์รวมผู้ใช้ที่มีจุดประสงค์และความสนใจร่วมกันไว้ด้วยกัน เราเชื่อว่าเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นแน่นอนสำหรับการจัดงานกีฬาขนาดใหญ่ในอนาคต คือ จำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มที่ชาญฉลาดเอาไว้ทำงานร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการจัดการด้านการสื่อสารของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย”

นั่นหมายความว่า ในแง่ของการแข่งขัน DingTalk for Asian Games มีบทบาทช่วยให้การแข่งขันมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น มีความสะดวก ถูกต้องแม่นยำ สมกับความเป็นแพลตฟอร์มอัจฉริยะ

ในแง่ของการประสานงาน เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วย ‘DingTalk for Asian Games’ มีลักษณะเป็นโครงสร้างองค์กรแบบแนวราบ (flat organizational structure) ที่เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครนับหมื่นคนแสดงตัวและสื่อสารซึ่งกันและกัน สื่อสารกับพันธมิตรภายนอก ตลอดจนแบ่งปันข้อมูลและจัดประชุมต่างๆ ได้ง่ายๆ

นอกจากนี้ DingTalk for Asian Games ใช้ความสามารถของบริการ Alibaba Cloud Machine Translation ที่ใช้เทคโนโลยี deep learning และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP) ที่มีประสิทธิภาพระดับแนวหน้าของบริษัทฯ จึงแปลภาษาแบบเรียลไทม์ได้อย่างอัจฉริยะถึง 14 ภาษา รวมถึงภาษาจีน อังกฤษ ญี่ปุ่น และไทย นับเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างพนักงานและผู้เข้าร่วมงานจากนานาประเทศ

ในการใช้งาน ‘DingTalk for Asian Games’ ก็นับว่าค่อนข้างเข้าถึงง่าย เพราะได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานกับสมาร์ทโฟน เชื่อมต่อภาพและเสียงระหว่างผู้ใช้และศูนย์ปฏิบัติการหลักของการแข่งขัน (main operation center : MOC) ได้ทันที จะช่วยให้ MOC ติดต่อกับพนักงานและสถานที่จัดงานทั้งหมด เพื่อทำการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ไม่เพียงแค่นั้น DingTalk for Asian Games ยังมีคุณสมบัติอีกหลายอย่างที่จะเป็นตัวช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องกับเอเชียนเกมส์ประสานงานและทำงานสะดวกมากๆ ดังนี้

สร้างการทำงานแบบไร้ขีดจำกัด
‘DingTalk for Asian Games’ ช่วยให้เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครทุกคนทำงานใกล้ชิดกันโดยไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่ทำงานโดยเฉพาะ ทุกคนทำงานร่วมกัน ผ่านการพรีวิวและรีวิวออนไลน์ แก้ไขได้แบบเรียลไทม์ และจัดการกับระบบจัดเก็บการเปลี่ยนแปลง (version control) ที่เกิดขึ้นกับเอกสารนั้นๆ ได้

ประสิทธิภาพของ DingTalk for Asian Games ช่วยให้ประมวลผลคำขออนุมัติ ครอบคลุมบริการด้านการบริหารต่างๆ การใช้สินทรัพย์ การยื่นใบรับรองของซัพพลายเออร์ กิจกรรมทางการตลาด และอื่นๆ อีกมากมาย โดยที่ไม่ต้องใช้กระดาษแม้แต่แผ่นเดียว

ทำงานโดย AI สุดอัจฉริยะ
‘DingTalk for Asian Games’ ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)  ทำให้เข้าใจ ตอบสนอง และสร้างคอนเทนต์ เพื่อรองรับความต้องการหลากหลายระหว่างการเตรียมงาน เช่น เมื่อนำแชตบอท ที่ built-in อยู่ใน DingTalk มาใช้ในกรุ๊ปแชตของเอเชียนเกมส์ จะตอบคำถามที่เกี่ยวกับการแข่งขันต่างๆ ได้อัตโนมัติอย่างรวดเร็ว โดยการวิเคราะห์และดึงข้อมูลจากเนื้อหาและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการแข่งขัน รวมถึงกติกาการแข่งขัน และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคำถาม ผู้ใช้จะย่อยเนื้อหาเพื่อดึงประเด็นสำคัญ หรือใช้เพื่อทำข่าวประชาสัมพันธ์ ได้ง่ายยิ่งขึ้น

ใช้งานง่าย
‘DingTalk for Asian Games’ ออกแบบมาให้มีฟีเจอร์ low-code ต่างๆ ที่ช่วยให้ผู้ใช้พัฒนาแอปพลิเคชันของตนเองและปรับให้เหมาะและเจาะจงกับสถานการณ์ใหม่ๆ เช่น แอปพลิเคชันนัดหมายที่เป็นแบบ low-code ซึ่งได้รับการพัฒนาเพื่อให้นักกีฬานัดหมายการฝึกซ้อมได้สะดวกและได้ผลดีมากขึ้น นักกีฬาตรวจสอบความพร้อมของสถานที่ฝึกซ้อมในสนามกีฬาเอเชียนเกมส์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของเมืองหางโจวและเมืองใกล้เคียงได้อย่างง่ายดาย และจองสถานที่สำหรับฝึกซ้อมล่วงหน้าผ่าน mini app บน DingTalk for Asian Games

‘เกอ จาง’ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิทยุ โทรทัศน์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะกรรมการจัดงานเอเชียนเกมส์หางโจว ให้ข้อมูลว่า…

“ความร่วมมืออย่างเต็มกำลังระหว่างคณะกรรมการจัดงานเอเชียนเกมส์หางโจว และ DingTalk ช่วยให้ DingTalk for Asian Games ประสบความสำเร็จในการประสานความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ขององค์กรออนไลน์ การสื่อสารออนไลน์ และธุรกิจออนไลน์ ให้ผู้เข้าร่วมงานทุกระดับ ทุกแผนก และทุกภูมิภาค DingTalk for Asian Games ไม่เพียงทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลของหางโจวเป็นรูปธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นทรัพย์สินและประสบการณ์อันมีค่าที่หางโจวต้องการมอบให้การแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติต่างๆ ในอนาคตด้วย”

สละตั๋ว 11 ใบ ของขวัญพิเศษจาก ‘คนจีน’ แก่ ‘เทนนิส พาณิภัค’ หลัง ‘ครอบครัววงศ์พัฒนกิจ’ ตามมาเชียร์ แต่บัตรหมดเกลี้ยง

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, หางโจว รายงานข่าวนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทยชื่อดังอย่าง ‘พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ’ หรือ ‘เทนนิส’ ชัยชนะของเธอจากการแข่งขันเทควันโดหญิง รุ่น 49 กิโลกรัม ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 หรือ ‘หางโจว เอเชียนเกมส์’ ณ นครหางโจว มณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน มีความหมายมากกว่าเหรียญทอง โดยเฉพาะเมื่อครอบครัวของเธอได้รับบัตรเข้าชมการแข่งขันฟรีจากคนท้องถิ่นถึง 11 ใบ

โดยก่อนการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศกับ ‘กัวชิง’ นักกีฬาของจีน ครอบครัวของเทนนิสวนเวียนอยู่ใกล้สำนักงานจำหน่ายบัตรเข้าชมอย่างกังวลใจ รวมถึงทารกน้อยที่เดินทางไกลจากไทยมาให้กำลังใจเธอ โดยพี่สาวของเทนนิสเล่าว่า เธอกับพ่อมักมาให้กำลังใจน้องสาวเสมอ และการแข่งขันเอเชียนเกมส์ครั้งนี้ ครอบครัวทั้ง 12 คน ได้เดินทางมาถึงหางโจวเพื่อเชียร์เธอ ซึ่งตอนมาถึงสนามแข่งขัน พวกเขามุ่งหน้าไปซื้อบัตรเข้าชมทันทีแต่พบว่าบัตรได้ขายหมดแล้ว

การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศนี้ได้รับความสนใจจากบรรดาผู้ชมอย่างมาก เนื่องด้วยชื่อเสียงของกัวชิงในฐานะตัวเต็ง ครั้นเจ้าหน้าที่ประจำสนามแข่งขันเทควันโดรับทราบสถานการณ์ข้างต้นของครอบครัววงศ์พัฒนกิจแล้ว มีการแจ้งข่าวถึงสื่อท้องถิ่นมารายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งเพียง 2 ชั่วโมงหลังจากนั้น คนท้องถิ่นผู้มีน้ำใจ 11 คน ได้เข้ามาบริจาคบัตรเข้าชม เพื่อเป็นกำลังใจให้ครอบครัววงศ์พัฒนกิจ

‘เหยียนเยี่ยน’ หนึ่งในผู้บริจาคบัตรเข้าชม เผยว่า เธอสามารถหาโอกาสชมการแข่งขันในอนาคตได้ และอยากให้ความสำคัญกับแขกจากต่างบ้านต่างเมืองก่อน ซึ่งนี่เป็นอีกวิธีแสดงการสนับสนุนการแข่งขันเอเชียนเกมส์ด้วย โดยเหยียนเสริมว่า สำหรับสมาชิกครอบครัววงศ์พัฒนกิจที่เดินทางมาไกลมาก หากพลาดชมการแข่งขันคงจะเสียใจไม่น้อย ดังนั้น ทุกคนที่เข้าใจความรู้สึกนี้ดีจึงเต็มใจมอบความช่วยเหลือ

ด้านพี่สาวของเทนนิสถึงกับน้ำตารื้นหลังจากรับบัตรเข้าชม เผยว่าเธอซาบซึ้งใจอย่างมากกับความช่วยเหลือทั้งหมด ทำให้ครอบครัววงศ์พัฒนกิจมีความสุขมาก

โดยท้ายที่สุด ครอบครัววงศ์พัฒนกิจได้ร่วมเป็นสักขีพยาน ในการขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นรับเหรียญรางวัลของนักกีฬาสาวชาวไทย ขณะเทนนิสขอบคุณผู้มอบโอกาสให้ครอบครัวของเธอได้เข้ามาเป็นกำลังใจระหว่างการแข่งขัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่มีความหมายกับเธอมาก พร้อมย้ำว่า ขอบคุณจากใจจริงสำหรับความอบอุ่นและน้ำใจจากเพื่อนๆ ชาวจีน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top