Wednesday, 24 April 2024
ISSUE

ส่อง 5 เทศกาล ‘สายสาด’ สุดมันส์ ที่ ‘ชุ่มฉ่ำ - สะใจ’ ไม่แพ้สงกรานต์ไทย

เมื่อถึงเดือนเมษายนของทุกปี ช่วงเวลาหยุดยาวในเทศกาลสุดหรรษาอย่างสงกรานต์ ก็หวนย้อนมาเยือนให้คนไทยได้อิ่มเอมกันเสมอ ๆ

เพราะเป็นช่วงวันหยุดยาว ๆ ที่หลายคนจะถือเอาช่วงวันหยุดนี้กลับภูมิลำเนา เยี่ยมญาติมิตร และท่องเที่ยวพักผ่อนให้เต็มเหนี่ยใ

ขณะเดียวกัน คนไทยส่วนใหญ่ต่างก็ตั้งตารอ ‘สาดน้ำเล่นสงกรานต์’ กันเต็มที่ แต่ปีนี้บอกก่อนว่า ‘อดชัวร์’ อะเนาะ!! ก็อย่างว่าดัน ‘การ์ดตก’ กันถ้วนหน้า จะทำไงได้ล่ะฮิ!!

พูดให้อยากทำไม? ในเมื่อสรุปแล้ว ปีนี้เรา ๆ ท่าน ๆ คงต้องนอนเบื่ออยู่บ้านกันไปยาว ๆ (^-^)

แต่เอาน่า!! กิจกรรมชุ่มฉ่ำ ๆ ยังมีวนมาให้สัมผัสได้ทุกปีนั่นแหละ ก็ลุ้น ๆ กันไปเหมือนรอถูกหวยละกัน ว่าปีหน้าสถานการณ์โรคระบาดจะจืดจางลง ให้เทศกาลแห่งสายน้ำกลับมาสู่ชีวิตพวกเราเช่นเคย

ว่าแล้ว พอพูดถึงการสาดน้ำ คุณ ๆ ท่าน ๆ ทราบกันหรือไม่ว่า...ไม่ได้มีแค่ในประเทศไทยเท่านั้นที่มีเทศกาลสาดน้ำ และไม่ได้มีแต่ ‘น้ำ’ เท่านั้นที่ใช้สาดเล่นกันได้

Weekly ช่วงเทศกาลกร่อยๆ แบบนี้ เลยขอพาคุณไปรู้จักเหล่า ‘เทศกาลสายสาด’ จากต่างแดน ที่น่าสนุกจนใคร ๆ ก็ต้องอยากไปลองเล่นดูสักครั้ง (ถึงแม้จะไม่ใช่เร็ววันนี้ก็ตาม) มาแก้วันเหงา เศร้า เบื่อ และเก็บกักตัวกันไปพลาง ๆ

เอาล่ะ!! มีเทศกาลสายสาดอะไรกันบ้าง เชิญชม!!

1. เทศกาลโฮลี (Holi Festival) ประเทศอินเดีย

>> จัดทั่วประเทศอินเดีย และชุมชนชาวอินเดียขนาดใหญ่ทั่วโลก

>> จัดขึ้นในช่วงแรม 1 ค่ำ เดือน 4 ของทุกปี เป็นเวลา2 วัน (เดือนมีนาคม)

‘สาดสี’ กับเทศกาลโฮลี อีกเทศกาลสายสาดที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของการละเล่นที่เต็มไปด้วยสีสันสดใจ ที่ผู้คนมากมายต่างพร้อมกายพร้อมใจละเลงฝุ่นสีไปทั่วทั้งถนน อันเป็นการเฉลิมฉลองให้กับการสิ้นสุดของฤดูหนาวอันเยือกเย็นไร้ชีวิตชีวา โดยฝุ่นสีที่ใช้สาดใส่กันนั้นก็ทำมาจากธรรมชาติ อาทิเช่น ดอกทองกวาว (สีส้ม) หัวบีทรูท (สีม่วง) ขมิ้น (สีเหลือง) และสีอื่น ๆ ที่จะทำให้ทุกตารางนิ้วบนตัวคุณไม่หลงเหลือสีผิวหรือสีเสื้อผ้าเดิมอยู่เลย

ประวัติความเป็นมาของเทศกาลโฮลีนั้นไม่แน่ชัดว่าเริ่มครั้งแรกเมื่อใด แต่มีการกล่าวถึงเทศกาลนี้มีตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 4 และสันนิษฐานกันว่า เทศกาลโฮลีนี้ถือเป็นต้นกำเนิดของเทศกาลสำคัญที่พื้นที่ฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับอิทธิพลมา และปรับเปลี่ยนจากการสาดสีเป็นสาดน้ำ ซึ่งก็คือเทศกาลสงกรานต์นี่เอง ดังนั้นใครไปเล่นสาดสีที่อินเดียนี่ถือได้ว่าไปเล่นเทศกาลสาดจากดินแดนต้นตำหรับกันเลยทีเดียว

2. เทศกาลไวน์ฮาโร (Haro Wine Festival) ประเทศสเปน

>> จัดที่เมืองฮาโร แคว้นลาริโอฆา ประเทศสเปน

>> จัดขึ้นในวันที่ 29 มิถุนายนของทุกปี

‘สาดไวน์’ ไปกับเทศกาลสาดไวน์ในเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของประเทศสเปนที่มีชื่อว่า ฮาโร (Haro) ในแค้วนลาริโอฆา (La Rioja) ที่จะเปลี่ยนถนนทั้งเส้นและผู้คนทั้งหมดให้อาบไปด้วยไวน์สีแดงฉานรสชาติซาบซ่า ด้วยเครื่องมือที่สารพัดจะพกมาทั้งเททั้งฉีดและสเปรย์จนกลายเป็นละอองหมอกสีแดงดูน่าตื่นตาตื่นใจ หรือจะมาเป็นรถดับเพลิงฉีดไวน์เลยก็มี ถ้าคุณคิดว่าน้ำเปล่าแช่น้ำแข็งของสงกรานต์บ้านเรายังไม่สาแก่ใจพอ ก็ต้องที่นี่แหละสุดจริง

สำหรับเทศกาลไวน์ฮาโรนั้น จัดขึ้นมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 13 เพื่อเฉลิมฉลองการเข้าสู่ฤดูร้อนของชาวท้องถิ่น ซึ่งแรกๆ ก็เน้นจัดเทศกาลเพื่อดื่มกันอยู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นการสาดใส่กันแทน โดยเทศกาลนี้มีชื่อเรียกในภาษาสเปนว่า La Batalla Del Vino De Haro หรือสงครามไวน์ฮาโร แต่ไม่ต้องกลัวว่านี่คือการสาดของราคาแพงใส่กันให้เสียดายไวน์ เพราะแคว้นนี้ถือเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญที่สุดของสเปน และครัวเรือนกว่า 40% ของที่นี่เขาก็มีโรงบ่มไวน์เป็นของตนเอง ของสาดจึงมีเพียบ

3. เทศกาลโคลนโพเรียง (Boryeong Mud Festival) ประเทศเกาหลีใต้

>> จัดที่หาดแดชอน เมืองโพเรียง ประเทศเกาหลีใต้

>> วันที่จัดงาน: ช่วงสุดสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกรกฎาคม

‘สาดโคลน’ ที่ไม่ใช่แค่การสาดเสียเทเสีย เทศกาลสาดโคลนนี้ จัดขึ้นบริเวณชายหาดแดชอน (Daecheon Beach) เมืองโพเรียง (Boryeong) ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเทศกาลนี้จัดขึ้นเป็นเวลานานถึง 2 สัปดาห์ในช่วงฤดูร้อน โดยคุณจะได้สนุกไปกับการชโลมตัวในบ่อโคลน ลานมวยปล้ำ เล่นชักเย่อ กิจกรรมสาดโคลนใส่กัน พร้อมเครื่องเล่นที่สนุกสนานประหนึ่งว่านี่คือสวนน้ำกลางแจ้งอย่างไรอย่างนั้น นอกจากนี้ยังมีสปาโคลน และกิจกรรมเบา ๆ สำหรับผู้สูงอายุอีกด้วย

เทศกาลโคลนโพเรียงจัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1998 และกลายเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงเนื่องจากคุณภาพของโคลน ซึ่งเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าต่อผิว จนสามารถนำไปผลิตเป็นเครื่องสำอางและวางจำหน่ายได้ นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศจึงนิยมมาสนุกสนานกับเทศกาลนี้ทุกปี จนมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 2 ล้านคน! แถมยังอยู่ไม่ไกลจากกรุงโซลเท่าไหร่นัก ใครมีโอกาสไปเที่ยวเกาหลีช่วงหน้าร้อน อย่าลืมแวะไปสาดโคลนกันนะ

4. เทศกาลปามะเขือเทศ (La Tomatina) ประเทศสเปน

>> จัดที่เมืองบูญอล แคว้นบาเลนเซีย ประเทศสเปน

>> จัดช่วงวันพุธสุดท้ายของเดือนสิงหาคม

‘สาดมะเขือเทศ’ เทศกาลสาดสุดเดือดที่มีชื่อเสียงที่สุดงานหนึ่งของสเปน เพราะเทศกาลปามะเขือเทศสุดเละเทะนี้เป็นอีกงานสายสาดสุดเกินบรรยายของเมืองบูญอล (Bunol) ในแคว้นบาเลนเซีย (Valencia) ประเทศสเปน ซึ่งจะว่าตรงๆ นี่ไม่ใช่แค่เทศกาล แต่เหมือนสงครามย่อมๆ กันเลย เพราะในแต่ละปีจะมีการสูญเสียมะเขือเทศจากการปาใส่กันมากกว่า 145 ตัน ผ่านการละเลงให้เละไปทั่วทั้งถนนที่ใช้จัดกิจกรรมสุดมันส์ ใครที่เบื่อสาดน้ำก็ลองเดินทางมาปามะเขือเทศใส่กันแทนได้ คุณก็จะได้ลิ้มรสอารมณ์ความเปียกแบบเหนอะๆ ไปอีกแบบ

ส่วนความเป็นมาของเทศกาลนี้ ก็ออกจะแหวกแนวไปสักหน่อย เพราะเพิ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1945 นี่เอง โดยปีก่อนหน้านั้นเกิดเหตุละเทาะวิวาทขึ้น และมีการใช้มะเขือเทศในแผงตลาดมาปาใส่กัน ทำให้ปีต่อมาคนเลยติดใจ จึงจัดมะเขือเทศมาปากันต่อจนถึงปัจจุบัน แต่ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเสียของ เพราะมะเขือเทศที่นำมาใช้ละเลงในเทศกาลนั้น เป็นพันธุ์ที่มีรสชาติไม่อร่อยและมีราคาถูก โดยมีการคลึงมะเขือเทศให้ช้ำก่อนนำมาให้ผู้คนได้สนุกกันโดยไม่เป็นอันตราย

5. เทศกาลปาองุ่น (Grape Throwing Festival) ประเทศสเปน

>> จัดที่เมืองมาจอร์กา หมู่เกาะแบลิแอริก ประเทศสเปน

>> จัดทุกวันหยุดสุดสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน

‘สาดองุ่น’ อีกหนึ่งเทศกาลสายสาดของสเปนในเมืองมาจอร์กา (Mallorca) ที่ตั้งอยู่บนหมู่เกาะแบลิแอริก (Balearic Islands) บนทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ฝั่งตะวันออกของประเทศสเปน ซึ่งชาวท้องถิ่นถือว่านี่คือสุดยอดของ ‘ความบันเทิง’ ประจำปี โดยคุณต้องทำการทั้งละเลง ทั้งปาผลองุ่นดำใส่กันอย่างสนุกสนาน ซึ่งอาจจะรู้สึกแปลกสักหน่อยเพราะสาดอย่างอื่นเขามาเป็นน้ำหรือเป็นผง แต่งานนี้สาดกันมาเป็นพวงเลยทีเดียว

ที่มาที่ไปของเทศกาลปาองุ่นนั้น ก็ไม่ได้ซับซ้อนมากมาย เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่ผลผลิตองุ่นในหมู่เกาะแบลิแอริกกำลังได้ที่ และย่านนี้ ก็เป็นแหล่งเพาะปลูกองุ่นที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสเปน การฉลองช่วงเก็บองุ่นด้วยการละเลงองุ่นจึงเริ่มขึ้น ณ จุดนี้ แถมงานนี้ผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่จะเลือกนุ่งสั้นทูพีช หรือเหล่ายอดชาย ก็ถอดเสื้อละเลงใส่กัน ซึ่งนอกจากจะไม่เลอะเทอะเสื้อผ้ามากชิ้นแล้ว ยังได้บำรุงผิวทางอ้อม เพราะองุ่นมีวิตามินหลายชนิด (อ่ะนะ) ด้วย!!


ที่มา:

https://www.thansettakij.com/content/ThanDigital/471063

https://travel.thaiza.com/foreign/370778/

https://travel.trueid.net/detail/XkK0JqjpZmX

https://www.wecrafttravel.com/2019/04/29/la-tomatina-เทศกาลปามะเขือเทศ/

https://www.facebook.com/perspectivetelevision/photos/เทศกาลปาองุ่น-(throwing-/435092583495811/

https://www.skyscanner.co.th/news/songkran-alternative

มอเตอร์เวย์หมายเลข 6 ทางหลวงพิเศษเชื่อมใจ เชื่อมเมืองไทยให้ยั่งยืน

ทำไม ? ถึงต้องจั่วหัวมาขนาดนั้น หากเราย้อนมองอดีตก่อนจะมาถึงการสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมานั้น ต้องเริ่มด้วยต้นสายคือ ทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ ความยาว 509 กิโลเมตร ถนนหลักที่ใช้สัญจรเชื่อมภาคกลางกับอีสาน เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2498 สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี จากสระบุรีจนถึงนครราชสีมา ระยะทางประมาณ 148 กิโลเมตร เป็นทางหลวงสายแรกของประเทศไทยที่มีผิวจราจรลาดยางแบบแอสฟัลต์ - คอนกรีตก่อนจะสร้างต่อสายเส้นทางไปจนสุดถึงหนองคายในสมัยรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร อันเป็นการส่งต่อทุกความเจริญไปสู่ภาคอีสานทั้งตอนบนและตอนล่าง เปิดทางให้เกิดความเจริญทางเศรษฐกิจ เชื่อมชุมชน เชื่อมไร่นา เชื่อมตลาด

จากเพียงถนน 2 ช่องจราจรก็มากลายเป็นถนน 4 ช่องจราจรในรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และพัฒนาจนบางช่วงใหญ่ขนาด 10 ช่องจราจร แต่วันนี้มิตรภาพ ก็เริ่มจะไม่เพียงพอต่อการสัญจรเสียแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างปีใหม่หรือวันหยุดยาวในช่วงสงกรานต์ที่เราคนไทยจะได้สัมผัสมิตรภาพอันยาวนานไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมงทุกครั้งทั้งขาไปและขากลับ จึงเกิดเป็นคำถามว่าทำอย่างไรถึงจะแบ่งเบาและแก้ไขให้แบ่งปันมิตรภาพให้ออกไปได้มากกว่านี้ ? ปลายเหตุของเรื่องนี้ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 คือคำตอบ

ทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 หรือ มอเตอร์เวย์สายอีสาน เป็นทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองขนาด 4 - 6 ช่องจราจร เชื่อมต่อจากกรุงเทพมหานครไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เริ่มต้นจากอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปสิ้นสุดที่จังหวัดหนองคาย โดยเริ่มก่อสร้างช่วงบางปะอิน - นครราชสีมาระยะทาง 196 กิโลเมตรเป็นช่วงแรก คาดว่าช่วงนี้จะแล้วเสร็จและเปิดใช้งานได้ในปี 2566 โดยในกรอบการสร้างนั้นยังรวมไปถึงการศึกษาเพื่อต่อยอดเส้นทางออกไปอีก 2 ระยะคือจาก นครราชสีมา - ขอนแก่นระยะทาง 196 กิโลเมตร และจากขอนแก่น - หนองคายระยะทาง 160 กิโลเมตร อันจะเป็นเส้นทางคู่ขนานเพื่อแบ่งเบาการจราจรบนถนนมิตรภาพให้คล่องตัวขึ้น

ทางหลวงหมายเลข 6 นี้แรกเริ่มนั้นได้รับความเห็นชอบและอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี 2540 โดยเป็นการก่อสร้างเส้นทาง 3 สายต่อเนื่องกัน แต่หลังจากปี 2540 เจอกวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งก็เลยไม่มีอะไรเดินหน้าแม้จะผ่านวิฤตแล้วก็ยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ จนมาถึงยุคของพลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา ในปี 2558 ครม.ได้อนุมัติโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ 3 สายใหม่ เพื่อแก้ปัญหาจราจรติดขัดโดยเฉพาะช่วงเทศกาลหยุดยาว ประกอบด้วย 1. สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ระยะทางประมาณ 196 กม. 2. สายบางใหญ่บ้านโป่ง-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กม. และ 3. สายพัทยา - มาบตาพุด ระยะทาง 32 กม.จำเพาะลงมาที่เส้น บางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ปกติหากต้องใช้เส้นทางสายมิตรภาพ ระหว่างเวลาเสาร์ - อาทิตย์ และเทศกาลวันหยุดยาวอย่างสงกรานต์ ปริมาณรถบนถนนจะมีมากกว่า 13 ล้านคัน ทำให้มิตรภาพในช่วงเวลาดังกล่าว เวลาเหมือนหยุดนิ่ง ยาวนาน ต้องมานั่งนับเวลาว่าเราจะขับรถถึงบ้านโดยใช้เวลากี่ชั่วโมง ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือบริเวณตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย ซึ่งเป็นทางขึ้นเขา และมีจุดพักรถตลอดเส้นทาง เกิดสภาพคอขวด การจราจรแออัด รถติดยาวต่อเนื่องกว่า 30 กิโลเมตร ใช้เวลาแค่ช่วงนี้ก็กินเวลาไป 4 - 5 ชั่วโมงแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ มอเตอร์เวย์หมายเลข 6 คือตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ฝันของคนอยากกลับบ้านเป็นจริง

สงกรานต์ปี 2564 นี้เองที่รัฐบาลจะเปิดเส้นทางมอเตอร์เวย์หมายเลข 6 ให้เราได้สัมผัสเส้นทาง ขาไปตั้งแต่วันที่ 9 - 13 เมษายน และขากลับ 14 - 19 เมษายน จากช่วงหลักกิโลเมตรที่ 65 บ้านหนองไผ่ล้อม ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ไปจนถึงจุดลงถนนมอเตอร์เวย์ที่บริเวณด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา แม้จะเปิดให้วิ่งเป็นระยะทางสั้น ๆ แค่ 35 กิโลเมตร อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ประชาชนได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นของคุณภาพชีวิตการเดินทาง แม้ว่าในปีนี้จะช่วยให้ประหยัดเวลาและลดความแออัดที่เกิดขึ้นไปได้เล็กน้อย แต่ก็ทำให้เราได้เห็นภาพของอนาคตมากขึ้น อนาคตที่เส้นทางนี้จะเป็นหนทางหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยในยุค 5G ของชาวอีสานและภูมิภาคใกล้เคียง ทั้งยังเห็นโอกาสของการสร้างสำนึกรักบ้านเกิด การกลับสู่ชุมชนของคนอีสาน จากความเจริญทางเศรษฐกิจเมื่อพ้นวิกฤต จะเชื่อมโยงทุกรอยยิ้มให้มีมากกว่ามิตรภาพในวันวาน


ขอบคุณภาพจาก : โครงการ มอเตอร์เวย์

'รากษสเทวี' นางสงกรานต์ 64 ผู้นำพา ‘มหันตภัย’ มาสู่กลางเมือง

นางสงกรานต์ปี 64 ทรงนาม ‘รากษสเทวี’

แม้ประเพณีสงกรานต์จะอยู่คู่กับประเทศไทยมาช้านาน แต่ช่วง 2 ปี มานี้ หลายกิจกรรมเด่น ๆ ก็ถูกระงับ โดยเฉพาะการเล่นสาดน้ำที่เป็นกิจกรรมหลัก เหตุเพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ยังคุกรุ่น

ถึงกระนั้นกิจกรรมเข้าวัดทำบุญ สรงน้ำพระ สืบสานประเพณีอันดีงาม ก็ยังสามารถดำเนินได้ แบบมีระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)

นอกเหนือจากกิจกรรมของประเพณีดังกล่าว ช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีการพูดถึงอีกเรื่องสำคัญ นั่นก็คือ ความเชื่อเกี่ยวกับนางสงกรานต์ทั้ง 7 ซึ่งหลายคนอาจจะคงเคยได้ยินเรื่องราวกันมาบ้าง

สำหรับนางสงกรานต์ทั้ง 7 เป็นเรื่องเล่าขานตำนานเกี่ยวกับ ‘ธิดา’ ของ ‘ท้าวกบิลพรหม’ หรือ ‘ท้าวมหาสงกรานต์’ ซึ่งเป็นนางฟ้าสถิตย์อยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา หรือสวรรค์ชั้นที่ 1 จากทั้งหมด 6 ชั้น

โดยธิดาทั้ง 7 จะมีหน้าที่ในการรับ ‘เศียร’ ของท้าวกบิลพรหม ไม่ให้ตกลงบนพื้นโลก หรือพื้นน้ำ หรือบนอากาศ หลังจากที่ ‘ท้าวกบิลพรหม’ รู้ตัวว่าจะต้องตาย โดยการตัดเศียรของตนเพื่อบูชาธรรมบาลกุมาร และท่านก็ได้ตรัสเรียกธิดาทั้ง 7 องค์ อันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่า “พ่อจะตัดเศียรตัวเองเพื่อบูชาธรรมบาลกุมาร แต่เศียรของพ่อนี้หากตั้งไว้บนแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้โลก หากโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง หากนำไปทิ้งในมหาสมุทร น้ำก็จะแห้ง”

ดังนั้นในทุก ๆ 1 ปี ธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้ง 7 จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมแห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ แล้วประดิษฐานตามเดิมตามวันมหาสงกรานต์มิได้ขาด

และนั่นก็ทำให้มีการกำหนดเกณฑ์ว่า ‘วันสงกรานต์’ คือวันที่ 13 เมษายน ของทุกปี และหากตรงกับวันใด ก็ให้นางสงกรานต์ประจำวันนั้น เป็นผู้แห่ ซึ่งนางสงกรานต์นั้นมีทั้งหมด 7 องค์ เรียกตามชื่อวันในสัปดาห์ ได้แก่...

- วันอาทิตย์ นางสงกรานต์นาม ‘ทุงษะเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันอาทิตย์ ชื่อ นางแพงศรี

- วันจันทร์ นางสงกรานต์นาม ‘โคราคะเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดา ภักษาหารเตลัง (น้ำมัน) พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (เสือ) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันจันทร์ ชื่อ นางมโนรา

- วันอังคาร นางสงกรานต์นาม ‘รากษสเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (หมู) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันอังคาร ชื่อ นางรากษสเทวี

- วันพุธ นางสงกรานต์นาม ‘มณฑาเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันพุธ ชื่อ นางมันทะ

- วันพฤหัสบดี นางสงกรานต์นาม ‘กิริณีเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังคชสาร (ช้าง) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันพฤหัส ชื่อ นางัญญาเทพ

- วันศุกร์ นางสงกรานต์นาม ‘กิมิทาเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันศุกร์ ชื่อ นางริญโท

- วันเสาร์ นางสงกรานต์นาม ‘มโหธรเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทรายพระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันเสาร์ ชื่อ นางสามาเทวี

วันมหาสงกรานต์ ในปี 2564 ตรงกับวันอังคาร ดังนั้นจึงตรงกับนางสงกรานต์ที่มีชื่อว่า “รากษสเทวี” ตามตำนานเล่าว่านางเป็นธิดาองค์ที่ 3 ของท้าวกบิลพรหม โดยมีลักษณะต่าง ๆ ตามคติความเชื่อคือ ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จไสยาสน์หลับเนตรมาเหนือหลังวราหะ (หมู) เป็นพาหนะ

สำหรับ ‘คำนาย’ เกี่ยวกับนางสงกรานต์ ทั้งภักษาหาร และดวงเมือง ประจำวันวันที่ 16 เมษายน 2564 ตั้งแต่ช่วงเวลา 07 นาฬิกา 37 นาที 12 วินาที ซึ่งนับเป็นจุลศักราชใหม่ที่ 1383 จะมีวันอาทิตย์เป็นธงชัย วันจันทร์เป็นอธิบดี วันเสาร์เป็นอุบาทว์ วันพุธเป็นโลกาวินาศ

ขณะที่ ‘รากษสเทวี’ เป็นนางสงกรานต์ประจำวันอังคาร มีคำนำนายของปีนี้ว่า จะเกิดอันตรายกลางเมือง จะเกิดเพลิงภัยและโจรผู้ร้าย ผู้คนจะเจ็บไข้นักแลฯ ภายใต้เกณฑ์ต่าง ๆ ดังนี้...

- เกณฑ์พิรุณศาสตร์ ปีนี้ เสาร์ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 400 ห่า: ตกในเขาจักรวาล 160 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 120 ห่า ตกในมหาสมุทร 80 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 40 ห่า

- เกณฑ์ธาราธิคุณ ปีนี้ตกราศีกรกฏ ชื่ออาโป (ธาตุน้ำ): ทำนายว่า น้ำมาก น้ำท่วม

- เกณฑ์นาคราชให้น้ำ ปีนี้นาคราชให้น้ำ 6 ตัว: ทำนายว่า ฝนดีตลอดปี

- เกณฑ์ธัญญาหาร ชื่อปาปะ: ข้าวกล้าในไร่นา จะได้ 1 ส่วน เสีย 10 ส่วน คนทั้งหลายจะตกทุกข์ได้ยากลำบากแค้น เพราะกันดารอาหารบ้าง จะฉิบหายเป็นอันมากแลฯ

นี่ก็ถือเป็นอีกเรื่องเล่าตำนานสำคัญของคนไทยต่อวันสงกรานต์ ที่คนรุ่นใหม่อาจจะมิได้คุ้นนัก แต่เชื่อเถิดว่าผู้คนในอดีตต่างยังคงความเชื่อ เพื่อนำคำพยากรณ์ที่เคียงคู่มากับนางสงกรานต์ในปีนั้นๆ มาปรับคิดรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ พอสมควร


ที่มา:

http://www.horonumber.com/news-3714

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%

http://www.prapayneethai.com/%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%

‘สงกรานต์นิวนอร์มอล’ บอกลาเมืองแห่งซอมบี้ ต้อนรับประเพณีดั้งเดิมกลับมา

ปีที่แล้ว ไม่มี ‘เทศกาลสงกรานต์’ เพราะโควิด – 19 รุกรานหนักหน่วง รัฐบาลจึงสั่ง Skip สงกรานต์กันไปยาว ๆ สายสาดน้ำ สายปาร์ตี้ ถึงกับเฉา เหมือนชีวิตขาดความเร้าใจไป มาปีนี้หมายมั่นปั้นมือ ขอกลับมา ‘สาดดด!’ กันสักหน่อย ปรากฎว่า เหมือนฉายหนังซ้ำ สถานการณ์กลับมาระบาดหนักอีกระลอก!

เล่นเอาเซ็งเศร้าเหงาเจ็บกันไป จะโทษใครไม่ได้ ต้องโทษเรากันเอง อดถือขันสาดน้ำ ต้องมาตั้งการ์ดกันต่อ แถมเจ้าโควิด – 19 ระลอกนี้ เป็นสายพันธุ์อังกฤษ ติดเร็วทันใจซะด้วย ถถถถถถ! นังโคขวิด เอ้ย! โควิด แกมาปั่นป่วนเป็นปี ๆ ยังไม่ยอมไปไหนเสียที แถมยังมีหน้ามาแยกแยะเป็นสายพันธุ์นู่นนี่เสียอีก โอ้ย...เบื่อๆ ๆ ๆ  (อยากสาดน้ำ)

สรุปง่าย ๆ สงกรานต์ปี 2564 นี้ จะมีหน้าตาคล้าย ๆ เมื่อปี 2563 กล่าวคือ อยู่บ้านกันเฉย ๆ ไงจะยังไงล่ะ! แถมทางรัฐบาลก็มอบวันหยุดยาวววววว มาให้อี๊ก! งานนี้ทำอะไรดี กิจกรรมไม่มี เวลาเหลือ ๆ ถถถถถถ!

ได้เวลาหยุดพร่ำบ่นล่ะ เอาเป็นว่า ในวิกฤติ ย่อมมีโอกาสเสมอ และในการระบาดของโควิด – 19 ก็มีข้อดีอยู่เช่นกัน อย่างที่เราทราบกันดี ช่วงเวลาการระบาดของเจ้าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ ผู้คนบนโลก หยุดการ ‘ผลาญ’ ทรัพยากรลงไปอย่างมากมาย ในมุมกลับกัน ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ขึ้นอีกครั้ง

ลองจินตนาการดู จากโลกกลมๆ ที่หมุนเร็วจี๋ กลายเป็นโลกหมุนช้าลง แน่นอนว่า พออะไร ๆ มันลดความเร็ว มันก็ทำให้พวกเราเห็นอะไรได้ ‘ชัดเจน’ ขึ้น ว่าไหมล่ะ?

ยกตัวอย่าง สงกรานต์บ้านเรา พอโควิด – 19 มาเมื่อปีก่อน จากประโยคคลาสิก ‘7 วันอันตราย’ ที่มักได้ยินเป็นประจำในช่วงเทศกาล อ้าว! มันลดความอันตรายลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ 

เครดิตที่มาภาพ: Tero Radio

รายงานข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2563 ระหว่างวันที่ 10 - 16 เม.ย.2563 พบว่า มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 1,307 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 1,260 ราย และเสียชีวิต 167 ราย โดยเมื่อเทียบกับสงกรานต์ปี 2562 ซึ่งเกิดอุบัติเหตุ 3,338 ครั้ง ลดลงไป 2,031 ครั้ง (ร้อยละ 60.84) บาดเจ็บ 3,442 ราย ลดลง 2,182 คน (ร้อยละ 63.39) และเสียชีวิต 386 ราย ลดลงจากปีที่แล้ว 219 ราย (ร้อยละ 56.74)

หากจะบอกว่า นี่เป็นผลพวงจากโควิด – 19 ระบาด ก็คงไม่ผิดไปนัก ยิ่งหากลงลึกเข้าไปในรายละเอียดของการสูญเสียจากเทศกาลสงกรานต์ สาเหตุหลักที่มีเปอร์เซนต์สูงสุดคือ เมาสุราขาดสติ 

เครดิตที่มาภาพ: Thairath.co.th

สงกรานต์ = เมาสุรา สมการนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบได้ แต่กลายเป็น ‘ค่านิยม’ ของเทศกาลนี้ไปเสียแล้ว ย้อนกลับไปจุดตั้งต้นของประเพณีนี้กันหน่อย วันสงกรานต์ คือวาระของการเริ่มต้นปีใหม่ สมัยก่อนถูกยกให้เป็นวันปีใหม่ไทย เนื่องจากตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ เป็นช่วงเวลาของการเคลื่อนย้ายของพระอาทิตย์ จากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ (ซึ่งราศีเมษเป็นราศีประจำเมือง) คนไทยโบราณจึงถือเอาช่วงเวลานี้ เป็นการเริ่มต้นปี 

จากประเพณีดั้งเดิม คือการอวยพรโดยใช้ ‘น้ำ’ รดเพื่อความชุ่มชื่นให้กับชีวิต รวมทั้งรดน้ำเพื่อขอพรจากผู้หลักผู้ใหญ่ และรวมไปถึงการสรงน้ำพระ เพื่อความเป็นสิริมงคล เหล่านี้คือออริจินัลประเพณี แต่ผ่านมาถึงจุดนี้ สงกรานต์คือการย้อมสีผม คือการรวมพลชาวแว๊น คือการปะแป้งสาว ๆ คือการปาร์ตี้หัวราน้ำ เรามาไกลจนมีคนเคยนิยามเทศกาลมหาสงกรานต์ของไทยว่า เป็น ‘เมืองแห่งซอมบี้’ ที่ไม่รู้ว่ามีอะไรต่อมิอะไรมารวมตัวกัน แต่ที่รู้แน่ ๆ เรามาไกลจากวันแรกของประเพณีอย่างมาก 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า ‘ความรื่นเริง’ เป็นเรื่องไม่ดี แต่อะไรที่ ‘เกินพอดี’ มันจะตามมาด้วยปัญหามากมาย...

อย่างที่เล่าไปตอนต้น โควิด – 19 เข้ามาทำให้โลกที่เคยหมุนเร็ว ๆ ช้าลง ฉันใดฉันนั้น โควิด – 19 ก็เข้ามาทำให้ ‘สงกรานต์ซอมบี้’ หยุดลงเช่นกัน และในเมื่อหยุดแล้ว เราลองมาตรึกตรองกันดูหน่อยไหม ว่าอะไรที่เกินพอดีมานั้น มันส่งผลเสียอย่างไรบ้าง ประการสำคัญกว่านั้น เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาดำเนินได้ต่อไป เราจะ ‘เลือกสงกรานต์’ แบบไหนในอนาคต

มีคนเรียกวิถีหลังโควิด – 19 ว่า นิวนอร์มอล (new normal) แน่นอนว่า เทศกาลสงกรานต์ไทย ๆ ก็เข้าสู่วิถีใหม่เช่นกัน จากนี้ไป เราต้องรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ให้ยืนห่างกัน 1 เมตร ไม่รวมตัวกันหนาแน่น ไม่อยู่ในที่แออัด และต้องไม่ลืมใส่หน้ากากอนามัย จะว่าไป อาจจะไม่ได้เรียกว่าเป็น ‘สงกรานต์นิวนอร์มอล’ หรอก เราแค่กลับไปหา ‘ความพอเหมาะพอดี’ เหมือนที่เคยเป็นมามากกว่า

ถึงตรงนี้ ขอย้อนกลับไปที่ความวุ่นวายใจของใครหลายคนที่ว่า ‘สงกรานต์ทำอะไรดี กิจกรรมไม่มี เวลาเหลือ ๆ’ 

ลองเปลี่ยนมุมที่มองเสียใหม่ ที่ผ่านมา เราอาจทำอะไรต่อมิอะไรเยอะเกินไปแล้วก็ได้ ดังนั้น แค่ทำตัวเองให้ปลอดภัย ก็ดีถมไปแล้วสำหรับสงกรานต์ประจำปี 2564 นี้... 
 

Surf ไม่ Safe

Surf Skate เล่นไม่ Safe เจ็บจนซี๊ดดดด

.

.

 

‘แก้ม ปุณิกา’ หรือฉายา PUKACHEEK สลัดลุคดีเจสาวสวยสุดคูล สู่การโชว์ลีลาพลิ้วไหวบนเซิร์ฟสเกต เพราะเชื่อว่าการเล่นเซิร์ฟสเกต ใช้ท่วงท่าที่สวยงาม ท้าทายไม่ต่างจากการเปิดเพลงบนเวที

ในยุคนี้คงแทบไม่มีใครไม่รู้จัก Surf Skate (เซิร์ฟสเกต) กีฬาสไตล์เอ็กซ์ตรีมที่กำลังเป็นกระแสมาแรงอย่างมากในไทย ด้วยการผสมผสานระหว่างการเล่นสเกตบอร์ดและการเล่นเซิร์ฟ โดยผู้เล่นจะต้องทรงตัวอยู่บนแผ่นไม้กระดาน บิดสะโพกเพื่อให้เกิดแรงเหวี่ยงในการควบคุมบังคับทิศทาง พร้อมทั้งใช้เทคนิคการถ่ายเทน้ำหนักที่เท้าในการเลี้ยวซ้าย-ขวา ส่งผลให้กีฬาชนิดนี้กลายเป็นความท้าทายใหม่ ที่ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อโชว์ลีลาการเล่นเฉพาะตัว

กระแสที่มาแรงแซงทางโค้งของเซิร์ฟสเกต นี้เอง ทำให้มีผู้คนออกมาฝึกฝนทักษะ โชว์ลีลากันอย่างมากมาย หนึ่งในนั้นคือ ‘แก้ม ปุณิกา’ หรือที่รู้จักกันในนาม PUKACHEEK ดีเจสาวสวยสุดคูล ที่มีความเชื่อว่าการเล่นเซิร์ฟสเกตใช้ท่วงท่าที่สวยงาม ท้าทายไม่ต่างจากการเปิดเพลงบนเวที 

แนะนำตัวหน่อยค่ะ
: สวัสดีค่ะ เราชื่อแก้ม นะคะ ปุณิกา เกษมจิตต์ อายุ 24 ปี เรียนจบจากคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ค่ะ 

ได้ข่าวว่าแก้มเป็นดีเจ?
: ใช่แล้วค่ะ ชื่อเวลาเราเล่นดีเจ จะชื่อ "PUKACHEEK" (ปู-ก้า-ชีค)

จุดเริ่มต้นในการเล่น เซิร์ฟสเกต
: ตอนแรกที่มาเล่นเพราะว่า เห็นว่าเป็นกีฬาที่มีท่วงท่าสวยงาม มีความท้าทายเหมือน ๆ กับตอนที่เราเปิดเพลงเลยแหละ เลยมาลองเล่นดู เลยติดใจค่ะ 

การเล่นสเก็ตท้าทายเหมือนตอนเปิดเพลง? 
: เวลาเล่นสเก็ตความท้าทายก็อยู่ที่การทำท่าใหม่ ๆ ที่ยากขึ้น ต้องใช้ความพยายามและอดทนสู้กับตนเองค่ะ ก็เหมือนกับตอนเปิดเพลงที่เราต้องพยายามทำให้ทุกคนสนุกไปกับเรา 

ฝึกมานานแค่ไหนแล้ว?
: ประมาณ 2 เดือนค่ะ 

ปกติเล่นที่ไหน กับใคร มีกลุ่มประจำไหม?
: ปกติก็จะเล่นที่ศูนย์ประชุมนานาชาติเชียงใหม่ค่ะ มีคนเล่นเยอะมาก มีทั้งรุ่นเด็ก รุ่นเพื่อน และผู้ใหญ่ เราว่าอีกอย่างที่ทำให้เรายังเล่น Surf Skate ก็เพราะว่าสังคมที่เราเล่นอบอุ่น อยู่กันแบบครอบครัว มีอะไรก็ช่วยสอน ช่วยแนะนำกันอย่างเต็มใจค่ะ 

แก้มถือว่าเล่นได้ในระดับไหน?
: สำหรับเรา ยังขั้นเริ่มต้นอยู่เลยค่ะ กำลังพยายามอยู่ค่ะ 55555555 

เคยเจ็บตัวบ้างไหม หนักที่สุดคือ?
: เราไม่ค่อยเจ็บตัวหนักมากเท่าไหร่ค่ะ เพราะเวลาเล่นก็จะใส่พวกสนับมือ สนับศอก สนับเข่าแบบจัดเต็ม กลัวเจ็บนั่นแหละ แต่ที่เจ็บก็คงจะเป็นตอนที่เล่นลงเนินละบอร์ดปลิว เลยวิ่งเอาหน้าขาไปรับบอร์ด ขาช้ำหลายวันเลยค่ะ 

เคยมีช่วงที่ถอดใจ ไม่อยากเล่นไหม บอกตัวเองว่ายังไง?
: ก็มีบางวันที่ปวดไปทั้งตัวเลยนะคะ เพราะเวลาเล่น Surf Skate ต้องใช้ทั้งตัวเลย ทั้งช่วงแขน ช่วงเอว ช่วงขา ทุกอย่างต้องสัมพันธ์กัน แต่เราฮึด! ขึ้นมาได้ เอาชนะความเจ็บปวดที่ว่า 'หนามยอกเอาหนามบ่ง' มันก็จะทำให้กล้ามเนื้อเราสร้าง และแข็งแรงขึ้น ทำให้เราทำท่าต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น 
แต่สำหรับคนที่ปวดมาก ๆ จนทนไม่ไหว เราแนะนำให้พักร่างกายก่อนซัก 2-3 วันนะคะ ดีกว่าเจ็บมากกว่าเดิม ละจะอดเล่นไปเลย

ความแตกต่าง ข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ ระหว่างผู้หญิง-ผู้ชาย ในการเล่นเซิร์ฟสเกต
: จริง ๆ เราว่ากีฬานี้แต่ละคนอาจจะเล่นออกมาในท่วงท่าที่ไม่เหมือนกัน เพราะด้วยรูปร่างสรีระด้วย ในความคิดของเรา เราคิดว่าผู้ชายอาจจะได้เปรียบในเรื่องของความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ในการฝึกฝนท่าบน Wave Ramp ได้ง่ายกว่าผู้หญิง ส่วนผู้หญิงก็จะได้เปรียบในเรื่องความพริ้วไหวเวลาเล่นมากกว่า เพราะว่า Surf Skate เป็นการจำลองการเล่น Surf ในทะเลมาค่ะ 

ความท้าทายในการเล่นเซิร์ฟสเกต
: แก้มคิดว่า ช่วงเวลาของการฝึกฝนท่าใหม่ ๆ ที่มีความยากมากขึ้นค่ะ เวลาทำไม่ได้ก็มีบ้างนะคะที่ท้อ แต่เพื่อความสำเร็จเราต้องสู้ค่ะ เวลาที่เราทำได้แล้ว เราจะมีความภาคภูมิใจในตนเองมาก ๆ เลย 

เสน่ห์ของเซิร์ฟสเกต ในมุมมองของแก้ม
: เสน่ห์ของ Surf Skate แก้มคิดว่า มันคือความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคนที่จะมีลีลาที่แตกต่างกันค่ะ 

สิ่งที่ได้จาก เซิร์ฟสเกต
: ข้อแรกเลย คือ ความแข็งแรง เพราะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อมาจริงและมาไว 555555 ส่วนข้อต่อมาก็คงเป็นความสุขที่ทำท่าใหม่ ๆ สำเร็จ ส่วนข้อสุดท้ายก็เป็นการที่ได้ไปเจอผู้คนดี ๆ ได้รับมิตรภาพดี ๆ จากการเล่น Surf Skate ค่ะ 

ให้ฝากถึงคนที่อยากเริ่มเล่นเซิร์ฟสเกต ต้องเตรียมตัวยังไง มีอะไรอยากแนะนำไหม?
: คนที่อยากเริ่มเล่น แก้มอยากให้มาลองเล่นก่อน แล้วจะติดใจ จริง ๆ นะ 5555555 อย่ากลัวที่จะลองอะไรใหม่ ๆ ค่ะ ส่วนถ้าจะเริ่มเล่นแล้วก็อย่าลืมเรื่องความปลอดภัยนะคะ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ เราต้องป้องกันไว้ก่อนค่ะ สู้ ๆ ไปด้วยกันค่ะทุกคน 

ติดตามแก้มผ่านช่องทางไหนได้บ้าง?
: ฝากทุกคนติดตามผลงาน และมาเป็นเพื่อนกับแก้มที่ Instagram @pukacheek ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ ขอบคุณนะคะ 

ถึงแม้จะฝึกเล่น เซิร์ฟสเกต ได้เพียงแค่สองเดือน แต่ลีลาการเล่นของเธอก็นับได้ว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ของแบบนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่ต้องอาศัยการฝึกฝนและความพยายามอย่างหนัก เชื่อว่าจะได้เห็นแก้มทั้งในบทบาทของดีเจสาวและนักสเกตสาวแสนสวยสุดเท่อย่างแน่นอน! 


ขอบคุณผู้ให้สัมภาษณ์ แก้ม ปุณิกา เกษมจิตต์

กระแสมา ราคาโดด กระแสไม่โหลด อ่าว หมดตัณหา !!

Surf Skate เป็นกีฬาบนแผ่นกระดานชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการผสมผสานกันระหว่างสเก็ตบอร์ด กับกีฬาเซิร์ฟบอร์ดโต้คลื่นที่เล่นในทะเล ซึ่งการออกแบบแผ่น Surf Skate นั้นก็เพื่อให้เราสามารถเล่นเซิร์ฟในรูปแบบบอร์ดขนาดเล็ก มีล้อเคลื่อนไหว บนบกได้ จนกลายมาเป็น ‘กีฬาเซิร์ฟสเก็ต (Surf Skate)

เจ็ดย่านน้ำ (มีได้หลายความหมาย) ในเรื่อง ‘ Surf Skate … เจ็ดย่านน้ำ’ ขอแทนความหมายว่า มาก มากมาย ทั่วทุกแห่งหน ปฎิเสธไม่ได้...จึงเปรียบเทียบให้เข้ากับยุคในตอนนี้ที่มีกระแสโด่งดังของ Surf Skate ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจริง ๆ พอทราบได้ว่า Surf Skate เข้ามาในช่วงของสถานการณ์ Covid19 เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้น จากการที่ผู้คนได้ริเริ่มหาอะไรทำใหม่ ๆ

 โดยเฉพาะบรรดาเหล่าคนดัง ดาราในวงการบันเทิง บางคนเรียกว่าเป็นผู้บุกเบิกเข้ามา ทำให้ผู้คนอีกหลายภาคส่วน ก็หันมาเล่น Surf Skate กันหมด จนตอนนี้เรียกได้ว่าเล่นกันแบบทั่วบ้านทั่วเมือง สิ่งนี้จึงทำให้กลายเป็นเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ กระแสนิยม Surf Skate ซึ่งถือว่าเป็นปรากฎการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในไทย

ในขณะเดียวกันเมื่อมีปรากฎการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้ว... ไทยแลนด์ โอนลี่ (ไหมหล่ะ) ความต้องการซื้อ Surf Skate ในตลาดพุ่งขึ้นสูงแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ Surf Skate ไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ของผู้คนหลายภาคส่วน และนี่คือสิ่งสำคัญที่จะมาพูดถึงในวันนี้ คือ “ กระแสมา ราคาโดด ” เมื่อกระแส Surf Skate กำลังมา ทำให้คนหัวการค้าเห็นช่องทางในการค้าขาย ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้ผู้ขายบางกลุ่ม ทุ่มเงินลงทุนซื้อ Surf Skate หมดตลาด มีเท่าไหร่ลงทุนให้หมด ส่งผลให้สินค้าไม่เพียงพอในการขาย เพราะฉันจะเอามาขายเอง ...สักเท่าไหร่ดี ? แต่ไม่ใช่ทุกคนที่คิดจะหากำไรแบบเป็นธรรม นิด ๆ หน่อย ๆ คนไทยด้วยกันขอกำไรสัก สองร้อย สามร้อย ไม่สิ !! คนไทยด้วยกันขอกำไร ... สักพัน สองพัน สามพันหน่อยนะ ๆ ๆ

ในช่วงเดือนกันยายน 2563 จากความสนใจในกีฬา Surf Skate อยากทำความรู้จัก และอยากเล่นมาก ๆ ผู้เขียน ได้เริ่มศึกษาบ้างแบบคร่าว ๆ เช่น ความเป็นมา ประเภท แบรนด์ รุ่น ราคา ต่าง ๆ ซึ่งช่วงนั้นมีกระแสเริ่มเข้ามาพอสมควรแล้ว และมาเร็วมากเรื่อย ๆ ตอนนั้นตั้งใจว่าอยากได้ Surf Skate สักตัวเป็นของตัวเอง ได้ศึกษาราคาที่สามารถจับต้องได้ แบรนด์ Decathlon เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากมี Shop ให้เลือกซื้อได้ในไทย (ซึ่งอาจจะต่างจากแบรนด์อื่นที่ต้อง Pre Order) และราคาสามารถจับต้องได้ ถ้าเปรียบเทียบกับแบรนด์อื่นราคาอาจจะแตะหมื่น หรือหมื่นขึ้นไป บอร์ดรุ่นนี้ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม เป็นที่รู้จัก ซึ่งส่วนใหญ่เรียกกันว่า “บอร์ดนก” เพราะใต้บอร์ดเป็นลายนก

ราคา ณ ตอนนั้น อ้างอิงจากเว็บไซต์ https://www.decathlon.co.th/th/ อยู่ที่ ราคา 3,400 บาท แต่ทว่าตอนนี้ ราคาก็ยัง 3,400 บาท เหมือนเดิม !! แล้วอะไรเปลี่ยน ? ตอนนี้บอร์ดขาดตลาด ผลิตไม่ทัน แต่ถ้าไม่นับว่าสินค้าขาดตลาด ก็สามารถซื้อสินค้าแบบจำนวนจำกัด ‘1 แผ่น ต่อ 1 สมาชิก’ ในขณะที่ตอนนั้น ยังไม่มีกระแสมาก สามารถกดเลือกซื้อสิ้นค้าใส่ตะกร้าได้เลยหลาย ๆ ชิ้น แล้วถ้าช่องทางที่เป็นทางการของผู้ผลิตโดยตรงนี้ขาดตลาด จะหาซื้อ Surf Skate ได้จากที่ไหน ?

ขออนุญาตเอ่ยถึง Platform Facebook มีกลุ่มซื้อขาย Surf Skate มีสมาชิกในกลุ่มแสนกว่าคนในช่วงเวลาอันสั้น ๆ เดิมทีส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ วิธีการเล่นสะมากกว่า รู้ตัวอีกทีตอนนี้กลับกลายเป็นว่าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการโพสต์ขายสินค้า Surf Skate เต็มหน้าฟีดไปสะแล้ว ไม่รู้ตอนไหน แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ ราคาที่สูงขึ้นมาก 2 - 3 เท่า จากราคาเดิม ...เปรียบเทียบกับบอร์ดนกเลยแล้วกัน เดิมราคา 3,400 บาท (ขณะที่เว็บไซต์ทางการยังขายในราคาเดิม) แต่กลุ่มใน Facebook ขายอยู่ที่ราคาประมาณ 6,000 - 8,000 บาท และมี Surf Skate รุ่นตัวท็อปของญาญ่า ราคาปกติราคาอยู่ที่ 18,000 บาท แต่ตอนนี้สูงลิ่วอยู่ที่ 40,000 บาท เขาว่ากันว่าเพื่อให้สมกับการที่ ณ ตอนนี้วัตถุมีมูลค่า และหายากในตลาด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ... ผู้บริโภคจับจองกันอย่างไว ราคานี้ฉันก็ยอม แรร์ไอเทม (Rare item) / Limited บลา ๆ ๆ คนซื้อหงาย คนขายรอด

ต้องขนาดไหนถึงยอมซื้อในราคาที่สูงขนาดนั้น ? เชื่อว่าหลาย ๆ คน คงอาจจะทราบก็ได้ว่าเดิมทีแล้วมันราคาเท่าไหร่บ้าง แต่ก็ยอมที่จะเลือกซื้อ เพราะอยากได้มันมาจริง ๆ แม้ว่าราคาโดดขึ้นมาขนาดนี้

หรืออาจจะเป็นเพราะว่าสิ่งนี้ มันก็คงสร้างมูลค่าให้ตัวมันเองจริง ๆ ใช่หรือไหม หวังว่า จะมีใครที่อยากเล่นเพราะหลงใหลมันจริง ๆ ไม่ใช่ชอบเพราะตามกระแสนิยม แล้วพอหมดความชอบลงก็ปล่อยมันทิ้งไปแบบไม่มีมูลค่า...


ข้อมูลอ้างอิง

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/926899

https://www.decathlon.co.th/th/

รูปภาพจาก Youtube SUNDAY SURF & SKATE https://www.youtube.com/watch?v=Vs1b5cjirXk

ไทยสเก็ต ใครสกัด ??

ปัจจุบันกีฬา “Surf Skate” กำลังเป็นที่นิยมในประเทศไทยด้วยอิทธิพลจากดารา คนมีชื่อเสียง เริ่มหันมาเล่นกิจกรรม Surf Skate ในช่วงกักตัวโควิด-19 ด้วยความที่มีสไตล์เท่ และ เป็นกิจกรรมที่สามารถเล่นได้ทุกเพศ ทุกวัย ทำให้กีฬาชนิดนี้ได้เริ่มกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง

และด้วยความที่เริ่มเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น ทางผู้ประกอบการก็ได้เล่งเห็นถึงความสำคัญของกิจกรรมประเภทนี้จึงได้มีการเริ่มจัดพื้นที่สำหรับการเล่น Surf Skate อย่างเช่นห้างร้านต่าง ๆ ก็จะมีกิจกรรมลานกว้าง สำหรับเล่นกีฬา Surf Skate ให้ผู้คนได้ออกมาวาดลวดลายโชว์ฝีมือ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้คนไทยได้ออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน

รวมไปถึงมีการจัดการประกวดมีทั้งประกวดลีลาท่าทาง ความสวยงาม ชิงเงินรางวัลกัน นับได้ว่ากีฬา Surf Skate ทำให้หลาย ๆ คนที่ไม่คิดจะออกกำลังกาย หรือ อยากอยู่แต่บ้าน ได้หันกลับมาทำกิจกรรมแก้เบื่อในช่วงโควิด-19 กัน

ด้วยความนิยมของเจ้ากีฬา Surf Skate ก็ทำให้กระทรวงวัฒนธรรมได้คิดงานอีเว้นท์รวมเหล่าคนชื่นชอบ Surf Skate มาร่วมกิจกรรมในงาน “รัตนโกเสิร์ฟ” ที่จัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 64 นำทีมโดย โจอี้ บอย ( อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต ) และ มาดามเดียร์ (วทันยา วงษ์โอภาสี) นำทัพคนรักกีฬา Surf Skate กว่า 300 คนมาเล่นรอบเกาะรัตนโกสินทร์ในระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร โดยมีธีมการแต่งกายด้วยชุดไทย เพื่อผสมผสานกีฬา Surf Skate และ ความเป็นไทยเข้าด้วยกัน กิจกรรมนี้ก็เรียกได้ว่าได้รับความสนใจอย่างมาก

แต่แล้วเรื่องก็ดันมาเกิดขึ้นในวันที่จัดงาน “รัตนโกเสิร์ฟ” ถึง 2 ประเด็นด้วยกันนั้นก็คือ

เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเรายังมีมาตรการของเรื่องโควิด-19 ที่ทางรัฐบาลยังคงขอความร่วมมือกำชับให้ทุกคนสวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อโควิด-19 แต่ทำไมทุกคนที่ไปร่วมกิจกรรม ไม่มีใครสวมใส่หน้ากากอนามัยสักคน ?? สร้างความงุนงง ฉงนไปทั้งโซเชียลมีเดีย มีคำถามเกิดขึ้นมากมายจนติดเทรนด์ #รัตนโกเซิร์ฟ พุ่งขึ้นอันดับ 1 ในทวิตเตอร์กันเลยทีเดียว เพราะในงานมีทั้งผู้ปกครองที่พาลูกเล็กเด็กแดงไปเล่นด้วย ผู้คนก็มากหน้าหลายตา ชาวเน็ตก็ตั้งข้อสงสัยว่าทำไมถึงกล้าที่จะไม่ปกป้องตัวเอง ไม่ใส่หน้ากากอนามัย เข้าเมืองไปเล่น Surf Skate กันได้อย่างสบายใจ โดยที่ไม่แคร์สุขภาพตัวเอง ถ้าติดโควิด-19 กันเป็นหมู่เป็นคณะขึ้นมาจะทำยังไง จะต้องกักตัวกันอีกสักกี่รอบกันคะคุณ ?

และอีกประเด็นที่รุนแรงไม่แพ้กันคือม็อบที่จัดตรงกับวันที่เหล่าชาว Surf Skate ได้ไปเล่นทั่วเกาะรัตนโกสินทร์นั้นก็คือ ม็อบ “NME of Anachy” หรือ ม็อบ “หมู่บ้านทะลุฟ้า” (ซึ่งหมู่บ้านทะลุฟ้า เป็นค่ายพักแรมของผู้ประท้วงในระหว่างการประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563–2564 ก่อตั้งโดยกลุ่มเดินทะลุฟ้า เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2564 ตั้งอยู่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ข้างทำเนียบรัฐบาล โดยมีข้อเรียกร้อง ได้แก่ การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน, การยกเลิกกฎหมายความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย และการปล่อยตัวนักโทษการเมือง) ซึ่งผู้จัดประกาศว่าจะปักหลักชุมนุมไปอย่างไม่มีกำหนด) โดยทางฝั่งม็อบก็เรียกร้องกันกัน แต่กลับโดนเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจขอเรียกคืนพื้นที่ แต่ไม่เป็นผลจึงได้รีบดำเนินจับกุมผู้ชุมนุมด้วยข้อหามีการชุมนุมมั่วสุมกันและฝ่าฝืนกฎ พ.ร.บ. ควบคุมโรค

อ่าว….แล้วทำไมม็อบถึงโดนจับด้วยข้อหานี้แล้วฝั่งรัตนโกเสิร์ฟถึงเล่นได้ล่ะเนี่ย… มันยังไงกันคะ คุณตำรวจ ?

ทางทีมผู้จัดงานถึงกับต้องชี้แจงรายละเอียดอย่างเร่งด่วนให้ชาวเน็ตผู้ที่สงสัยใคร่รู้แต่ไม่ได้เป็นคนไปร่วมกิจกรรมรัตนโกเสิร์ฟได้กระจ่างแจ่มแจ้งกันเลยทีเดียว ซึ่งมาดามเดียร์ก็ได้ออกมาแถลงผ่านเฟซบุ๊ค “เดียร์ วทันยา วงษ์โอภาสี”

แบบปัง ๆ ว่า

.

ขอชี้แจงการจัดงานรัตนโกเซิร์ฟ ที่เหมือนๆกำลังจะเป็นประเด็นดราม่า ดังนี้นะคะ

1. เรื่องการไม่ใส่แมสก์

ขออธิบายด้วยภาพนะคะ จะเห็นได้ว่าภายในงานก่อนที่จะเริ่มมาที่จุดสตาร์ท ผู้ร่วมกิจกรรมสวมแมสก์ตามปรกติ แต่ภาพที่เราเห็นกัน เป็นการถอดมาเพื่อถ่ายภาพที่ระลึกจังหวะก่อนเริ่มออกตัวจากจุดสตาร์ท และพอออกจากจุดสตาร์ทไปแล้ว การเล่นเซิร์ฟสเกตก็ถือเป็นกีฬาชนิดหนึ่งจึงจำเป็นต้องถอดแมสก์ออกเพื่อระบบการหายใจที่สมบูรณ์ในขณะที่มีอากาศร้อน และการเล่นเซิร์ฟสเกตนั้นในข้อเท็จจริงเราไม่สามารถเล่นในติดกันในระยะประชิดได้อยู่แล้ว เพราะตัวบอร์ดจะไปเกี่ยวกันทำให้เกิดอันตรายได้ ก็ถือเป็นการรักษาระยะห่างไปในตัว อีกทั้งการเล่นเซิร์ฟสเกตนี้เราเล่นอยู่ในสถานที่เปิดที่มีอากาศถ่ายเท ไม่ใช่สถานที่ปิด และเมื่อกลับถึงเส้นชัยทุกคนก็กลับมาใส่แมสก์กันตามปกติค่ะ

2. เรื่องจำนวนคนและความปลอดภัย

งานนี้ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า จริงๆมีคนต้องการเข้าร่วมงานจำนวนมากแต่เราจำกัดคนตามกฎของ ศบค. ในการจัดงานที่ไม่เกิน 300 คน นอกจากนี้ภายในงานเรายังมีการควบคุมความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการลงทะเบียนไทยชนะ การคัดกรองวัดอุณหภูมิ และมีจุดวางเจลแอลกอฮอล์ตามคำแนะนำของ ศบค. ทุกอย่าง ทั้งนี้เราเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นสิ่งสำคัญ เรามีการจัดเตรียมรถพยาบาล และอาสาจราจรตลอดเส้นทาง เพื่อคอยดูแลความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมงาน และผู้ที่สัญจรไปมา จึงจะเห็นได้ว่าการจัดกิจกรรมครั้งนี้จึงผ่านไปด้วยดีไม่มีผู้ได้รับอุบัติเหตุใดๆ

สุดท้ายเดียร์หวังว่า การจัดงานกิจกรรมครั้งนี้เริ่มต้นจากความตั้งใจของคนส่วนหนึ่งในสังคมที่มีใจรักในกีฬาเซิร์ฟสเก็ต และอยากให้ออกมาทำกิจกรรมให้เป็นตัวอย่างต่อภาคส่วนอื่นๆที่จะออกมาสร้างกิจกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจหรือสังคมภายใต้กฎระเบียบที่รัฐได้กำหนดไว้อย่างถูกต้องต่อไป

กิจกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นจากคนที่รักในการเล่นกีฬา พวกเราทุกคนทักทายพูดคุยกันโดยไม่รู้ว่าใครทำงานอะไร หรือมีตำแหน่งหน้าที่อะไรในสังคม จึงอยากขอพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดเรื่องของการเมืองนะคะ

.

เคลียร์ประเด็นเรียบร้อย แจ่มแจ้งทุกข้อสงสัย หมดข้อสงสัยกันแล้วนะ เหล่าชาวเน็ตทั้งหลาย แต่อีกประเด็นนั้น (อาจจะ) ไม่เกี่ยวกับการจัดงานในครั้งนี้ ก็…ตามนั้นแหละค่ะ

สุดท้ายนี้ก็ดูแลตัวเองในช่วงโควิด-19 กันด้วยนะคะ รอวัคซีนปัง ๆ มา เราก็คงอุ่นใจขึ้นอีกนิดละคะ และถ้าใครที่อยากที่จะลองเล่นเจ้า Surf Skate นี่ล่ะก็ ลองศึกษาวิธีการเล่น ราคาของเจ้าบอร์ด Surf Skate และ อุปกรณ์ป้องกันด้วยนะคะ เพราะกีฬาทุกชนิดก็มีความอันตรายของมันอยู่ ถ้าพลาดเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะไม่คุ้มเสี่ยงเอานะคะ Have a good day ค่ะ


ข้อมูลอ้างอิง

https://siamrath.co.th/n/230967

https://www.zipeventapp.com/blog/2021/03/12/surf-skate-location/

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/929651

https://www.thairath.co.th/news/politic/2059487

https://www.facebook.com/dear.watanya.wongopasi/posts/298935548255742

Surf Skate เทรนด์ใหม่แห่งยุค ก็ของมันต้องมี...

Surf Skate (เซิร์ฟสเก็ต) เป็นกีฬาบนแผ่นกระดานชนิดหนึ่ง ที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างสเก็ตบอร์ดกับกีฬาเซิร์ฟ โดยได้พัฒนาและปรับปรุงอุปกรณ์ให้ผู้เล่นสามารถต่อยอดทักษะการเล่นเซิร์ฟ นั่นเอง และให้ความรู้สึกคล้ายการเล่นเซิร์ฟบอร์ดในทะเลมากที่สุด ถึงจะไม่ได้ไปทะเล แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนโต้คลื่นทะเลได้เหมือนกันนะ

ลักษณะของ Surf Skate มีขนาดความยาวมีตั้งแต่ 26 นิ้ว จนถึง 40 นิ้ว โดยแผ่น Surf Skate ไม่แข็งเท่ากับ Skate Board และล้อหน้าของ Surf Skate สามารถหมุนซ้าย - ขวา หรือ 360 องศา ถือว่าเป็นกีฬาสไตล์เอ็กซ์ตรีมที่กำลังมาแรงตัวหนึ่งในยุคนี้เลยก็ว่าได้ แล้วยังสามารถเล่นได้ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงวัยอีกด้วย...

แล้วการเล่น Surf Skate แตกต่างจากการเล่น Skate Board ตรงไหน? 
สเก็ตบอร์ดทั่วไปจะไม่สามารถหมุนล้อได้ จะต้องไปในทิศทางเดียวเท่านั้น แต่เซิร์ฟสเก็ตสามารถบิดไปในทิศทางไหนก็ได้ เพราะตัวบอร์ดมีสปริงอยู่ข้างใต้ ช่วยให้บิดไปในทิศทางที่ต้องการได้ง่าย ด้วยการกดน้ำหนักและปล่อย ย้ำซ้ำ ๆ เพื่อเหวี่ยงไปยังทิศทางที่ต้องการ ซึ่งฟังก์ชันการใช้งานนี้เองที่พิเศษกว่าสเก็ตบอร์ดทั่ว ๆ ไป จนผู้คนหันมาเล่นแล้วถูกใจไปตาม ๆ กัน

เรามารู้ถึงต้นกำเนิดของ Surf Skate กันบ้าง เริ่มต้นจาก Neil Stratton และ Greg Falk สองผู้ก่อตั้ง Carver Skateboards พวกเขารู้สึกว่าสเก็ตบอร์ดแบบเดิมที่เล่นกันอยู่ ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าเซิร์ฟแม้แต่นิดเดียว ทั้ง ๆ ที่ทุกแบรนด์ต่างก็โฆษณาว่าการเล่นสเก็ตบอร์ดก็เหมือนกับการเซิร์ฟบนบก ให้ความรู้สึกเหมือนการเล่นเซิร์ฟในทะเล... แต่จริง ๆ แล้วพวกเขารู้สึกว่ายังไม่เป็นแบบนั้น จึงทำให้ทั้งคู่ช่วยกันคิดและพัฒนาสเก็ตบอร์ด และนำเทคนิคของการเล่นเซิร์ฟมาใช้ร่วมด้วย จึงกลายมาเป็น Surf Skate ในปัจจุบันนี้นี่เอง

เอาล่ะ! แล้วทำไมถึงเกิดมาฮิตที่ไทยได้ หรือเริ่มมีกระแสคนหันมาเล่นกันเยอะ แล้วของมันต้องมีหรือไม่ ลองมาคิดดูแล้ว ในไทยก็มีกลุ่มคนเล่น Surf Skate จำนวนหนึ่งอยู่แล้ว แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าดารา ศิลปิน หรือแม้แต่ไอดอล เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลมาก ในการที่จะหยิบสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาเล่น หรือ มาใช้ เมื่ออัปลงโซเชียลแล้วล่ะก็ แฟนคลับต่างหันไปซื้อมาใช้ตาม ๆ กัน จนเกิดเป็นเทรนด์ขึ้นมา และหนึ่งในนั้นคือ Surf Skate นั่นเอง กลายเป็นกีฬาฮิตกันทั่วเมือง จนมีสถานที่เปิดให้เล่นมากมายเกิดขึ้น ขนาดในช่วงปี 2020 แม้จะดูเศรษฐกิจซบเซาในยุคโควิท-19 แต่ก็ทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับการเล่นเซิร์ฟเติบโตถึง 5 เท่า! และตอนนี้ก็ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก โดยมีแบรนด์ยอดนิยม หรือ ลวดลายที่ผู้คนต้องการ จนราคาพุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดหย่อน ทีนี้ถ้าหากใครยังลังเล อยากจะได้มาเป็นเจ้าของหรือว่าของมันต้องมีจริง ๆ ต้องพิจารณาให้ดีเชียวล่ะ ว่า Surf Skate จะเป็นเพียงกีฬากระแสหรือไม่...


อ้างอิง

https://thomasthailand.co/activity/surfskate/ 
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/926899 
https://www.mainstand.co.th/catalog/1-Feature/2239

รู้กันหมด ‘อนาคต’ รถยนต์ไฟฟ้าไทย แล้วจะถามกันไปทำไมว่า ‘พร้อม - ไม่พร้อม’

...ตาของเรา จะไม่ได้เห็นควันดำ

...จมูกของเรา จะไม่ได้สูดควันพิษ

...หูของเรา จะไม่ได้ฟังเสียงดังจากเครื่องยนต์

เสียงเรียกหา ‘รถยนต์ไฟฟ้า' หรือ EV (Electric Vehicle) โดยเฉพาะที่เป็นระบบรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% ยิ่งนานวันก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดคำถามซ้ำซากว่า รถยนต์ไฟฟ้าไทย ‘พร้อม - ไม่พร้อม’? คำตอบอยู่ไหน...เออ !! นั่นดิคำตอบอยู่ไหน

รู้อยู่ว่าความต้องการของประชาชนตอนนี้เริ่มชัดเจน อยากใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเต็มแก่ พร้อมเปลี่ยนรถยนต์สันดาป (เครื่องยนต์น้ำมัน) แบบทันทีทันใด หากแต่ติดอยู่แค่ว่า เมื่อไรรถยนต์ไฟฟ้าจะอยู่ในราคาที่เอื้อมได้ และสถานีชาร์จไฟฟ้าจะทั่วถึง

นี่ไงก็รู้คำตอบนิ!!

แต่รู้ทั้งรู้คำตอบเบื้องต้นแล้ว หลาย ๆ คน ก็ยังคงพยายามหยิบยกภาพตลาดต่างแดน ที่วิ่งแล่น ๆ กันเกร่อถนน แต่ไทยเราล้าหลังไม่คิดจะทำให้เหมือนเขาสักที !!

พูดมันง่าย แต่ในบริบทจริงมันไม่ได้ง่ายตามเสียงเรียกร้อง

หากลองเทียบรถยนต์ไฟฟ้ากับโทรศัพท์มือถือแบบทัชโฟน (รูดปื๊ดๆ) และสมาร์ทโฟน โดยย้อนไปได้ราว ๆ ช่วง 10 กว่าปีเห็นจะได้ เราจะพบว่า จากจุดนั้นกว่าที่คนหันมาเปลี่ยนจากโทรศัพท์มือถือแบบปุ่มกดมาเป็นทัชโฟนหรือสมาร์ทโฟนแบบทั่วถึง ก็ยังต้องใช้เวลาอีกร่วม ๆ 5 - 7 ปีต่อจากจุดเริ่มต้น จึงจะเข้าสู่ชีวิตประจำวันของผู้คนได้เช่นวันนี้

โดยระยะเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลง มาจากผู้บริโภคเริ่มกล้าใช้ ตัวสินค้าเริ่มมีประสิทธิภาพชัด ผู้ผลิตมีตัวเลือกให้เพียบ ราคาแตะต้องได้จากเริ่มต้นหลักหลายหมื่นมาสู่หลักพัน ศูนย์บริการตอบสนอง อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอะไหล่อิเล็กทรอนิกส์สมาร์ทโฟนปรับไลน์การผลิตรับของใหม่กันหมด

ภาพของรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเข้ามาครอบคลุมประเทศไทย ก็คงจะคล้ายคลึงกัน เพียงแต่จะเร็วกว่าหรือช้ากว่า อันนี้ต้องดูปัจจัยประกอบของประเทศนั้น ๆ...

มันไม่ผิดที่เราอาจจะไปมองต่างประเทศ ซึ่งเขาเปลี่ยนกันไว แล้วพอหันมาดูว่าไทยเรา ‘ล่าช้า’ มันช่างดูล้าหลัง ซึ่งอาจจะไม่ถูกเท่าไร เพราะประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา, ยุโรป หรือจีน ที่ปรับเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ EV ในบ้านตัวเองและเริ่มส่งออกกันแล้วนั้น ก็เพราะเขาอยู่ในฐานะ ‘ประเทศต้นขั้วสำเนาของเทคโนโลยี’ ส่วนประเทศไทยเราก็เป็นสำเนาที่รอการเมกชัวร์ !!

อันนี้อาจจะเป็นจุดเสีย? ที่พอให้บ่นกันได้ แต่มันก็คือความเป็นจริง !!

ทีนี้มามองปัจจัยประกอบที่แตะทิ้งไว้ตะกี้กันนิด ว่าเหตุใดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ถึงเดินเครื่องได้ไม่ทันใจผู้บริโภคที่เริ่มบอกว่าพร้อม ๆๆ

ในแง่ของความพร้อม จริง ๆ อธิบายได้สั้นมาก เพราะมันมีตัวแปรของการช่วยประหยัดค่าน้ำมันได้หลายเท่าตัว ช่วยรักษ์โลก (อันนี้ดูดี) แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 กันทุกปี

แต่กลับกันในความพร้อมใช้ มันก็มีความ ‘ไม่พร้อม’ ซ่อนอยู่ในระบบนิเวศน์นี้ ซึ่งตัวแปรหลักก็มีอยู่ 3 ส่วน ได้แก่...

ประชาชนผู้ใช้รถยนต์

ผู้ผลิตรถยนต์ - ผู้ติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้า

และภาครัฐ

...ในแง่ของประชาชน

สรุปแบบง่าย ๆ เรา ๆ ท่าน ๆ ถ้าคิดจะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า มันก็มีตัวแปรในการตัดสินใจหลักอย่าง ‘ราคา’ และ ‘สถานีชาร์จ’ (จริง ๆ ยังมีเรื่องการบริการซ่อมบำรุง แต่เอาเหอะ Skip ไป)

ตอนนี้ราคารถยนต์ที่ทำออกมาขายในตลาดเมืองไทย ถ้าเป็นเล็กแบบจิ๊ดจิ๋ว และมีแฟนคลับแบบกระจุกตัว ก็จะเป็น FOMM ONE ที่มีราคาร่วม 6 แสนบาท แล้วก็มีโปรโมชั่นลดราคาลงมาถึง 4 แสนบาทในบางช่วง ส่วนระดับกลางอย่าง MG ZS EV ของเครือเจ้าสัวซีพี ก็มีราคาแตะล้านนิด ๆ ด้านนิสสันก็มี Leaf ที่ปล่อยออกมาในราคาเหยียบ 2 ล้าน ส่วนค่ายยุโรปนี่ก็ไปไกลเลย อัพเกิน 2 ล้าน (ฝันหวานไปยาว ๆ)

ดูจากจุดนี้ มันมีคำตอบที่ชัดมาก คือ ราคายังสูง แต่รุ่นที่ราคาไม่สูง ก็ยากจะบรรยาย (คนไทยเรื่องเยอะ รถต้องคันใหญ่ เครื่องต้องใหญ่ ชาร์จทีนึงต้องวิ่งได้กรุงเทพฯ ยัน เชียงใหม่) คนก็เลยยังคิดหนัก และนั่นก็ทำให้คนเริ่มถามว่าจะให้รักษ์โลก จะให้ประหยัดพลังงาน แต่ทำไมทำรถที่ควรใช้ได้ในราคาเกินเอื้อมฟระ

อันที่จริง ต้นทุนหลักของรถยนต์ไฟฟ้ามันอยู่ที่ ‘แบตเตอรี่’ (ลิเทียม - ไออน) ที่มีราคาสูงมาก เฉพาะรวมราคาระบบแบตเตอรี่ทั้งหมดก็แตะหลัก 5 - 6 แสนบาทต่อคันเข้าไปแล้ว ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้า ที่แม้จะเปิดตัวในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นฝั่งญี่ปุ่น ในยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา ล้วนมีราคาเริ่มต้นระดับ 1 ล้านบาทขึ้นไปแทบทั้งสิ้น

แต่แนวโน้มก็น่าดีใจเพราะเริ่มลดลง เช่น ในปี 2015 แบตเตอรี่ขนาดกลางในอเมริกาอยู่ที่ 57% ของราคารถทั้งคัน และก็ค่อยๆ ขยับลดลงมาอยู่ 33% ในปี 2019

อ้าว !! แบบนี้ในปี 2021 มันก็น่าจะเห็นแววรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกในไทยแล้วดิ

คิดแบบผิวปาก มันก็ใช่ แต่ย้อนกลับไปด้านบนที่ว่า เราไม่ใช่ประเทศต้นสำเนา และส่วนใหญ่ก็ยังเป็นการนำเข้า แม้รัฐบาลจะมีนโยบายผลักดันให้ปั้นโรงงานผลิตรถ EV แต่ก็ยังตั้งไข่ รวมถึงลดอัตราภาษีนำเข้า EV แต่ยังมีภาษีสรรพสามิต และภาษีมูลค่าเพิ่มที่รวมแล้วไม่น้อย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้รถไฟฟ้ายังมีราคาแพงอยู่ในปัจจุบัน และเมื่อราคายังหนัก คนส่วนใหญ่ก็เลยคิดว่าการใช้เครื่องสันดาป (น้ำมัน) ต่อไป

ขณะเดียวกัน ในแง่ของสถานีชาร์จที่ยังไม่ครอบคลุม ก็คือ คำถามตัวใหญ่ของคนที่อยากใช้ (แต่ยังไม่กล้าซื้อ) แม้จะมีบริษัทพัฒนาแท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นมากมายทั้งจากภาครัฐและเอกชนแล้วก็ตาม

...ในแง่ของผู้ผลิตรถยนต์-ผู้ติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้า

หากดูข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงานระบุว่า ช่วงไตรมาส 2/2560 มีสถานีบริการน้ำมันรวมทั้งสิ้น 2.5 หมื่นแห่งทั่วประเทศ ขณะเดียวกันหากเทียบกับสถานีชาร์จที่มีอยู่ทั่วประเทศไทยตอนนี้ ตัวเลขจะอยู่ที่ราวๆ 600 กว่าแห่ง ซึ่งยังไม่ได้นับสถานีชาร์จตามศูนย์รถยนต์ และบ้านเรือนประชาชน แถมการชาร์จต่อครั้งก็มีระยะเวลาอย่างเก่งสุดของเทคโนโลยีการชาร์จก็ประมาณ 15-20 นาที ซึ่งมันไม่ทันใจคนไทยอะเนอะ

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มันเดินหน้าอยู่แล้ว ทั้งการเพิ่มสถานีชาร์จและความเร็วในการชาร์จ แต่จะพอดีจังหวะให้ใช้งานครอบคลุมอีกกี่ปี อันนี้ยังพูดยาก แต่แรงขับเคลื่อนน่ะมีแน่ เช่น ผู้ให้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้ารายใหญ่ในตอนนี้ อย่าง อีเอ เอนีแวร์ (EA Anywhere) ของ บริษัท พลังงานมหานคร จำกัด ที่ตลอด 3 ปีเริ่มดำเนินการติดตั้งระบบชาร์จไฟฟ้า ทั้งระบบ AC (กระแสไฟฟ้าสลับ) และ DC (กระแสไฟฟ้าตรง) จนถึงปัจจุบัน มีสถานีชาร์จไฟฟ้า 405

แห่ง 1,611 หัวจ่าย และก็มีแผนจะขยายหัวชาร์จอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับทางภาครัฐ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, การไฟฟ้าฝ่ายผลิต และการไฟฟ้านครหลวง รวมถึงยังมี ปตท. ที่เริ่มขยับตัว

ขณะเดียวกัน การคิดแผนสำรองการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศเพื่อกรณีรถไฟฟ้าครอบคลุม มันก็ยังไม่เคลียร์ เพราะถ้าทุกคนใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันหมด ไฟฟ้าในประเทศคงไม่เพียงพอ มันต้องมีการส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าเองในชุมชน ซึ่งไฟฟ้านั้นอาจจะมาจากพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานน้ำ ดันสังคมให้เปลี่ยนมาเป็นสังคมไฟฟ้าเต็มตัวก่อน โดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าส่วนกลางควบคู่กัน ซึ่งดูภาพรวมแล้วยังอีกไกล

ฉะนั้นในส่วนของพลังงานไฟฟ้าที่จะนำมาใช้ หากยังไม่พร้อม มันก็ยังยากจะปล่อยให้คนถอยรถมาใช้อย่างสบายใจเฉิบ

...สุดท้ายในแง่ของภาครัฐ หรือภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทย

หลัก ๆ เลย คือ ปริมาณการผลิตรถยนต์ในบ้านเราต่อปีเฉลี่ยอยู่ที่ 2 ล้านกว่าคัน 1 ล้านคันขายส่งออก อีก 1 ล้านคันขายในประเทศ หากทุก 1 ล้านคันมีการปรับเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสัก 3 แสนคัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นในเชิงผลกระทบทางเศรษฐกิจมันจะมี และมันไม่ใช่เรื่องที่แค่อยากเปลี่ยน ก็เปลี่ยนกันได้ง่าย ๆ

บางคนอาจจะมองว่ามันก็เป็นเรื่องของทางภาครัฐ แต่เราก็ต้องคิดมุมกลับเหมือนกับตลาดทัชโฟน/สมาร์ทโฟน ที่มันจะมีขั้นบันไดของมันให้ทั้งระบบพร้อมกันเปลี่ยนหมด ไม่ใช่เปลี่ยนอย่างฉาบฉวย ไม่งั้นระบบนิเวศน์นี้อาจล้มเร็ว คนตกงาน กระทบเป็นโดมิโน่

อย่างกลุ่มผู้ผลิตค่ายรถยนต์ในประเทศ รวมถึงซัพพลายเออร์ในประเทศไทยที่ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์หรือเครื่องยนต์ต่าง ๆ เท่าที่ทราบเขาก็รู้ดีว่าจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อระบบการผลิตของพวกเขาในอีกประมาณ 5 ปีข้างหน้าแน่นอน เพราะทางกระทรวงอุตสาหกรรมเขาก็มีการส่งสัญญาณมาพักใหญ่แล้ว

ฉะนั้นหากจะสรุปความสำคัญของความพร้อมไม่พร้อม ‘ผลักดัน’ และ ‘ใช้’ รถยนต์ไฟฟ้าไทยแล้ว ภาครัฐคงเป็นตัวเอกของเรื่องนี้ไม่เปลี่ยน เพียงแต่จะเขย่าทั้งระบบให้พร้อมรบในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าได้เร็ว โดยมีการขยายฐานสถานีชาร์จแบบคู่ขนานและเร่งเกียร์ไปถึงจังหวะที่รถยนต์ไฟฟ้าจับต้องได้ง่ายเหมือนสมาร์ทโฟนเมื่อไร นั่นแหละคือ ‘ความพร้อม’ ซึ่งส่วนตัวแล้วก็คงสอดคล้องกับสัญญาณที่ภาครัฐและเอกชนมองต่อจากนี้ว่าน่าจะไม่เกิน 5 ปี

เอาล่ะ!! พักภาพความพร้อมไม่พร้อมของรถยนต์ไฟฟ้าในแบบบิ๊ก ๆ แล้วลองไปคลิกดูภาพย่อย ๆ จาก THE STATES TIMES ที่ได้ลงไปสำรวจความคิดเห็นคนไทยบางกลุ่ม ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มคนทำงานย่านใจกลางเมือง เช่น สีลม, ช่องนนทรี, สยาม และอโศก กันเล็กน้อย

โดยคำตอบของคนส่วนใหญ่ที่ ‘พร้อมเปิดใจใช้รถยนต์ไฟฟ้า’ ก็ไม่ได้แตกต่างจากที่เล่ามาข้างต้นนัก เช่น...

ช่วยเรื่องลดมลพิษ เพราะรถยนต์โดยทั่วไป ก็มักจะใช้น้ำมันซึ่งก่อให้เกิดมลพิษ

เชื่อว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะมาพร้อมกับรถยนต์ไฟฟ้า จะช่วยทำให้ชีวิตคนสะดวกสบายมากขึ้น อย่างรถบางค่ายก็มีระบบ Auto pilot กันแล้ว

ไฟฟ้าถูกกว่าการเติมน้ำมัน

แต่ในส่วนของ ‘ปัญหา’ หรือความไม่พร้อม เช่น…

สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ายังน้อย ไม่ค่อยมั่นใจแม้ว่าบางรุ่นจะให้กำลังวิ่งได้นานแบบข้ามจังหวัด

สถานที่อยู่อาศัยของแต่ละคนเนี่ย ก็ไม่เอื้ออำนวยต่อการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

การจราจรในเมืองไทยค่อนข้างแออัด รถติด ก็กลัวรถยนต์ไฟฟ้าจะแบตเตอรี่หมดกลางทาง

ส่วนข้อสุดท้าย คือ ราคารถยนต์ไฟฟ้าในตอนนี้ค่อนข้างสูง และราคาที่พวกเขารับไหวจะอยู่ในหลัก 3 ถึง 4 แสนบาท (ฝันไปเหอะ)

สุดท้ายแล้ว ย้อนกลับมามองมุมประชาชนตาดำ ๆ ไอ้คำว่าพร้อมหรือไม่พร้อมกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้น มันก็คงไม่น่าจะเป็นประเด็นสำคัญเท่ากับ ‘ใช้ได้อย่างสบายใจ’ แค่ไหน ?

เพราะในแง่เทคนิคความซับซ้อนของอะไหล่ที่ลดลงจากเครื่องยนต์สันดาป หายไปเป็นหมื่นชิ้นส่วน อันนี้อะดี >> พร้อม

ส่วนการกินไฟของรถพลังไฟฟ้า (รถ EV) ซึ่งมีการคำนวณออกมาเป็น กิโลเมตร ต่อ กิโลวัตต์ชั่วโมง (km/kWh) แล้วมันถูกกว่าการเติมน้ำมันร่วม ๆ 4 - 5 เท่าตัว อันนี้ก็ดี >> พร้อม

แล้วถ้าราคามันเอื้อมไหว ซึ่งนั่นก็คงหมายถึงวันที่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าต้นทุนต่ำลงมาใบบัญญัติไตรยางค์แบบเดียวกับสมาร์ทโฟน อันนี้ใคร ๆ ก็ไม่ปฏิเสธชัวร์ >> พร้อม

รวม ๆ แล้วรถยนต์ไฟฟ้ามันจะเกิด หรือมันจะพร้อม หรือจะน่าใช้ และจะเป็นอนาคตของไทยหรือไม่นั้น ? คำคอบก็คงจะประมาณนี้แหละกระมัง...


สนับสนุนโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top