Wednesday, 2 July 2025
WORLD

'จีน' ได้รับเลือกเป็นสมาชิก UNHRC สมัยที่ 6 ถือเป็นหนึ่งในรัฐที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกบ่อยที่สุด

(11 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า จีนได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC: United Nations Human Rights Council) สมัยที่ 6 ทำให้จีนเป็นหนึ่งในรัฐที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีฯ บ่อยที่สุด โดยก่อนหน้านี้จีนได้เป็นสมาชิกคณะมนตรีฯ ในปี 2006-2012 (ได้รับเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2009) ปี 2014-2016 ปี 2017-2019 และปี 2021-2023 ส่งผลให้จีนเป็น 1 ใน 15 รัฐที่ได้รับเลือกตั้งผ่านการลงคะแนนเสียงแบบลับโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติให้อยู่ในคณะมนตรีฯ อันมีสมาชิก 47 ราย เป็นระยะเวลา 3 ปี เริ่มต้นวันที่ 1 มกราคม 2024 (พ.ศ. 2567)

สำหรับ UNHRC มีชื่อเรียกย่อๆ ว่า HRC เป็น กลไกระหว่างรัฐ จัดตั้งขึ้นตามข้อมติ สมัชชาแห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2549 โดยมีหน้าที่สำคัญในการสอดส่องดูแลการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพื่อหยุดยั้งการละเมิดสิทธิ มนุษยชน

ระบบสกัดกั้นขีปนาวุธอัจฉริยะ เกราะป้องกันภัยหมื่นล้านของ ‘อิสราเอล’ ตรวจจับอันตรายด้วยเรดาร์ พร้อมหน่วยยิง Tamir คล่องตัว-แม่นยำสูง

‘Iron Dome’ เกราะป้องกันขีปนาวุธของอิสราเอล… ทำงานอย่างไร?

ในท้องฟ้ายามค่ำคืนมองเห็นจรวดที่ยิงจาก Beit Lahiya ทางตอนเหนือของฉนวน Gaza ไปยังอิสราเอล เส้นแสงที่โค้งไปมาคือ ‘ระบบสกัดกั้น’ (Iron Dome)

ความรุนแรงที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี ระหว่างอิสราเอลและฮามาสที่ปกครองฉนวน Gaza ทำให้เกิดการเผชิญหน้าอันน่าตื่นตะลึง โดยฮามาสและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์อื่น ๆ ยิงจรวดถล่มใส่อิสราเอลมากกว่า 5,000 ลูก ในช่วงไม่กี่วันผ่านมา แต่จรวดของฮามาสและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์อื่น ๆ ยิงประมาณ 90% ถูกสกัดกั้นโดย ‘ระบบป้องกันขีปนาวุธ’ (Iron Dome) จากแถลงการณ์ของกองทัพอิสราเอล 

‘ระบบป้องกันขีปนาวุธ’ (Iron Dome) ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากจรวดและปืนใหญ่ ในระยะตั้งแต่ 4 กม. ถึง 70 กม. (2.5 ไมล์ ถึง 43 ไมล์) ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาเพื่อขยายระยะไปถึง 250 กม.

ระบบนี้เกิดจากการที่อิสราเอลสู้รบกับ ‘ขบวนการฮิซบอลเลาะห์’ (Hezbollah) กลุ่มติดอาวุธในเลบานอนในปี 2006 มีการยิงจรวดหลายพันลูกเข้าสู่อิสราเอล ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง มีการอพยพผู้คนจำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย หลังจากนั้น อิสราเอลจึงเริ่มการพัฒนาเกราะป้องกันจรวดขึ้น

‘Iron Dome’ ซึ่งสร้างขึ้นโดย ‘Rafael Advanced Defense Systems’ บริษัทอิสราเอล ร่วมกับ ‘Israel Aerospace Industries’ โดยได้รับการสนับสนุนทางการเงินและทางเทคนิคจากสหรัฐฯ เริ่มประจำการในปี 2011 Iron Dome ถือเป็นระบบป้องกันจรวดที่ทันสมัยที่สุดในโลก ใช้เรดาร์เพื่อตรวจจับ ประเมิน และสกัดกั้นเป้าหมายระยะสั้นที่หลากหลาย เช่น จรวด ปืนใหญ่ และปืนครก รวมถึงภัยคุกคามที่เข้ามาก่อนที่จะสร้างความเสียหาย เช่น จรวดที่ยิงจากฉนวน Gaza ระบบป้องกันขีปนาวุธ Iron Dome ใช้งานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอดจนถึงในทุกสภาพอากาศ รวมถึงเมฆต่ำ ฝน พายุฝุ่น และหมอก 

‘Iron Dome’ ใช้งบประมาณในการพัฒนาสูงมาก แต่ผู้ผลิตกล่าวว่ามีความคุ้มค่า เนื่องจากเทคโนโลยีที่ใช้มีความสามารถในการแยกความแตกต่างระหว่าง จรวดที่มีแนวโน้มที่จะโจมตีพื้นที่ที่จะสร้างความเสียหาย และไม่สกัดกั้นจรวดที่จะตกในพื้นที่ที่ไม่สร้างความเสียหาย ขีปนาวุธจะถูกยิงเพื่อสกัดกั้นสิ่งใดก็ตามที่ถูกระบุความว่า ‘สร้างความเสียหายจนเป็นอันตราย’ เท่านั้น

Iron Dome มีส่วนประกอบหลัก 3 อย่าง :
1.) เรดาร์ตรวจจับและติดตาม : ระบบเรดาร์สร้างโดย Elta ของอิสราเอล และบริษัทในเครือของ Israel Aerospace Industries และ IDF

2.) การจัดการการรบและการควบคุมอาวุธ (BMC) : ศูนย์ควบคุมถูกสร้างขึ้นสำหรับ Rafael โดย mPrest Systems ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ของอิสราเอล

3. ) หน่วยยิงขีปนาวุธ : หน่วยยิงขีปนาวุธสกัดกั้น Tamir ซึ่งติดตั้งเซ็นเซอร์ไฟฟ้าออปติกและครีบบังคับเลี้ยวหลายอันเพื่อความคล่องตัวสูง ขีปนาวุธนี้สร้างโดย Rafael โดย EL/M-2084 เรดาร์ของระบบจะตรวจจับการปล่อยจรวดและติดตามวิถีของมัน BMC จะคำนวณจุดผลกระทบตามข้อมูลที่รายงาน และใช้ข้อมูลนี้เพื่อพิจารณาว่าเป้าหมายถือเป็นภัยคุกคามต่อพื้นที่ที่กำหนดหรือไม่ เฉพาะเมื่อมีการระบุภัยคุกคามแล้ว ขีปนาวุธสกัดกั้นจะถูกยิงเพื่อทำลายจรวดที่เข้ามาก่อนที่จะถึงพื้นที่ที่คาดการณ์ไว้ว่าจะชน

กว่าหนึ่งทศวรรษนับตั้งแต่ Iron Dome เข้าประจำการ ปัจจุบันอิสราเอลมีชุดยิงของ Iron Dome 10 ชุดที่ประจำการอยู่ทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดยิงของ Iron Dome ประกอบด้วย 20 ท่อยิงขีปนาวุธ ซึ่งสามารถสกัดกั้นจรวดได้ราว 1 ต่อ 5 โดยมีความแม่นยำราว 96.5% ระบบ Iron Dome สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวกมากและใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการติดตั้ง และขีปนาวุธสกัดกั้น Tamir มีความคล่องตัวสูง มีความยาว 3 เมตร (เกือบ 10 ฟุต) มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ว (15 ซม.) และมีน้ำหนัก 90 กิโลกรัม (198 ปอนด์) แต่ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน Iron Dome อาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่จรวดของฮามาสแม้ว่าจะดูหยาบและไม่มีระบบนำทาง แต่จำนวนที่แท้จริงและต้นทุนที่ต่ำของจรวดเหล่านี้ก็เป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับ Iron Drome ด้วยจรวดของฮามาสอาจมีราคาเพียงไม่กี่ร้อยดอลลาร์ แต่ราคาขีปนาวุธที่ใช้ในระบบ Iron Drome แต่ละลูกมีราคาประมาณ 40,000 เหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น การสกัดกั้นจรวดที่เข้ามานับพันลูก อิสราเอลจึงมีค่าใช้จ่ายมหาศาล ที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทุ่มเงินกว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์ให้แก่อิสราเอล เพื่อสนับสนุนโครงการ Iron Dome มาแล้ว

เวอร์ชันกองทัพสหรัฐฯ ในปี 2019 กองทัพสหรัฐฯ ได้ประกาศความตั้งใจที่จะซื้อระบบ Iron Dome 2 ชุดยิง เพื่อเติมเต็มความต้องการความสามารถในการป้องกันจรวด ด้วยความสนใจในความสามารถเฉพาะตัวของ Iron Dome ของสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ ‘Raytheon’ จึงได้เปิดตัวระบบ SkyHunter โดยความร่วมมือกับ ‘Rafael’ ด้วยพื้นฐานจาก Iron Dome ทำให้ SkyHunter สามารถผลิตได้ในสหรัฐอเมริกา เพื่อขยายความพร้อมใช้งานและขีดความสามารถสำหรับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร ระบบเหล่านี้ป้องกันระดับพื้นฐาน โดย Raytheon ยังร่วมมือกับ Rafael ในระบบ David's Sling System ซึ่งป้องกันในระดับที่มีความก้าวหน้ากว่า

'ยูเครน' เผยงบประมาณ 'ป้องกันประเทศ' ปี 2024  ตัวเลขสูง 1.71 ล้านล้านบาท หรือ 21.6% ของจีดีพี

(11 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว เผย เมื่อวันที่ 10 ต.ค.66 สื่อท้องถิ่นยูเครน รายงานว่า โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ได้ลงนามกฤษฎีกาว่าด้วยการใช้จ่ายงบประมาณการป้องกันประเทศอย่างน้อยร้อยละ 21.6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2024

รายงานระบุว่ากฤษฎีกาของประธานาธิบดีนี้ ซึ่งส่งผลให้มติของสภาความมั่นคงแห่งชาติและการป้องกันประเทศมีผลบังคับใช้ กำหนดว่างบประมาณการป้องกันประเทศของยูเครนในปี 2024 จะไม่น้อยกว่า 1.69 ล้านล้านฮริฟเนีย (ราว 1.71 ล้านล้านบาท)

กฤษฎีกานี้ชี้แนะรัฐบาลจัดลำดับความสำคัญของการจัดหาเงินทุนของภาคการป้องกันประเทศในร่างงบประมาณรัฐ ปี 2024 โดยอ้างอิงสถานการณ์ทางการทหารและการเมืองในปัจจุบัน

อนึ่ง รายละเอียดงบประมาณของยูเครนในปี 2023 ประเมินว่าการใช้จ่ายงบประมาณด้านการป้องกันประเทศจะอยู่ที่ 1.14 ล้านล้านฮริฟเนีย (ราว 1.15 ล้านล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ 18.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ

‘สาว’ แชร์ภาพ ‘ห้องเช่ารูหนู’ เล็กเหมือนโลงศพ ที่สิงคโปร์ แถมค่าเช่ายังมหาโหด 17,000 บาท ลั่น!! จ้างก็ไม่อยู่

เมื่อวานนี้ (10 ต.ค. 66) กระแสไวรัลในโลกออนไลน์ไต้หวันกำลังพูดถึงค่าใช้จ่ายมหาศาลจากการเช่าบ้านกลับได้พื้นที่ขนาดเล็กไม่สมกับราคา โดยชาวเน็ตสาวรายหนึ่งออกมาโพสต์กลุ่มเฟซบุ๊กเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่พบเจอเกี่ยวกับบ้านเช่า

โดยเธอแชร์รูปภาพห้องเช่าแบ่งย่อยที่ชาวฮ่องกงเห็นในเว็บไซต์เช่าบ้าน ระบุว่า “กว่าจะอยู่ฮ่องกงไม่ง่ายเลย นี่คือห้องเช่าในฮ่องกงแบบห้องน้ำเป็นรวม ความรู้สึกนี้เล็กกว่าโลงศพ ตื่นมาแล้วต้องกังวลว่าจะหัวชนกัน ถ้าตู้นั้นยังไม่ได้ตอกตะปูแน่น ๆ ก็ดูท่าจะสู่ขิตได้นะ แล้วคุณจะซื้อที่นอนมั้ย ห้องเท่านี้ราคาเช่า 8000 ดอลลาร์ไต้หวัน (9,177บาท) เลยทีเดียว”

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่คล้ายกันนี้ก็เกิดขึ้นในสิงคโปร์เช่นกัน ชาวเน็ตหญิงคนหนึ่งเปิดเผยในแอปฯ เสี่ยวฮงซูว่า เจ้าของบ้านชาวสิงคโปร์ให้เช่า ‘ห้องเก็บของ’ จริง ๆ ดังที่เห็นในภาพถ่ายเป็นภาพห้องเปิดโล่งไม่มีหน้าต่างออกไปด้านนอกในห้องมีเพียงเตียงเดี่ยวและชั้นเก็บของเล็ก ๆ แถมพื้นที่ยืนยังมีจำกัดมาก และค่าเช่ารายเดือนสูงถึง 650 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 17,552 บาท)

นอกจากนี้ เจ้าของโพสต์ยังเผยว่า “ค่าเช่าแบบนี้ถูกกฎหมายจริง ๆ เหรอ ไม่มีแม้แต่ที่นอนด้วย (เจ้าของบ้าน) คลั่งไคล้เรื่องเงินมาก” เธอยังชี้ให้เห็นว่า จ้างให้อยู่แค่จ่ายค่าเช่า 200 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 5,393 บาท) เธอก็ไม่คิดที่จะอยู่ แถมบอกว่าถ้าอยู่ในห้องแบบนี้ “ร่างกายจะถูกทำลาย”

ทันทีที่โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ก็เกิดการถกเถียงกันและหลายคนแนะนำว่าควร รายงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง “17,000 ก็เกินไปครับ ผมเข้าใจว่าบางคนจะเช่าที่แบบนี้เพื่อประหยัดเงินเพราะเจ้าของบ้านผมก็เช่าเหมือนกันแต่เขาเช่าในราคาที่ต่ำมากเพราะเงินเดือนไม่สูง” , “อากาศไม่หมุนเวียน ความชื้นก็หนัก ภูมิคุ้มกันของฉันลดลงหลังจากอาศัยอยู่ที่นั่นได้หนึ่งเดือน” , “แนะนำให้ผู้เขียนรายงานเรื่องนี้อย่างยิ่ง ผิดกฎหมาย” , “เกือบจะเหมือนกับสิ่งที่ฉันเช่า”

‘สหรัฐฯ’ เร่งส่ง ‘เรือรบ-เครื่องบินรบ’ ครบชุดให้อิสราเอล หนุนตอบโต้การโจมตีของกลุ่มฮามาสในดินแดนปาเลสไตน์

เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, วอชิงตัน รายงานว่า ‘ลอยด์ ออสติน’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ หรือ ‘เพนตากอน’ (Pentagon) ระบุว่า กระทรวงฯ กำลังส่งมอบเรือรบและเครื่องบินขับไล่ไปยังภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เพื่อแสดงออกถึงการสนับสนุนอิสราเอล ท่ามกลางความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้น ระหว่างกองกำลังอิสราเอลและกลุ่มฮามาส (Hamas)

ออสติน กล่าวในแถลงการณ์ว่า เขาได้สั่งการการเคลื่อนไหวของกองเรือบรรทุกเครื่องบินรบยูเอสเอส เจอร์รัลด์ อาร์. ฟอร์ด แคร์ริเออร์ สไตรก์ กรุ๊ป (USS Gerald R. Ford Carrier Strike Group) ซึ่งประกอบไปด้วยเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือลาดตระเวนติดขีปนาวุธ และเรือพิฆาตติดอาวุธปล่อยนำวิถี 4 ลำ ไปยังภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกแล้ว

ออสติน เผยว่า กระทรวงฯ ยังได้ดำเนินการเพื่อเพิ่มฝูงเครื่องบินรบเอฟ-35 (F-35) เอฟ-15 (F-15) เอฟ-16 (F-16) และเอ-10 (A-10) ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในภูมิภาคดังกล่าว พร้อมเสริมว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะจัดหาอุปกรณ์และทรัพยากรเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ให้แก่กองกำลังป้องกันอิสราเอลอย่างรวดเร็ว โดยความช่วยเหลือด้านความมั่นคงรอบแรกของสหรัฐฯ ไปยังอิสราเอล เริ่มส่งมอบเมื่อวันอาทิตย์ (8 ต.ค.) และจะถูกส่งถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

สื่อท้องถิ่นอิสราเอล อ้างอิงเจ้าหน้าที่รัฐบาล รายงานว่า มติข้างต้นของกระทรวงฯ มีขึ้นขณะความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ทวีความรุนแรง เมื่อวันเสาร์ (7 ต.ค.) หลังจากที่กลุ่มฮามาสยิงขีปนาวุธหลายพันลูกไปยังอิสราเอล ซึ่งคร่าชีวิตชาวอิสราเอลอย่างน้อย 600 ราย เมื่อนับถึงวันอาทิตย์ (8 ต.ค.)

ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ในกาซา เผยว่ากองทัพอิสราเอลตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศในกาซา ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมโดยกลุ่มฮามาส ส่งผลให้มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตอย่างน้อย 313 ราย

เมื่อวันอาทิตย์ (8 ต.ค.) คณะรัฐมนตรีด้านความมั่นคงของอิสราเอล ประกาศอย่างเป็นทางการว่า “อิสราเอลอยู่ในภาวะสงคราม” โดยระบุในแถลงการณ์ว่าจะดำเนิน ‘ปฏิบัติการทางทหารที่มีนัยสำคัญ’ ในกาซาอีกไม่กี่วันข้างหน้า

‘ฉนวน Gaza’ เขตกักกันอันแสนสิ้นหวัง-ไร้มนุษยธรรม ที่ทั่วโลกมองข้าม ชนวนเหตุในการโต้ตอบด้วยความรุนแรงจากกลุ่มฮามาสต่ออิสราเอล

ฉนวน Gaza เขตกักกันที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ทำไมกลุ่ม ‘Hamas’ จึงกล้าโจมตีอิสราเอลอย่างบ้าเลือด ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าจะต้องถูกอิสราเอลตอบโต้เอาคืนอย่างรุนแรง เมื่อได้พยายามหาข้อมูลที่เขียนจากแหล่งข้อมูลที่มีความเป็นกลางที่สุด ก็ทำให้ได้บทความนี้มา ซึ่งเป็นบทความที่เขียนโดย ‘War Child International’ องค์กรเอกชนที่ไม่หวังผลกำไร (NGO) ที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากภัยสงครามจากความขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธในที่ต่าง ๆ บนโลกนี้

คำเตือนที่สิ้นหวัง 
ชาว Gaza เรียกบ้านของพวกเขาว่าเป็น ‘เขตกักกัน’ ที่เสมือนกับเป็น ‘เรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก’ ด้วยจำนวนผู้คนร่วม 2 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ที่นี่ บนพื้นที่เพียง 365 ตารางกิโลเมตร ประชากรในฉนวน Gaza สองในสามอายุน้อยกว่า 25 ปี อาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ‘António Guterres’ เลขาธิการสหประชาชาติ ได้เตือนว่า ฉนวน Gaza จะไม่สามารถอยู่อาศัยได้ภายในปี 2020 เว้นแต่จะมีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อปรับปรุงบริการและโครงสร้างพื้นฐาน

ด้วยผลจากการปิดล้อม ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza ต้องดิ้นรนกับสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ อันเนื่องมาจากอัตราความยากจนและการว่างงานที่สูงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ฉนวน Gaza มีความหนาแน่นของประชากรสูงมาก สำนักงานสถิติกลางกาซา ระบุว่า มีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 5,453 คนต่อตารางกิโลเมตร ซึ่งมากกว่าความหนาแน่นของประชากร 13 เท่าในพื้นที่ที่ถูกอิสราเอลยึดครอง คือ 400 คนต่อตารางกิโลเมตร ความยาวของฉนวน Gaza ไม่เกิน 41 กม. และความกว้างระหว่าง 6 ถึง 12 กม. สถิติท้องถิ่นแสดงให้เห็นว่า อัตราการว่างงานในฉนวน Gaza เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยแตะระดับ 50.2% และเนื่องจากการปิดล้อมฉนวน Gaza อย่างต่อเนื่องและยาวนาน การโจมตีของอิสราเอล ทำให้ประชากรชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza ประมาณ 85% อยู่ในระดับที่ ‘ต่ำกว่าเส้นของความยากจน’

สงครามใหญ่ 4 ครั้งในรอบ 16 ปี

เด็ก ๆ และผู้ปกครองในฉนวน Gaza ไม่รู้อะไรเลยนอกจากชีวิตภายใต้การปิดล้อม และไม่สามารถออกไปไหนได้ แม้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวก็ตาม หนึ่งทศวรรษหลังจากที่กลุ่ม Hamas ยึดครองดินแดนที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ผู้อยู่อาศัยต้องมีชีวิตที่ต้องผ่านการสู้รบครั้งใหญ่ถึง 4 ครั้ง ในปี 2008-2009, 2012, 2014 และ 2021 และตอนนี้กำลังอยู่ในครั้งที่ 5

ตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 2018 มีประชากรในฉนวน Gaza ได้รับบาดเจ็บแล้วกว่า 23,500 ราย มากกว่า 5,500 รายถูกยิงโดยกองกำลังความมั่นคงของอิสราเอล ผลการประท้วงตามแนวชายแดนส่งผลให้มีเด็กได้รับบาดเจ็บ 4,250 ราย และมีผู้เสียชีวิต 31 ราย (ไม่นับรวบเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในห้วงเวลานี้)

การจัดการกับความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า
หลายปีมานี้ สถานการณ์ในฉนวน Gaza ย่ำแย่ลงจนเข้าสู่ภาวะวิกฤติ ระบบการดูแลสุขภาพและการศึกษาในท้องถิ่นจวนเจียนที่จะล่มสลาย และการเผชิญกับความรุนแรงในระยะยาวยังคงส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพ ทั้งทางสุขภาพกายและสุขภาพทางใจของเด็ก ๆ และเยาวชน พ่อแม่ ผู้ดูแล และนักสังคมสงเคราะห์ต้องดิ้นรน เพื่อรับมือกับความเครียดในระดับที่ท่วมท้นและหันไปใช้วิธีทุก ๆ รูปแบบเพื่อเอาชีวิตรอด พวกเขาไม่สามารถให้การสนับสนุนแก่เด็ก ๆ ตามที่ต้องการได้

การวิจัยแสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์ความรุนแรงที่มีอัตราสูงในฉนวน Gaza ทำให้เกิดภาวะทางจิตซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคมมากมาย รวมถึงโรคความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า อาการเหล่านี้มีความรุนแรงในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เด็กกว่าครึ่งหนึ่งในฉนวน Gaza กล่าวว่า “พวกเขาไม่มีความหวังอะไรเลยสำหรับอนาคตของพวกเขา”

‘Rami’ เด็กชายชาวปาเลสไตน์วัย 10 ขวบ เติบโตภายใต้การปิดล้อมฉนวน Gaza ของอิสราเอล

เรื่องราวของ ‘Rami’ (10 ขวบ) ผู้ซึ่งเติบโตภายใต้การปิดล้อมฉนวน Gaza ของอิสราเอล
‘Rami’ เป็นเด็กชายชาวปาเลสไตน์วัย 10 ขวบ เขาและน้องชายอีก 3 คน ต้องใช้ชีวิตในดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกอิสราเอลยึดครองมาทั้งชีวิต ‘Haifa’ แม่ของเด็ก ๆ พยายามดิ้นรนเพื่อปกป้องลูก ๆ ของเธอจากความทุกข์ทรมานตลอดกาล และการถูกคุกคามจากความรุนแรง

“พื้นที่ที่เราอาศัยอยู่นั้นอันตรายมากในช่วงสงคราม มีการโจมตีด้วยขีปนาวุธเป็นประจำ” เธอกล่าว

ครอบครัวนี้ต้องอพยพออกจากบ้านหลายครั้งหลายหน เพื่อหลบหนีการโจมตีด้วยรถถังและระเบิดของอิสราเอล “หลายปีแห่งความหวาดกลัว มันหมายความว่า เราไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้ ไม่ใช่เพียงแค่ด้านจิตใจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงด้านการเงินด้วย” เธอกล่าวเสริม โดยอ้างถึงนโยบายการปิดล้อมและการปิดเมืองอย่างถาวรที่บังคับใช้ในฉนวน Gaza

เพื่อเรียนรู้วิธีจัดการกับประสบการณ์ของเธอและช่วยเหลือลูก ๆ Haifa จึงเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการของ ‘War Child’ ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กในสภาวะสงคราม ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจการให้ความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตของสังคมในฉนวน Gaza โดยเจ้าหน้าที่ของ War Child ได้สัมภาษณ์พวกเขาเกี่ยวกับเวลาที่พวกเขาเข้ามาร่วมโครงการ Haifa กล่าวว่า “ฉันรู้สึกสบายใจมากที่ได้อยู่กับกลุ่มนี้ ฉันสามารถปรับตัวได้ในเวลาไม่นาน และรู้สึกว่าได้รับการช่วยเหลือและสนับสนุนเป็นอย่างดี ฉันยังคงต้องฝึกหัดจินตนาการและผ่อนคลายมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งช่วยให้ฉันมีทัศนคติเชิงบวกมากขึ้น”

ก่อนที่จะเข้าร่วมกลุ่มที่รับการดูแลของ War Child ทำให้ Haifa พบว่า การแสดงความรู้สึกของเธอออกมานั้นเป็นเรื่องยาก เธอไม่อยากสร้างภาระให้คนรอบข้าง ในระหว่างการประชุม เธอเรียนรู้ที่จะเปิดใจอย่างช้า ๆ แต่แน่นอน สิ่งนี้ได้ช่วยให้ Haifa สร้างความผูกพันอันแน่นแฟ้นกับแม่ของเธอ และเรียนรู้ที่จะพึ่งพาผู้อื่นเพื่อรับการสนับสนุน Haifa พบว่า แม่ของเธอสามารถให้ที่หลบภัยแก่เธอได้อย่างแท้จริง “ฉันกลัวมากในระหว่างการสู้รบ และลูก ๆ ของฉันก็ได้รับความหวาดกลัวนั้นไปด้วย”

Rami กับแม่และน้องชาย

ความฝันแรกของ Rami คือการเป็นศัลยแพทย์เพื่อที่เขาจะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้ Haifa ได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูก ๆ ของเธอ เมื่อก่อนบางครั้งเธอก็อารมณ์เสีย แต่ตอนนี้เธอต้องนับหนึ่งถึงสิบเพื่อสงบสติอารมณ์ เธอยังสอนวิธีนี้ให้สามีของเธอและเตือนเขาเสมอเมื่อเขาโกรธลูก ๆ พ่อ-แม่ทั้งสองกลายเป็นผู้รับฟังที่ดีและพยายามให้กำลังใจลูกให้มากที่สุด Rami ได้เห็นความแตกต่างซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในตัวแม่ของเขา เธอไม่ดุเขาและน้อง ๆ ของเขาอีกแล้ว แต่กลับเล่นกับพวกเขาแทน นอกจากนั้นเธอยังแบ่งปันแบบฝึกหัดการผ่อนคลายกับพวกเขาอีกด้วย Rami กล่าวเสริมว่า “ตอนนี้ผมรู้สึกว่า มันง่ายขึ้นที่จะบอกแม่เกี่ยวกับความรู้สึกและปัญหาของตัวผมเอง หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็รู้สึกอายน้อยลง และตอนนี้ผมก็กล้าที่จะแสดงรู้สึกมากขึ้น” Rami บอก

กล้าที่จะฝัน
Rami มีความสุขมากที่ได้มีส่วนร่วมกับโปรแกรมของ War Child ในฉนวน Gaza “มันช่วยให้ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่ หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็รู้สึกเขินอายน้อยลง และทุกวันนี้ผมก็กล้าที่จะแสดงรู้สึกมากขึ้น” ตอนนี้เขาตั้งตารอถึงอนาคตและสิ่งที่เขาต้องการจะบรรลุในปีต่อ ๆ ไป “ความฝันแรกของผมคือ การเป็นศัลยแพทย์เพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้คนได้ เป็นคุณหมอมีความรัก ความฝันที่สองของผมคือ การสร้างครอบครัวและมีลูกเป็นของตัวเอง”

*ชื่อทั้งหมดในบทความนี้มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อความปลอดภัยของเด็ก ๆ ที่เข้าร่วมในโครงการของ War Child

ที่มา : https://www.warchildholland.org/stories-of-children/Rami/

ทางเข้าออกฉนวน Gaza ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของอิสราเอล

บทความนี้เป็นเรื่องราวอีกด้านที่เกิดขึ้นในฉนวน Gaza ภายใต้การปิดล้อมของอิสราเอล อันเป็นสาเหตุในการโจมตีอิสราเอลของกลุ่ม Hamas ส่วนตัวแล้วไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงใด ๆ ในการแก้ไขปัญหา เพราะประวัติศาสตร์ของโลก ไม่เคยมีครั้งใดที่สามารถการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งสำเร็จลงได้ ด้วยการใช้กำลังเข้าห้ำหั่นประหัตประหารกัน แม้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นลักษณะเลือดเข้าตาหรือจนตรอกของชาวปาเลสไตน์ก็ตาม สิ่งที่ประเทศตะวันตกปล่อยให้อิสราเอลกระทำต่อชาวปาเลสไตน์ เป็นเรื่องราวที่ไม่ปรากฏในสื่อหลักของโลกตะวันตก ไม่ว่าการปิดล้อมฉนวน Gaza การให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza มีไฟฟ้าใช้ได้เพียงวันละ 4 ชั่วโมง การขาดแคลนน้ำเพื่อการบริโภคอย่างหนักในฉนวน Gaza และการปิดล้อมไม่ให้นำอาหารและเวชภัณฑ์เข้าไปในฉนวน Gaza ของอิสราเอล ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น

ทางเข้าออกฉนวน Gaza ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของอิสราเอล

โดยอิสราเอลได้เพิ่มแรงกดดันต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza นับตั้งแต่ปี 2007 ด้วยการสร้างกำแพงรักษาความปลอดภัยรอบฉนวน Gaza อันเป็นส่วนสำคัญของการลงโทษของอิสราเอลต่อประชาชนชาวปาเลสไตน์ หลังจากชัยชนะของกลุ่ม Hamas ในการเลือกตั้งรัฐสภาปาเลสไตน์เมื่อต้นปี ค.ศ. 2006 และการยึดครองฉนวน Gaza ของกลุ่ม Hamas ในกลางปี 2007 กำแพงล้อมรอบฉนวน Gaza จากตะวันออกไปเหนือมีระยะทางประมาณ 65 กม. และสร้างอาคารสถานีคอนกรีต 6 แห่งตามแนวพรมแดนติดกับฉนวน Gaza ซึ่งอิสราเอลได้มีการควบคุมฉนวน Gaza ทั้งน่านน้ำและน่านฟ้าของตน และมีกำหนดข้อจำกัดที่เข้มงวดในการเคลื่อนย้ายผู้คนและสินค้าเข้าออกฉนวน Gaza ทั้งมีการปิดกั้นห้ามเคลื่อนย้ายผู้คนและสินค้าเข้าออกอยู่บ่อยครั้ง

เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza มีทางเลือกเพียง 2 ทาง คือ 1.) การต่อสู้กับผู้ปิดล้อม หรือ 2.) ขอให้อิสราเอลยอมผ่อนปรนมาตรการลดการปิดล้อม และยอมปล่อยให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีตามปกติ

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เหตุการณ์ความรุนแรงก็ต้องเกิดขึ้น เป็นเพราะกลุ่ม Hamas มองว่าเป็นความชอบธรรมในการเปิดฉากโจมตีอิสราเอล ด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ที่อิสราเอลเป็นผู้กระทำต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza และทำให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza โดยกลุ่ม Hamas จึงต้องตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ 1 คือ การสู้รบกับอิสราเอลที่ปิดล้อมนั่นเอง

ซึ่งอันที่จริงแล้วสิ่งที่ประชาคมโลกควรจะทำ นอกจากการประณามต่อการใช้ความรุนแรงของกลุ่ม Hamas แล้ว ก็คือการกดดันให้อิสราเอลปฏิบัติต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza ด้วยความมีมนุษยธรรม เพื่อไม่ให้กลุ่ม Hamas มีเหตุผลอ้างในการโจมตีอิสราเอลอีกต่อไป

‘สหรัฐฯ’ เคลื่อนเรือรบประชิดชายฝั่งเมดิเตอร์ฯ หนุน ‘อิสราเอล’ ด้าน ‘กลุ่มชีอะห์’ เตือน!! พร้อมลุยฐานทัพสหรัฐฯ หากจุ้นกาซา

(9 ต.ค. 66) ‘ลอยด์ ออสติน’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ออกคำสั่งให้เคลื่อนพลกองเรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบินรบ และอากาศยานอื่นๆ เข้าประชิดชายฝั่งด้านตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว เพื่อตอบโต้การโจมตีของกลุ่มติดอาวุธฮามาสในอิสราเอล อันเป็นเหตุให้มีชาวอเมริกัน อย่างน้อย 4 คนเสียชีวิต

‘ลอยด์ ออสติน’ ได้กล่าวผ่านสื่อสหรัฐฯ ว่า ได้หารือกับ ‘โจ ไบเดน’ ผู้นำสหรัฐฯ ถึงสถานการณ์ในอิสราเอล และขั้นตอนการยกระดับบทบาทด้านการทหารของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ และในวันนี้ก็มีคำสั่งให้เคลื่อนเรือบรรทุกเครื่องบินรบ USS Gerald R. Ford ที่ได้ชื่อว่าเป็นเรือรบที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงเรือรบติดขีปนาวุธ USS Normandy, USS Thomas Hudner, USS Ramage, USS Carney และ USS Roosevelt เข้าประชิดชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งใกล้เขตน่านน้ำของอิสราเอล และบริเวณฉนวนกาซา

ด้านฝ่ายกลาโหมสหรัฐฯ ได้พูดคุยกับ ‘โยอาฟ แกลลันต์’ รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอลว่า สหรัฐอเมริกาพร้อมจะสนับสนุนชาวอิสราเอลจากการโจมตีของกลุ่มฮามาส เพื่อคืนความมั่นคง ปลอดภัยให้แก่อิสราเอล ส่วนยุทโธปกรณ์ด้านการรบ จะมีการขนส่งด่วนมาทางเครื่องบินในอีกไม่กี่วันข้างหน้าอย่างแน่นอน

การเคลื่อนไหวของกลาโหมสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังจากที่โจ ไบเดน ได้พูดคุยกับ ‘เบนจามิน เนทันยาฮู’ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เมื่อวันอาทิตย์ (8 ตุลาคม 66) ที่ผ่านมา โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ให้คำมั่นสัญญากับผู้นำอิสราเอลว่า จะส่งความช่วยเหลือถึงกองทัพอิสราเอลในเร็ววันนี้ และเน้นย้ำว่าสหรัฐฯ จะไม่รับฟังข้ออ้างใดๆ สำหรับการก่อการร้าย และทุกประเทศทั่วโลกต้องแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการต่อต้านการใช้อำนาจนิยมที่โหดร้ายเช่นนี้ อีกทั้งจะยกระดับการติดต่อทางการทูตอย่างเข้มข้นระหว่าง 2 ชาติตลอด 24 ชั่วโมง 

‘สหรัฐอเมริกา’ และ ‘อิสราเอล’ ถือเป็นประเทศพันธมิตรที่แน่นแฟ้นกันมายาวนาน ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งงบประมาณช่วยเหลือด้านการทหารแก่อิสราเอลหลายพันล้านดอลลาร์ในแต่ละปี นับเป็นประเทศที่ได้รับงบประมาณจากสหรัฐอเมริกามากที่สุดประเทศหนึ่ง 

จึงไม่แปลกใจที่สหรัฐอเมริกาจะแสดงจุดยืนสนับสนุนฝ่ายอิสราเอลอย่างชัดเจน และเตรียมความพร้อมที่จะแทรกแซง หากสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ขยายวงความรุนแรงจนเกินควบคุม 

แต่ทว่า ด้านกลุ่ม ‘Kata'ib Sayyid al-Shuhada’ กองกำลังติดอาวุธกลุ่มชีอะห์ ในอิรัก ออกมาเตือนว่า หากสหรัฐอเมริกาแทรกแซงสงครามในกาซาเมื่อใด ฐานทัพสหรัฐฯ ทุกแห่งในภูมิภาคแถบตะวันออกกลาง มีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีโดยกองกำลังพันธมิตรของปาเลสไตน์ทันที เพราะปาเลสไตน์ ไม่ใช่ยูเครน ที่สหรัฐอเมริกาจะเข้าแทรกแซงได้ตามอำเภอใจ เพราะความขัดแย้งในดินแดนปาเลสไตน์ และระบอบไซออนนิสต์ มีความละเอียดอ่อนสูงกว่ามาก 

และการแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลังทหาร และการเมืองตามแนวทางของสหรัฐอเมริกา ก็อาจไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นมากนัก และเกรงว่าจะยิ่งทับถมปมความขัดแย้งที่ยาวนานมากกว่า 75 ปี ให้ฝังลึกในดินแดนแถบนี้ลงไปอีกนั่นเอง

‘นศ.ไทยในจีน’ มุ่งมั่นศึกษาวิชา ‘การฝังเข็ม-การนวด’ หวังต่อยอดความรู้ ใช้ภูมิปัญญาแพทย์แผนจีนดูแลผู้ป่วย

เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, คุนหมิง รายงานว่า ‘ซ่งหลินหลิน’ เป็นนักศึกษาชาวไทยจากจังหวัดนนทบุรี ผู้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเล่าเรียนสาขาวิชาการฝังเข็มและการนวด วิทยาลัยเวชศาสตร์คลินิกแห่งที่สอง มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนอวิ๋นหนาน ณ นครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

ทุกบ่ายวันอังคาร ซ่งจะหอบหิ้วตำราเล่มหนาและกระเป๋าอุปกรณ์ฝังเข็ม เข้าเรียนรู้วิชาฝังเข็มจากอาจารย์ที่อธิบายและสาธิตวิธีการ รวมถึงฝึกฝนการฝังเข็มด้วยตนเอง โดยการมาเรียนที่นี่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกครอบครัว ที่มักรักษาอาการเจ็บป่วยหรือบำรุงร่างกายด้วยการแพทย์แผนจีน

ซ่ง เสริมว่า ตัวเธอเองอยากเรียนรู้ภูมิปัญญาจีน ในการรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้คนด้วยเข็มหนึ่งเล่มนี้ พร้อมกับวางแผนว่าหลังจากเรียนจบจะกลับไปเป็นนักฝังเข็มที่ไทย ซึ่งมีคลินิกแพทย์แผนจีนที่ให้บริการฝังเข็มจำนวนมาก

ทั้งนี้ ซ่งเป็น 1 ใน 2 นักศึกษาชาวต่างชาติของชั้นเรียนที่มีนักศึกษาทั้งหมด 62 คน ร่วมเรียนรู้การฝังเข็ม การรมยา ยาจีน การวินิจฉัยขั้นพื้นฐาน และอื่นๆ กับนักศึกษาชาวจีน โดยพวกเขายังต้องอ่านตำราจีนโบราณอย่าง ‘ซางหานลุ่น’ และ ‘หวงตี้เน่ย์จิง’ กันทุกวันด้วย

สำหรับสาขาวิชาการฝังเข็มและการนวด วิทยาลัยเวชศาสตร์คลินิกแห่งที่สองของมหาวิทยาลัยฯ ได้รับความนิยมจากนักศึกษาชาวต่างชาติไม่น้อย โดยเฉพาะจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างลาวและไทย ทั้งยังมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว และอื่นๆ

‘เจ้าชายอับดุล มาทีน’ ประกาศแต่งงานกับ ‘สาวบรูไน’ ต้นปีหน้า เตรียมจัดพิธีฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เป็นเวลาเกือบ 10 วัน

(9 ต.ค. 66) สื่ออินโดนีเซียถึงกับเขียนข่าวว่างานนี้สาว ๆ คงจะอกหักกันไปในหลาย ๆ ประเทศ เมื่อเจ้าชายอับดุล มาทีน ประกาศสละโสด

เจ้าชายอับดุล มาทีน เผยแพร่บัตรเชิญพิธีเสกสมรสกับหญิงสาวที่ชื่อว่า อนิชา รอสนาห์ ผ่านบน Twitter เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 ต.ค.

โดยพระองค์ประกาศจัดพิธีสมรสในเดือนมกราคม 2024 ซึ่งงานสุดหรูนี้จะจัดขึ้นเป็นเวลาเกือบ 10 วันติดต่อกัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 7-15 มกราคม โดยไฮไลท์ของงานพิธีเลี้ยงรับรองซึ่งจะจัดขึ้นที่พระราชวังนูรุลอิมานในวันที่ 14 มกราคม 2024 ซึ่งเจ้าสาวและเจ้าบ่าวจะถูกแห่ไปรอบๆ เมืองหลวงบันดาร์เซอรีเบอกาวัน

ข่าวบอกว่า อนิชา รอสนาห์ เป็นหลานสาวของที่ปรึกษาพิเศษของสุลต่านแห่งบรูไน ทั้งสองคบหากันอย่างเปิดเผยมาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้เจ้าชายยังพาเธอมาร่วมพิธีแต่งงานของน้องสาวด้วย

ไม่เท่านั้นที่ผ่านมาเจ้าชายยังเคยเผยแพร่ภาพช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน บนโซเชียลมีเดีย และหญิงสาวที่เป็นภรรยาในอนาคตของพระองค์ยังมักจะคอยติดตามเจ้าชายมาทีนไปในช่วงเวลาสำคัญต่างๆ เสมอ

‘อิหร่าน’ ส่งออกยาพุ่ง 3 เท่า สู่ 40 ปท.ทั่วโลก สะท้อนแรงปฏิสัมพันธ์อันดีเชื่อมสู่มนุษยชาติ

อิหร่านส่งออกยาและเวชภัณฑ์เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าจากปีก่อน ไปยัง 40 ประเทศทั่วโลก

เมื่อไม่นานนี้ ‘Heidar Mohammadi’ ผู้อำนวยการสำนักงานอาหารและยาแห่งอิหร่าน (IFDA) กล่าวสุนทรพจน์เมื่อวันศุกร์ (6 ต.ค.) ที่ผ่านมา ระหว่างการเยือนนิทรรศการระดับนานาชาติด้านเภสัชภัณฑ์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องแห่งอิหร่าน ครั้งที่ 8 (IRANPHARMA EXPO 2023) ‘การส่งออกยาที่เพิ่มขึ้น เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปฏิสัมพันธ์ที่ดีของอิหร่านกับประเทศเพื่อนบ้าน เราหวังว่าจะพัฒนาการเข้าถึงของประชาชนในภูมิภาค เพื่อเข้าถึงยาที่มีคุณภาพในการประชุมสุดยอด G5 และความร่วมมือระดับภูมิภาค’ เขากล่าวเสริม

ทุกปี ‘IRANPHARMA EXPO’ ซึ่งเป็นงานระดับนานาชาติที่ครอบคลุมในอุตสาหกรรมยา โดยมีผู้ผลิตยา อุปกรณ์และเครื่องจักรทางเภสัชกรรม การพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ยา ยาชนิดรีคอมบิแนนท์ ยาสมุนไพร อาหาร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บริษัทที่มีความรู้ และผู้จัดจำหน่ายยา ศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์และเภสัชกรรม สมาคม และสิ่งพิมพ์และวารสารด้านสุขภาพ

นิทรรศการระดับนานาชาติด้านเภสัชกรรมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องแห่งอิหร่านครั้งที่ 8 (IRANPHARMA EXPO 2023) จัดขึ้นที่วิทยาเขต Imam Khomeini Grand (Mosala) ในกรุงเตหะราน ระหว่างวันที่ 27-29 กันยายนที่ผ่านมา มีบริษัทในประเทศทั้งหมด 427 บริษัทและบริษัทต่างประเทศอีก 282 บริษัทจาก 33 ประเทศเข้าร่วมงานนิทรรศการครั้งนี้ โดย Mohammadi ถือว่าการเข้าร่วมนิทรรศการนี้จากบริษัทต่างประเทศ เป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของงานนิทรรศการระดับนานาชาติครั้งนี้

Heidar Mohammadi ผู้อำนวยการสำนักงานอาหารและยาแห่งอิหร่าน (IFDA)

ผู้อำนวยการสำนักงานอาหารและยาแห่งอิหร่าน ยังระบุว่า งานนิทรรศการระดับนานาชาติครั้งนี้เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมในการจัดแสดงศักยภาพ และความสามารถของผู้เชี่ยวชาญและอุตสาหกรรมยาในระดับชาติ สำหรับปีนี้งานนิทรรศการนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการยิ่งขึ้นและได้รับการเยี่ยมชมจากผู้เข้าชมงานจำนวนมาก โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิหร่านเข้าเยี่ยมชมงาน Expo และเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความสามารถของอุตสาหกรรมยาของประเทศ

การส่งออกยาของคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 200 ล้านดอลลาร์ในปีปัจจุบันจากประมาณ 60 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว

“การผลิตยาที่เพิ่มขึ้นได้รับการสนับสนุนจากอุปทานที่มั่นคงสำหรับการส่งออก และการคาดการณ์ของเราสำหรับการส่งออกในปีปัจจุบันอยู่ที่ 200 ล้านดอลลาร์” ผู้อำนวยการสำนักงานอาหารและยาแห่งอิหร่าน กล่าว

ปัจจุบันการผลิตยา อุปกรณ์การแพทย์ และนมผงได้รับการสนับสนุนโดยเงินอุดหนุน ดังนั้นการส่งออกของอิหร่านจึงยังคงจำกัดอยู่ แต่หวังว่าจะสามารถเพิ่มการส่งออกได้มากขึ้นในปีหน้า Mohammadi กล่าวเสริม อ้างถึงการขาดแคลนยา 100 รายการในประเทศ Mohammadi กล่าวกล่าวว่า “ปัจจุบัน เกือบ 1.5% ของความต้องการด้านเภสัชกรรมของประเทศนั้นนำเข้ามา นอกจากการผลิตในประเทศ ซึ่งแล้วเสร็จทันทีที่การผลิตในประเทศตรงตามความต้องการ”

จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มีการส่งออกยามูลค่าประมาณ 60 ล้านดอลลาร์ในปีปฏิทิน (มีนาคม-มีนาคม ค.ศ. 2022) ตัวเลขนี้อยู่ที่ประมาณ 180 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2018 อิหร่านนำเข้ายาประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ปัจจุบันยาที่ผลิตในอิหร่านถูกส่งออกไปยังแคนาดา ญี่ปุ่น และยุโรป

‘Faramarz Ekhteraei’ ประธานสมาคมอุตสาหกรรมยาแห่งอิหร่านกล่าวเน้นว่า 72% ของวัตถุดิบยาของประเทศนั้นผลิตในประเทศ ซึ่งคณะกรรมการบริหารสมาคมผู้ผลิต และผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์แห่งอิหร่านระบุว่า ราว 40% ของการส่งออกยาทั้งหมดของอิหร่านเป็นผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพ

เกิดแผ่นดินไหวใน ‘อัฟกานิสถาน ฝั่งตะวันตก’ หนักสุดในรอบ 20 ปี ทำบ้านเรือนพังยับ ปชช.ดับพุ่งทะลุ 2,000 ราย เร่งค้นหาผู้รอดชีวิต

(8 ต.ค. 66) สำนักข่าวเอพี, อิสลามาบัด รายงานว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวรุนแรงที่อัฟกานิสถานตะวันตก เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 2,000 รายแล้ว โฆษกรัฐบาลตอลิบาน ระบุว่า เป็นเหตุแผ่นดินไหวที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดครั้งหนึ่งในรอบสองทศวรรษ

หน่วยงานภัยพิบัติแห่งชาติของประเทศอัฟกานิสถาน เปิดเผยว่า แผ่นดินไหวรุนแรง 6.3 ริกเตอร์ ตามมาด้วยอาฟเตอร์ช็อกที่รุนแรง ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบรายทางตะวันตกของอัฟกานิสถาน เมื่อวันเสาร์ (7 ต.ค.) ที่ผ่านมา

แต่ ‘อับดุล วาฮิด รายาน’ โฆษกกระทรวงสารสนเทศและวัฒนธรรม กล่าวว่า “ยอดผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวในเมืองเฮราตนั้นสูงกว่ารายงานเดิม หมู่บ้านประมาณ 6 แห่งถูกทำลาย และพลเรือนหลายร้อยคนถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพัง” เขากล่าวขณะเรียกร้องความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

เมื่อช่วงค่ำวันเสาร์ (7 ต.ค.) ที่ผ่านมา ‘องค์การสหประชาชาติ’ แจ้งตัวเลขเบื้องต้นว่ามีผู้เสียชีวิต 320 ราย แต่ภายหลังระบุว่าตัวเลขดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ หน่วยงานท้องถิ่นประเมินว่ามีผู้เสียชีวิต 100 รายและบาดเจ็บ 500 ราย ตามข้อมูลอัปเดตเดียวกันจากสำนักงานเพื่อการประสานงานกิจการด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ

ข้อมูลอัปเดตดังกล่าวระบุว่า มีรายงานบ้านเรือน 465 หลังถูกทำลาย และอีก 135 หลังได้รับความเสียหาย

“พันธมิตรและหน่วยงานท้องถิ่นคาดการณ์ว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความพยายามค้นหาและช่วยเหลือยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางรายงานที่ว่า มีบางคนอาจติดอยู่ใต้อาคารที่พังทลาย” องค์การสหประชาชาติ ระบุ

‘โมฮัมหมัด อับดุลลาห์ ยาน’ โฆษกหน่วยงานภัยพิบัติ กล่าวว่า หมู่บ้าน 4 แห่งในเขตเซนดายาน ในจังหวัดเฮราต ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวและอาฟเตอร์ช็อกอย่างหนัก

สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐฯ ระบุว่า ศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากเมืองเฮราตไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 40 กิโลเมตร ตามมาด้วยอาฟเตอร์ช็อกที่รุนแรงมาก 3 ครั้ง วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.3, 5.9 และ 5.5 เช่นเดียวกับแรงกระแทกที่น้อยกว่า

‘อับดุล ชากอร์ ซามาดี’ ชาวเมืองเฮราต กล่าวว่า แผ่นดินไหวรุนแรงอย่างน้อย 5 ครั้งเกิดขึ้นในเมืองนี้

“ทุกคนออกจากบ้านแล้ว” ซามาดีกล่าว “บ้าน สำนักงาน และร้านค้าต่างว่างเปล่า และอาจเกิดแผ่นดินไหวมากขึ้น ฉันและครอบครัวอยู่ในบ้าน ฉันรู้สึกได้ถึงแผ่นดินไหว” ครอบครัวของเขาเริ่มตะโกนและวิ่งออกไปข้างนอก กลัวที่จะกลับเข้าไปในบ้าน

องค์การอนามัยโลกในอัฟกานิสถาน ระบุว่า ได้ส่งรถพยาบาล 12 คันไปยังเซนดายาน เพื่ออพยพผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาล

“ในขณะที่ยังคงมีรายงานผู้เสียชีวิตและผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหว ทีมต่างๆ อยู่ในโรงพยาบาลเพื่อช่วยเหลือการรักษาผู้บาดเจ็บและประเมินความต้องการเพิ่มเติม” หน่วยงานของสหประชาชาติ ระบุใน X (เดิมชื่อ Twitter) ว่า “รถพยาบาลที่ได้รับการสนับสนุนจาก WHO กำลังรับส่งผู้ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก”

การเชื่อมต่อโทรศัพท์ขัดข้องในเมืองเฮราต ทำให้ยากต่อการรับรายละเอียดจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ วิดีโอบนโซเชียลมีเดียเผยให้เห็นผู้คนหลายร้อยคนบนถนน นอกบ้านและสำนักงานในเมืองเฮราต

จังหวัดเฮราตติดกับอิหร่าน สื่อท้องถิ่นรายงานว่า รู้สึกถึงแผ่นดินไหวครั้งนี้ในจังหวัดฟาราห์และบาดกีสที่อยู่ใกล้เคียงของอัฟกานิสถาน

‘อับดุล ฆานี บาราดาร์’ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีอัฟกานิสถาน ฝ่ายเศรษฐกิจ ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยกลุ่มตอลิบาน แสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บในเมืองเฮราตและบาดกิส

กลุ่มตอลิบานเรียกร้องให้องค์กรท้องถิ่น เดินทางไปยังพื้นที่ที่เกิดแผ่นดินไหวโดยเร็วที่สุด เพื่อช่วยนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล จัดที่พักพิงให้กับคนไร้บ้าน และจัดส่งอาหารให้กับผู้รอดชีวิต พวกเขากล่าวว่า หน่วยงานความมั่นคงควรใช้ทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง

“เราขอให้เพื่อนร่วมชาติที่ร่ำรวยของเรา ให้ความร่วมมือที่เป็นไปได้ และช่วยเหลือพี่น้องที่ทุกข์ทรมานของเรา” กลุ่มตอลิบานกล่าวผ่านโซเชียลมีเดีย X

‘ทาคาชิ โอคาดะ’ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำอัฟกานิสถาน แสดงความเสียใจผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X ว่า “เขารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งและเศร้าใจอย่างยิ่ง ที่ได้รับทราบข่าวแผ่นดินไหวในจังหวัดเฮราต”

ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 ได้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ในพื้นที่ภูเขาขรุขระทางตะวันออกของอัฟกานิสถาน บ้านเรือนที่สร้างด้วยหินและอิฐโคลนพังราบเป็นหน้ากลอง แผ่นดินไหวครั้งนี้คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 1,000 ราย และบาดเจ็บประมาณ 1,500 ราย

‘อิสราเอล’ เดือด ประกาศภาวะสงคราม หลัง ‘ฮามาส’ ยิงจรวดกว่า 5,000 ลูกถล่ม

(7 ต.ค.66) กลุ่มฮามาส ซึ่งปกครองฉนวนกาซา ปฏิบัติการยิงจรวดถล่มอิสราเอลอย่างต่อเนื่องจำนวนกว่า 5,000 ลูก ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้กองกำลังป้องกันอิสราเอล (ไอดีเอฟ) ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของกลุ่มฮามาสว่าเป็นการจุดชนวนนำไปสู่การทำสงครามกับอิสราเอล 

ทั้งนี้ การยิงจรวดโจมตีอิสราเอลครั้งนี้มาจากรอบทิศทาง ส่งผลให้เบื้องต้น มีผู้เสียชีวิต 1 ราย เป็นหญิงอายุอยู่ในช่วงวัย 60 ปี และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 15 คน

ขณะที่กลุ่มฮามาสปลุกระดมกลุ่มนักรบแห่งการต่อต้านในเขตเวสต์แบงก์ และพันธมิตรอาหรับให้ร่วมกันลุกฮือต่อต้านอิสราเอล โดยมีแนวโน้มว่า การสู้รบครั้งนี้อาจรุนแรงที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่อิสราเอลและกลุ่มฮามาสสู้รบกัน นับตั้งแต่อิสราเอลใช้มาตรการปิดล้อมฉนวนกาซา เมื่อปี 2550 

ชนวนเหตุของความขัดแย้งครั้งนี้ มาจากการที่อิสราเอลปิดจุดผ่านแดนในฉนวนกาซานาน 2 สัปดาห์ เมื่อเดือนก.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการจลาจลของชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่ และอิสราเอลยอมเปิดจุดผ่านแดนอีกครั้ง เมื่อวันที่ 28 ก.ย.

ผู้เห็นเหตุการณ์ เปิดเผยว่า มีเสียงไซเรนเตือนภัยจากการยิงจรวดดังนานหลายนาทีในภาคใต้และภาคกลางของอิสราเอลในช่วงเช้าของวันนี้ (7 ต.ค.) และประชาชนในฉนวนกาซาก็ได้ยินเสียงการยิงจรวด

ชาวบ้านในฉนวนกาซา เปิดเผยว่า พวกเขาได้ยินเสียงการปะทะกันด้วยอาวุธตามแนวรั้วกั้นระหว่างอิสราเอล ใกล้กับเมืองข่าน ยูนิสทางตอนใต้ และได้เห็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักรบติดอาวุธจำนวนมาก ขณะที่กองทัพอิสราเอลยังไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

หน่วยรถพยาบาลของอิสราเอลระบุว่า ทีมต่าง ๆ ได้ถูกส่งไปยังพื้นที่ทางตอนใต้ของอิสราเอล ใกล้กับฉนวนกาซา และประชาชนได้รับคำเตือนให้อยู่ภายในบ้าน แต่ยังไม่มีรายละเอียดในทันทีเกี่ยวกับการบาดเจ็บและเสียชีวิตที่อาจเกิดขึ้น

ด้านสำนักงานของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอลกล่าวว่า เขาจะเข้าพบเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงระดับสูงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ 

กระแส ‘ตลาดรถ NEV’ ของจีนส่งสัญญาณคึกคัก ดันยอดจำหน่ายช่วง ม.ค.-ส.ค. ปาไป 5.37 ล้านคัน

เมื่อวานนี้ (6 ต.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า งานจัดแสดงยานยนต์ในช่วงหยุดยาววันชาติจีน (29 ก.ย.-6 ต.ค.) หรือ ‘สัปดาห์ทอง’ ได้สะท้อนความนิยมยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ที่เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นดาวเด่นดวงใหม่ของงานจัดแสดงยานยนต์ทั่วจีน

งานจัดแสดงยานยนต์พลังงานใหม่นานาชาติแห่งเหอเฝย ปี 2023 ในนครเหอเฝย มณฑลอันฮุยทางตะวันออกของจีน เมื่อวันที่ 29 ก.ย.-4 ต.ค. มีการจัดแสดงยานยนต์พลังงานใหม่จาก 95 แบรนด์ในประเทศและต่างประเทศมากกว่า 1,000 คัน

“หลังคำนวณราคาและปัจจัยอื่นๆ คิดว่าพร้อมซื้อรถยนต์พลังงานใหม่สักคัน จึงมาเดินงานนี้เพื่อดูรุ่นที่เหมาะสม” จางจู้ ชาวเมืองเหอเฝยที่มีรถยนต์เชื้อเพลิงน้ำมันแล้วกล่าว โดยจึงอยากซื้อรุ่นที่ราคาราว 2 แสนหยวน (ราว 1.02 ล้านบาท)

นอกเหนือจากรถยนต์ขนาดเล็กมูลค่าหลายหมื่นหยวน งานนี้ยังนำเสนอรถยนต์ที่มีคุณสมบัติครบครันมูลค่าสูงถึง 1 ล้านหยวน (ราว 5.13 ล้านบาท) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการอันหลากหลายอีกด้วย

งานนี้มีบรรดาแบรนด์ยานยนต์พลังงานใหม่ ครอบคลุมยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างออดี เมอร์ซิเดซ-เบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยู รวมถึงผู้ผลิตยานยนต์ม้ามืดจากจีนอย่างบีวายดี เชอรี และนีโอ เข้าร่วมจัดแสดงยานยนต์อย่างคึกคัก

อู๋หู่ ผู้เข้าชมงานนี้อีกคนหนึ่ง เผยว่าประสบการณ์การขับขี่อัจฉริยะและคุณสมบัติด้านความบันเทิงของยานยนต์พลังงานใหม่แบรนด์ภายในประเทศนั้นน่าสนใจมาก ไต้เสี่ยวฮุย พนักงานประจำบูธของเชอรี ผู้ผลิตยานยนต์ภายในประเทศ กล่าวว่ามีคำสั่งซื้อรถยนต์รุ่นต่างๆ มากกว่า 100 รายการในวันเดียว ซึ่งเท่ากับยอดจำหน่ายทั้งเดือนของร้านตัวแทนจำหน่ายระดับมาตรฐาน

เจิ้งลี่ ชาวเมืองเหอเฝยผู้เข้าชมงานนี้อีกคน เผยว่าการก่อสร้างและความครอบคลุมของสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการชาร์จไฟในปัจจุบันมีเพียงพอแล้ว ทำให้ยานยนต์พลังงานใหม่ตอบสนองความต้องการเดินทางได้เต็มที่

อนึ่ง ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน ระบุว่าจีนเป็นผู้ผลิตและตลาดยานยนต์พลังงานใหม่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยยอดจำหน่ายยานยนต์พลังงานใหม่ของจีน ช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม รวมอยู่ที่กว่า 5.37 ล้านคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.2 เมื่อเทียบปีต่อปี

แผนงานด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ฉบับล่าสุดของรัฐบาลจีน กำหนดเป้าหมายผลักดันยอดจำหน่ายยานยนต์พลังงานใหม่ในปีนี้แตะหลัก 9 ล้านคัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบปีต่อปี

‘สหรัฐฯ’ จ่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกเพิ่ม หวังสกัดกั้นผู้อพยพ อ้าง!! เป็นงบที่เหลือค้างจากนโยบายของรัฐบาล ‘โดนัลด์ ทรัมป์’

(6 ต.ค. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์และบีบีซีรายงานว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกาของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ประกาศเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ว่าจะสร้างกำแพงกั้นชายแดนระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโกเพิ่มอีกราว 20 กิโลเมตรในสตาร์ เคาน์ตี้ รัฐเท็กซัส เพื่อสกัดการเข้าประเทศของผู้อพยพจากเม็กซิโก ซึ่งถือเป็นการเดินหน้าในนโยบายหลักของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่สนับสนุนให้มีการสร้างกำแพงตามชายแดนที่ติดกับประเทศเม็กซิโก

หลังจากที่ประธานาธิบดีไบเดนขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ต่อจากทรัมป์ในเดือนมกราคมปี 2021 หนึ่งในสิ่งแรกที่เขาทำคือออกแถลงการณ์ให้คำมั่นว่า “ภาษีของชาวอเมริกันจะไม่ถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนอีก” รวมถึงสั่งให้มีการตรวจสอบทรัพยากรทั้งหมดที่ถูกใช้ในการสร้างกำแพงไปแล้ว

อย่างไรก็ดี รัฐบาลสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า การตัดสินใจที่จะสร้างกำแพงกั้นชายแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโกเพิ่มนั้นไม่ได้หันเหไปจากแถลงการณ์ให้คำมั่นของไบเดนเมื่อปี 2021 แต่อย่างใด เพราะงบประมาณที่ถูกจัดสรรไว้ตั้งแต่สมัยรัฐบาลทรัมป์เมื่อปี 2019 จำเป็นต้องนำออกมาใช้ตอนนี้ ‘นายอเลฮานโดร มายอร์กาส’ รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ระบุว่า ไม่มีนโยบายการบริหารใหม่เกี่ยวกับกำแพงชายแดน ตั้งแต่วันแรกของการทำงาน ฝ่ายบริหารได้แสดงชัดเจนว่ากำแพงกั้นชายแดนไม่ใช่คำตอบ

มายอร์กาส กล่าวว่า โครงการก่อสร้างกำแพงชายแดนดังกล่าวได้รับการจัดสรรงบไว้แล้วในสมัยรัฐบาลของทรัมป์ และกฎหมายระบุให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณดังกล่าว ตามที่มีการประกาศเมื่อช่วงต้นปีนี้

“เราได้ขอให้สภาคองเกรสยกเลิกงบประมาณดังกล่าวหลายครั้ง แต่พวกเขายังไม่ทำเช่นนั้น เราจึงต้องดำเนินการตามที่กฎหมายระบุ และในปัจจุบันมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องสร้างเครื่องกีดขวางและถนนใกล้กับชายแดนสหรัฐฯ เพื่อป้องกันการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย” มายอร์กาส กล่าว

ด้านอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ได้รีบออกมาประกาศชัยชนะในนโยบายสร้างกำแพงของตนเอง และเรียกร้องให้ประธานาธิบดีไบเดนออกมาขอโทษเขา และประเทศอเมริกาที่เดินหน้าในเรื่องกำแพงชายแดนล่าช้ากว่ากำหนด

ขณะที่ประเทศเม็กซิโกได้ออกมาคัดค้านแผนการสร้างกำแพงชายแดนเพิ่มของสหรัฐฯ ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศ ได้มีการหารือกันในกรุงเม็กซิโก ซิตี เมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก

โดย ‘นายอันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์’ ประธานาธิบดีเม็กซิโกกล่าวประณามว่า เป็นการเดินถอยหลัง และ ‘อลิเซีย บาร์เซนา’ รัฐมนตรีต่างประเทศเม็กซิโก กล่าวคัดค้านแผนดังกล่าวเช่นกัน รวมถึงสมาชิกพรรครีพับลิกันและเดโมแครตหลายคนได้ออกมาวิจารณ์ไบเดน จากการหันมาเดินหน้าสร้างกำแพงกั้นชายแดนเพิ่ม

‘ญี่ปุ่น’ สร้าง ‘Giraffenap’ ตู้งีบหลับแบบยืนคล้ายยีราฟ ตอบโจทย์วัยทำงาน ‘พักสายตา-ร่างกาย’ จากความเหนื่อยล้า

ออฟฟิศสมัยใหม่ในหลาย ๆ ประเทศเริ่มออกแบบให้มีโซนพักผ่อนสำหรับพนักงาน ไว้ใช้แอบงีบหลับพักสายตาสั้น ๆ บริษัทหัวใสแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นจึงได้เอาไอเดียนี้มาทำเป็น ‘Sleeping Pod’ หรือตู้สำหรับนอนงีบหลับที่ไม่ธรรมดา เพราะว่าออกแบบมาให้ผู้ใช้งานต้อง ‘ยืนหลับ’ คล้ายกับวิธีการยืนหลับของยีราฟ โดยให้ชื่อผลงานนี้ว่า ยีราฟแน็ป (Giraffenap)

สำหรับ Giraffenap เป็นตู้แนวตั้ง ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถนอนหลับในท่ายืนได้ ตัวตู้นี้มีขนาดพอ ๆ กับตู้โทรศัพท์สาธารณะขนาดเล็ก โดยความสูงของตู้อยู่ที่ 2.5 เมตร และกว้าง 1.2 เมตร พร้อมกับออกแบบให้ตู้นี้สามารถป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ รวมถึงยังติดตั้งตัวดับเพลิง พัดลมภายใน ไฟแอลอีดี และตะขอที่แขวนเสื้อมาให้ในตู้ด้วย

ถ้ามองจากภายนอก ตู้นอนหลับแบบยืนนี้ อาจจะดูเหมือนตู้เก็บของ ห้องน้ำหรือแม้กระทั่งห้องสำหรับใช้โทรศัพท์ แต่เมื่อเปิดออกมาจะพบว่าภายในได้ออกแบบตัวที่นั่งอย่างประณีต ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทิ้งตัวนอนในท่ายืน แบบไม่ต้องเกร็งร่างกายเพื่อรับน้ำหนักตัวเองแต่อย่างใด โดยภายในตู้ประกอบด้วยแพลตฟอร์มรองรับน้ำหนักส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทั้งโต๊ะรองแขน เก้าอี้รองก้น แท่นรองเข่า รวมถึงพนักเล็ก ๆ ด้านใต้ตู้ สำหรับรองฝ่าเท้า ทำให้เวลานอน เราจะต้องฟุบหน้าไปกับแขนที่วางอยู่บนโต๊ะ ส่วนขาก็จะอยู่ในลักษณะงอเข่า และเอียงตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย

โดยบริษัท Koyoju Plywood Corporation จากจังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ผู้ผลิตตู้นอนยีราฟนี้ กล่าวว่าบริษัทกำลังมุ่งที่จะสร้างสังคมที่ทุกคนสามารถมีที่สำหรับงีบหลับได้อย่างง่ายดาย และมองว่าผลงานนี้ จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยพัฒนาทั้งในแง่ของธุรกิจของบริษัทและสุขภาพของคนทำงานไปพร้อมกัน เนื่องจากบริษัทมองว่าถ้าคนเราได้งีบหลับ ก็จะเหมือนกับได้ฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า ไม่ต้องทนกับอาการง่วงนอนในเวลาทำงาน และตื่นมามีแรงเพื่อที่จะลุยงานต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นผลดีทั้งกับบริษัทและตัวพนักงานเอง

แต่สำหรับใครที่อยากจะใช้ตู้นี้ มีข้อจำกัดนิดคือจะต้องสูงไม่เกิน 198 เซนติเมตร หรือมีน้ำหนักไม่เกิน 100 กิโลกรัม เพราะถ้าสูงเกินหรือน้ำหนักตัวมากไป ก็อาจจะไม่พอดีกับตู้ได้ ส่วนราคาวางจำหน่ายตู้นอนแบบยืนนี้ อยู่ที่ตู้ละประมาณ 3,000,000 เยน หรือคิดเป็นเงินไทยที่ 740,000 บาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top