Wednesday, 22 January 2025
POLITICS

จับตา! ครม.ไฟเขียวกฎหมายบำเหน็จบำนาญ

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 30 มีนาคม 2564 ที่ประชุมเตรียมพิจารณาข้อเสนอของหน่วยงานต่าง ๆ หลายเรื่อง โดยเฉพาะวาระที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลัง เสนอร่างพ.ร.บ.คณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ และร่างพ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ รวม 2 ฉบับ พร้อมทั้งเสนอโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 

ส่วน กระทรวงพลังงาน เสนอร่างกฎกระทรวงการรับฟังความเห็นของประชาชน สำหรับโครงการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ และร่างกฎกระทรวงการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว รวมถึงเสนอร่างกฎกระทรวงระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าของสถานที่ประกอบกิจการก๊าซปีโตรเลียมเหลว

ขณะที่ กระทรวงพาณิชย์ ยังเสนอผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การส่งเสริม เพิ่มขีดความสามารถและสร้างความเป็นธรรมทางการแข่งขันของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรมวุฒิสภา

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเตรียมรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ถึงแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้ว และมีผลการตรวจโควิด-19 เป็นลบ โดยจะเริ่มนำร่องตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้ ที่จังหวัดภูเก็ตก่อน และตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ จะขยายจังหวัดนำร่องเพิ่มไปยังจังหวัดกระบี่ ,พังงา ,เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ,เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี และเชียงใหม่

ครม.ตู่ 2/3 ถ่ายรูปชื่นมื่น “ดอน” ลาป่วยทำให้รูป ครม.ครั้งนี้ไม่ครบ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ถ่ายรูปหมู่ร่วมกับคณะรัฐมนตรี ภายหลังการปรับเปลี่ยน ในรัฐบาล ‘ประยุทธ์ 2/3’ โดยครั้งนี้ขาดเพียงนายดอนปรมัตถ์วินัยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเนื่อง ซึ่งได้แจ้งลาป่วยกับที่ประชุม ครม. ทำให้การถ่ายรูปครั้งนี้มีรัฐมนตรีไม่ครบ ทั้งนี้ระหว่างถ่ายรูป พล.อ.ประยุทธ์ได้ทักทายบรรดารัฐมนตรีอย่างเป็นกันเอง และเมื่อถ่ายรูปเสร็จก็ได้กลับขึ้นห้องทำงานของจากไทยที่ฟ้าเพื่อเปลี่ยนจากชุดขาว เป็นชุดไทยก่อนเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

"วิษณุ" แนะ กฤษฎีกาแก้ปมกฎหมายประชามติ มั่นใจผ่าน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่ ส.ว.บางส่วนระบุ หากร่าง พ.ร.บ. ประชามติผ่าน จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ ว่าบางมาตราอาจขัดรัฐธรรมนูญว่า ไม่รู้เขา ไม่รู้ว่าจะยื่นได้ด้วยหรือเปล่าด้วยซ้ำไป เพราะยังไม่ได้ดูมาตรา 10 , 11, 12 หากดูไปถึงมาตราเหล่านั้น เขาอาจจะเข้าใจและไม่สงสัยก็ได้ ถ้ายังสงสัยอยู่ก็มีสิทธิ์ยื่น 

เมื่อถามว่า ดูอย่างไรว่ามาตราเหล่านั้นจะไม่มีข้อสงสัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ นายวิษณุ กล่าวว่า ตอบไม่ถูก เพราะ กรรมาธิการ ต้องไปดูกันต่อโดยจะเริ่มดูวันที่ 1 เมษายน ซึ่งในเบื้องต้นตนได้แนะนำคณะกรรมการกฤษฎีกาไปแก้มาตรา 10 ,11 ,12 แล้วนำไปเสนอคณะกรรมาธิการ แต่ตนไม่ขอบอกว่าแนะนำไปอย่างไรบ้าง ถ้าเสียงข้างมากเค้ายอมก็เบาไปเยอะ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะยอมหรือไม่ยังไม่ได้ประชุม 

เมื่อถามว่า ตอนนี้ที่มีการแสดงความคิดเห็นต่างๆเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.ประชามติยังมีความเป็นห่วงว่า กฎหมายจะตกในวาระ 3 หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่แน่ใจ แต่ถ้าเป็นไปตามที่เราคุยกันไว้ คิดว่าไปได้ ไม่มีปัญหาอะไร มั่นใจว่าจะผ่าน เพราะเมื่อแนะนำไปแล้ว คิดว่าแก้ได้ สิ่งที่วิตกกันหมดไป ปัญหาเหลือเพียงว่า ถ้ากรรมาธิการเสียงข้างมากข้างน้อยเขาไม่ยอมกันอีก เป็นเช่นนั้น ตนก็ไม่รู้แล้ว

“สพช.ยกระดับฝีมือแรงงานนานาชาติ จัดฝึกอบรมระบบทางไกล (Online) ให้กับกลุ่มประเทศ GMS”

นางสาวสุขศรี ไล่กสิกรรม ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติ (สพช.) กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ประธานเปิดการอบรม รูปแบบการฝึกอบรมทางไกล หลักสูตรการสร้างสื่อมัลติมีเดียสำหรับการท่องเที่ยว 30 ชั่วโมง ในรูปแบบของการฝึกอบรมทางไกล ให้กับบุคลากรภาครัฐ และเอกชนระดับหัวหน้างาน ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) จำนวน 26 คน ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม -2 เมษายน 2564 ณ ห้องปฏิบัติการฝึกอบรมทางไกล สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย

นางสาวสุขศรี ไล่กสิกรรม ผอ.สพช. เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2564 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้กำหนดรูปแบบการฝึกอบรมจำนวน 3 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบปกติ รูปแบบผสมผสาน และรูปแบบทางไกล เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการฝึกอบรมอย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นการปรับกระบวนการฝึกอบรมให้สามารถดำเนินการได้ ในยุค New Normal โดยเฉพาะการฝึกอบรมรูปแบบทางไกล สถาบันได้นำมาใช้ฝึกอบรมให้กับกลุ่มประเทศ GMS และ IMT-GT ที่ปัจจุบันทุกประเทศต่างมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด และงดเว้นการเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศยังคงมีความต้องการด้านการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานอย่างต่อเนื่อง

"อนุทิน" เปิดงาน "Smart living with COVID-19" ชู ประสิทธิภาพการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 สุดเยี่ยม ตั้งมั่น ดูแลผู้ป่วยทุกคน แบบสุดความสามารถ

ที่โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ นายอนุทินชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวระหว่างการเปิดงานเสวนา Smart Living with covid-19 save ทุกลมหายใจ พาคนไทย ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ถึงประสิทธิภาพการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ระบุว่า  

กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายมุ่งเน้นให้ประชาชนแข็งแรง สิ่งที่ตามมาคือเศรษฐกิจและประเทศไทยแข็งแรง ซึ่งเราทราบกันดีว่าสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อคนไทยอย่างมาก รวมทั้งสร้างความเดือดร้อนไปทั่วโลก โดยในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข เรามีหน้าที่จัดการแก้ไขให้ผ่านไปด้วยดี

โดยช่วงเริ่มต้น การระบาดมาจากนักท่องเที่ยว ไทยได้ให้การรักษาผู้ป่วยอย่างดีจนสามารถกลับประเทศอย่างปลอดภัย สร้างความศรัทธาแก่ประชาคมโลกอย่างมาก โดยเฉพาะจีน  ผลจากการกระทำนั้นทำให้ไทยได้รับการสนับสนุนหลาย ๆ ด้านจากจีน โดยเฉพาะรัฐบาลไทยที่ได้รับการจัดสรรเวชภัณฑ์และสิ่งต่าง ๆ เป็นการตอบแทน ซึ่งมีคุณค่าทางจิตใจระหว่างสองชาติอย่างมหาศาล และหลังจากนั้นเราก็ทำงานร่วมกันเรื่อยมา โดยเฉพาะวัคซีนซิโนแวค ที่ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้ แต่ที่เราสามารถนำเข้ามาได้ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ไทยทำคุณงามความดีต่อชาวจีนจนเป็นที่ประจักษ์

ความสำเร็จของไทย ยังปรากฏให้เห็น เมื่อเทียบกับหลาย ๆ ชาติที่รักษาผู้ป่วยอย่างยากลำบาก และเลือกรักษาเฉพาะผู้ป่วยวิกฤติ  ขณะที่ไทย บุคลากรทางการแพทย์ถูกฝึกมาให้ความสำคัญกับทุกชีวิต เซฟทุกชีวิต ตามเป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุข 

ไทยทำทุกทางเพื่อรักษาทุกชีวิต เราไม่ต้องการเห็นความสูญเสียเกิดขึ้น ที่ผ่านมา ไทยมีอุปกรณ์  และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้ทุกคนที่ป่วยในประเทศนี้ได้รับการรักษาให้ดีที่สุด ดูแลทุกคนอย่างเต็มที่ ทำทุกวิถีทางให้ผู้ป่วยรอด ไม่ให้มีคำว่า “มีผู้เสียชีวิตเพราะไม่ได้รับการรักษา”  และสิ่งที่เราพูดได้เต็มปากคือ ในจำนวนผู้ที่เสียชีวิต ไม่มีใครถูกทิ้งขว้างจากระบบสาธารณสุขไทย

"นานาชาติยอมรับใน มาตรฐานการควบคุมป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีอัตราการเสียชีวิต อยู่ที่ร้อยละ 0.3 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก 7 เท่า และเมื่อเทียบกับการระบาดและรอบใหม่พบว่าอัตราการเสียชีวิตลดลงมาเหลือร้อยละ 0.1 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก 20 เท่า"

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า สิ่งที่ต้องทำคือต้อง Smart Living ต่อไป รู้ทันโรค ตั้งการ์ด สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ และต้องรุกตลอดเวลา ให้โรคแพ้เรา และนอกจาก Smart Living แล้วเราต้อง  Smart work ด้วย เป็นสิ่งยืนยันว่าระบบสาธารณสุขไทยอยู่เหนือมาตรฐานที่วางไว้ และอีกไม่นาน หวังว่าวัคซีนป้องกันโควิด19 จะเป็นตัวปิดเกม 

ซึ่งวัคซีนที่ไทยเลือก ผู้เลือกคือหมอทุกท่าน ตนฟังคำแนะนำจากคณะแพทย์และผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ใต้ชื่อแบรนด์ MIT หรือ Made in Thailand เราได้แบรนด์ระดับโลกมาผลิตในบ้านเรา คือแอสตราเซเนกา ซึ่งมีประสิทธิผลน่าพึงพอใจ  ทำให้อาการไม่รุนแรง ลดโอกาสการเสียชีวิต นี่คือเหตุผลที่คนไทยต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิด  

“ขอแสดงความยินดีกับบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน ผมภูมิใจที่ได้ทำงานกับทุกท่าน เรารักษาชีวิตแม่ลูกชาวเมียนมาร์ให้ปลอดภัย เรารักษาชีวิตแท็กซี่ อดีตผู้ป่วยก็กลับมาตอบแทนด้วยพลาสมา และได้หลักการปฏิบัติตัว เราประสบความสำเร็จในการทดลองยาฟาวิพิราเวียร์

ล่าสุดคือผู้ว่าสมุทรสาครที่เคยป่วยเข้าขั้นวิกฤติ แต่ด้วยความมุ่งมั่น และด้วยระบบการแพทย์ เราก็ Save Life ท่าน และเราจะ Save Life- Smart Living- Smart Working ให้ประเทศไทยเป็น Smart Country ต่อไป”

หลังจาก 279 นักวิชาการจี้จุฬาฯ หยุดสอบสวนวิทยานิพนธ์ 'ณัฐพล ใจจริง' อ้างเสรีภาพทางวิชาการ

ทางด้าน ดร.เวทิน ชาติกุล นักวิชาการสถาบันทิศทางไทย ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กสะท้อนต่อท่าทีดังกล่าวว่า...

ทำไมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงต้องถอดถอนปริญญา ณัฐพล ใจจริง?/ ดร.เวทิน ชาติกุล

1.) ประเด็นปัญหาของวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของณัฐพลนั้นอยู่ที่ วิธีวิทยา (methodology) ที่ณัฐพลอ้าง คือ การตีความทางประวัติศาสตร์ โดยคำนึงถึงบริบทต่างๆ ที่แวดล้อมอยู่

2.) ดังปรากฏในการอ้างของณัฐพลว่าเป็นการตีความตามบทความ "ตอบไชยันต์ ไชยพร เรื่องวิธีวิทยาทางประวัติศาสตร์"

3.) แต่สิ่งที่ณัฐพลทำจริงมิใช่การตีความประวัติศาสตร์ตามหลักฐานและบริบทที่ปรากฏเป็นจริง

4.) แต่กลับการเอาทัศนคติส่วนตนเข้าไปบิดเบือน “หลักฐาน” หรือ ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ไม่มีให้ปรากฎมีขึ้นเพื่อนำมาสนับสนุนสมมุติฐานที่ตนตั้งเอาไว้ตามทัศนคติส่วนตัวตั้งแต่แรก

5.) ประเด็นที่ อ.ไชยันต์ ได้ท้วงติงที่เป็นสาระสำคัญก็คือ มีอะไรเป็น “หลักฐาน” ระบุว่า บทบาทของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาถนเรนทร ใช้อำนาจในฐานะผู้สำเร็จราชการฯ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพื่อจะสนับสนุนสมมุติฐานกระทบคราดไปถึงสถาบันฯ ที่อาจใช้อำนาจแทรกแซงนั้นผ่านผู้สำเร็จราชการฯ

6.) ในเมื่อสิ่งที่นำมา "อ้างอิง" ว่าเป็น “หลักฐาน” นั้นไม่ปรากฏการระบุดังกล่าว สิ่งที่เป็นอยู่นี้จึงมิใช่การตีความ (interpretation) โดยตรงตามหลักฐานจริงที่ปรากฎจริง แต่ถ้าจะนับว่าเป็นการตีความก็เป็นการตีความด้วยการปลอมแปลงหลักฐานหรือ “สร้าง” หลักฐานเท็จขึ้นมานั่นเอง

7.) แม้ณัฐพลจะยอมรับผิดแต่อ้างว่าเป็น "ความผิดพลาด" (error) หากแต่ในทางจรรยาบรรณทางวิชาการนั้นความผิดพลาดดังกล่าวถือเป็นการกระทำผิดที่ก้ำกึ่งระหว่าง "การปลอมแปลงข้อมูล" (data falsification) กับ "การตบแต่งข้อมูล" (data fabrication) ซึ่งถือเป็นความผิดทางวิชาการร้ายแรงเช่นเดียวกับ "การลอกหรือขโมยผลงานทางวิชาการ" (plagiarism)

8.) ซึ่งไม่มีวงวิชาการใดในโลกยินยอมให้มี "เสรีภาพทางวิชาการ" เช่นนี้ได้ โดยเฉพาะในการเสนอหัวข้อวิจัย (dissertation) ในระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต

9.) ย้ำว่าโดยเฉพาะการทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ปริญญาเอก มิฉะนั้น ต่อไปภายภาคหน้าผู้ที่ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ปริญญาเองทุกคนก็จะเขียนอะไรมา ด้วยวิธีการอะไร ก็ได้แล้วกล่าวอ้างแบบเดียวกับณัฐพลเมื่อเกิดความผิดพลาดทางวิชาการใดๆ ที่ตนเองได้ก่อขึ้น

10.) ที่สำคัญในกรณีนี้อาจถือได้ว่ามีความร้ายแรงกว่าการลอกผลงาน

11.) เพราะการลอกผลงานทำไปโดยเห็นแก่ตัวเป็นความผิดเฉพาะตัวของผู้ลอกแต่ผู้รับสารไม่ได้รับสารที่ผิดพลาด แต่กรณีณัฐพลอาจถือได้ว่าจงใจผิดพลาด ปลอมแปลง บิดเบือนหลักฐานที่ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสังคมในวงกว้าง

12.) ซึ่งจุฬาลงกรณ์ได้พิจารณาลงโทษสถานเบาแล้ว คือ ออกคำสั่งระงับเผยแพร่วิทยานิพนธ์ดังกล่าว แต่ณัฐพลและพวกได้ฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าวของจุฬาลงกรณ์ เจตนาที่จะนำเอาข้อมูลเท็จแบบเดียวกับที่ปรากฎในวิทยานิพนธ์ให้ปรากฎสู่สาธารณะอย่างต่อเนื่องในรูปแบบต่างๆ

13.) แม้ณัฐพลจะอ้างว่าเป็นผิดพลาดแต่ในระยะเวลา 2 ปีก็มิได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อแสดงเจตนาที่จะแสดงให้สังคมได้เห็นถึง "ความผิดพลาด" ที่เกิดขึ้นแล้วของตนซึ่งได้รับการเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง อย่างที่จะแสดงให้เห็นได้ว่าตนเองนั้นสำนึกรับผิดชอบในความผิดพลาดของตนเอง อย่างจริงใจ

14.) จนเป็นมูลเหตุให้ทางราชสกุลรังสิตต้องดำเนินการฟ้องร้องเองต่อณัฐพล และผู้ร่วมเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวในทางแพ่งถึง 50 ล้านบาทเพื่อปกป้องพระเกียรติของกรมพระยาชัยนาทนเรนธร และเพื่อมิให้มีการดำเนินการบิดเบือนประวัติศาสตร์ในเรื่องความเข้าใจต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ขยายวงกว้างออกไป

15.) ในเมื่อความผิดที่สำเร็จแล้วของณัฐพลเป็นที่ประจักษ์ในข้อเท็จจริง เหลือเพียงข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณากันไปตามกระบวนการยุติธรรม การตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อถอดถอนปริญญาของณัฐพลจึงเป็นหน้าที่และอำนาจโดยชอบธรรมที่ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะสามารถกระทำได้ตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่มีอยู่

16.) ตรงกันข้ามการไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดนั้น เท่ากับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะต้นทางของเรื่องทั้งหมด กำลังปฏิเสธความรับผิดชอบต่อสังคมและมีส่วนรับรองต่อความผิดพลาด ความเสียหาย ที่เกิดขึ้นกับวงวิชาการ สังคมและประเทศชาติไปโดยปริยาย

17.) ด้วยฐานความผิด การปลอมแปลง-บิดเบือนหลักฐาน ซึ่งผิดจริยธรรมทางวิชาการที่ร้ายแรง ซึ่งเจ้าตัวรับสารภาพแล้ว

18.) ด้วยเจตนาและจงใจที่จะฝ่าฝืนคำสั่งระงับการเผยแพร่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

19.) ด้วยความไม่สำนึกในการที่จะแจ้งต่อสังคมให้ประจักษ์ต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้วโดยบริสุทธิ์ใจ

20.) ถ้าเป็นไปตามที่กล่าวมาข้างต้นก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะไม่ดำเนินการถอดถอนปริญญาณัฐพล เพราะนั่นเป็นบทลงโทษที่เหลืออยู่ ที่จะสามารถดำเนินการได้เพื่อปกป้องชื่อเสียง เกียรติยศ เกียรติภูมิของมหาวิทยาลัยมิให้เสียหายมากไปกว่านี้

.

ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3017731715172306&id=100008065207896


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

'บางแค' ใครไม่แคร์ "ผมแคร์" ดร.ตั้น - กฤชนนท์ อัยยปัญญา | Contributor EP.13

การระบาดของเชื้อไวรัสในบางแคช่วงกลางเดือนมีนาคม 2564 ซึ่งมีต้นตอจากลูกจ้างชาวพม่าในตลาดสดบางแค และเริ่มแพร่กระจายไปสู่คนในตลาดและประชาชนในพื้นที่บางแคเป็นระลอกคลื่นนั้น

สร้างผลลัพธ์เชิงลบที่เป็นภาพปรากฎอย่างว่องไว ก่อให้เกิด ‘การหยุด’ ค้าขาย และเริ่มกลัวต่อโรคระบาดที่อาจจะสะเทือนชีวิตคนบางแคแบบไม่รู้วันไหนจะแจ็กพ็อตเจอเข้าจัง ๆ . บางแค ในช่วงที่เริ่มพบกับปัญหาซบเซาด้านเศรษฐกิจ การค้าขายเงียบเหงา ก็มีเสียงสะท้อนจากประชาชนคนในพื้นที่จำนวนมากที่เริ่มกังวล จากการแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ถึงกระนั้น บางแคก็ยังโชคดี หลังจากอดีตผู้สมัครส.ส.เขตบางแค พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งไม่ใช่พ่อเมืองตัวจริงอย่าง ดร.ตั้น - กฤชนนท์ อัยยปัญญา ได้เร่งลงพื้นที่ประสานการทำงานกับทุกภาคส่วนเพื่อให้ปัญหาโรคระบาดแก้เร็ว พร้อม ๆ ไปกับช่วยดันเศรษฐกิจปากท้องให้เกิดขึ้นแบบรอบทิศ

นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวในเชิงการเมือง หรือการชิงพื้นที่เสียงคนบางแคแบบเอาหน้า เพราะนี่คือภารกิจต่อเนื่องของเขา ที่ปกติก็เทคแคร์ชาวบางแคอยู่แล้วตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากตัดสินใจมาขอเป็นครอบครัวบางแค ถึงแม้จะไม่ได้เป็นผู้แทนในเขตโดยตรง เพราะพ่าย ส.ส.ตัวจริงในพื้นที่ไปเพียงร้อยกว่าคะแนน

เครื่องมือในการช่วยแก้ปัญหา คือ 2 ขา ที่เดินเข้าไปหาปัญหา และ 1 ปาก ที่คอยประสานเพื่อจัดการแก้ไข รวมถึงเพจเฟซบุ๊กที่ตั้งขึ้นมาเฉพาะกิจอย่าง ‘ของดีบางแค’ คอยเป็นกระบอกเสียงให้คนบางแค ได้มีโอกาสเข้ามาร้องทุกข์ ทำมาค้าขาย และร่วมพูดคุยทุกเรื่องราวในบางแค บทบาทในการเทคแคร์คนบางแคที่ต่อเนื่อง มาจนถึงวันที่โรคระบาดระลอกใหม่ในบางแค เริ่มทำให้หลายคนที่อาจจะไม่ได้คุ้นเคยชายคนนี้มากนัก เริ่มรู้จักเขามากขึ้น ภายใต้ชื่อติดปากของชาวบ้านที่เรียกว่า ‘พี่ชุดขาว’

นี่คืออีกเรื่องราวของ คนนอกบางแค ที่แคร์ ชาวบางแค แม้จะไม่ใช่ ส.ส.ในพื้นที่ ดร.ตั้น - กฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

.

.

.


สนับสนุนโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ 

ลูกจ้างโครงการ กทม. มีเฮ!! ได้ค่าตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน ‘พรรคกล้า กทม.’ ขอบคุณผู้ว่าฯ รับฟังเสียงเรียกร้อง ลงนามคำสั่งจ่าย 1 เม.ย.นี้ ขอทุกหน่วยงานเร่งจ่ายค่าตอบแทน เป็นขวัญกำลังใจให้ลูกจ้างทำงานต่อไป

นายเอกชัย ผ่องจิตร์ เลขานุการกลุ่มกรุงเทพฯ พรรคกล้า กล่าวขอบคุณผู้ว่าฯ กทม. หลังจากที่ตนเองเรียกร้องขอให้จ่ายค่าตอบแทนลูกจ้างโครงการ กทม. ซึ่งค้างจ่ายมา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม โดยต่อมาเมื่อวันที่ 26 มี.ค.64 ทราบว่าผู้ว่า กทม. ลงนามในระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยค่าตอบแทนแก่บุคคลภายนอกที่ช่วยปฏิบัติราชการด้านการกีฬา วัฒนธรรม และส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก เยาวชน และประชาชน พ.ศ.2564 สามารถให้หน่วยงานได้อ้างอิงการเบิกจ่ายเงิน ค่าตอบแทน ค่าเบี้ยเลี้ยง ให้กับลูกจ้างโครงการทั้งหมดในทุกหน่วยงานและทุกสำนักงานเขตของกรุงเทพ รวมถึงการจ่ายค่าตอบแทนย้อนหลังกรณีที่ไม่ได้รับเงินค่าตอบแทนมาตั้งแต่เดือนมกราคม โดยมีผลวันที่ 1 เมษายนนี้

“ผมขอขอบคุณท่านผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ไม่ทอดทิ้งบุคลากร ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานอย่างแท้จริงในสังกัดของท่าน และแก้ปัญหา ความเดือดร้อนของลูกจ้างโครงการฯ ในกรุงเทพฯ โดยออกระเบียบดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนี้ ขอให้หน่วยงาน และสำนักงานเขตต่างๆ เร่งเบิกจ่ายเงินให้ลูกจ้างฯ ผู้ปฏิบัติงานทุกคนโดยเร็วต่อไป” นายเอกชัย กล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

‘ทิพานัน’ ชี้ ‘ธนาธร’ แพ้เลือกตั้งท้องถิ่น สะท้อนประชาชนอยากสั่งสอนอย่างชัดเจน พร้อมแนะเปิดไทยซัมมิทตั้งหมู่บ้านทะลุฟ้า ลงมือสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม อย่าเน้นพูดอย่างเดียว

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ผู้สมัครนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลในนามคณะก้าวหน้าไม่ประสบความสำเร็จในการได้รับการเลือกตั้งว่า น่าจะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า จากผลการเลือกตั้งท้องถิ่น 2 ครั้งที่ผ่านมา ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งส่วนใหญ่ได้สั่งสอนให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เห็นแล้วว่าคนไทยมีความจงรักภักดีและเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์

และเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่เชื่อถือนโยบายที่หลอกลวงและการหาเสียงที่ไม่สร้างสรรค์ของคณะก้าวหน้า ดังนั้นจึงขอให้นายธนาธรและแกนนำคณะก้าวหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ หยุดปั่นกระแสและหลอกใช้ประชาชน เยาวชน นักศึกษาให้มาชุมนุมเพื่อหวังผลสนองความเพ้อฝันส่วนตัว

นอกจากนี้ กรณีที่นายธนาธรได้ออกมาโพสต์ข้อความต่อปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐยกกำลังสลายการชุมนุมบ้านทะลุฟ้าข้างทำเนียบรัฐบาลว่าเป็นการกระทำที่รัฐล้ำเส้นประชาชนอย่างชัดเจนที่สุดนั้น เป็นความเห็นที่อยู่บนความเท็จที่บิดเบือนเลื่อนลอย และยังสะท้อนให้เห็นว่า นายธนาธรคล้ายทำนาบนหลังคน จึงอยากให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว และการสลายการชุมนุมครั้งนี้มีข้อเท็จจริงชัดเจนว่า การชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย เป็นการใช้สิทธิเกินส่วน ตำรวจได้รับการร้องเรียนจากประชาชนทั่วไป มีการแจ้งความที่ สน.นางเลิ้ง บ่อยครั้ง

และเมื่อสืบสวนทราบว่ามีการกระทำผิดตามกฎหมาย ได้แก่ การบุกรุกล้ำสถานที่สาธารณะและสถานที่ราชการ มีการลักทรัพย์สินไฟฟ้า น้ำประปา การทุบทำลายสิ่งของราชการและของประชาชน รวมถึงต่อท่อสิ่งปฏิกูลลงคลองและที่สาธารณะจนก่อความสกปรก กีดขวางประตูทางเข้าออกฝั่งถนนพระราม 5 ทำให้ผู้คนที่สัญจรไปมาได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งยังพบสิ่งผิดกฎหมายมากมายในพื้นที่ของม็อบ เช่น กัญชาแท่งครึ่งกิโลกรัม น้ำกระท่อมต้มขวดลิตร 2 ขวด และอื่นๆ ดังนั้นจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบตามกฎหมาย นายธนาธรจึงควรหยุดเสี้ยม หลอกใช้ม็อบผ่านโซเชียลได้แล้ว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ตามที่นายธนาธรกล่าวถึงการชุมนุมดังกล่าวด้วยความชื่นชมและเห็นว่าเป็นรูปแบบการแสดงออกที่สันติ หนักแน่น ทรงพลังของประชาชน และยืนยันกับแกนนำว่าเห็นด้วยและพร้อมสนับสนุนข้อเรียกร้องของชาวเดินทะลุฟ้านั้น นายธนาธรควรแสดงความจริงใจโดยลงมือสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม ไม่เน้นพูดอย่างเดียว นายธนาธรควรให้ผู้ชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้าทั้งหมดใช้พื้นที่ตึกไทยซัมมิท เนื่องจากมีน้ำประปา ไฟฟ้า สุขาที่ถูกสุขอนามัย มีพื้นที่ใช้สอยเป็นห้องจัดนิทรรศการรณรงค์เรื่องการเข้าถึงความสุขทางเพศและการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยที่ถูกสุขภาวะ มียามรักษาความปลอดภัยและน้ำดื่มสะอาดบริการอย่างพอเพียง

“สุดท้ายอยากฝากให้นายธนาธร มองย้อนอดีตจากอนาคตใหม่ สู่ก้าวไกลจนถึงก้าวหน้า แล้วตอบคำถามสังคมว่า อะไรบ้างที่เป็นผลงานเด่นเพื่อปากท้องประชาชนที่ได้ลงมือทำจริงๆ อะไรบ้างที่ลงมือทำแล้วประชาชนอยู่ดีกินดี มีความสุขมีความสามัคคี อะไรบ้างที่พัฒนาแล้วจับต้องได้ โดยไม่ต้องอ้างว่าไม่ได้เป็นรัฐบาลจึงไม่มีอำนาจ และคำถามสุดท้ายที่สังคมอยากรู้จากนายธนาธรคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขัดขวางการสร้างสรรค์พัฒนาชาติอย่างไร” น.ส.ทิพานัน ระบุ

.

ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/97599


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ก.แรงงาน จับมือ 12 องค์กร ลงนาม MOU มุ่งมั่นแก้ปัญหาแรงงานเด็กและแรงงานบังคับ

กระทรวงแรงงาน จัดพิธีประกาศเจตนารมณ์   และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ ในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม จำนวน 12 องค์กร เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในฐานะประธานเปิดพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ในสินค้าประเภทกุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่มของประเทศไทย โดยสินค้าเหล่านี้ปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุเชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ 

ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา จึงมีพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กับ  องค์กรในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม 12 องค์กร ได้แก่ สมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย  สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย สมาคมกุ้งตะวันออกไทย สมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย และคลัสเตอร์สหกรณ์กุ้งคุณภาพภาคใต้ 

เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐและเอกชนไทยที่จะดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและยังเป็นจุดเริ่มต้นในการร่วมมือกันดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยจะมีการดำเนินการตามแผนการปฏิบัติการร่วมกัน เช่น การสำรวจข้อมูลของแรงงาน การให้ความรู้แก่แรงงาน การสนับสนุนให้มีการนำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices : GLP) ไปจนถึงการตรวจสอบติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไป

ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า  ปัจจุบันสินค้าของประเทศไทยถูกจัดอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุเชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย เกิดผลทางจิตวิทยาต่อผู้ซื้อ ผู้บริโภคในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป โดยถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันสินค้า ส่งผลต่อการพิจารณาให้สิทธิพิเศษทางภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกาแก่สินค้าของประเทศไทย ทำให้กระทบต่อธุรกิจการส่งออกอันถือเป็นแหล่งรายได้หลักทางหนึ่งของประเทศ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนจะร่วมกันประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ก.แรงงาน จับมือ 12 องค์กร สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ลงนาม MOU มุ่งมั่นแก้ปัญหาแรงงานเด็กและแรงงานบังคับ

กระทรวงแรงงาน จัดพิธีประกาศเจตนารมณ์   และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ ในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม ระหว่างสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย จำนวน 12 องค์กร เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในฐานะประธานเปิดพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ในสินค้าประเภทกุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่มของประเทศไทย 

โดยสินค้าเหล่านี้ปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุเชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา จึงมีพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กับ สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ประกอบด้วย 12 องค์กร ได้แก่ สมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย  สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย

สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย  สมาคมกุ้งตะวันออกไทย สมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย และคลัสเตอร์สหกรณ์กุ้งคุณภาพภาคใต้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐและเอกชนไทยที่จะดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและยังเป็นจุดเริ่มต้นในการร่วมมือกันดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยจะมีการดำเนินการตามแผนการปฏิบัติการร่วมกัน เช่น การสำรวจข้อมูลของแรงงาน การให้ความรู้แก่แรงงาน การสนับสนุนให้มีการนำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices : GLP) ไปจนถึงการตรวจสอบติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไป

ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า  ปัจจุบันสินค้าของประเทศไทยถูกจัดอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุเชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ 

ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย เกิดผลทางจิตวิทยาต่อผู้ซื้อ ผู้บริโภคในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป โดยถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันสินค้า ส่งผลต่อการพิจารณาให้สิทธิพิเศษทางภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกาแก่สินค้าของประเทศไทย ทำให้กระทบต่อธุรกิจการส่งออกอันถือเป็นแหล่งรายได้หลักทางหนึ่งของประเทศ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนจะร่วมกันประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ศาลปกครองพิพากษาให้ ‘บุญทรงกับพวก’ ต้องชดใช้ค่าเสียหายคดีทุจริตระบายข้าว G to G มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ตามจำนวนเดิมรวมกันกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ชี้ชัดแบ่งหน้าที่กันทำ จงใจทุจริต ทำกระทรวงพาณิชย์เสียหาย

ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ผู้ฟ้องคดีที่

1 นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ผู้ฟ้องคดีที่ 2 นายอัฐฐิติพงศ์ หรืออัครพงศ์ ทีปวัชระ หรือช่วยเกลี้ยง อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ ผู้ฟ้องคดีที่ 3 นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ ผู้ฟ้องคดีที่ 4 และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ผู้ฟ้องคดีที่ 5 กับ นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 รมว.พาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 กระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 กรณีมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G)

โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ที่มีคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ลับ ที่ 453/2559 ลงวันที่ 19 กันยายน 2559 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีทั้งห้ารับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่กระทรวงพาณิชย์ กรณีการระบายข้าวโดยเจรจาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) โดยให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 3 รับผิดเป็นเงินคนละ 4,011,544,752.33 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 4 รับผิดเป็นเงิน 2,242,571,739.67 บาท และผู้ฟ้องคดีที่ 5 รับผิดเป็นเงิน 1,768,973,012.66 บาท

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ปฏิบัติหน้าที่ในการระบายข้าวโดยการแบ่งหน้าที่กันทำในลักษณะจงใจกระทำต่อกระทรวงพาณิชย์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นเหตุให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับความเสียหายตามสัญญาระบายข้าวรวม 4 ฉบับ คิดเป็นเงินจำนวน 20,057,723,761.66 บาท อันเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อคำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำและความเป็นธรรมในแต่ละกรณีแล้ว มีเหตุให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ไม่ต้องใช้เต็มจำนวนความเสียหาย ตามมาตรา 8 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 การมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดี 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 รับผิดในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหายในแต่ละสัญญาที่แต่ละคนมีส่วนเกี่ยวข้อง จึงเป็นธรรมในแต่ละกรณีแล้ว

แต่ในส่วนของผู้ฟ้องคดีที่ 3 เพิ่งมีส่วนเกี่ยวข้องเมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว การมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีที่ 3 รับผิดในอัตราร้อยละ 20 เท่ากับผู้ฟ้องคดีที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ในสัญญาฉบับที่ 1 และที่ 2 ซึ่งบางส่วนเกิดขึ้นก่อนผู้ฟ้องคดีที่ 3 จะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว จึงไม่เป็นธรรม

พิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ลับ ที่ 456/2559 ลงวันที่ 19 กันยายน 2559 เฉพาะในส่วนที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจำนวน 2,694,464,066.21 บาท ยกฟ้องผู้ฟ้องคดีที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน

ประเทศไทย 29 มีนาคม พ.ศ.2564

‘บิ๊กตู่’ จัดให้ ! ฉีดวัคซีนนศ.ไทย ได้กลับไปเรียนต่อจีนและประเทศอื่น

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จัทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม มีความห่วงใยนักศึกษาไทยที่เรียนอยู่ในต่างประเทศ แต่ยังไม่สามารถกลับไปเรียนต่อได้ เช่น นักศึกษาไทยในประเทศจีน ที่คาดว่าจะมีประมาณ 1,000 คน จึงได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุข ทำงานร่วมกัน เพื่อดูแลในเรื่องการจัดการฉีดวัคซีนแก่นักศึกษาทุกคน

ซึ่งขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่าได้จัดเตรียมวัคซีนและสถานที่ ๆ สถาบันบำราศนราดูร เพื่อดำเนินการฉีดวัคซีนไว้แล้ว เหลือเพียงการรวบรวมและจัดระบบข้อมูล และกระบวนการอำนวยความสะดวกแก่นักศึกษา ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการอยู่ ขอให้นักศึกษาสบายใจ และรัฐบาลจะแจ้งให้ทราบถึงวันที่ให้เริ่มไปรับการฉีดวัคซีน ที่จะมีให้เร็ว ๆ นี้

รฟท. เดินหน้ารถไฟความเร็วสูงไทย-จีนต่อ พร้อมลงนามก่อสร้างงานโยธาอีก 3 สัญญา คาดให้บริการได้ในปี 2569

วันที่ 29 มีนาคม 2564 ณ ห้องประชุมอาคารสโมสร กระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาการก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) จำนวน 3 สัญญา ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย 

โดยนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัทคู่สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 4-3 งานโยธาสำหรับช่วงนวนคร-บ้านโพ ผู้แทนจากบริษัท เอ.เอสแอสโซศซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไชน่า สเตท คอนสตรัคชั่น เอนยิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น ลิมิเต็ด สัญญาที่ 4-4 งานโยธาสำหรับศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย ผู้แทนจาก บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) สัญญาที่ 4-6 งานโยธาสำหรับช่วงพระแก้ว-สระบุรี ผู้แทนจาก บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสรัคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมีแขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน ร่วมเป็นสักขีพยาน

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า พิธีลงนามสัญญาการก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) จำนวน 3 สัญญา ในวันนี้ เป็นโครงการที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญในการเชื่อมไทยสู่โลก และเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสนใจและเร่งรัด ติดตามความก้าวหน้าของโครงการมาโดยตลอด และในขณะเดียวกัน เส้นทางนี้ก็จะเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ในการเชื่อมไทยไปสู่ สปป.ลาว และจีน 

โดยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 ที่เรียกว่า Belt and Road Initiative หรือ BRI ที่จะเชื่อมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปถึงยุโรปได้ด้วยทางรถไฟ โดยกระทรวงคมนาคมพยายามเร่งรัดโครงการให้เดินหน้าโดยเร็ว ล่าสุด ก็ได้มีการลงนามในสัญญาจ้างงานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (สัญญา 2.3) ของโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา) ไปเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา 

ส่วนวันนี้เป็นการลงนามในสัญญาก่อสร้างเพิ่มเติม 3 สัญญา ประกอบด้วย สัญญาที่ 4-3 งานโยธาสำหรับช่วงนวนคร-บ้านโพ วงเงินก่อสร้าง 11,525,350,500 บาท สัญญาที่ 4-4 งานโยธาสำหรับศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย วงเงินก่อสร้าง 6,573,000,000 บาท และสัญญาที่ 4-6 งานโยธาสำหรับช่วงพระแก้ว-สระบุรี วงเงินก่อสร้าง 9,428,999,969.37 บาท มีระยะเวลาก่อสร้างแต่ละสัญญา 1,080 วัน รวมวงเงินก่อสร้างทั้ง 3 สัญญา 27,527,350,469.37 ล้านบาท

ด้านนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สำหรับสัญญาที่ 4-3 งานโยธาสำหรับช่วงนวนคร-บ้านโพ ประกอบด้วย งานโครงสร้างทางรถไฟเป็นทางยกระดับ 23 กม. งานก่อสร้างทางวิ่งเข้าศูนย์ซ่อมบำรุง งานอาคารและสิ่งปลูกสร้างรองรับงานระบบรถไฟฟ้า งานระบบระบายน้ำ งานรื้อย้ายรางและระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ สัญญาที่ 4-4 งานโยธาสำหรับศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย ประกอบด้วย ทางรถไฟระดับพื้นในศูนย์ซ่อมบำรุง งานอาคารภายในศูนย์ซ่อมบำรุงรวมถนนต่อเชื่อม ได้แก่ อาคารระบบซ่อมบำรุงขบวนรถไฟ 19 อาคาร อาคารควบคุมระบบการจัดการเดินรถและฝึกอบรม 4 อาคาร  อาคารสำหรับระบบซ่อมบำรุงทาง 8 อาคาร งานก่อสร้างถนนงานระบบระบายน้ำและงานรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ

สัญญาที่ 4 - 6 งานโยธาสำหรับช่วงพระแก้ว-สระบุรี ประกอบด้วย งานโครงสร้างทางรถไฟ ระยะทางรวม 31.60 กม. แบ่งเป็น คันทางระดับดิน 7.02 กม. และทางยกระดับ 24.58 กม. งานอาคารและสิ่งปลูกสร้างรองรับงานระบบรถไฟฟ้า 7 แห่ง รวมทั้งงานรื้อย้ายสถานีเดิม งานปรับปรุงย้ายถนนเดิม งานก่อสร้าง สะพานข้ามทางรถไฟ งานระบบระบายน้ำ และงานรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ 

ภายหลังเปิดงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวในตอนท้ายว่า โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) ถือเป็นเส้นทางที่มีความสำคัญเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 (Belt and Road Initiative: BRI) ที่เชื่อมโยงโครงข่ายระบบรางของไทย อาเซียนและจีนให้เป็นหนึ่งเดียว 

โดยเมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็นการยกระดับมาตรฐานรถไฟไทย ให้มีความเจริญก้าวหน้า เป็นการลงทุนเพื่อวางรากฐานความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของไทยในระยะยาว สนับสนุนให้ประเทศเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ของภูมิภาค สร้างโอกาสใหม่ทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว กระจายรายได้ นำความเจริญสู่ท้องถิ่นตลอดแนวเส้นทางโครงการ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top