Saturday, 15 February 2025
POLITICS

“ณัฐวุฒิ” ยังกั๊กร่วมม็อบ “จตุพร-เยาวชน” หรือไม่ ขอดูสถานการณ์ เสนอสร้างจุดร่วมเรียกร้องอิสรภาพคนหนุ่มสาวที่ถูกขัง ไม่ห่วงเรื่องตำแหน่ง ชมหนุ่มสาวไม่มีตำแหน่งก็มีพลังในตัวเอง พร้อมสวมกอดให้กำลังใจแม่ “เพนกวิน-ไมค์”

วันที่ 5 เมษายน 2564 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เดินทางมาตามที่ศาลนัดพร้อมคู่ความคดี นปช. ชุมนุมเมื่อปี 2552 ขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยภายหลังเข้าร่วมการพิจารณาแล้ว นายณัฐวุฒิ เปิดเผยว่า วันนี้นัดพร้อมฝ่ายโจทก์-จำเลย ซึ่งมีการสืบพยานกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่นัดหมายเดิมถูกยกเลิก เนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ศาลจึงนัดพร้อมคู่ความเพื่อกำหนดวันนัดหมายใหม่ จำเลยหลายท่านได้ขอศาลพิจารณาลับหลัง จึงไม่ต้องมาศาล แต่ตนมาทุกนัด เพราะก่อนหน้านี้ถูกคุมขังในเรือนจำต้องเบิกตัวมา จึงไม่ได้ทำเรื่องขอพิจารณาลับหลังไว้

ผู้สื่อข่าวถามความเห็นต่อการชุมนุมของกลุ่มสามัคคีประชาชนเมื่อวานนี้ (4 เมษายน) ที่มีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ร่วมนำ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนเคารพทุกการเคลื่อนไหวการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เวทีเมื่อคืนนี้ประกาศเป้าหมายขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้พ้นจากอำนาจ เป็นเรื่องที่ผู้รักประชาธิปไตยเรียกร้องมาตลอดอยู่แล้ว ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จะพ้นจากอำนาจก็เป็นคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชน และถ้ามีการชุมนุมต่อเนื่องก็ต้องติดตามกันต่อไป 

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น คือการรวมตัวกันของแกนนำทุกฝ่าย ผู้รักประชาธิปไตยที่มาแสดงตัว น่าจะเป็นการรวมตัวกันภายใต้เป้าหมายเฉพาะหน้าทางการเมือง คือ ขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่เห็นรูปธรรมของการรวมตัวกันเชิงอุดมการณ์ ทั้งในระดับแกนนำ ผู้ปราศรัย ประชาชนผู้ชุมนุม คงจะไปคาดหวังรวบรัดเอาเร็วคงลำบาก เพราะเพิ่งเริ่มกันวันแรก ยังมีนัดหมายวันต่อไป ต้องดูพัฒนาการตรงนี้ว่าจะมีความชัดเจนเรื่องการหลอมรวมทางอุดมการณ์ได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ตนมองได้ 2 แบบ อาจจะเติบโตขยายตัวเป็นการชุมนุมขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเป้าหมายสอดคล้องกับความต้องการของผู้คน หรืออาจจะมีความแตกต่างกันทางอุดมการณ์ เนื้อหาสาระ จนทำให้ความเคลื่อนไหวก้าวเดินได้ไม่เร็วนัก

ถามว่าต้องใช้เวลาดูแค่ไหน ในการตัดสินใจเข้าร่วมหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้ตัดสินใจไปถึงตรงนั้น สถานการณ์การเมืองวันนี้มีความแหลมคม ซับซ้อน เมื่อปรากฏความเคลื่อนไหวตนต้องติดตามใกล้ชิดอยู่แล้ว คงจะดูสถานการณ์ด้านอื่นรวมกันไปด้วย เวทีนี้ปรากฏขึ้นใหม่ ในขณะเดียวกันการต่อสู้ของกลุ่มเดิมคือนิสิต นักศึกษา เยาวชน มวลชนที่ขับเคลื่อนก็ยังทำหน้าที่อยู่ นัดหมายชุมนุมเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง สองส่วนนี้ถึงที่สุดจะมีพัฒนาการอย่างไร แม้เวทีเมื่อคืนมีเป้าหมายชัดขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ตนไม่ขัดข้องอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าจะเป็นจุดร่วมกันได้ คือการเรียกร้องอิสรภาพให้กับเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ถูกจองจำอยู่เวลานี้ และจะถูกจองจำในอนาคตอันใกล้ จากคดีความที่แต่ละคนแบกรับกันหลายสิบคดี น่าจะถูกขับเน้นให้ชัดในทุกเวทีที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง

เมื่อถามถึงโอกาสที่นายณัฐวุฒิจะไปเคลื่อนไหวร่วมกับเยาวชน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ยังคงติดตามสถานการณ์อยู่ ตนเพิ่งออกมาได้ไม่กี่วัน ช่วงเวลาที่เราต่อสู้อย่างเข้มข้นผ่านมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ดังนั้นแต่ละก้าวเดินต้องรอบคอบ รัดกุม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับพัฒนาการของประชาธิปไตยในประเทศไทย จุดยืนตนยืนยันชัดไปแล้ว ส่วนที่จะก้าวเดินก็ให้เวลา สถานการณ์เป็นตัวกำหนด

ถามต่อถึงกรณีนายจตุพรจะยกตำแหน่งประธาน นปช.ให้ หากร่วมกับเยาวชน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เป็นท่าทีของนายจตุพร ตนก็รับทราบ แต่การเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือการแสดงจุดยืนทางการเมืองของตน คงไม่เกี่ยวกับตำแหน่งแห่งที่ในองค์กรไหน ไม่สัมพันธ์กับการมีหรือไม่มีตำแหน่งใดๆ ในการต่อสู้ทางการเมืองไม่ได้อยู่ที่ใครมีตำแหน่งไหนแล้วจะขับเคลื่อนได้มากได้น้อย มันอยู่ที่เราจะเดินไปทิศทางใด แล้วประชาชนจะให้ความเชื่อมั่นอย่างไร ต้องพิสูจน์ทราบโดยการกระทำ กาลเวลา มีสถานการณ์ให้พิสูจน์ตัวตนได้ตลอดทางจนกว่าจะแตกดับหรือยุติการต่อสู้

นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า ยกตัวอย่างครั้งหนึ่งที่เมียนมาก็ยกอองซานซูจีเป็นจิตวิญญาณการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เมื่อชนะเลือกตั้งก็ถูกตั้งคำถามอย่างหนักเรื่องสิทธิมนุษยชน จนกระทั่งถูกยกเลิกรางวัลสำคัญระดับโลก วันหนึ่งมีการรัฐประหาร อองซานซูจีก็กลับมาเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกครั้ง ระบอบประชาธิปไตยงดงามตรงนี้ ทุกคนทุกฝ่ายเดินหน้าไปในฐานะประชาชน คนที่มีหลักการเดียวกัน ทำได้หมด เยาวชนคนหนุ่มสาวนำพาการต่อสู้มาขนาดนี้ ไม่มีใครมีตำแหน่งอะไรก็ยังมีพลังในตัวเอง

เมื่อถามถึงวันครบรอบเหตุการณ์สลายชุมนุม นปช. เมื่อวันที่ 10 เมษายน และ 19 พฤษภาคม 2553 ในปีนี้จะมีกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เราทำมาทุกปี มากน้อยในรูปแบบไหนอย่างไร เราก็ทำมา ปีนี้กำลังหารือกำหนดรูปแบบอยู่ เราไม่สามารถลืมเหตุการณ์นี้ได้ ต้องการให้คนทั้งประเทศและทั่วโลกได้รับทราบ จดจำพูดถึงเหตุการณ์นี้ คนที่บาดเจ็บล้มตายจากเหตุการณ์ยังไม่ได้รับความยุติธรรม คดียังไม่ถึงศาล รายละเอียดถ้ามีความชัดเจนคงจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายณัฐวุฒิให้สัมภาษณ์เสร็จ ปรากฏว่านางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ มารดาของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน และนางยุพิน จาดนอก มารดาของนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ สองแกนนำกลุ่มราษฎร ที่เดินทางมายื่นประกันตัวบุตรชาย ได้เดินลงมาบริเวณบันไดหน้าศาลพอดี นายณัฐวุฒิจึงเข้าไปสวมกอดทักทายให้กำลังใจมารดาของแกนนำทั้งสอง โดยขอให้สู้ ๆ และหวังว่าบุตรชายจะได้ออกจากเรือนจำโดยเร็ว

รมว. สุชาติฯ เสนอขยายเวลาตรวจโควิด-19 และเก็บอัตลักษณ์แรงงานต่างด้าวถึง 16 มิ.ย. 64

วันที่ 5 เมษายน 2564  ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 3/2564 มีมติเห็นชอบขยายเวลาตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และจัดเก็บอัตลักษณ์ข้อมูลบุคคล (Biometrics) ของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) จากเส้นตายเดิมวันที่ 16 เมษายน เป็น 16 มิถุนายน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการ คณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ได้รับทราบข้อห่วงกังวลของนายจ้าง ผู้ประกอบการ ว่าแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 บางส่วนอาจไม่สามารถดำเนินการตรวจหาโรคโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์ข้อมูลบุคคล (Biometrics) ได้ทันกำหนดภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 แม้ว่าสถานพยาบาลของรัฐและสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะมีความพร้อมในการให้บริการได้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ซึ่งจะส่งผลให้แรงงานต่างด้าวดังกล่าวไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป 

“กระทรวงแรงงาน ได้กำหนดจัดประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 3/2564 เพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขข้อขัดข้องการตรวจหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการจัดเก็บอัตลักษณ์ข้อมูลบุคคล (Biometrics) ของแรงงานต่างด้าวกลุ่มดังกล่าว ร่วมกับคณะกรรมการประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยที่ประชุมได้ประเมินสถานการณ์แรงงานต่างด้าว และมีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการตรวจหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการจัดเก็บอัตลักษณ์ข้อมูลบุคคล (Biometrics) ของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ให้ออกไปจนถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2564 

ซึ่งกระทรวงแรงงานจะนำเสนอแนวทางการแก้ไขข้อขัดข้องต่อคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ 7 เมษายนนี้ เพื่อหน่วยงานต่าง ๆ จะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยเบื้องต้นจะบูรณาการร่วมกับหน่วยงานผู้รับผิดชอบในพื้นที่ มีจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศทำหน้าที่เป็นคนกลางประสานโรงพยาบาลเอกชนในการตรวจโควิด-19 เชิงรุก ณ สถานที่ทำงานของคนต่างด้าว  และสาธารณสุขจังหวัดรับรองผลการตรวจโควิด-19 และทำประกันสุขภาพ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มนำร่องวิธีดังกล่าวในจังหวัดชลบุรีที่ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีแรงงานต่างด้าวมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากที่กรมการจัดหางาน เปิดให้นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าวแจ้งบัญชีรายชื่อ หรือข้อมูลบุคคลผ่านระบบออนไลน์ สำหรับคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ตามมติข้างต้น ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 64 ถึง 13 กุมภาพันธ์ 64 ผลการดำเนินการล่าสุด มีการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้ว 422,305 คน ผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้ว 68,575 คน ได้รับอนุญาตทำงาน (อนุมัติ บต.48) แล้ว 68,548 คน และทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู/ใบอนุญาตทำงาน) 24,610 คน จากการแจ้งข้อมูลบุคคลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของคนต่างด้าว ทั้งที่มีนายจ้าง และไม่มีนายจ้าง 654,864 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน 64) ซึ่งหาก ครม.มีมติเห็นชอบ ให้ขยายเวลาออกไปอีก 2 เดือน จากเดิมที่กำหนดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ตามที่ที่ประชุมคบต.ได้เสนอไป คาดว่านายจ้าง/สถานประกอบการจะสามารถดำเนินการตามขั้นตอนได้ทัน โดยไม่ติดปัญหา

“อย่างไรก็ดี ขอย้ำให้คนต่างด้าวทั้งที่มีนายจ้าง และยังไม่มีนายจ้าง เร่งนัดหมายเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และซื้อประกันสุขภาพกับสถานพยาบาลของรัฐ  พร้อมทั้งดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้เสร็จสิ้นตามกำหนด อย่ารอดำเนินการช่วงใกล้สิ้นสุดระยะเวลา โดยสามารถสอบถามขั้นตอนขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ” นายไพโรจน์ฯ กล่าว

‘กรณ์ จาติกวณิช’ ชี้ระบบราชการไทยใช้งบประมาณสูงติดอันดับต้น ๆ ของโลก แนะปฏิรูประบบราชการด่วน ด้วยการลดขนาด ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หากต้องการนำพาประเทศรอดพ้นวิกฤต

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรมว.คลัง เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนประเทศไทยให้รอดพ้นจากวิกฤตจำเป็นต้องเร่งหาทางแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่มีอยู่หลายเรื่อง เพื่อประคับประคองจีดีพีของประเทศไม่ขยายตัวตามศักยภาพ โดยสิ่งสำคัญที่สุดที่สามารถทำได้ คือ การปฏิรูประบบราชการ เพื่อลดรายจ่ายของรัฐ เพราะที่ผ่านมาระบบราชการของไทยใช้งบประมาณสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก หรือคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 70% เมือเทียบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี นับเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด และจำเป็นต้องเร่งแก้ไขโดยเร็ว

“ปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดเก็บภาษีได้เพียง 16% ของจีดีพี ส่วนค่าใช้จ่ายของราชการในแต่ละปีนั้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของภาษีที่จัดเก็บได้ในแต่ละปี ขณะที่ในกลุ่มประเทศที่อยู่ภายใต้องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ โออีซีดี เก็บภาษีได้ประมาณ 35% ทำให้เห็นว่าประเทศไทยมีสัดส่วนงบประจำสูงเกินครึ่ง สวนทางกับประสิทธิภาพ เพราะเมื่องบเยอะขึ้นทุกปี สะท้อนได้ว่าหน่วยงานราชการก็ต้องมีขนาดใหญ่ขึ้น หากไม่เร่งแก้ไปจะทำให้การปฏิรูประบบราชการทำได้ยาก”

ทั้งนี้ ในแนวทางการแก้ไขปัญหามีสิ่งที่สามารนำมาใช้ได้เลย คือการลดขนาดของราชการลงให้ได้มากที่สุด โดยนำระบบเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น เรื่องนี้เมื่อนำเข้ามานอกจากจะลดต้นทุนได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดียิ่งขึ้น และที่สำคัญ ยังสามารถแก้ปัญหาใหญ่ที่แก้มานานไม่ได้ คือเรื่องของทุจริต คอร์รัปชันให้ลดลงได้ เรื่องนี้เราสามารถมองเห็นได้จากหลาย ๆ ประเทศที่ทำมาเห็นผลสำเร็จแล้ว

‘บิ๊กตู่’ ด่ากราดโควิดไม่จบเพราะมีพวกไม่มีจิตสำนึก ‘หวัง’ สงกรานต์จะดีขึ้น แต่ยังมีคนฝ่าฝืนกรอบกติกา ยันถ้ารวมใจคนทั้งชาติไม่ได้ปัญหาก็จะมีแบบเดิม

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 5 เม.ย. ที่ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ชั้น 3 โรงแรมรามา การ์เดนส์ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ เพื่อบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดยกล่าวช่วงหนึ่งถึงสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด) ว่า

ที่ผ่านมาเราสามารถทำได้ดีและถือว่าดีมากในอันดับต้นของโลกซึ่งเราต้องทำให้ดีมากขึ้นกว่านี้ทั้งส่วนราชการ รัฐบาล และทุกคนที่ช่วยกันอย่างเต็มที่แต่ทุกอย่างต้องยอมรับว่าก็ต้องมีปัญหาบ้าง เนื่องจากเรามีจำนวนประชากรจำนวนมากมีทั้งเรื่องความแตกต่างทางความคิด การยับยั้งช่างใจ หรือความสนุกสนานอย่างเลยเถิด เพราะนี่คือมนุษย์ หรือคน ที่อยู่ในโหล มันก็วุ่นกันไปหมดเพราะต่างคนต่างมีความคิด จึงอยากขอร้องว่า หากจะแสดงความคิดก็ขอให้เป็นเชิงสร้างสรรค์ ในทางที่ไม่ขัดแย้ง ทุกคนที่เป็นคนไทยคุณเป็นแบบนี้ แต่ถ้ามีความขัดแย้งก็แก้ไขปัญหากันไปในช่องทางที่มีอยู่ ไม่ใช่ช่องทางที่ไม่ควรจะใช้ จนทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกจำนวนมาก เช่นการหยุดเชื้อไวรัสโคโรนา แม้ว่าจะรับมือได้ดี แต่ก็ยัง ไม่ได้ 100%

“รัฐบาลคาดหวังว่าในช่วงสงกรานต์ทุกคนจะมีความสุข แต่มันก็เกิดขึ้นมาอีกจนได้ เพราะนี่คือคน ต่อให้มีมาตรการอะไรออกมาก็ตามแต่เมื่อคนไม่ปฏิบัติตาม ยังไม่มีจิตสำนึกในความรับผิดชอบร่วมกัน ก็จะเป็นแบบนี้นั่นแหละ มันเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นในช่วงนี้มาก ๆ ในการรวมพลังไทยทั้งชาติ ทั้งในแง่ของประเทศชาติปลอดภัย ดับทุกข์ภัยทุกเรื่อง หลายๆ เรื่องก็โทษกันไปมา โทษรัฐบาลทั้งเรื่องอุบัติเหตุ การเสียชีวิต การสูญเสียทรัพย์สิน ก็โทษแต่เจ้าหน้าที่อยู่นั่น เจ้าหน้าที่มีหน้าที่ในการช่วยเหลือดูแลโดยเฉพาะการติดตามการใช้กฎหมาย แต่ต้องยอมรับว่ามีการเล็ดลอดทุกอย่าง มีการฝ่าฝืนมาตรการต่างๆที่กำหนดขึ้นมา มันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกหรือ ทุกอย่างจะต้องแก้ตรงนี้ แก้ให้ทุกคนมีจิตสำนึก ว่าเราจะร่วมมือกันในการแก้ปัญหาตรงนี้ได้อย่างไร

เพราะไม่ว่าเราจะออกกฎหมายมากี่ฉบับก็ตาม ต่อให้มีกฎระเบียบมีคนคุมหรือใช้กฎหมายรุนแรงต่างๆก็ไม่สามารถทำได้ถ้าเรารวมใจคนไทยทั้งชาติไม่ได้ ด้วยแรงศรัทธาด้วยความรักประเทศชาติ เราทุกคนรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางภาวะเศรษฐกิจเกิดจากหลายอย่างเราต้องเดินหน้าไปสู่ชีวิตวิถีใหม่ โดยการปรับวิธีคิดร่วมกัน ต้องร่วมกันคิด ร่วมกันทำและเดินไปข้างหน้าแต่ก็ยังมีคนบางคนก็ยังตั้งคำถามว่าเราจะทำไหวหรือ ทำไมต้องบ่นทำลายกันแบบนี้ ทำลายขวัญเจ้าหน้าที่ ทำลายขวัญกำลังใจกันเอง ทำไมไม่ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ที่ผ่านมามีการพัฒนากันไปตามลำดับทุกวันมีการเปลี่ยนแปลงเราต้องช่วยกันหาให้เจอ”

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิดทำให้เศรษฐกิจตกต่ำทั้งหมดทั่วโลก หลายคนมองแต่ประเทศไทยลองหันไปดูประเทศอื่นด้วยว่าได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจกันแค่ไหน เราต้องมีวิธีคิดแบบนี้ ถ้ามองเฉพาะใกล้ตัว ก็จะเห็นแต่ปัญหาของตัวเองโดยไม่รู้ว่าวิธีจะแก้ปัญหาในภาพรวมทำอย่างไร ถามแต่ว่าทำไม ไม่มีเงินแจกเงินช่วยถ้าคิดอยู่แค่นี้ก็ได้แค่นี้ ดังนั้นต้องคิดเหมือนรัฐบาลคิดว่าจะมีการทยอยดูแลคนของเราได้อย่างไรในช่วงเวลาต่าง ๆ ขณะเดียวกันต้องสร้างความเข้มแข็งด้วย อีกทั้งก็ต้องช่วยเหลือตัวเองควบคู่กันไปโดยต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มี ถ้าร่วมมือกันแบบนี้ทุกปัญหาจะลดลงประเทศชาติก็จะเดินหน้าต่อไปได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวช่วงต้นว่า เช้าวันนี้ถือเป็นวันที่สดใส วันนี้แม้ฟ้าจะครึ้มมีฝนตกจึงต้องระมัดระวังสุขภาพและความปลอดภัยต่างๆในช่วงพายุฤดูร้อน มีปริมาณฝนตกทั่วประเทศในช่วงระยะเวลาต่อไปนี้เป็นบางวัน ทุกคนต้องระมัดระวัง

“บิ๊กป้อม” คุ้มครองทรัพยากรทะเล ประชุม คกก. พอใจผลคืบหน้า ขอบคุณ ปชช.ร่วมปกป้องพะยูน โลมา ลดขยะทะเล เห็นชอบพื้นที่เพิ่มเติม อนุรักษ์ป่าชายเลน/ปะการัง อนุมัติเกณฑ์ชดใช้ค่าเสียหาย เสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ

เมื่อ 5 เมษายน 2564  พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบาย และแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. เข้าร่วมประชุม  ณ  ห้องประชุม 109  สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี

ทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งนับเป็นทรัพยากรทางธรรมชาติที่สามารถสร้างมูลค่าให้กับประเทศชาติได้ อย่างมหาศาล และกำลังเป็นกระแสสังคมระดับประเทศและระดับโลก ดังนั้นรัฐบาลจึงได้ให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์/รักษาความอุดมสมบูรณ์ อย่างดีที่สุด  ซึ่งการประชุมในวันนี้ ที่ประชุม ได้รับทราบการดำเนินงานคุ้มครองพื้นที่ ทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง ซึ่งผ่านการพิจารณาแล้วได้แก่หมู่เกาะกระ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช และแผนอนุรักษ์ พะยูนแห่งชาติ (ระยะที่ 1 พ.ศ.2563-2565)  จากนั้นที่ประชุม ได้เห็นชอบ(ร่าง)รายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลฯ และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ.2563  

โดยสรุป ระบบนิเวศทางทะเลมีแนวโน้มดีขึ้นทั้งป่าชายเลน และแนวปะการัง  คุณภาพน้ำทะเลร้อยละ 70 อยู่ในเกณฑ์ดี และเห็นชอบ(ร่าง)แผนปฏิบัติการด้านการจัดการปะการังระยะ 5 ปี(พ.ศ.2564-2568) โดยมีเป้าหมายแนวปะการัง 149,025 ไร่ รวมถึงเห็นชอบหลักเกณฑ์การคิดคำนวณมูลค่าความเสียหาย ที่เกิดจากการทำลายพื้นที่แนวปะการัง  นอกจากนั้นที่ประชุมยังได้เห็นชอบ ให้ออกกฎกระทรวงป่าชายเลน จ.ระยองและจ.ฉะเชิงเทรา ให้เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ ด้วย  สำหรับความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้ให้ความเห็นชอบ ความร่วมมือกับจีนในการตั้งศูนย์ปฏิบัติการวิจัยร่วมกัน  แผนปฏิบัติการภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเล รวมถึงการเสนอขอเป็นเจ้าภาพสำนักงาน Decade Coordination Office (DCO) ซึ่งเป็นองค์กรภายใต้ UNเพื่อการพัฒนาการศึกษาวิจัย ด้านมหาสมุทร

 

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ ทส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งรัดขับเคลื่อนแผนงานที่ได้ดำเนินการมาแล้วให้เสร็จสิ้นภายในกรอบเวลาที่กำหนด อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงประโยชน์เพื่อการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรทางทะเลฯ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสร้างการรับรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน พร้อมทั้งขอบคุณประชาชนที่ร่วมกันอนุรักษ์ และเห็นคุณค่าทรัพยากรทางทะเลฯ ทั้งป่าชายเลน/ปะการัง/สัตว์ทะเลหายากและลดปัญหาขยะทะเล ที่ผ่านมา เพื่อเก็บมรดกทางธรรมชาติบริสุทธิ์ เหล่านี้ไว้ให้ลูกหลานไทย สืบไป

“บิ๊กป้อม” เมิน “ตู่ จตุพร” ไล่ “ประยุทธ” ชี้ ไม่กระทบรัฐบาล ขู่อย่าทำผิดกม.

วันที่ 5 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ประกาศจัดชุมนุมต่อเนื่องเพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอ ชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะประกาศลาออกจากตำแหน่ง ว่า ต้องดูว่าการชุมนุมขัดขวางการจราจรหรือผิดกฎหมายหรือไม่

ผู้สื่อข่าวถามว่าการประกาศชุมนุมจนกว่าจะไล่พล.อ.ประยุทธ์ ออกไปได้ ถือเป็นเรื่องที่ใกล้หรือไกลความจริง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จะไปรู้ได้อย่างไร แล้วประชาชนว่าอย่างไร เรื่องนี้คงไม่กดดันอะไร หรือทำให้รัฐบาลทำงานลำบาก เมื่อถามว่าจะดูแลความสงบเรียบร้อยให้ประชาชน โดยไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องความปลอดภัยของประชาชน เราดูแลอยู่แล้ว

เลขา สมช.ฯ ปัด เคอร์ฟิวหลังสถานบันเทิงทำระบาดคลัสเตอร์ใหม่ ชี้ยังคงมาตรการเดิม แต่ให้หน่วยงานรัฐเข้ม เจอที่ไหนคุมเฉพาะจุด ไม่ให้กระทบปชช. .

วันที่ 5 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศปก.ศบค. กล่าวกรณีที่เกิดการระบาดใหม่จากสถานบันเทิงในพื้นที่ กทม. และเรือนจำ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นพื้นที่ปิด ทาง ศบค.จะปรับมาตรการรับมืออย่างไร ว่า 

วันนี้ได้เชิญทางกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาหารือและน่าจะทราบแนวทางว่าจะทำอย่างไรต่อไป และเวลานี้ยังไม่ต้องออกคำสั่งใดๆเพิ่มเติมเพราะในข้อกำหนดได้มอบอำนาจให้ส่วนงานต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่จะต้องมาฟังจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นหลักว่ามีความเห็นอย่างไร 

เมื่อถามว่ามาตรการที่ดูแลในเรือนจำที่มีอยู่ ยังไม่เพียงพอหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า เพียงพอ แต่อาจจะมีเล็ดรอดไปบ้าง ก็ต้องมานั่งดูและรับฟังการสอบสวนโรคจากทางกระทรวงสาธารณสุข ที่จะมาชี้แจงให้ทราบในวันนี้ 

เมื่อถามถึงการแพร่ระบาดจากสถานบันเทิงในกทม. ซึ่งใกล้กับช่วงเทศกาลสงกราสต์ จะต้องออกมาตรการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ เลขาฯสมช.กล่าวว่า เรามีข้อห่วงใยในเรื่องนี้โดยมาตรการที่สำคัญทางโฆษก ศบค.จะเน้นย้ำในเรื่องนี้อีกครั้ง 

เมื่อถามถึงกระแสข่าวลือไปถึงการเคอร์ฟิว ในเวลากลางคืน พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ให้นโยบายไว้อะไรที่กระทบต่อส่วนรวมและไม่มีความจำเป็น ก็ให้หลีกเลี่ยง เราจึงต้องมาคุยอย่างปราณีต ดูให้ละเอียด ไม่ใช่เหวี่ยงแหทั้งหมด เพราะจะทำให้คนไม่เกี่ยวข้องเดือดร้อนไปด้วย 

เมื่อถามว่าจะมีการทบทวนเวลาเปิดร้านอาหารหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น และในช่วงเทศกาลสงกรานต์ก็ยังดำเนินไปตามาตรการที่ออกมา โดยส่วนราชการต่าง ๆ ต้องลงไปกำกับดูแลกิจกรรมและกิจการต่าง ๆ ที่อยู่ในความผิดชอบ เพื่อให้มาตรการผ่อนคลายเดินไปได้ หากสถานการณ์แพร่ระบาดยังเป็นเช่นนี้ มั่นใจว่าอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้ โดยหน่วยงานรัฐต้องช่วยกันกำกับดูแล ซึ่งกิจกรรมที่ต้องดูช่วงนี้ ก็คือการจัดงานสงกรานต์ การท่องเที่ยว และกิจกรรมที่รวมคนจำนวนมาก 

เมื่อถามว่าหากสถานการณ์ยังเป็นไปเช่นนี้จะมีผลต่อการระยะการกักตัวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะเข้ามาหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ยังไม่มีผล และเราจะดูเป็นพื้นที่ไป หรือ บับเบิ้ลแอนด์ซีล คือการจำกัดพื้นที่ ไม่ใช่ว่าพบเจอกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง และประกาศเป็นภาพรวมไปทั้งหมด อย่างนั้นทำให้ประชาชนไม่เกี่ยวข้อง ได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้นต้องแก้ปัญหาเป็นจุด ๆ รายพื้นที่ไป เวลานี้ยังไม่มีการเสนอคำสั่งใด ๆ ออกมานายกรัฐมนตรีลงนาม

“เทพไท” หนุนสุดตัว 3 พรรคร่วมรัฐบาล ตัด ม.272 ตัดหางพรรคแกนนำ เปรียบงาช้างไม่งอกจากปากสุนัข

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การประชุมร่วมของ 3 พรรคการเมืองร่วมรัฐบาล คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ในวันนี้ว่า ตนเห็นด้วยกับแนวทางของ 3 พรรคร่วมรัฐบาล ที่ต้องการจะผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เพื่อตัดอำนาจสมาชิกวุฒิสภา ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหลักประชาธิปไตยที่บิดเบี้ยว จากหลักประชาธิปไตยสากล เพราะสมาชิกวุฒิสภาไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. กลับมีสิทธิ์โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเหมือนกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง 

การคงอยู่ของมาตรา 272 ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสืบทอดอำนาจของ คสช. ผ่านรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นความ อัปยศมากที่สุด ของการปกครองในระบบประชาธิปไตย ถ้าหากพรรคการเมืองใด ยังมีจุดยืนให้คงมาตรา 272 ไว้ ก็แสดงว่าพรรคการเมืองนั้น ยังต้องการให้คงไว้ซึ่งการสืบทอดอำนาจ และรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยต่อไป

ผมขอสนับสนุนให้พรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรค เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยตัดอำนาจของสมาชิกวุฒิสภา ตามมาตรา 272 ออกไป แม้ว่ามีพรรคการเมืองบางพรรค จะคัดค้านหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม  ก็ไม่ควรคาดหวังจากพรรคการเมืองพรรคนั้นเหมือนคำพังเพยที่กล่าวว่า “งาช้างไม่งอกจากปากสุนัข” ฉันใดก็ฉันนั้น

‘บิ๊กตู่’ เดือด! ด่ายับโควิดไม่จบเพราะมีพวกไม่มีจิตสำนึก ‘หวัง’สงกรานต์จะดีขึ้นแต่ยังมีคนฝ่าฝืนกรอบกติกา ยัน!ถ้ารวมใจคนทั้งชาติไม่ได้ปัญหาก็จะมีแบบเดิม

วันที่ 5 เมษายน 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ เพื่อบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดยกล่าวช่วงหนึ่งถึงสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด)ว่า ที่ผ่านมาเราสามารถทำได้ดีและถือว่าดีมากในอันดับต้นของโลกซึ่งเราต้องทำให้ดีมากขึ้นกว่านี้ทั้งส่วนราชการ รัฐบาล และทุกคนที่ช่วยกันอย่างเต็มที่แต่ทุกอย่างต้องยอมรับว่าก็ต้องมีปัญหาบ้าง 

เนื่องจากเรามีจำนวนประชากรจำนวนมากมีทั้งเรื่องความแตกต่างทางความคิด การยับยั้งช่างใจ หรือความสนุกสนานอย่างเลยเถิด เพราะนี่คือมนุษย์ หรือคน ที่อยู่ในโหล มันก็วุ่นกันไปหมดเพราะต่างคนต่างมีความคิด จึงอยากขอหรอกว่าหากจะแสดงความคิดก็ขอให้เป็นดนตรีสร้างสรรค์ ในทางที่ไม่ขัดแย้ง ทุกคนที่เป็นคนไทยคุณเป็นแบบนี้ แต่ถ้ามีความขัดแย้งก็แก้ไขปัญหากันไปในช่องทางที่มีอยู่ ไม่ใช่ช่องทางที่ไม่ควรจะใช้  จนทำให้เกิดปัญหาอีกตามมาจำนวนมากเช่นการหยุดเชื้อไวรัสโคโรนา รองรับประกาศที่ดีแต่ก็ยัง ไม่ได้ 100% 

“รัฐบาลคาดหวังว่าในช่วงสงกรานต์ทุกคนจะมีความสุข แต่มันก็เกิดขึ้นมาอีกจนได้ เพราะนี่คือคน ต่อให้มีมาตรการอะไรออกมาก็ตามแต่เมื่อคนไม่ปฏิบัติตาม ยังไม่มีจิตสำนึกในความรับผิดชอบร่วมกัน ก็จะเป็นแบบนี้นั่นแหละ มันเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นในช่วงนี้มาก ๆ ในการรวมพลังไทยทั้งชาติ ทั้งในแง่ของประเทศชาติปลอดภัย ดับทุกข์ภัยทุกเรื่อง หลาย ๆ เรื่องก็โทษกันไปมา โทษรัฐบาลทั้งเรื่องอุบัติเหตุ การเสียชีวิต การสูญเสียทรัพย์สิน ก็โทษแต่เจ้าหน้าที่อยู่นั่น เจ้าหน้าที่มีหน้าที่ในการช่วยเหลือดูแลโดยเฉพาะการติดตามการใช้กฎหมาย แต่ต้องยอมรับว่ามีการเล็ดลอดทุกอย่าง มีการฝ่าฝืนมาตรการต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นมา มันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกหรือ ทุกอย่างจะต้องแก้ตรงนี้ แก้ให้ทุกคนมีจิตสำนึก ว่าเราจะร่วมมือกันในการแก้ปัญหาตรงนี้ได้อย่างไร เพราะไม่ว่าเราจะออกกฏหมายมากี่ฉบับก็ตาม ต่อให้มีกฎระเบียบมีคนคุมหรือใช้กฎหมายรุนแรงต่าง ๆ 

ก็ไม่สามารถทำได้ถ้าเรารวมใจคนไทยทั้งชาติไม่ได้ ด้วยแรงศรัทธาด้วยความรักประเทศชาติ เราทุกคนรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางภาวะเศรษฐกิจเกิดจากหลายอย่างเราต้องเดินหน้าไปสู่ชีวิตวิถีใหม่ โดยการปรับวิธีคิดร่วมกัน ต้องร่วมกันคิด ร่วมกันทำและเดินไปข้างหน้าแต่ก็ยังมีคนบางคนก็ยังตั้งคำถามว่าเราจะทำไหวหรือ ทำไมต้องบ่นทำลายกันแบบนี้ ทำลายขวัญเจ้าหน้าที่ ทำลายขวัญกำลังใจกันเอง ทำไมไม่ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ที่ผ่านมามีการพัฒนากันไปตามลำดับทุกวันมีการเปลี่ยนแปลงเราต้องช่วยกันหาให้เจอ 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิดทำให้เศรษฐกิจตกต่ำทั้งหมดทั่วโลก หลายคนมองแต่ประเทศไทยลองหันไปดูประเทศอื่นด้วยว่าได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจกันแค่ไหน เราต้องมีวิธีคิดแบบนี้ ถ้ามองเฉพาะใกล้ตัว ก็จะเห็นแต่ปัญหาของตัวเองโดยไม่รู้ว่าวิธีจะแก้ปัญหาในภาพรวมทำอย่างไร ถามแต่ว่าทำไม ไม่มีเงินแจกเงินช่วยถ้าคิดอยู่แค่นี้ก็ได้แค่นี้ ดังนั้นต้องคิดเหมือนรัฐบาลคิดว่าจะมีการทยอยดูแลคนของเราได้อย่างไรในช่วงเวลาต่าง ๆ ขณะเดียวกันต้องสร้างความเข้มแข็งด้วย อีกทั้งก็ต้องช่วยเหลือตัวเองควบคู่กันไปโดยต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มี ถ้าร่วมมือกันแบบนี้ทุกปัญหาจะลดลงประเทศชาติก็จะเดินหน้าต่อไปได้ 

นายกรัฐมนตรี กล่าวช่วงต้นว่า เช้าวันนี้ถือเป็นวันที่สดใส วันนี้แม้ฟ้าจะครึ้มมีฝนตกจึงต้องระมัดระวังสุขภาพและความปลอดภัยต่าง ๆในช่วงพายุฤดูร้อน มีปริมาณฝนตกทั่วประเทศในช่วงระยะเวลาต่อไปนี้เป็นบางวัน ทุกคนต้องระมัดระวัง

"แรมโบ้" ยืนยัน บิ๊กตู่ ทำงานเพื่อชาติ ประชาชน ไม่เคยเล่นการเมือง จี้! พวกคิดร้าย หยุดก่อม็อบ

เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกฯและรัฐบาลไม่เคยหยุดนิ่งที่จะเดินหน้าพัฒนาประเทศ ให้พี่น้องประชาชนอยู่ดีกินดี ที่ผ่านมานายกฯได้ทำงานให้พี่น้องประชานไม่เคยหยุด และไม่มีเวลาที่จะมาเล่นการเมือง หรือทำอะไรให้เกิดความขัดแย้งกับใคร ในทางกลับกันมีแต่กลุ่มที่เห็นต่าง ไม่ชอบนายกฯและรัฐบาล หรือกลุ่มที่อยากเข้ามาเป็นรัฐบาล สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นเอง 

"ขอให้คนที่คิดร้ายไม่หวังดีทั้งหลายทั้งต่อนายกฯ ต่อประเทศชาติบ้านเมือง ได้หยุดพฤติกรรมปลุกระดมมวลชน หยุดก่อม็อบ เพราะไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น และให้หันหน้ามาร่วมมือกันทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข นำพาประเทศก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ไปให้ได้ มั่นใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศก็ต้องการให้หยุดการเคลื่อนไหวต่างๆที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ต่อประเทศ และอยากให้ทุกฝ่ายกลับตัวกลับใจมาช่วยกันทำงานเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เพื่อความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของชาติบ้านเมืองต่อไป"

"แรมโบ้" ขุดอดีต แฉ "ตู่-เต้น" ข่มขู่ "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์" ซัด! ผู้มีบารมีตัวจริง

เมื่อวันที่ 5 เมษายน นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่นายจตุพร พรหมพันธ์ุ ประธาน นปช. กล่าวปราศรัยถึงตนเองนั้นเป็นเท็จ คนที่ต่อรองเรียกผลประโยชน์ และเอาตำแหน่งทางการเมืองได้ทุกอย่าง ทุกเรื่อง พี่น้องคนเสื้อแดงรู้ดีว่าคือ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ กับนายจตุพร พรหมพันธ์ุ เพราะที่บ้านทั้งสองคนในสมัยนั้นมีข้าราชการวิ่งหาหัวบันไดไม่เคยแห้ง เป็นผู้มีบารมีคับฟ้าตัวจริง ที่นายทักษิณ นางสาวยิ่งลักษณ์ต้องง้อเอาใจทุกอย่าง เพราะกลัวจะพาคนเสื้อแดงหนีไปตั้งพรรคใหม่ ไม่ช่วยพรรคเพื่อไทย จนทำให้บรรดา สส.พรรคเพื่อไทยหลายคนอึดอัดที่ยอมตามใจแกนนำสองคนนี้ทุกอย่าง พรรคเพื่อไทยกลายเป็นพรรคของนายจตุพรและนายณัฐวุฒิ สั่งการได้ทุกอย่างทำตัวยิ่งกว่าเจ้าของพรรค

นายเสกสกล กล่าวว่า นายจตุพรอย่าได้นำความเท็จมาใส่ร้ายป้ายสีตนว่าอยู่ที่ไหนหัวหน้าตายหมด เพราะคนอย่างตนไม่เคยเรียกร้องหรือข่มขู่นายทักษิณและนางสาวยิ่งลักษณ์ว่าอยากได้ตำแหน่ง ถ้าไม่ได้ดังใจจะแยกออกมา ตั้งพรรคคนเสื้อแดงข่มขู่ตลอด จนนายทักษิณ นางสาวยิ่งลักษณ์ต้องยอมตามใจทุกอย่างให้นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อเป็นรมช.ถึงสองกระทรวง และให้นายจตุพร และนายณัฐวุฒิอยู่ลำดับบัญชีต้น ๆ ของสส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย  และยังสามารถกำหนดว่าแกนนำเช่น นพ.เหวง โตจิราการ และคนอื่นมีลำดับที่ดี ๆ และมีตำแหน่งทางการเมืองตามความต้องการของสองคนนี้ได้ทุกตำแหน่งคนในพรรคเพื่อไทยยุคนั้นอึดอัดจนลาออกไปหลายคน สองคนนี้คือผู้มีอิทธิพลตัวจริงที่ทำให้พรรคเพื่อไทยไร้จุดยืนและตกต่ำมาจนทุกวันนี้

นายเสกสกลกล่าวว่า ซึ่งคนเสื้อแดงทุกคนรู้ดีว่า แกนนำสู้เพื่อผลประโยชน์ตนเอง นี่คือการข้ามศพคนเสื้อแดงนับร้อยศพเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองเพื่ออำนาจของตนทำให้คนเสื้อแดงรู้ทันแกนนำเหล่านี้จึงเริ่มถอยออกไปเรื่อย ๆ เริ่มไม่เชื่อแกนนำนปช.อีกต่อไป อย่างนี้จะเรียกว่า หลอกคนเสื้อแดงมาตายเพื่อเซ่นตำแหน่งให้กับแกนนำนปช.เหล่านี้

"คนที่ขู่และสั่งนายทักษิณและนางสาวยิ่งลักษณ์ได้คือสองคนนี้เท่านั้น เพราะกลัวแยกไปตั้งพรรคใหม่ จึงสามารถชี้นิ้วบันดาลความต้องการได้ทุกอย่างในพรรคเพื่อไทย อย่าให้ตนต้องพูดต้องแฉอะไรไปมากกว่านี้เลยมันจะอับอายพี่น้องอดีตคนเสื้อแดง อายดวงวิญญาณนับร้อยศพที่สองคนนี้ข้ามศพไปรับตำแหน่งใหญ่โตคับฟ้าเป็นถึงสส.และเสนาบดี ประเดี๋ยวดวงวิญญาณคนเสื้อแดงจะตายอย่างไม่สงบ" นายเสกสกลกล่าว

"อย่างนี้จะเรียกว่า นายทักษิณ นางสาวยิ่งลักษณ์ตายเพราะผมได้อย่างไร ในเมื่อสองเกลอหัวแข็งสองคนนี้มีอำนาจสั่งการได้ทุกอย่าง ผมไม่มีอำนาจหรือไปสั่งการอะไรได้เลย ลองเดินเข้าไปคุยกับนางสาวยิ่งลักษณ์อย่าเอาพรบ.นิรโทษสุดซอยเข้าสู่สภาฯเลยเพราะจะทำให้รัฐบาลพังเร็ว ด้วยความหวังดี  ยังไม่เห็นเชื่อฟังแถมยังถูกนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หรือเจ้แดง ได้ต่อว่าผมไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะจะพานายทักษิณกลับบ้าน ไล่ผมออกจากห้องไปเลย ผมจะไปมีอำนาจสั่งการอะไรได้ดังเช่นสองเกลอหัวแข็งผู้มีบารมีและมีอิทธิพลมากที่สุดในพรรคเพื่อไทยยุคนั้น" นายเสกสกลกล่าว

“ศรีสุวรรณ” จี้! บิ๊กตู่ เปิดใช้มอเตอร์เวย์โคราช ทั้งที่ค้างจ่ายค่าเวนคืนชาวบ้าน ขู่ ร้อง ป.ป.ช.

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้โพสต์เฟซบุ๊กแจ้งว่าได้สั่งการเพิ่มเติม ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคมเร่งรัดจัดการมอเตอร์เวย์บางปะอิน - โคราช เพื่อให้อย่างน้อยเราสามารถเปิดเส้นทางบางช่วงให้ประชาชนใช้สัญจรได้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งจะช่วยบรรเทาความหนาแน่นของการจราจร และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนได้ในช่วงเทศกาลที่มีประชาชนจำนวนมากออกเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือเดินทางไปท่องเที่ยว

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ความห่วงใยของนายกฯ ต่อการเดินทางของประชาชนเป็นเรื่องที่ดี แต่ท่านจะทราบหรือไม่ว่า นับตั้งแต่ท่านนายกฯใช้อำนาจออก พรฎ. เวนคืนที่ดินฯเพื่อก่อสร้างเส้นทางดังกล่าวมาแล้ว 2 ครั้งคือ ตั้งแต่ 26 เมษายน 2556 และ 31 พฤษภาคม 2560 จวบจนปัจจุบันกว่า 9 ปีแล้ว กรมทางหลวงและหรือกระทรวงคมนาคม ยังจ่ายค่าเวนคืนที่ดินให้กับชาวบ้านยังไม่หมดและยังไม่ครบเลย ทั้ง ๆ ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ขัดขืน ไม่นำคดีไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองแต่อย่างใด แต่จนบัดนี้เขาเหล่านั้นก็ยังไม่ได้รับเงินค่าเวนคืนเลย ถือได้ว่าเป็นการทำงานที่เช้าชามเย็นชามที่ชุ่ยมาก

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การที่นายกฯพยายามจะสร้างภาพโดยสั่งการให้เร่งเปิดใช้มอเตอร์เวย์สายดังกล่าวในบางช่วงในข่วงเทศกาลสงกรานต์นี้นั้น ถือเป็นการเยอะเย้ยดูหมิ่นเจ้าของที่ดินและหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ได้รับเงินค่าเวนคืนโดยตรง และไม่มีความละอายใจในการใช้อำนาจดังกล่าวเลย ความรู้สึกของเจ้าของที่ดินเขาจะคิดอย่างไร เมื่อที่ดินของตนถูกรัฐใช้อำนาจทางกฎหมายยึดไปสร้างมอเตอร์เวย์ให้คนใช้ ให้นายทุนมาประมูลเก็บเงิน แต่ตนเองยังไม่ได้รับเงินค่าเวนคืนเลย และต้องไร้ที่ดินทำกิน จะหาที่ดินใหม่มาทำกินก็ไม่ได้เพราะไม่มีเงิน และราคาที่ดินก็แพงขึ้นทุกวัน เงินค่าเวนคืนก็ไม่รู้จะได้เมื่อไหร่


 

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจึงทำหนังสือร้องไปยังนายกรัฐมนตรี กับรมว.คมนาคม และอธิบดีกรมทางหลวง ให้เร่งเคลียร์เงิน จ่ายเงินให้กับเจ้าของที่ดินเสีย ก่อนที่จะเปิดใช้บางส่วนในช่วงสงกรานต์นี้ ไม่เช่นนั้นสมาคมฯและชาวบ้านคงต้องนำความไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.หรือฟ้องศาลปกครองเพื่อระงับการเปิดใช้เส้นทางดังกล่าวไว้พรางก่อน จนกว่าจะจ่ายเงินให้กับชาวบ้านเสียก่อน 

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2564

ศาลปกครอง เพิกถอนคำสั่ง ‘คลัง’ เรียกเงิน ‘ยิ่งลักษณ์’ จ่ายชดเชยทุจริตจำนำข้าวจำนวน 3.5 หมื่นล้าน ระบุ เป็นการทุจริตในระดับปฏิบัติ มีหลายส่วนราชการเกี่ยวข้อง

ศาลปกครองกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จ่ายค่าชดเชยสินไหมในโครงการรับจำนำข้าว เนื่องจากเห็นว่าคำสั่งของกระทรวงการคลังเป็นคำสั่งมิชอบ เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่บุคคลเพียงคนเดียวที่มีอำนาจสั่งการ แต่เป็นการดำเนินการผ่านคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกทั้งยังมีส่วนราชการอื่นๆที่ร่วมพิจารณาด้วย

ศาลฯ ได้รวมพิจารณา 4 คดีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามี ยื่นฟ้อง นายกรัฐมนตรี, รมว.คลัง, รมช.คลัง, ปลัดกระทรวงการคลัง, สำนักนายกรัฐมนตรี, กระทรวงคลัง, กรมบังคับคดี, อธิบดีกรมบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร

เนื่องจากถูกเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 3.57 หมื่นล้านบาท จากการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีและประธาน กขช. ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยังความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการ

โดยศาลพิจารณาแล้ว แม้ฟังได้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น การตรวจสอบคุณสมบัติเกษตรกร การลักลอบนำเข้าข้าวจากต่างประเทศมาสวมสิทธิ การเก็บรักษาที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งการทุจริตดังกล่าวเกิดขึ้นในระดับปฎิบัติการที่มีเจ้าหน้าที่หลายคนเกี่ยวข้อง แต่การสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดกลับไม่ได้มีการดำเนินสอบสวนให้ได้ว่าเจ้าหน้าที่คนใดควรต้องรับผิดเป็นจำนวนเท่าใดจากการทุจริต

อีกทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี รับรู้เฉพาะขั้นตอนการทำเอ็มโอยูเพื่อให้มีการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ แต่ในส่วนการทำสัญญาระบายข้าวไม่ได้เกี่ยวข้อง ส่วนการเป็นประธาน กขช.ก็เข้าประชุมครั้งแรกเพียงครั้งเดียว และมีมาตรการตรวจสอบทุจริตเรื่อยมา จึงไม่ใช่การกระทำที่จงใจปล่อยให้เกิดการทุจริต และไม่ยับยั้งหลังมีหน่วยงานท้วงติง เนื่องจากเป็นการกำกับดูแลของ กขช. ที่มีหลายส่วนราชการ

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังรับว่าไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้กระทำให้เกิดความเสียหายโดยตรง และขั้นตอนการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบสวนความรับผิดทางละเมิดก็ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด

ขณะเดียวกัน โครงการรับจำนำเป็นนโยบายสาธารณะที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา ไม่ใช่นโยบายแสวงหากำไร จึงไม่สามารถประเมินเรื่องความคุ้มค่าจากผลกำไรขาดทุน การคิดคำนวณความเสียหาย โดยไม่หักรายได้จากการระบายข้าวในอนาคต หรือสินค้าเหลือคงคลัง

ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ‘สามารถ เจนชัยจิตรวนิช’ เย้ย ‘ปิยะบุตร’ เปรียบดัง ‘มวยไม่มีราคา ม้าไม่มีชั้น’ ไม่ให้ราคา ปมล่า 1 ล้านรายชื่อ รื้อระบอบประยุทธ์ ชี้สุดสงสาร ยิ่งนานวันคนติดตามยิ่งน้อยลง

นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” ว่า ตนได้รับข้อมูลจากพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ส่งมาให้กรณี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ต้องการที่จะล่ารายชื่อ 1 ล้านรายชื่อ เพื่อ "ขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์" ในวันที่ 6 เม.ย.64 โดยตนคิดว่าคนอย่าง นายปิยบุตร เป็นคนไม่มีราคา ไม่มีค่าพอที่จะให้ความสำคัญ และคงไม่มีใครบ้าจี้ไปลงชื่อเพราะกลัวว่าในอนาคตอาจจะต้องเดือดร้อนหรือติดคุกตามไปด้วย

“ทั้งนี้ ผมก็อยากตั้งโต๊ะล่ารายชื่อเพราะมั่นใจว่าจะได้รับเสียงจากประชาชนเพราะทุกวันนี้ก็มีชาวบ้านเสนอมาว่าให้ช่วยบอก นายปิยบุตร ออกนอกประเทศไปเสียที หากมีการตั้งโต๊ะล่ารายชื่อนายปิยบุตรจริง คาดว่าคงมีคนเกือบทั้งประเทศที่จะออกมาลงชื่อขับไล่ นายปิยบุตร ออกนอกประเทศ แต่จริงแล้วไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจที่จะขับไล่ใครคนใดออกนอกประเทศจริง มีแต่คนที่ไม่อยากอยู่บ้านไหนก็สามารถเดินทางไปบ้านอื่นได้ ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา หากไม่พอใจกฎหมายรัฐหรือเมืองไหนก็สามารถย้ายถิ่นฐานไปอยู่รัฐอื่นได้”

นายสามารถ เผยอีกว่า นายปิยบุตรก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่พอใจกฎหมายในประเทศไทย ไม่พอใจระบบสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของประชาชนทั้งประเทศ นายปิยบุตรก็ควรเดินทางออกไปนอกประเทศ ไปอยู่ประเทศที่อยากจะอยู่แต่ไม่รู้ว่าประเทศนั้นๆ เขาอยากจะให้ นายปิยบุตร อยู่หรือไม่เพราะกลัวว่าอาจจะไปเผาบ้านเมืองเขาอีก โดยตนขอยกคำโบราณว่า "เกิดเป็นคนต้องรู้จักสำนึกบุญคุณ ชีวิตไม่มีทางมืดมน มีแต่จะรุ่งโรจน์เฟื่องฟู" ที่ยกขึ้นมาก็เพื่อเตือนสติ นายปิยบุตร อีกทั้ง ทุกวันนี้ตนรู้สึกสงสาร นายปิยบุตร เพราะยิ่งนานวัน คนที่เดินตามยิ่งน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกตั้งเทศบาลหรือท้องถิ่นที่ผ่านมา ทีมของคณะก้าวหน้าก็ได้แค่ 10 เทศบาลเท่านั้นจากทั้งหมด 2,472 แห่ง คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์เสียด้วยซ้ำ

นายสามารถ เผยต่อว่า การที่ นายปิยบุตร จะมาขอรายชื่อไล่ระบอบประยุทธ์นั้น ขอยืนยันว่าประเทศไทยไม่มี “ระบอบประยุทธ์” ประเทศไทยมีแต่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งคนไทยเทิดทูนไว้เหนือเกล้า เพราะคนไทยรักสถาบันพระมหากษัตริย์ และวันที่ 6 เม.ย. ตรงกับวันจักรี ซึ่งพ่อแม่พี่น้องประชาชนจะรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ และในวันที่1 เม.ย. คือตรงกับวันเลิกทาส สมัยรัชกาลที่ 5 อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านรู้ทัน นายปิยบุตร กันหมดฝากบอกมาว่า “มวยไม่มีราคา ม้าไม่มีชั้น” เหตุจากผลการเลือกตั้งล่าสุดคงจะชัดเจนแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top