Wednesday, 2 July 2025
POLITICS

เดินหลง...ในดงโซเชียล By รัตนา & โกสินทร์

วันนี้มีเรื่องบ่นเยอะ!! เริ่มละนะ

1.) แปลกมั้ย!! มาวันนี้ ร้องระงมกัน ว่าอยากให้ล็อกดาวน์ แต่ก็มีเสียงแย้งว่า ถ้าล็อกแล้วไม่มีกินจะทำไง พอจะแจกเงินอีก ก็มีคนว่า ใช้ภาษีมั่วซั่วอีกแล้ว ไม่ต้องแจก หาวัคซีนมาเร็ว ๆ จะตายกันหมดแล้ว แต่ต้องเยียวยาด้วย!!!

2.) ใครเดินทางไปเยี่ยมญาติ โดนบังคับให้กักตัวก็อารมณ์เสีย กักตัวอยู่บ้านไม่สะดวก ลำบากมาก (เอียงคอ...งง) ต้องออกจากบ้านได้สิ ยอมเจ็บแต่จบ? (จบอะไร จบชีวิตเหรอ?)

3.) พอเค้าบอกยาขาด ก็บอกไม่รู้จักสต็อก...จ้า!!! พ่อคุณ!!! เล่นแรดกันไม่ระวังตัว 'ระบาด' เพิ่มเป็นหมื่น ในไม่กี่วัน ใครจะรับมือไหว หันไปมองต่างบ้านต่างเมืองเถอะ เค้าให้นอนดูอาการตัวเองที่บ้าน แต่คนไทยเราตรวจเชื้อตอนเช้า ตกบ่ายตกค่ำไปแดนซ์ไปเที่ยวกินดื่มเหมือนไม่มีอะไร

4.) รัฐบาลประกาศอะไรออกมา ก็บอกไม่ชัดเจน ฟังแล้วสับสน? ตรงนี้อาจจะจริง บ่นกันขรมทั้งเมืองเสมอ ไม่รู้ 7 ปีที่ผ่านไป เอาแต่แต่งเพลงหรือเปล่า จริง ๆ อย่าแถลงเลย แต่งเป็นเพลงดูสิ เผื่อจะช่วยให้คนเข้าใจอะไรง่ายขึ้น

5.) ตอนที่ ตัวเลข คนติดเชื้อน้อยก็บอกปิดบัง พอตัวเลขเยอะ ก็บอกไร้ประสิทธิภาพล้มเหลวในการทำงาน เหมือนเด็ก ๆ ที่ร้องหาประชาธิปไตยบอกว่า ต้องทำอย่างอังกฤษ ที่ตอนนี้มีชุดตรวจโควิด-19 ด้วยตัวเองส่งมาถึงบ้าน แต่อยากได้ความเด็ดขาดแบบจีน (คอมมิวนิสต์) มาจัดการ พวกคนไม่รับผิดชอบต่อสังคม

6.) ตอนหน้ากากไม่พอ ก็บอกว่าไม่จัดหาให้ไว แต่พอมีเพียงพอก็ไม่ใส่ไม่สวม หรือ เห็นกันทั่วไปว่าเอาหน้ากากมาแปะใต้คาง คนไทยเข้าใจยากจริง ๆ ด่าว่าทุกอย่างแต่ไม่สำรวจตัวเอง

7.) ล่าสุดบ่นกันเรื่องเตียงไม่พอ ทั้ง ๆ ที่มีเตียง “รพ.สนาม” ว่าง อยู่อีกเยอะ แต่เอาเข้าจริง อยากนอน รพ. จริง ๆ แบบผู้ป่วยหนัก แถมออกมาขอความช่วยเหลือทางโซเชียล ออกคลิปออกไลฟ์สดกัน

จริง ๆ แล้ว เรื่องนี้อยากแยกย่อยให้เข้าใจปัญหาตรงนี้สักหน่อยว่า จำนวนรถพยาบาลขนส่งที่มีมาตรฐาน ปลอดภัยต่อเจ้าหน้าที่ลำเลียง มันไม่เพียงพอ เพราะถ้าอยากให้ไว เกิดเค้าเอารถเมล์มาวิ่งรับ ถามตรง ๆ จะอยากขึ้นกันไหม ขนาด รพ.สนาม ยังไม่อยากนอน

เช่นเดียวกัน จะว่าไป คนไทยเราใช้โซเชียลกันเกินขอบเขต อย่างเคสนักเล่นเกมส์ ที่เสียชีวิต แล้วทางเพื่อน ๆ ต่างออกมาโทษการทำงานของรัฐ เพราะรัฐไม่รีบรับตัวมารักษาปล่อยให้เพื่อนเค้าตาย เลยไปดูไทม์ไลน์ ที่เหลือในเฟซบุ๊ก คือเค้าไปเที่ยวที่ทองหล่อ อยู่ในคลัสเตอร์ รัฐเค้าก็ประกาศให้รีบออกมาตรวจหาเชื้อกันตั้งแต่ต้นเดือน ตรงนี้ก็ไม่มีการออกมาบอกว่าได้ไปตรวจตามที่เค้าเรียกไหม?

จะด้วยอะไรก็ตาม พอทราบว่าคนที่เค้าใกล้ชิดติดเชื้อ ก็ทำการกักตัวเองตั้งแต่ วันที่ 12-17 เมษายน โดยบอกว่าไม่มีโควต้า รพ.ไหนให้เค้าเข้าตรวจ? พอวันที่ 21 เข้าแอดมิด พบว่าเชื้อลงปอดแล้ว ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ จนมาถึงวันที่ 24 เค้าก็ได้เสียชีวิตลง

จากไทม์ไลน์ดังกล่าว ถ้าคิดเป็นนะ!! คนเป็นเพื่อนไม่ควรใช้การตายของเพื่อนออกมาโหนบ่นด่าโทษการทำงานของรัฐเลยจริง ๆ !!!

แต่อย่างไรเสีย ก็ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต มา ณ ที่นี้ด้วย

ทั้ง 7 เรื่องที่นำมาเล่าทั้งหมดยืดยาวในช่วงเวลาคาบเกี่ยว 2-3 วันนี้ ก็แค่อยากให้มองความจริง มองเหตุผล ก่อนใช้อารมณ์ความรู้สึก เพราะปัจจุบัน มีการโทรแจ้งเข้ามาเรื่องรอการมารับ หลายร้อยรายต่อวัน แต่จงเชื่อเหอะว่าเจ้าหน้าที่เค้าทำดีที่สุดแล้ว

อีกเรื่องสำคัญ คือ คุณจะชอบรัฐหรือไม่ แต่ความร่วมมือนั้นสำคัญ รัฐประกาศอะไร เมื่อเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงควรรีบให้ไปตรวจโดยไว

สุดท้าย อย่าหลงเชื่ออะไรง่าย ๆ ในโลกโซเชียล เหมือนนักข่าวไทยพีบีเอสที่รายงานข่าวเครื่องบินเช่าเหมาลำจากอินเดีย กระโดดลอดห่วง งับข่าวปลอมเสียจมเขี้ยว...

เฟคนิวส์เริ่มเยอะ!!

“อนุทิน” เผย แอสตร้าฯ ชมการผลิตวัคซีนสยามไบโอไซเอนซ์ ได้มาตรฐาน ผ่านการตรวจสอบจากนานาชาติแล้ว

เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า วันนี้ตนได้เข้าประชุมร่วมกับผู้แทนจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อติดตามความคืบหน้าของการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยวัคซีนแอสตร้าฯ ที่ผลิตในประเทศไทย ผ่านการตรวจสอบคุณภาพผลิตในต่างประเทศแล้ว อาทิ สก็อตแลนด์ เบลเยี่ยม สหรัฐอเมริกา 

“ทางบริษัทแอสตร้าฯ ได้กล่าวชื่นชมมาตรฐานการผลิตของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ โดยการผลิตแต่ละขั้นตอนเป็นไปตามคุณภาพที่กำหนด และกล่าวไว้ว่า Asean countries can only rely on Siam Bioscience for AstraZeneca ที่มีความหมายว่า สยามไบโอไซเอนซ์ เป็นแหล่งผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าสำหรับทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียน เป็นสิ่งที่เราต้องภาคภูมิใจ” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวว่า ตามสัญญาจัดซื้อจัดหาวัคซีนระหว่างบริษัทแอสตร้าฯ และกรมควบคุมโรค ระบุว่าจะส่งให้ประเทศไทยในเดือน มิ.ย. แต่ทางไทย ขอต่อรองฯ ให้ส่งเร็วขึ้น ซึ่งทางแอสตราฯ ได้รับพิจารณา และจะหาทางช่วย ทั้งนี้ การรับถ่ายทอดเทคโนโลยี บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ สามารถทำได้ภายใน 5-6 เดือนจากเดิมที่ต้องใช้ประมาณ 24 เดือน ซึ่งถือว่าเร็วมากและนับเป็นความสามารถของผู้ผลิต

นายอนุทิน กล่าวว่า นอกจากนี้เราได้เจรจาถึงเรื่องสัดส่วนที่จะมีการนำวัคซีนแอสตร้าฯ ที่ผลิตในไทยส่งให้กับโครงการโคแวกซ์และประเทศในอาเซียนว่า ประเทศไทยต้องได้รับความสำคัญ ได้รับการจัดสรรให้มากที่สุดก่อน แต่ยืนยันว่า จะไม่กระทบกับยอดการสั่งซื้อวัคซีนที่จะนำไปฉีดเพื่อคนไทยอย่างแน่นอน และเพราะโรงงานผลิตตั้งอยู่ในประเทศไทย จึงสามารถลดขั้นตอนการขนส่งและจัดเก็บได้ โดยก่อนจะนำไปฉีดให้ประชาชน ก็ผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของทุกคน

ทบ. แจงเหตุจำเป็นด้านความมั่นคง ต้องซื้อยุทโธปกรณ์ หลังงบได้รับอนุมัติผ่านสายบังคับบัญชา-รบ.มาแล้ว ขณะที่ “บิ๊กบี้” กำชับหน่วย งบอะไรช่วยโควิดได้ ขอให้พิจารณาปรับ

เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2564 พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวชี้แจงถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพบกที่ยังมีอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ว่า ภาพรวมเจตนาการใช้งบประมาณของกองทัพบก คือจะต้องใช้งบประมาณตามที่ได้รับการจัดสรรให้ดีที่สุด โดยล่าสุดพล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้กำชับทุกหน่วยทหารว่างบประมาณอะไรที่สามารถปรับมาใช้ เพื่อช่วยเหลือประชาชนได้ก็ขอให้พิจารณา แต่อะไรที่เป็นเรื่องของการดำรงความพร้อมทางด้านความมั่นคงของประเทศ และมีความจำเป็น รวมถึงผ่านการเห็นชอบในระดับสายการบังคับบัญชาและรัฐบาลแล้ว คงจำเป็นต้องเดินหน้า ภายใต้ข้อผูกพันธ์ต่างๆที่มี ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเสริมสร้างความพร้อมรบ ความแข็งแกร่ง และศักยภาพความมั่นคงของประเทศในภาพรวม แต่ยังไม่ขอลงในรายละเอียดในแต่ละโครงการ

เมื่อถามถึงข้อเสนอของน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เสนอให้กองทัพยกเลิกโครงการจัดซื้ออาวุธ ถ้าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของความคิดเห็น เราก็รับฟัง

เมื่อถามย้ำว่า ถ้ารับฟังแล้วกองทัพบกจะทบทวนหรือไม่ พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า การบริหารงบประมาณของกองทัพบก มีการอนุมัติ และพิจารณาเห็นชอบจากหลายส่วนแล้ว เจตนารมณ์ของกองทัพบกนอกจากจะใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า ตรงกับความต้องการ เสริมสร้างความแข็งแกร่งงานความมั่นคง อะไรที่สามารถผ่องถ่ายไปช่วยเหลือประชาชน หรือปรับไปเพื่อดูแลสถานการณ์โควิด ทางกองทัพบกก็ดำเนินการอยู่ แต่ในรายละเอียดไม่ได้มีการตีแผ่ให้ส่วนต่างๆได้รับทราบ จึงขอให้มั่นใจว่ากองทัพบกจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือเรื่องโควิดอย่างเต็มที

“บิ๊กตู่” สั่งตั้งศูนย์บริหารวัคซีน ตั้งเป้า 3 เดือนฉีดให้ได้ 30 ล้านคน

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังการหารือกับพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และมว.กลาโหม และคณะที่ปรึกษา ที่มีนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษา  เพื่อหารือถึงการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่าวัคซีนที่เข้ามาอีก 26 ล้านโดส และวัคซีนจากซิโนแวค อีกกว่า 1 ล้านโดส ซึ่งในช่วง 3 เดือนข้างหน้า รัฐบาลได้ตั้งเป้าให้มีการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน 30 ล้านคน เฉลี่ย 3 แสนคน/วัน 

จากประชากรเป้าหมาย 50 ล้านคน และจะเร่งการฉีดวัคซีนให้ครบ 50 ล้านคนในภายสิ้นปีนี้ ทั้งนี้จะเป็นการฉีดเข็ม1 และการฉีดวัคซีนทั้ง 2 เข็ม สำหรับวัคซีนโควิด-19 ที่ได้ขึ้นทะเบียนในขณะนี้ นอกเหนือจากซิโนแวคและแอสตราเซเนก้า คือวัคซีนโควิด-19 จาก บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน สำหรับวัคซีนไฟเซอร์และสปุตนิค วี อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเร่งนำเข้ามา โดยนายกรัฐมนตรียังได้กำชับให้มีการเร่งจัดหาวัคซีนให้ได้กว่า 100 ล้านโดสภายในสิ้นปี โดยวางแนวตั้งศูนย์บริหารจัดการวัคซีนแบบ Single Command เพื่อให้เกิดความชัดเจนและจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ 

ขณะเดียวกันที่ประชุมยังสั่งเร่งช่วยเหลือผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งตกค้างประมาณกว่า 1,400 ราย ซึ่งผู้ป่วยกว่า 800 รายได้ถูกนำตัวเข้าสู่สถานพยาบาลแล้วและจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง พร้อมมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงแรงงานดำเนินการตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มผู้ประกันตน  สำหรับการแจ้งอาการป่วยผ่านระบบสายด่วนนั้น เมื่อได้รับแจ้งจะมีเจ้าหน้าที่ไปรับตัวจากบ้านเพื่อนำเข้าสู่จุดคัดกรอง 

ส่วนในวันที่ 28 เมษายน นี้ จะเป็นการหารือเพิ่มเติมกับภาคเอกชนในวันพุธนี้ เพื่อหาแนวทางความร่วมมือต่างๆ ทั้งการจัดเตรียมสถานที่สำหรับการฉีดวัคซีนให้ประชาชน 3 แสนคน/วัน โดยอาจเป็นสถานที่อื่นๆ นอกเหนือจากในโรงพยาบาล  โดยระดมกำลังความร่วมมือจากบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลเอกชน หรือแพทย์ พยาบาล ที่เกษียณอายุแล้วมาช่วยฉีดวัคซีนทางเลือก รวมทั้งการให้ภาคเอกชนมีวัคซีน-19 สำหรับบุคคลากรในภาคธุรกิจภาคอุตสาหกรรมของตนเอง

'ราเมศ' สอน 'สัณหพจน์' การเมืองที่ดีต้องอย่าเห็นแก่ประโยชน์ตนกว่าส่วนรวม

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง สส นครศรีธรรมราช ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรี รับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด ว่า

นายสัณหพจน์ กล่าวมาคาดการณ์ได้ว่าหมายถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ท้วงติงการแบ่งมอบหมายงานของนายกรัฐมนตรีในหลายจังหวัด เพราะมีพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียวที่ออกมาพูดเรื่องนี้ 

เรื่อง สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 นายสัณหพจน์คงไม่ได้ติดตามข่าวสาร พรรคประชาธิปัตย์ได้มีการสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆทั้งให้ความรู้และเรื่องการป้องกันและให้ความช่วยเหลือประชาชน ล่าสุดก็ได้มีการเปิดศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 (ศปฉ.ปชป.) เพื่อช่วยประสานคลี่คลายปัญหาผู้ป่วยติดเชื้อตกค้างได้ให้เข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด รวมถึงศูนย์บริการกฎหมายที่ได้เปิดมาตั้งแต่ช่วงแรกของการแพร่ระบาด 

และที่บอกว่าขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องการเมือง พูดถูกแต่ปฏิบัติตัวผิดไปจากคำพูดถ้าตามที่พูดก็ไม่ควรออกมาสัมภาษณ์ให้ร้ายพรรคอื่นเช่นนี้ทุกคนมองออกถึงเจตนา 
และที่บอกว่าที่ผ่านมามีเพียงกลุ่มการเมืองเดิมที่อยู่มากกว่า 30 ปีแต่ภาคใต้กลับไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรเอาส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ก่อน พี่น้องชาวปักษ์ใต้ทราบดีว่าได้ทำอะไรให้กับประชาชนบ้าง วางโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม รถไฟทางคู่ ถนนสี่ช่องจราจร พัฒนารายจังหวัดให้มีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยว ราคายาง ราคาปาล์ม เรื่องแบบนี้คนปักษ์ใต้ทราบดี

และเมื่อครั้งที่รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลยิ่งลักษณ์เลือกปฏิบัติ จนภาคใต้ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการจัดสรรงบประมาณ พรรคไหนที่ต่อสู้ก็พรรคประชาธิปัตย์อีกที่ต่อสู้ เรื่องการไม่สร้างศูนย์ประชุมที่ภูเก็ต เรื่องถนนหนทางไปภาคใต้ ที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณที่เป็นธรรม ตอนนั้นไม่ทราบว่านายสัณหพจน์ไปมุดอยู่ตรงไหน 
ฉะนั้นที่บอกว่า 30 ปี ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยนั้น ให้กลับไปถามบรรพบุรุษในปักษ์ใต้ดูก็จะได้ความจริง

ที่บอกว่าการเปลี่ยนตัวบุคคลสะท้อนความล้มเหลวของกลุ่มการเมืองเดิม เห็นว่าคำพูดนี้พูดเพื่อให้ดูดีในทางการเมือง ชาวปักษ์ใต้ตอบรับการเมืองที่ดี ส่วนการเมืองที่เลวร้ายเชื่อว่าวันนึงสังคมจะรู้
การมอบหมายงานรัฐมนตรี ประชาธิปัตย์ก็บอกตรงๆไปแล้วว่าไม่พอใจเพราะไม่มีความเหมาะสมใดๆเลย พื้นที่ภาคใต้มีพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยาง สวนปาล์ม แต่มันสัมปะหลังไม่ค่อยมีอาจจะเป็นเพราะดินฟ้าสภาพอากาศ ก็ควรหารัฐมนตรีคนที่เหมาะสมไปทำงานที่เหมาะสมจะเกิดประโยชน์มากกว่า

พรรคพลังประชารัฐ ควรตักเตือนให้พูดจาในทางการเมืองที่สร้างสรรค์ เรื่องบางเรื่องควรเปลี่ยนวิธีการพูด ก่อนจะออกเป็นคำพูดต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองจากส่วนสำคัญของร่างกายที่ทำหน้าที่คิดก่อนถ้าจะออกมาพูดแบบนี้เหมือนส่วนสำคัญดังกล่าวหายไป พรรคร่วมควรช่วยกันคิดร่วมกันทำงานเพื่อประชาชนแต่ถ้าคิดแต่ประโยชน์ส่วนตน เชื่อว่านับถอยหลังได้เลย

กห. ขอความร่วมมือกำลังทหารทุกเหล่าทัพ ร่วมบริจาคเลือดช่วยผู้ป่วยที่เริ่มอยู่ในภาวะขาดแคลน

กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม  เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ได้เน้นย้ำขอให้ทุกเหล่าทัพดำเนินการตามนโยบายของ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในการขอความร่วมมือกำลังพลที่มีความพร้อมด้านสุขภาพและสมัครใจ ทะยอยเดินทางไปร่วมบริจาคโลหิตเพิ่มเติมให้กับสภากาชาดไทย ที่ปัจจุบันเริ่มประสบกับภาวะขาดแคลนโลหิตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19  เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเจ็บในสถานพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศที่รอการรักษา  

ทั้งนี้ ภาพรวมตั้งแต่ 10 มี.ค.63 หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19  กำลังทหารของทุกเหล่าทัพกว่า 58,000 นาย ได้สมัครใจเดินทางไปบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาดไทยแล้ว ปริมาณรวม 23.9 ล้านมิลลิลิตร และยังคงทะยอยเดินทางไปร่วมบริจาคโลหิตเพิ่ม เพื่อรองรับปัญหาการขาดแคลนโลหิตที่กำลังเกิดขึ้น

ด้านกองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ ได้จัดกำลังพลเข้าร่วมบริจาคโลหิต เพื่อสำรองในยามขาดแคลน มอบให้แก่สภากาชาดไทย

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ขยายวงกว้างไปยังหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้การบริจาคโลหิตมีจำนวนลดลง  ส่งผลกระทบต่อปริมาณโลหิตสำรองของโรงพยาบาลต่างๆ ที่มีจำนวนลดลงไปซึ่งในวันนี้ทางกำลังพลของเหล่าทัพ ได้เดินทางไปบริจาคโลหิต ที่ธนาคารเลือด ชั้น 3 โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โดย กองบัญชาการกองทัพไทย  และเหล่าทัพ ได้จัดกำลังพลร่วมบริจาคโลหิตในครั้งนี้ จำนวน 62 นาย โลหิตที่ได้มีปริมาณ 27,900 มิลลิลิตร ซึ่งจะนำไปมอบให้กับสภากาชาดไทยเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ทั้งยังเป็นการเพิ่มเติมโลหิตที่ปลอดภัยให้กับผู้ป่วยทั่วประเทศในภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ต่อไป

‘ผู้ว่าฯกทม.’ ปรับ ‘ลุงตู่’ ถึงทำเนียบฯ เหตุฝ่าฝืนประกาศกทม. >>ไม่สวมแมสก์เข้าประชุม

เมื่อเวลา 17.00 น. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครโพสต์ข้อความบน Facebook ส่วนตัวชี้แจงกรณีที่มีภาพพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยระหว่างการประชุมว่า “กรณีมีภาพ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดหน้ากากอนามัยระหว่างการประชุมที่ปรึกษาเกี่ยวกับการจัดหาและการกระจายวัคซีน เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 เวลาประมาณ 11.00 น. ณ ห้องประชุมสีเขียว ทำเนียบรัฐบาลนั้น

หลังจากการประชุม นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งมายังผม ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครให้ตรวจสอบว่ากรณีดังกล่าวเป็นความผิดหรือไม่

ผมจึงได้แจ้งว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืน ประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง ให้ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งตลอดเวลาที่ออกนอกเคหสถาน หรือสถานที่พำนัก เป็นความผิดตามมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ซึ่งความผิดดังกล่าว พนักงานสอบสวนมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ ตามระเบียบคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบ พ.ศ.2563 โดยมีอัตราการเปรียบเทียบปรับตามบัญชีท้าย เป็นจำนวนเงิน 6,000 บาท

ต่อมา ผม พร้อมด้วย ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต จึงเดินทางมายังทำเนียบรัฐบาล โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้กล่าวหา ในฐานความผิดดังกล่าว นายกรัฐมนตรี ยินยอมให้เปรียบเทียบปรับ จึงได้ให้พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต เปรียบเทียบปรับตามอัตราดังกล่าว”


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ไทยยอดติดเชื้อใหม่พุ่งกว่า 2,048 ราย!  ขณะที่ในอาเซียนยอดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
 

ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่มีการโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า นายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มราษฎร ติดเชื้อโควิด-19 จากภายในเรือนจำว่า...

ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่มีการโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า นายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มราษฎร ติดเชื้อโควิด-19 จากภายในเรือนจำว่า...

นายอานนท์ไม่ได้อยู่ร่วมกับพวกกักโรค หรือติดโควิด อยู่ในแดนอื่น และล่าสุดได้มีการตรวจโควิดแล้วก็ไม่พบว่าติดเชื้อ ดังนั้นเพจทนายอานนท์ที่มีแอดมินดูแลอยู่ควรระมัดระวังในการเสนอเรื่องราวภายในเรือนจำ มิฉะนั้นจะให้ฝ่ายกฎหมายของกรมราชทัณฑ์ดำเนินคดี เพราะทำให้เกิดความเสียหาย และเกิดความวุ่นวาย

ตนอยากฝากบอกว่าควรมีจิตสำนึก เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีโรคโควิดระบาดประชาชนก็เดือดร้อนอยู่แล้วอย่าสร้างความวุ่นวาย ควรให้ข้อมูลที่ถูกต้องจะเหมาะสมกว่า นอกจากนี้ในส่วนของผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธ์ หรือแอมมี่ และนายเฉลิมพงษ์ คำวงศ์ แกนนำม็อบ ทั้ง 3 คน ผลตรวจไม่พบเชื้อ ตอนนี้อยู่ระหว่างกักตัว และรอตรวจซ้ำสัปดาห์หน้าอีกครั้ง

“ช่วงที่สถานการณ์ของประเทศกำลังวิกฤติ ผมขอร้องอย่าสร้างความวุ่นวายในช่วงนี้เลย การจะเผยแพร่ข้อมูลใด ๆ ควรอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ไม่ใช่ทำเพื่อสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนแบบนี้ และการที่ทนายเข้าไปเยี่ยม และนำข้อมูลที่ไม่จริงออกมาเผยแพร่ ตรงนี้อาจจะต้องให้สภาทนายความดำเนินการด้วย” ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต ระบุ

ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/100741


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ดราม่าบังเกิด! หลัง ‘ชาวกระทรวงสาธารณสุข’ และโรงพยาบาลรัฐ ผุดแฮชแท็ก #ทองแท้ไม่กลัวไฟ #Saveอนุทิน ให้กำลัง ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ สวนกระแสกลุ่มหมอไม่ทน ที่ชวนลงชื่อขับไล่ แต่เจอทัวร์ถล่ม ชาวเน็ตร่วมด่ายับ บางเพจลบโพสต์ไปแล้ว

จากกรณีที่ เว็บไซต์ change.org พบกลุ่มชื่อ 'หมอไม่ทน' สร้างแคมเปญรณรงค์ล่ารายชื่อ เพื่อเรียกร้องให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลาออกจากตำแหน่ง โดยเมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 26 เม.ย. 64 พบว่ามีผู้ร่วมลงชื่อแล้วกว่า 1.7 แสนรายชื่อ

โดยกลุ่มหมอไม่ทน ให้เหตุผลว่า ในการผุดแคมเปญดังกล่าวว่า "กว่า 1 ปีเต็มที่ผ่านมาของการระบาด COVID-19 เป็นข้อพิสูจน์แล้ว ว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ไม่มีความสามารถมากพอในการควบคุมดูแลการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งเรื่องการวางนโยบาย การจัดการทรัพยากร การจัดหาวัคซีน และการสร้างความเชื่อมั่นให้บุคลากรทางการแพทย์

นอกเหนือไปกว่านั้น หลายครั้งบทสัมภาษณ์จากนายอนุทิน ยังทำให้เห็นชัดเจนว่าไม่มีวิสัยทัศน์ที่เหมาะสมในการทำงานควบคุมกระทรวงที่เป็นกระทรวงหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การระบาดไม่สามารถควบคุมได้

เริ่มต้นตั้งแต่ที่พูดว่า "เป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา" เมื่อบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อ ก็แจ้งว่า "หมอไม่ระวังตัวเองจนติดโควิด-19 ไม่ได้ติดจากงาน แบบนี้ต้องหวดกัน" และบทสัมภาษณ์อีกมากมาย ที่ประชาชนได้รับทราบโดยทั่วกัน

จากความล้มเหลวทั้งหมดนี้ เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเราไม่อาจจะให้เวลาอันมีค่าของเรา หมดสิ้นไปกับการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพไม่มากพอได้ ขอเรียกร้องให้นายอนุทิน ชาญวีรกูลลาออก และให้ผู้ที่มีความสามารถ มีความเหมาะสมมากกว่าเข้ารับตำแหน่ง ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังตกอยู่ในความวิกฤตนี้"

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 64 ปรากฏเพจเฟซบุ๊กของโรงพยาบาลรัฐหลายแห่ง ได้โพสต์ข้อความให้กำลังใจนายอนุทิน ขณะเดียวกันได้สร้าง แฮชแท็ก #ทองแท้ไม่กลัวไฟ #Saveอนุทิน

เช่นโรงพยาบาลปากช่องนานา ระบุว่า ชาวสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมาขอให้กำลังใจ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้เสียสละทุ่มเท แรงกายแรงใจ ในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนมาโดยตลอดครับ #ทองแท้ไม่กลัวไฟ #Saveอนุทิน

โรงพยาบาลลำปาง ก็โพสต์เฟซบุ๊กในลักษณะเดียวกันเช่นกัน โดยระบุว่า บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข โรงพยาบาลลำปาง ขอขอบพระคุณท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีระกูล ที่ได้เมตตาดูแลพวกเรา และแก้ปัญหาสุขภาพของพี่น้องประชาชน ทุ่มเทแก้ปัญหาการระบาด ไวรัส COVID-19 มาโดยตลอด ขอเป็นกำลังใจให้ท่านร่วมสู้ไปกับพวกเราต่อไป #ทองแท้ ย่อมเป็นทองแท้ #สู้ต่อไปด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการโพสต์ของโรงพยาบาลรัฐหลายแห่งออกมา ปรากฏว่า มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมาก เข้าไปคอมเม้นท์ในเชิงว่ากล่าว ติเตียน วิพากษ์วิจารณ์ ความคิดและการกระทำของเพจดังกล่าว อย่างกว้างขวาง แม้ต่อมาเพจเหล่านั้นจะได้ลบโพสต์ออกไปแล้วก็ตาม

ส่งผลให้ แฮชแท็ก #ทองแท้ไม่กลัวไฟ #Saveอนุทิน ขึ้นอันดับหนึ่งและสอง ในเทรนด์ทวิตเตอร์ประเทศไทย ในวันนี้อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังพบว่า นายแพทย์ธนาคาร สาระคำ หมอประจำโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่โพสต์ให้กำลังใจนายอนุทิน ได้ทำการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Tanakarn Sarakam‘ โดยระบุว่า "ขอประณามการแสดงออกทางการเมืองในนามองค์กร"

สืบเนื่องจาก โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ได้เผยแพร่ข้อความให้กำลังใจ "นายอนุทิน ชาญวีรกูล" ผ่านทางเพจ ข่าวประชาสัมพันธ์ โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก โดยมีข้อความระบุในนาม "ชาวโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก"

ข้าพเจ้านายแพทย์ธนาคาร สาระคำ นายแพทย์ชำนาญการ ในฐานะบุคลากรโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ขอแสดงจุดยืนตามเสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญว่า

1.) ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจในฐานะการเป็นผู้บริหารขององค์กร แสดงออกจุดยืนทางการเมืองที่ควรเป็นส่วนตัว เพื่อรับใช้ฝั่งฝ่ายทางการเมืองที่ตนเองรักใคร่ชอบพอ

2.) ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับการสื่อสารในนาม "ชาวโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก" โดยมิได้ถามความเห็นของบุคคลทุกคนในนามที่ทางโรงพยาบาลอ้างถึง บุคคลทุกคนมีเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง และไม่จำเป็นจะต้องมีความคิดเห็นเหมือนกัน องค์กรไม่ควรเหมารวมและแสดงออกในนามองค์กรเพียงเพราะมีคนไม่กี่คนรู้สึกเช่นนั้น

3.) ในฐานะ "ชาวโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก" ข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่เห็นด้วยกับการแสดงออกในครั้งนี้

4.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาตั้งแต่ต้น และจากบทบาทการทำงานที่ผ่านมา ได้เห็นชัดแล้วว่านายอนุทินบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ

5.) ในฐานะแพทย์ ทุกคนควรมีสำนึกในจริยธรรม สำนึกในหลักวิชาการที่ตนเองร่ำเรียนมา และสำนึกในวิชาชีพ ข้าพเจ้าเห็นว่าในสถานการณ์การระบาดทั่วของโรคไวรัสโคโรนา 2019 ที่ผ่านมา นายอนุทินไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติการระบาดยาวนาน และล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน

6.) นายอนุทินได้แสดงออกหลายต่อหลายครั้ง ว่ามิได้เข้าใจบริบทการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ จะเห็นได้จากถ้อยคำบางถ้อยคำที่ทำให้บุคลากรทางการแพทย์เสียกำลังใจและก่อให้เกิดความไม่พอใจเป็นวงกว้าง

7.) จากที่กล่าวมาทั้งหมด ข้าพเจ้าเห็นว่านายอนุทินไม่ควรดำรงตำแหน่งนี้ต่อไปอีกแม้เพียงวินาทีเดียว และไม่ควรค่าแก่การที่บุคลากรทางการแพทย์จะให้กำลังใจหรือกล่าวคำขอบคุณ

8.) โรงพยาบาลควรให้กำลังใจ และขอบคุณบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันตลอดมา ไม่ว่าจะในช่วงสถานการณ์การระบาดหรือช่วงก่อนหน้านี้ บุคคลเหล่านี้ต่างหากที่โรงพยาบาลควรสำนึกว่าเขามีบุญคุณต่อองค์กร เพราะทุกคนต่างเป็นกำลังให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้

ข้าพเจ้าขอประณามคณะผู้บริหาร หรือบุคคลใดก็ตาม ที่ฉวยโอกาสใช้พื้นที่ขององค์กรในการแสดงออกทางเมือง ไม่ว่าจะด้วยเป็นคำสั่งหรือการขอความร่วมมือจากระดับกระทรวง ดูได้จากการกำหนดให้ใช้ข้อความเดียวกัน หรือเป็นการแสดงออกจากใจของผู้บริหารจริง

ขอแสดงความไม่นับถืและรู้สึกขยะแขยง

นายแพทย์ธนาคาร สาระคำ

ในฐานะ "ชาวโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก"

ที่ไม่เห็นด้วยกับโพสต์ดังกล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“รองโฆษกฯพปชร.”โต้ พรรคการเมืองเก่า ไม่ใช่เล่นการเมือง หนุน “นายกฯ” เปลี่ยนรมต.ดูแลภาคใต้ ขับเคลื่อนงานให้ ปชช. ชี้ สะท้อนความล้มเหลวพรรคการเมืองเก่า บริหาร ไม่พัฒนา

เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2564 นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)กล่าวกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มีคำสั่งที่ 85/2564 เรื่องมอบหมายให้รัฐมนตรี รับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดแบ่งงานให้รัฐมนตรีดูแลพื้นที่ โดยมอบหมายให้ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ดูแลจ.สงขลา นครศรีธรรมราช และจ.ภูเก็ต ว่า 

การที่มีพรรคการเมืองบางพรรค ออกมากล่าวถึงเรื่องดังกล่าว เห็นว่า ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะพูดเรื่องของการเมือง โดยคำสั่งดังกล่าว ถือเป็นแนวคิดที่ดี เช่น ภาคใต้ ที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรี คนใหม่เข้ามาดูแลพื้นที่ มีแนวคิดใหม่ๆ และหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาใหม่เกิดขึ้นในพื้นที่ และที่เห็นว่าการเป็นเรื่องดีที่เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีดูแล ไม่ใช่เพราะเป็นรัฐมนตรี สังกัดพรรคพปชร.ไม่ว่าจะเป็นใครหากสามารถช่วยขับเคลื่อนให้พื้นที่ภาคใต้พัฒนากว่าที่ผ่านมาก็พร้อมจะสนับสนุนทุกคน เพราะที่ผ่านมาเราเคยให้โอกาสพรรคการเมือง และกลุ่มการเมืองเดิม บริหารพื้นที่มานานกว่า 30 ปี แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ภาคใต้กลับไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ดังนั้นการเปลี่ยนบุคคลดูแลจึงสะท้อนความล้มเหลวของกลุ่มการเมืองเดิม 

นายสัณหพจน์ กล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวฯแสดงให้เห็นว่า รัฐบาล รับฟังสิ่งที่ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ สะท้อนปัญหาความเดือดร้อน ความต้องการผ่านตัวแทนของประชาชนคือ ส.ส.ภาคใต้ ทั้ง14 คนของพรรคพปชร.ที่นำเสนอผ่านพรรคไปถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพปชร. ต่อจากนี้ส.ส.ภาคใต้ จะสนับสนุนการทำงานในพื้นที่อย่างเต็มกำลังตามที่ได้ทำมาตลอดกว่า 2 ปี เพื่อช่วยเหลือและขับเคลื่อนนโยบายต่างๆของรัฐบาลที่เป็นประโยชน์สูงสุดในกับประชาชนทุกคน ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด และหลังจากนี้ที่จะต้องมีการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเฉพาะในพื้นที่ฐานราก

"ส.ส.ก้าวไกล" จี้ "กองทัพ" เเจงปมไม่เลื่อนเรียกทหารเกณฑ์ หวั่น เกิด "คลัสเตอร์ค่ายทหาร" ถาม ที่ไม่เลื่อนเพราะขาดทหารรับใช้ใช่หรือไม่?

เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่กองทัพประกาศยืนยันชัดเจนว่าจะไม่เลื่อนการเรียกทหารเกณฑ์ ผลัด 1/2564 เข้ารายงานตัว ในวันที่ 1 พ.ค. ตามกำหนดการณ์เดิม 

โดยนายพิจารณ์ กล่าวว่า ในขณะที่รัฐบาลออกมาตรการระงับ ยกเว้น การทำกิจกรรมต่างๆ ทางเศรษฐกิจ และการเคลื่อนย้ายของประชาชน ห้ามการจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มของบุคคลมากกว่า 50 คน ผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ และกทม.ก็ออกคำสั่งปิดสถานศึกษา สถานบริการ และสถานบันเทิง เป็นเวลา 14 วัน แต่กองทัพ กลับยังยืนยันเดินหน้าให้ทหารเกณฑ์เข้ารายงานตัวตามปกติ และอ้างว่ามีการออกมาตรการป้องกันโรคที่รัดกุมในทุกเรื่อง ซี่งตนอ่านแล้วรู้สึกขำ เพราะถึงขนาดสั่งให้การเข้ารายงานตัวในหน่วยต่างๆ ให้เดินทางในเวลากลางคืนเพื่อป้องกันความแออัดตามปั๊มน้ำมัน ในกรณีที่ต้องหยุดพักเข้าห้องน้ำ แต่กลับไม่มีการวางแผนที่จะใช้ชุดตรวจ PCR หรือ Rapid Test ในการคัดกรองโรคในทหารเกณฑ์ใหม่ มีแค่เพียงการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายเพียงเท่านั้น สรุปว่านี่คือการคัดกรองคนเข้าห้างสรรพสินค้าหรือเข้าค่ายทหารกันแน่

นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า ความน่าเป็นห่วงของเรื่องนี้ คือ การรวมตัวของทหารเกณฑ์ใหม่ที่เดินทางมาจากทั่วประเทศ หากมีทหารเกณฑ์ที่เป็นผู้ติดเชื้อ แต่ยังไม่มีอาการปะปนเข้าไปฝึกและกินนอนร่วมกัน แล้วเกิดการแพร่ระบาดในค่ายทหารกันขึ้นมาบรรลัยแน่ เพราะจำนวนทหารเกณฑ์ผลัด 1 มีถึง 30,000 คน

"หากกองทัพไม่สามารถชี้แจงถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องให้ทหารเกณฑ์รายงานตัวในช่วงที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวันแบบนี้ได้ ก็เรียกร้องให้เลื่อนการรายงานตัวออกไปก่อน เชื่อว่าการเลื่อนออกไป 30-60 วัน จะเสียหายน้อยกว่ากองทัพเป็นแหล่งคลัสเตอร์ใหญ่ในการแพร่เชื้อเสียเอง ภายใต้สถานการณ์ที่ความพร้อมด้านสาธารณสุขยังมีปัญหาแบบนี้ ซึ่งล่าสุดมีข่าวจากกรมควมคุมโรคว่าได้มีการประชุมร่วมกับผู้แทนกองทัพในประเด็นนี้ คงต้องรอดูว่ากองทัพจะยอมเลื่อนหรือไม่" นายพิจารณ์ กล่าว

ด้าน นายณัฐชา กล่าวว่า ขอใช้มุมมองจากประสบการณ์ที่เคยเป็นทหารเกณฑ์ ผมคิดว่ากรณีที่เกิดขึ้นไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 กำลังแพร่ระบาดรุนเเรง ขอเรียกร้องให้กองทัพพิจารณาการเรียกกำลังพลเข้ารับราชการทหารของกองทัพครั้งนี้ใหม่ และขอตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุที่กองทัพจำเป็นต้องเรียกพลทหารเข้ากองทัพเวลานี้ เพราะเหล่าทัพขาดทหารรับใช้ใช่หรือไม่ เพราะในปัจจุบันพบว่าส่วนใหญ่ทหารที่รับราชการในกองทัพก็ปฏิบัติงานในรูปแบบเวิร์กฟอร์มโฮม จึงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นใดที่กองทัพจะเรียกพลทหารเข้าประจำการ เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19

“หากกองทัพจะดำเนินการต่อ เกรงว่าพลทหารกว่า 30,000 นาย ซึ่งมาจากทุกสารทิศที่มารวมตัวกัน จะต้องพบเจอความเสี่ยงทั้งต่อตัวพวกเขาเอง และต่อสถานการณ์ในภาพรวมที่อาจกลายเป็นแหล่งเเพร่กระจายเชื้อโควิด-19 คลัสเตอร์ใหม่ จึงขอให้กองทัพออกมาชี้เเจง โดยเฉพาะผู้นำเหล่าทัพ ที่สำคัญพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะต้องชี้เเจงต่อประชาชนในฐานะอดีตผู้บัญชาการทหารบกต่อกรณีดังกล่าว” นายณัฐชา กล่าว

“สุพัฒนพงษ์” เผย “นายกฯ”ย้ำ ดูแลผู้ติดเชื้อ ปรับระบบคัดกรอง-เตรียมบริหารจัดการวัคซีน ก่อนถกเอกชน 28 เม.ย.นี้ แนะ คนมีเงินฝาก ควักใช้จ่ายช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ต้องขอคนละครึ่ง ด้านเลขาฯสภาพัฒน์ ระบุ ตั้งเป้าฉีดวัคซีน 50 ล้านคนในสิ้นปีนี้

วันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันมีเชาวน์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์หลังประชุมร่วมกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับเรื่องการกระจายวัคซีน ว่า ที่ประชุมหารือเบื้องต้นก่อนจะพูดคุยกับภาคเอกชนว่าในวันที่ 28 เม.ย.นี้ เพื่อเตรียมพร้อมการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาด ให้เห็นว่ารัฐบาลเตรียมการครบทุกด้าน ทั้งระบบคัดกรองผู้ป่วย การรักษาพยาบาล และการเตรียมวัคซีน และขณะนี้ประเทศไทยยังสามารถควบคุมการระบาดได้อยู่และอยู่ในระดับที่ประชาชนเชื่อมั่นได้

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการประเมินว่าในสองสัปดาห์นี้สถานการณ์จะดีขึ้น แต่ตอนนี้จำนวนผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า มาตรการยังออกมาไม่ครบสองสัปดาห์ แม้จะมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่ม แต่ยอดผู้ที่รักษาหายก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ประเด็นตอนนี้คือการดูแลผู้ติดเชื้อ ส่วนมาตรการทางเศรษฐกิจก็จะชัดเจนในเดือนพ.ค.นี้และมีผลบังคับใช้ในเดือน มิ.ย.นี้

เมื่อถามว่าจะพิจารณาแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวหรือไม่ รองนายกฯกล่าวว่า ยังไม่ได้พิจารณา และภายในสัปดาห์นี้น่าจะทราบ เบื้องต้นเรากำหนดไว้ในเดือนก.ค.นี้ ส่วนที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาปรับลดเป้าหมายนักท่องเที่ยวจาก 6 ล้านคน เหลือ 3ล้านคนนั้น เป็นภาพรวมเนื่องจากการระบาดเกิดทั่วโลกและในแต่ละปีคนไทยก็เที่ยวจำนวนมากมูลค่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี สถานการณ์กลับสู่ปกติ คนไทยก็อาจจะเที่ยวได้เหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิม ถ้าคนไทยช่วยกันโดยออกมาใช้จ่าย ก็อาจจะได้จีดีพีที่ 4 เปอร์เซ็นต์ ก็จะช่วยได้ ทั้งนี้ขอให้คนที่มีเงินฝากเยอะนำออกมาใช้จ่าย เพื่อจะได้ไม่ต้องมาขอเงินจากโครงการคนละครึ่ง

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะต้องมีการกู้เงิน เข้ามาเพิ่มเติมหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า ยัง เพราะยังอยู่ในกรอบใช้จ่ายด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า การหารือมี2 เรื่อง ที่เตรียมจะหารือกับภาคเอกชน คือเรื่องการนำผู้ป่วยเข้ามารักษาในสถานพยาบาลประมาณ 800 คน จากที่ตกค้างกว่า1,400 คน โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงแรงงาน คัดกรองกลุ่มที่เป็นผู้ประกันตน ซึ่งขณะนี้ได้จัดสถานที่ไว้ที่อินดอร์สเตเดียมหัวหมาก สำหรับคัดกรอง ถ้าไม่มีอาการ จะนำเข้าโรงพยาบาลสนาม หากอาการเป็นสีเหลือง จะต้องดูสถานที่รักษาอาจจะเป็นสถานพยาบาลที่เป็นโรงแรม และอาการสีแดงให้นำเข้าโรงพยาบาล เพื่อรักษา

เรื่องที่สองคือการบริหารจัดการวัคซีน ที่จะต้องคุยกับภาคเอกชนว่าจะเข้ามาช่วยอย่างไร เมื่อวัคซีนเข้ามา 26 ล้านโดสในช่วงสามเดือนนี้ จากนั้นจะมีวัคซีนซีโนแวคเข้ามาอีกประมาณ 1ล้านโดส ขอให้มั่นใจได้ว่าสามเดือนนี้ ตั้งเป้าจะฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อยประมาณ 30ล้านคน ส่วนวัคซีนทางเลือกเพิ่มที่มีการขึ้นทะเบียนแล้วคือ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน(Johnson & Johnson)ส่วนไฟเซอร์และยี่ห้ออื่นจะดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อขึ้นทะเบียนและนำเข้าเพิ่มเติมให้ได้ 100ล้านโดส และภายในสิ้นปีนี้ คาดว่าจะฉีดให้ประชาชนได้ประมาณ 50ล้านคน ซึ่งมีทั้งฉีดเข็มแรกและเข็มที่สอง 

ทั้งนี้เบื้องต้นจะขอความร่วมมือภาคเอกชนในการจัดสถานที่สำหรับฉีดวัคซีน หรือรับไปฉีดให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าว่าในสามเดือนข้างหน้าจะต้องฉีดให้ได้อย่างน้อยวันละ 3 แสนคน รวม30 ล้านคน ส่วนรายละเอียดต่างๆจะได้ข้อสรุปในวันที่28 เม.ย.นี้

ก.แรงงาน ลั่น! ไม่หวั่นโควิด-19 ประกาศคัดสุดยอดฝีมือเทรนด้านสินค้าอันตรายและการขนส่งข้ามแดนรองรับธุรกิจระหว่างประเทศในอนาคต

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ กระทรวงแรงงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานยังคงเดินหน้าพัฒนายกระดับทักษะฝีมือกำลังแรงงานให้เป็นแรงงานคุณภาพรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันและด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ของประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดกพร. ได้ใช้แนวทางประชารัฐของรัฐบาลร่วมมือกับคณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา และสมาคมผู้ประกอบธุรกิจอันตราย (HASLA)       

จัดฝึกอบรมหลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์สินค้าอันตรายเพื่อการขนส่งข้ามแดนในเขตอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (CLMVT) ภายใต้โครงการพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์รองรับธุรกิจขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาบุคลากรในสาขานี้ให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ รองรับการเติบโต ทั้งด้านการค้าการลงทุน และธุรกิจระหว่างประเทศในอนาคต

นายธวัช กล่าวต่อไปว่า ผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติภายใต้หัวข้อเกี่ยวกับสมาร์ตเทคโนโลยีเพื่องานขนส่งสินค้าอันตราย อุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับป้องกันอันตรายในสถานการณ์ฉุกเฉิน การจัดทำและการรายงานข้อมูลอุบัติเหตุ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขนถ่ายการจัดวางการบรรทุก ข้อกฎหมายเกี่ยวกับงานขนส่ง การจัดเก็บวัตถุอันตราย และการขนส่งข้ามแดน การจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินและการซ้อมแผนฉุกเฉิน (Emergency Drill) การศึกษาการทำงานภาคปฏิบัติจริง การวัดและประเมินผล ใช้ระยะเวลาการฝึกอบรม 240 ชั่วโมง เน้นกลุ่มเป้าหมายจบป.ตรีหรือกำลังจะจบการศึกษาระดับป.ตรี ผู้ผ่าน การฝึกอบรมจะได้รับโอกาสเข้าทำงานกับบริษัทในเครือสมาคมผู้ประกอบธุรกิจอันตรายในตำแหน่งผู้ควบคุมระบบ GPS ผู้ควบคุมและบริหารการขนส่ง นักวางแผนงานขนส่ง เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย ผู้ควบคุมคลังสินค้าและสินค้าคงคลัง เป็นต้น

“ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงของการเปิดรับสมัครจนถึงวันที่ 28 เมษายน 2564 รับจำนวนจำกัดเพียง 50 คน ปัจจุบันมีนักศึกษาและประชาชนให้ความสนใจสมัครเข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการสอบคัดเลือกผ่านระบบออนไลน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยผู้สมัครต้องมีสัญชาติไทย มีอายุไม่เกิน 28 ปี เป็นผู้ว่างงาน ย้ำต้องจบป.ตรีหรือกำลังจะจบการศึกษาระดับป.ตรี สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครได้ที่ www.hasla.or.th หรือโทรสอบถามที่ 089-788-2134” อธิบดีกพร. กล่าว

ศบค. จ่อ เพิ่มมาตรการเข้ม แบ่งพื้นที่โซนสี-ล็อคดาวน์ หมอเบิร์ท ให้จ้บตา ศบค.เคาะอย่างไร ใน1-2 วันนี้

เมื่อวันที่ 26 เทษายน 2564 ที่ศบค.ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ตอบข้อซักถามถึงกรณีที่ มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเดินทางเข้าประเทศไทยของชาวต่างชาติ จะมีการระงับการ ให้เดินทางเข้าประเทศหรือไม่ ว่า การเดินทางจากต่างประเทศนั้นยังมีระบบการออกใบอนุญาต ให้เดินทางเข้าประเทศโดยกระทรวงการต่างประเทศและเมื่อเดินทางเข้ามาอย่างถูกต้องแล้วก็ได้รับการดูแลอยู่ใน สถานกักตัวที่รัฐจัดให้ และสถานกักตัวทางเลือก ในเรื่องของการชะลอการออกใบอนุญาตเข้าประเทศนั้น ในที่ประชุม ศบค.มีการทบทวน และอยากให้ทุกคนติดตามว่าการประกาศจากกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นอย่างไร  

ส่วนกรณีกลุ่มคนไทยที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง เช่น อินเดีย ปากีสถาน จะต้องกัดตัว 14 หรือ 21 วัน กันแน่ นั้น เรื่องดังกล่าวทางศบค. ไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากเพราะเป็นสิทธิที่ประชาชนไทยจะเดินทางกลับบ้าน เพียงแต่จำเป็นต้องได้รับการดูแลไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อ ออกมาจากระบบการกักตัว ทั้งนี้จากการรายงานก่อนหน้านี้ของศบค. ถึงศักยภาพการรองรับการกักตัว ได้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้ในรูปแบบของฮอสปิเทล หรือโรงพยาบาลสนามบ้างแล้วซึ่งก็ต้องขอขอบคุณในข้อเสนอแนะและความเป็นห่วงที่ทุกคนส่งมา แต่อย่างไรก็ตามอยากให้ทุกคนได้ติดตามการรายงานของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ อย่างใกล้ชิดในระยะนี้เนื่องจากมีการพูดคุยหารือใกล้ชิดกันอยู่

มีการพูดคุยถึงเรื่องการกักตัว ของผู้เดินทางมาจากต่างประเทศเพราะจากการรายงานเรายังพบผู้ติดเชื้อได้ในระยะหลัง 10 วัน เช่น 11 วัน 13 วัน บางคนมีรายงานว่าหลังจากที่ผู้ที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาล 14 วันแล้ว ออกมาจากโรงพยาบาลแล้วก็มีรายงานยืนยันว่าติดเชื้อได้ยาวถึง 21 วันเป็นต้น ซึ่งทางกรมควบคุมโรคได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบ และมีการติดตามรายงานอย่างใกล้ชิดจึงอยากเน้นยามผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสนาม หรือโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน ในช่วงนี้ด้วยว่าหลังจากที่ ผู้รับการรักษากลับบ้านไปแล้ว ยังจะต้องแยกกัก ไม่ไปสัมผัสผู้อื่นหรือแม้แต่คนในครอบครัวอีกเป็นระยะเวลา 14 วัน 

ผู้สื่อข่าวถามว่าสถานการณ์ในประเทศขณะนี้มาตรการกักตัวอยู่ที่บ้านของผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง จะเป็นอย่างไร พญ.อภิสมัย กล่าวว่า การที่พี่น้องประชาชนรอเตียงนั้นขอเรียนว่าไม่มีใครสบายใจ และในหลายหลายครั้งหลายคนยอมรับว่ามันเกิดขึ้นกับตัวเรา คนรอบข้างเรา พวกเราจึงพยายามช่วยกันหาเตียง แต่ในแง่ของการจัดการเตียงอย่างที่เรียนให้ทราบว่าในกรุงเทพมหานครมีผู้ป่วยกลับบ้านได้จำนวน 170 ราย  ก็จะมีกระบวนการทำเรื่องให้กลับบ้าน และจะต้องดูแลอย่างไรให้ตัวเองปลอดภัย บุคลากรทางการแพทย์ได้เล่าให้ฟังว่าการทำเรื่องให้บุคคลกับบ้านนั้นมีกระบวนการหลายขั้นตอนมากๆ 

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า และการจะรับผู้ป่วยใหม่นั้นไม่สามารถทำได้ปุบปับ ทันทีแต่จะต้องมีการเตรียมพื้นที่เต็มเตียงเพื่อที่จะรับผู้ป่วยใหม่ดังนั้นจึงเกิดการรอเตียง ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าการอยู่บ้านรอเตียง โดยไม่ต้องเข้าสู่ระบบการรักษาได้หรือไม่ ทางศบค. มีการทบทวนอยู่ทุกวัน แต่มีการรายงานบางเคสเกิดความไม่สบายใจ เพราะเริ่มต้นวันที่หนึ่งอาการยังปกติดี เข้าสู่ระบบแล้วแต่ได้รับการยืนยันจากโรงพยาบาลว่ายังจำเป็นต้องรอเตียง จากนั้นเราจะเห็นอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว หรือ การที่สภาพบ้านไม่เอื้ออำนวย ซึ่งเราเน้นย้ำว่าการแยกกักอยู่ที่บ้านนั้นจะต้องมีการแยกพื้นที่กับบุคคลในครอบครัว ไม่รับประทานอาหารร่วมกัน พยายามไม่ใช้ห้องน้ำเดียวกัน ไม่มีการคลุกคลีใกล้ชิด ก็พบว่าทำได้ยาก ทำให้เราได้เห็นข่าวในตลอดว่า ในกรณีผู้ป่วยหนึ่งราย เกิดการติดเชื้อไปยังบุคคลในครอบครัวโดยเฉพาะผู้สูงอายุ เด็กเล็กติดเชื้อ จึงเป็นที่มาที่ทำให้ยังไม่สามารถระบุว่า ให้ประชาชนกักตัว หรือแยกกักรอเตียงอยู่ที่บ้าน ยังถือว่ามาตรฐานยังเป็นอันตรายอยู่

เมื่อถามว่ามีโอกาสหรือไม่ที่จะล็อคดาวน์พื้นที่บางจังหวัด พญ.อภิสมัย กล่าวว่า เรื่องล็อกดาวน์นั้น ในวันพฤหัส ที่ 29 เม.ย. จะมีการทบทวนมาตรการในเรื่องของพื้นที่ โดยจะพิจารณาว่าจะมีการเพิ่มมาตรการอย่างไร จะล็อกดาวน์หรือไม่ วันนี้ทางกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขได้หารือกับศบค. และในช่วง 1-2 วันนี้คงจะได้เห็นมาตรการการปรับความเข้มข้นมากขึ้นในบางพื้นที่แต่ละกิจการกิจกรรม แต่ละจุด จึงขอให้ทุกคนได้ติดตาม อย่างใกล้ชิดด้วย ทั้งนี้ ขอขอบคุณทุกฝ่ายโดยเฉพาะสื่อมวลชนที่สามารถเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน สามารถวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของภาครัฐ ภาคสาธารณะสุขได้ แต่ขอให้ชี้แนะรวมไปถึงการให้กำลังใจบุคลากรในการทำงานด้วย อย่างไรก็ตามประชาชนอาจเห็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้น อาจมีความไม่พอใจ มีการตำหนิติเตียน แต่ถ้าดูที่มาที่ไปก็เพราะเรามีความเป็นห่วงประเทศไทยมีความรักในครอบครัวอาม่า ครอบครัวคุณอัพ ซึ่งก็เหมือนกับครอบครัวเรา เพราะฉะนั้นการที่เราอาจจะส่งเสียงทะเลาะกันบ้างในวันนี้เพราะเรามีความมุ่งมั่นเดียวกัน ต้องการทำให้ระบบดีขึ้น ขอให้ทุกคนหันหน้าเข้าหากันจับมือกันและร่วมมือกัน ถูกเถียงกันได้บ้างแต่ถึงอย่างไรเราก็ร่วมมือกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top