Wednesday, 24 April 2024
ISSUE

สัญญาณ 'กู้ชีพ' ครั้งใหม่

แม้จะมีการโยกสับเปลี่ยนขยับคนใหม่ ไถคนเก่าออกเป็นระลอกคลื่นในวิก 3 พระราม 4 ตลอดร่วมครึ่งทศวรรษ

แต่ดูเหมือน สัญญาณแห่งการ ‘ฟื้นคืนชีพ’ และสร้างความยิ่งใหญ่แบบในอดีต อาจจะยังไม่เห็นภาพชัดในช่วงนี้นัก

เพราะส่วนหนึ่ง ก็ต้องยอมรับว่าช่อง 3 เป็นสินค้าที่อยู่ในตลาดที่ยากและท้าทายมาก แถมตอนนี้จังหวะของธุรกิจสื่อทีวีดิจิทัลก็ไม่ได้สวยหรูอะไรนัก เพราะโซเชียลมีเดียก็มีข่าวสารให้เสพแบบไม่ต้องง้อทีวี หรือแม้แต่คอนเท้นท์อื่น ๆ ก็มีให้เลือกมากถึงมากที่สุดในโลกออนไลน์

ภาพความลำบากของช่อง 3 จึงเริ่มเห็นได้ชัด จากธุรกิจที่ไม่เคยขาดทุน จนได้สัมผัสกับคำว่าขาดทุนครั้งแรกในช่วงปี 2561

ปี 2560 รายได้ 11,226 ล้านบาท กำไร 61 ล้านบาท

ปี 2561 รายได้ 10,504 ล้านบาท ขาดทุน 330 ล้านบาท

ปี 2562 รายได้ 8,779 ล้านบาท ขาดทุน 397 ล้านบาท

ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าช่อง 3 แบกต้นทุนทำทีวีดิจิทัลทั้ง 3 ช่องมาตลอด แม้เดือนกันยายน 2562 ได้ตัดสินใจคืนใบอนุญาต 2 ช่อง (ช่อง 3SD / ช่อง 3Family) แต่ก็ไม่ช่วยให้ผลประกอบการกระเตื้องขึ้นมาก เต็มที่ก็คือการคงผลขาดทุนให้ลดลง

อีกส่วนหนึ่ง คือ การจากลาหน้าจอของ ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ แห่ง ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ (เรื่องเด่นเย็นนี้ / เรื่องเล่าเสาร์ - อาทิตย์) หลังจากเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 ศาลฎีกาได้พิพากษาจำคุกตัวเขาในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม และอดีตพิธีกรรายการเล่าข่าวชื่อดัง ที่โยงคดีทุจริตค่าโฆษณาส่วนเกิน อสมท. 138 ล้านบาทเป็นเวลา 6 ปี 24 เดือน

อย่างไรก็ตาม เสียง ‘สัญญาณกู้ชีพ’ ครั้งใหม่ ที่เหมือนจะถูกฝากความหวังไว้ ก็เริ่มก่อเค้าลางๆ หลังจากอีกไม่นานอดีตพิธีกรข่าวชื่อดังแห่งช่อง 3 จะได้ก้าวออกสู่โลกแห่งอิสรภาพ พร้อมการคัมแบ็คช่อง 3 ในรายการข่าวเรียกแขกแบบเร็ววันพ่วงกำไล EM ให้ดราม่ากันเบา ๆ

และนั่นก็ทำให้ 'อดมโน' ไม่ได้ว่า สรยุทธ กับรายการ (ที่อาจจะเป็น) เรื่องเล่าเช้านี้ ซึ่งยังมีหน้าตาของเขาเป็นโลโก้แม้วันที่เจ้าตัวไม่อยู่ จะมีส่วนทำให้ช่อง 3 กลับมาผงาดได้เหมือนแต่ก่อน

ความคิดและคำพูดเช่นนี้อาจจะดูเว่อร์ไปนิด แต่ถ้ามองตามตรรกะ ต้องยอมรับว่า ‘ฝีปาก’ ของสรยุทธนั้น พร้อมฉุดให้ทุก ๆ คอนเท้นท์ที่รันบนแพลตฟอร์มของช่อง 3 มีคนดูได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นข่าว, ละคร, อีเว้นท์ หรือผลงานต่าง ๆ ของทางช่อง และต่างค่ายที่อยากมาโปรโมท แต่พอไม่มีสรยุทธ ทุกอย่างก็ดูดรอปลงตามสภาพ

ลองเทียบดูได้จากแค่รายการ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ ที่ไร้สรยุทธ ที่พอจะทำให้เห็นภาพความดรอป โดยอ้างอิงข้อมูลจาก TV Digital Watch พบว่า เรตติ้งรายการเรื่องเล่าเช้านี้ มีแต่ลดฮวบ ๆ ตั้งแต่ที่เริ่มมีกรณีคดีไร้ส้มเข้ามาเอี่ยว และสรยุทธเริ่มเฟดตัวออกจากช่อง 3

...2557 = 2.852

...2558 = 2.139

...2559 = 1.545

...2560 = 1.101

...2561 = 0.945

โดยเรตติ้งเฉลี่ยของภูมิภาคที่ตกแบบเด่นชัด คือ กรุงเทพและปริมณฑล ที่ตกมาตั้งปี 2557 ซึ่งเดิมมีอยู่ 4.794 ลดลงเหลือเพียง 1.881 ในปี 2561 ซึ่งไอ้ที่แย่ คือ ภูมิภาคนี้ คือ ฐานที่ช่อง 3 มีไว้กำราบช่อง 7 ที่ควบคุมตลาดภูธรนี่น่ะสิ

อันที่จริงแล้ว หากตัดปัญหาเรื่องเงินโฆษณา 138 ล้านบาท (กับ อสมท.) ที่ถือเป็นสึนามิครั้งใหญ่ของชีวิต สรยุทธ เชื่อว่าช่อง 3 อาจจะยังมีสถานภาพที่งดงามในโลกดิจิทัลคอนเท้นท์บูม เพราะจะตั้งธงให้พี่ยุทธไปรุกช่องทางไหน หรือชี้บวกชี้ลบคอนเท้นท์ทุกสไตล์ ในวันที่เขาเป็นเหมือนไอดอลของคนทุกรุ่น มันก็ไม่ได้ยากมากเท่าไร

แต่การจากหน้าจอไป ในยุคที่ใคร ๆ ก็ลืมง่าย มันคือช่องว่างที่ยากลำบากแก่การอุด

แถมตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ช่อง 3 หรือจะบอกว่าพี่ยุทธและไร่ส้มก็ได้นั้น แทบไม่ได้สร้างนักเล่าข่าวชายเพื่อมารองรับกรณีที่แกจะถอยออกไปเป็นเถ้าแก่ หรือแม้แต่เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ต้องเว้นวรรคด้วยแม้แต่น้อย ทำให้ช่อง 3 และรายการข่าวไม่มีตัวแทน พอไม่มีตัวแทนภาพก็เป็นเช่นนี้

ที่บอกว่าไม่มีตัวแทน ไม่ใช่ว่าไม่มีคนมาเล่าข่าวแทน แต่คนที่มีเขี้ยวเล็บแบบนี้ ในปฐพีก็มีน้อย หรือถึงแม้จะมีอยู่ ก็ใช่ว่ามาแทรกปุ๊บจะแทนที่พี่ยุทธได้ทันที และที่สำคัญก็ไม่รู้พี่ยุทธอยากให้มาแทนด้วยรึเปล่านิสิ

อย่างไรก็ตาม ในการกลับมาของ สรยุทธ ที่ว่ากันว่าช่วงอยู่ในเรือนจำ ก็ปั๊มฐานออนไลน์ไว้เพียบ จากแฟนคลับที่ติดตาม ‘เรื่องเล่าชาวเรือนจำ’ หลักล้านคน น่าจะเป็นแรงส่งช่วยดันยอดชมเหวี่ยงมาประคองช่อง 3 ได้ระดับนึง

แต่มันจะถึงขั้นทำให้ช่อง 3 เติบโตเปรี้ยงปร้างได้จริงแค่ไหน? อันนี้น่าคิด เพราะในยุคที่ข่าวกลายเป็นเรื่องที่ ‘คนธรรมดา’ ก็สามารถแจ้งความคืบหน้าได้ แถมตอนนี้ยูทูบเบอร์ หรือบล็อกเกอร์บางราย มีอิทธิพลสูงส่งเสียยิ่งกว่าคนหน้าจอแก้วซะอีก

การพูดให้เชื่อ การโหนให้เฮ!! จะยังเป็นได้เช่นเคยหรือไม่? จึงต้องดู...

ยิ่งไปกว่านั้น การห่างหายจากหน้าจอไปนานของพี่ยุทธ จะยังแรงพอโกยคนที่มีการรับชมคอนเท้นท์แบบ ‘ส่วนตัวสไตล์’ มากขึ้นให้ ‘คืนกลับมาหา’ เพียงเพราะมีชื่อ ‘สรยุทธ’ คนเดียวแล้วกู้สถานการณ์ได้หรือไม่นั้น มันก็อดคิดไม่ได้ว่าจะง่ายได้ขนาดนั้นเลยหรือ?

ยกเว้นแต่ช่อง 3 พลิกคิดคอนเท้นท์ใหม่ แบบที่ ‘น้าเน็ก’ แกออกไปทำเอง แนวๆ คุยให้เด็กมันฟัง เอ้อ!! แบบนั้นอะ!! เข้าที แล้วหลังจากนั้นโมเดลด้านคอนเท้นท์ของช่อง 3 ก็อาจจะต้องรื้อใหม่หมด (หรือไม่?) ละครตบตี กระทำชำเรา ที่ทำให้โซเชียลด่ากันระงม หรือรายการวาไรตี้เดิม ๆ อาจต้องปัดฝุ่นไหม หรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนทิ้ง เพื่อเสริมแรงแบบ 2 ทาง (สรยุทธ + ช่อง 3 New Model)

เหล่านี้แลดูน่าสนในเชิงขององค์รวม!!

เพียงแต่ผลลัพธ์ของมันจะปังแค่ไหน ในวันที่มือปืนเก่ายังโบกมือลา ส่วนมือปืนใหม่ ๆ ที่หวังจะเข้ามาช่วยกอบกู้ช่อง 3 ก็ยังอยู่ยาก เพราะวัฒนธรรมหรืออะไรก็ตามมันค้ำสถาบันนี้ไว้

สรุปแล้ว พี่ยุทธ!! อาจเป็นไอดอลของวันนั้น ส่วนวันนี้อาจแค่ ‘หวังได้’ ก็ต้องเผื่อใจไว้นิดสำหรับมวลชนคนวิก 3

คิดไกลไปเกินละ...อย่าคิดตามล่ะ


อ้างอิง:

https://www.posttoday.com/social/think/419034

https://www.tvdigitalwatch.com/news-ch3-reunglow-choanee-21-1-63/

นาทีนี้ ชื่อ 'สรยุทธ' ยังขายได้?

นาทีนี้ต้องเรียกว่าคนทำงานวงการสื่อสารมวลชน นั่งกันไม่ติด นอนคิดหลายตลบ นับคอยวันเวลาที่รุ่นใหญ่ ตำนานแห่งคนข่าวที่เปลี่ยนหน้าจอทีวี จากการนำเสนอข่าวแบบผู้ประกาศข่าวเป็นเหมือนเครื่องอ่านข่าว มาเป็นการเล่าข่าวแบบเข้าถึง จนกลายเป็นเพื่อนที่ต้องอยู่คู่กันทุกเช้า “สรยุทธ สุทัศนะจิดา” ที่มีกำหนดการพักโทษและจะออกจากเรือนจำในวันที่ 14 มีนาคมนี้ ในแวดวงคนสื่อเอง ต่างก็คาดเดากันว่า หลังจากก้าวออกจากเรือนจำ อาจจะได้เห็น สรยุทธ ในหน้าสื่อกระแสหลักทันที แว่วๆมาด้วยซ้ำว่า ต้นสังกัดเดิม พร้อมลงหน้าจอทันทีไม่รีรอ

“สรยุทธ” กลับมาแบบนี้ ! สะเทือนข่าวผังรายการข่าวทีวีทั่วฟ้าเมืองไทยไม่น้อย โดยเฉพาะ “ข่าวช่วงเช้า” ที่แต่ละช่องมีการปรับแผน ยกผัง เปลี่ยนกลยุทธ์กันมาตั้งแต่ต้นปี หลายช่องเตรียมพร้อมรับมือการกลับมาของ “สรยุทธ” แต่ก็สุดจะคาดเดาว่ากลับมาครั้งนี้ จะงัดไม้ไหนออกมาให้ตะลึงกันอีก

ที่แน่ ๆ “สรยุทธ” ที่หลายคนคิดถึง คงมีแฟน ๆ รอการกลับมาของเขามากล้นเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับ ว่ายุคก่อน “สรยุทธ” เข้าเรือนจำ กับยุคปัจจุบัน ช่องทางสื่อเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จาก Digital Disruption การพุ่งพรวดของเทคโนโลยี ทำให้สื่อทีวี ไม่ใช่สื่อหลักอีกต่อไป ถ้ายอมรับความจริงข้อนี้ได้ สื่อออนไลน์ได้เข้ามาแทนที และไปไกลกว่าสื่อทีวีไปมากแล้ว ซึ่งคนในแวดวงสื่อเองก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้กันถ้วนหน้า ทั้งการปลดพนักงานออก หรือการขยับตัวของรุ่นใหญ่ลงมาหน้าสื่อออนไลน์เต็มสูบ อย่าง “สุทธิชัย หยุ่น” ถึงขนาดพยากรณ์ไว้ใน Clubhouse แอพลิเคชั่นสังคมออนไลน์สุดฮิตว่า “ในอีกไม่เกิน 5 ปี ข้างหน้า สื่อทีวีสุดท้ายจะกลายเป็นเพียงของหายาก แต่จะไม่มีใครต้องการอีกต่อไป”

รุ่นใหญ่อย่าง “สุทธิชัย หยุ่น” ลงมานำเสนอข่าวผ่านสื่อออนไลน์แล้ว ตามมาติดๆด้วยลูกรักศิษย์เนชั่น อย่าง “จอมขวัญ หลาวเพ็ชร” ที่ฉีกสัญญาต้นสังกัดเดิม ลงมาเปิดหน้าในสำนักข่าวออนไลน์เต็มตัว ไม่เพียงเท่านั้น คนข่าวรุ่นใหม่หลายคนที่อายุงานยังไม่มาก บ้างก็ปรับตัวลงมาลุยสื่ออออนไลน์ควบสื่อทีวี บ้างก็ถอดใจย้ายเส้นทางชีวิต ไม่เดินเส้นทางสื่อทีวีต่อ ไปทำอย่างอื่นที่มีอนาคตกว่า

จึงน่าจับตาว่าคนที่เรียกตัวเองว่า “กรรมกรข่าว” อย่าง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” บุคคลผู้ทรงอิทธิพล ผู้เปลี่ยนหน้าวงการสื่อทีวี กรุยทางให้กับคนข่าวทีวีเดินตาม จนบางคนโด่งดังสุดๆจากสไตล์เดียวกับสรยุทธ สุดท้ายแล้วเมื่อกลับมาใหม่ในครั้งนี้ จะมีแนวทางในการนำเสนอข่าวอย่างไร จะยังคงได้รับการตอบรับจากแฟนข่าวเดิมอยู่หรือไม่ แล้วจะดึงแฟนข่าวที่ย้ายไปภักดีกับสองช่องยักษ์ในตอนนี้กลับมาอย่างไร ท้าทายมากกว่านั้นกับคนรุ่นใหม่และสื่อออนไลน์ “สรยุทธ” จะเข้าไปสร้างปรากฏการณ์อีกครั้งในสื่อเหล่านี้หรือไม่ การกลับมาครั้งนี้จะสร้างปรากฏการณ์รุ่งหรือร่วง อีกไม่นานคงได้รู้กัน

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า “จมูกไวต่อข่าว” ไม่ได้มีกันทุกคน แต่ “สรยุทธ” คือคนข่าวตัวจริงที่จมูกไวและประสบการณ์สูง ซึ่งสิ่งนี้เป็นข้อได้เปรียบสื่อออนไลน์ในปัจจุบัน ที่เน้นความไว แต่ไร้ซึ่งมิติและอ่อนประสบการณ์

“เนลสัน แมนเดลา” อดีตประธาธิบดีแอฟริกาใต้ ผู้นำการต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว เคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวสำนักหนึ่งกับคำถามที่ว่า “ท่านรู้สึกอย่างไรที่ติดคุกไปตั้ง 27 ปี? “ แมนเดลา ตอบติดตลกว่า “ใครว่าผมติดคุก ผมเรียนหนังสืออยู่ต่างหาก” ระยะเวลาหลายปีที่สรยุทธหายไปจากหน้าจอทีวี ไปอยู่กับการต่อสู้คดีและเรือนจำ อาจเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ “สรยุทธ” เกิดการตกผลึกบางสิ่งในชีวิตและการทำงานมากขึ้นก็เป็นได้ และเราจะได้เห็น “ผลึก” นั้นผ่านงาน “ข่าว” รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งแน่นอน น่าติดตามและตั้งตารอ

การตัดสินใจรับคำพิพากษาแบบแมน ๆ ของ 'สรยุทธ' ที่น่านับถือ

“ยืนยันว่าไม่เคยคิดจะหนี เพราะถ้าจะหนีต้องหนีตลอดชีวิต….ถ้าอยู่ในเรือนจำยังมีจุดสิ้นสุด”

การตัดสินใจรับคำพิพากษาแบบ แมนๆ ของสรยุทธ ที่น่านับถือส่วนหนึ่งของคำพูดที่ สรยุทธ สุทัศนะจินดา นักเล่าข่าวชื่อดังกล่าวไว้ในขณะที่กำลังเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในชั้นศาลฏีกาของคดี “ไร่ส้ม” อันสั่นสะเทือนจริยธรรมของสื่อมวลชน แต่ด้วยความเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยมและได้รับพระราชทานอภัยโทษ จากเดิมที่ต้องโทษจำคุก 6 ปี 24 เดือน จึงลดเหลือ เพียง 3 ปี 6 เดือน 20 วัน และเมื่อหักวันต้องโทษจำคุกมาแล้วจึงเหลือโทษอยู่อีกเพียงแค่ 2 ปีเศษเท่านั้น ซึ่งเข้าข่ายหลักเกณฑ์การพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ โดยจะได้พักการลงโทษ ปล่อยตัวในวันที่ 13 มีนาคม 2564 นี้

แต่ต้องติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรือกำไล EM (Electronic Monitoring) และต้องปฏิบัติตนตามเงื่อนไขที่กำหนดอย่างครบถ้วน รวมไปถึงต้องรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุกเดือนจนกว่าจะพ้นโทษ นี่เป็นอิสรภาพในการควบคุมของกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ที่น่าติดตาม แม้ว่าการพักโทษครั้งนี้อาจยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดการต้องโทษของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา แต่เมื่อ “กรรมกรข่าว” comeback เมื่อ “คนเล่าข่าวอันดับหนึ่ง” กลับคืนหน้าจอ วงการจะสั่นสะเทือนมากน้อยแค่ไหน ?

บนสังเวียนข่าวกว่า 30 ปี สรยุทธ เริ่มต้นเส้นทางนี้ที่ The Nation ในปี 2531 มา MCOT ที่เขาและรายการของเขาเป็นรายการเดียวที่ได้สัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีทักษิณ ในช่วงก่อนการรัฐประหาร 2549 ไล่เรียงมาจนถึงการเล่าข่าวและเป็นพิธีกรรายการข่าวถึง 4 รายการคือ เรื่องเล่าเช้านี้, เรื่องเด่นเย็นนี้, เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์, จับเข่าคุย ทางช่อง 3 ซึ่งเป็นเขาที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้สังคมจากการรายงานข่าวอุทกภัยในปี 2554 อย่างเกาะติด พร้อมดึงเพื่อนในหลายแวดวงร่วมมือกันจนหาเงินบริจาคให้ชาวบ้านที่ทุกข์ร้อนได้มากมาย โดยไม่เคยมีผู้สื่อข่าวคนไหนทำมาก่อน

วีรกรรมของเขาครั้งนั้นโด่งดังขนาดที่คนนึกถึงและเรียกหาชื่อเขาก่อนนายกรัฐมนตรีเสียอีก เรียกได้ว่า สรยุทธ คือจ้าวแห่งการสื่อสารด้วยคำพูด (Speech Communication) โดยเฉพาะเรื่องเล่าของเขาที่สามารถสื่อสารไปยังผู้ชม ผู้ฟัง ได้อย่างลึกซึ้ง กว้างขวางและน่าเชื่อถือ ซึ่งเกิดจากเตรียมพร้อมและการย่อยข่าวอันเป็นพรสวรรค์ของเขา ว่ากันว่าการเตรียมพร้อมประจำวันของ สรยุทธ ตอนช่วงพีกสุด ๆ เขาต้องเดินทางมาถึงช่อง 3 ตั้งแต่ตี 4 กว่า เตรียมข้อมูลเพื่อออกอากาศ 6 โมงเช้า ช่วงบ่ายไปหาที่งีบหลับในตึกของช่อง พอบ่าย 2 โมงเริ่มเตรียมเนื้อหาข่าวเข้ารายการ “เรื่องเด่นเย็นนี้” วันหนึ่งเขานอนประมาณ 3 - 4 ชั่วโมงเท่านั้น กิจวัตรนี้นับเฉพาะส่วนของงานข่าวบนหน้าจอโทรทัศน์ไม่รวมไปถึงผลงานการเขียนหนังสือและงานอื่น ๆ อีกมากมายของเขาในช่วงนั้น

โลกที่หมุนเร็วขึ้นจะเป็นอุปสรรคต่อกลับมาของสรยุทธมากน้อยแต่ไหน? การจะกลับมาอยู่บนจอท่ามกลางกระแสโซเชียลอันเชี่ยวกรากจะยากเกินไปไหม ? คำตอบคือไม่เป็นอุปสรรคและไม่ยาก หากดูจากเพจ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว” ที่มีผู้ติดตามอยู่เกิน 1 ล้านคน เขายังคงเป็น Main Influencer ของประเทศนี้ บริษัทของเขาก็ยังมีกำไรต่อเนื่องในฐานะผู้ผลิตรายการ ปัญหาของเขาน่าจะอยู่ที่ช่อง 3 นั่นเอง

แม้ทีวีดิจิตอลในวันนี้จะมีเม็ดเงินโฆษณาอยู่พอสมควรแต่การแข่งกันสร้างนักเล่าข่าวใหม่ ๆ ผนวกกับรายการข่าวที่พัฒนาทั้งรูปแบบและช่องทางเพื่อสนองต่อโลกที่ผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปสู่โลกวิถีใหม่ ก็ทำเอาทีวีดิจิตอลหลายช่องไปไม่เป็น โดยเฉพาะช่อง 3 ที่ประสบปัญหาขาดทุน มีการปรับเปลี่ยนและเลย์ออฟพนักงานอยู่หลายคราว

ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่อุปสรรคจะทำให้เรารู้ว่า “ชีวิตที่แท้จริง” เป็นอย่างไร เชื่อว่าการกลับมาของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา จะเป็นแรงกระเพื่อมครั้งสำคัญของวงการข่าว สมใจบรรดาแฟนข่าวของเขา แต่การจะกลับมายืนเป็นเบอร์หนึ่งและเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจได้เหมือนเดิมหรือไม่ ? คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะหลายๆ ช่องทาง หลาย ๆ สื่อคงไม่มีใครอยู่นิ่ง ๆ แล้วให้รายการของสรยุทธกลับมากระชากเรตติ้งกลับไปเป็นของเขาเหมือนเดิมแน่ ๆ แต่ที่ได้ประโยชน์แน่ ๆ คงเป็นเรา ๆ ท่าน ๆ ผู้บริโภคข่าว เพราะต่อไปนี้รายการข่าวจะมีคุณภาพขึ้นกว่าช่วงที่ไม่มีสรยุทธอยู่แน่นอน

‘เมื่อเสือจะคืนสู่จอ’ สรยุทธ Out หรือยังบนเวทีการเล่าข่าวยุคนี้ ?

กลายเป็นแรงกระเพื่อมได้ไม่น้อย สำหรับการถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำ ของคนข่าวนัมเบอร์วันที่ชื่อ ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ โดยตามรายงานข่าว สรยุทธ ในฐานะนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยม เข้าเกณฑ์การพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ ทำให้เจ้าตัวจะได้รับการพักการลงโทษ และกำลังจะถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำ หลังวันที่ 13 มีนาคมนี้

หลังข่าวเผยแพร่ออกไป กระแสการกลับคืนจอของคนเล่าข่าวเบอร์หนึ่งของเมืองไทย ก็ถูกพูดถึงในทันที มีความเป็นไปได้ และเป็นไปได้ที่แฟน ๆ จะได้ชมและฟังผู้ชายคนนี้เล่าข่าวอีกครั้ง เพียงแต่ เขาจะกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ ‘คอนเท้นข่าว’ ได้หรือไม่? และเขา Out ไปแล้วหรือยัง บนเวทีข่าวในวันนี้?

เพราะนาทีนี้ มีสื่อที่ถูกเปิดตัวขึ้นมากมาย เมื่อคู่แข่งเยอะ แถมคู่แข่งยังถูกที่ถูกเวลา และร่วมสมัยกว่า งานนี้จึงต้องจับตาว่า เจ้าของเวทีตัวจริง จะยังคงรักษาพื้นที่ตัวเองไว้ได้หรือไม่ อีกไม่นานเกินรอ คงมีคำตอบให้รู้กัน!

.

 

“ถ้าวงการบันเทิงมี พี่เบิร์ด เป็นตำนาน วงการข่าวต้องมี สรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นตำนานกว่า”

มั่นใจว่า คนไทย เติบโตมากับ สรยุทธ ผ่านหน้าจอทีวี เช้า เย็น ค่ำ ตามแต่ช่วงเวลาที่ สรยุทธ รายงานข่าว แบบไม่มีวันหยุด ไม่มีวันพัก ไม่มีวันป่วย หลายคนสงสัยวัน นอนตอนไหน

การทำงานสไตล์ สรยุทธ ถูกถ่ายทอด ผ่านหนังสือขายดีชื่อ กรรมกรข่าว และออกมาเป็นซีรีย์ ได้หลายเล่มทีเดียว บทสรุปของหนังสือเล่มนี้คือ ทำในสิ่งที่ชอบ และ รัก จะอยู่กับมันได้นาน เหมือนไม่ได้ทำอะไร

สไลต์ข่าวของ สรยุทธ คือ เล่าข่าวให้ชาวบ้านเข้าใจ เน้นเรื่องที่เกียวกับคนส่วนมาก ส่วนเรื่องการเมืองในหลาย ๆ กรณี สรยุทธ ไม่ออกตัวชัดเจนว่าเป็น สีไหน ข้างไหน แต่บางสี เลือกที่จะโจมตีบ้าง เลือกที่จะนำมาใช้ประโยชน์บ้าง สุดแท้แต่สิ่งที่ออกจากปาก สรยุทธ ว่าฝ่ายไหนจะตีความอย่างไร และเป็นประโยชน์กับใคร และใครมองไปทางไหน

สรยุทธ เลือกที่จะพุ่งเป้าไปที่คนหมู่มาก รู้จักการสร้างกระแส เคสใหญ่ ที่เรียกเสียงฮือฮา ได้คือ เมื่อตอนน้ำท่วมใหญ่ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2554 ถือเป็นการใช้สื่อ เพื่อช่วยเหลือ แก้ไขปัญหา ได้ตรงจุด และ สร้างการรับรู้ ความไว้วางใจ ได้เผลอ ๆ จะมากกว่ารัฐบาลซะด้วยซ้ำ

ในชีวิตส่วนตัว สรยุทธ เลือกที่จะไม่เปิดเผย ทำตัวเรียบง่าย เงียบนิ่ง ให้สัมภาษณ์ไม่มากครั้ง เน้นการทำงาน

อีกสิ่งที่ สรยุทธ ทำแต่ได้ผลเสมอ คือ การสร้างทีมงาน ทั้งหน้าจอ และ หลังจอ ทำให้ สรยุทธ มี แก๊งค์ ก๊วนของตัวเอง คล้าย ๆ กับ Youtuber สมัยนี้ มีไม่ได้ออกแค่คนเดียว นับเป็นความสำเร็จที่ใครได้มา ประกบ หรือ ปั้น โดยยี่ห้อ สรยุทธ ถือว่าเกิดได้เพียงข้ามคือ ขออนุญาติไม่เอ่ยว่าเป็นใครบ้าง มั่นใจว่า ทุกท่านตอบถูกต้องแน่นอน และทุกคนที่ได้ร่วมงานกับ สรยุทธ รักและเคารพ สรยุทธมาก ๆ เช่นกัน

ในทางกลับกัน แม้มีเสียงชื่นชม แต่ในวิกิพีเดีย ก็มีข้อมูลที่ถูกสรุป ข้อวิพากษ์วิจารณ์ไว้ถึง 14 กรณี ไม่นับรวมคดีไร่ส้มที่มีปัญหาใหญ่สุด ต่าง ๆ นานา ต่างเคส ต่างคู่กรณีกันไป แต่ก็ผ่านมาได้ทุกครั้ง

สิ่งที่สรยุทธ ได้ทำตามคำพิพากษาของศาล นับเป็นเคสของกรณีศึกษาด้านจริยธรรมของสื่อเป็นอย่างมาก รายละเอียดต่าง ๆ สรยุทธ ได้เลือกที่จะเดินหน้าต่อสู้ตามกระบวนการธุติธรรมของ พิสูจน์ความจริง แม้จะใช้เวลา และที่สุดแล้ว ศาลพิจารณาให้จำคุก

สรยุทธ เลือกที่จะเดินตามกระบวนการ และ รับผิดตามคำพิพากษา ศาลฎีกา จำคุก 6 ปี 24 เดือน หลายต่อหลายคำวิพากษ์วิจารณ์ ว่าทำไมติดจริงแค่ปีเศษ ๆ ก็ได้รับการพักโทษ และ ใส่กำไรอีเอ็ม ต่างๆ นานา

ผลสุดท้าย ไม่ว่าอดีตเป็นอย่างไร

แหล่งข่าวคอนเฟิมว่า สรยุทธ จะกลับสู่หน้าจอทีวีช่อง 3 อย่างแน่นอน เพียงแต่รอวันเวลาว่าวันไหน เท่านั้น

14 มีนา นี้ I ll’be Back สรยุทธ กลับมาแล้วแน่นอน!!!

ต้องรอติดตามว่าจะเคลื่อนไหวอะไรอย่างไร มั่นใจว่าต้องไม่ธรรมดาแน่นอน


อ้างอิง :

https://th.wikipedia.org/wiki/สรยุทธ_สุทัศนะจินดา


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top