Thursday, 12 December 2024
POLITICS

"จุรินทร์" ลั่น ​เดินหน้าแก้รธน. ฝันอยากเห็น​ 3​ ฝ่าย จับมือฝ่าปัญหา เมิน "ศรีสุวรรณ" ร้องป.ป.ช. ฟัน​ 208​ ส.ส.-ส.ว.เห็นชอบร่าง รธน.วาระ​ 3​ ย้อน! ถ้าผิด​ คนลงมติให้โหวตก็ผิดด้วย

นายจุรินทร์​ ลักษณวิศิษฏ์​ รองนายกรัฐมนตรี​ และรมว.พาณิชย์​ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์​ ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล​เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา​ จะต้องมีการพูดคุยพรรคพลังประชารัฐด้วยหรือไม่ ว่า ในฐานะที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลคงต้องหารือด้วยกัน แต่บังเอิญว่าเริ่มต้นที่ได้คุยกันมี 3 พรรคการเมือง จึงยังไม่ได้พูดคุยกับพรรคพลังประชารัฐ แต่จากนี้ไปเป็นหน้าที่ของวิปรัฐบาลที่จะไปหารือเรื่องรัฐธรรมนูญที่ถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดในการที่จะเข้าสู่สภา

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะต้องขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญหรือไม่​ นายจุรินทร์ กล่าวว่า​ ในสมัยประชุมหน้า สามารถเสนอได้ ส่วนการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญขึ้นอยู่กับรัฐบาล

เมื่อถามว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสามารถทำได้ในรัฐบาลชุดนี้หรือไม่​ นายจุรินทร์​ กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุดในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์จะใช้ความพยายาม เพราะ การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาสำคัญไม่แพ้ปัญหาการเมือง หากว่าการเมืองนิ่งการเมืองสงบ ทุกอย่างเดินหน้าไปด้วยความเรียบร้อย การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจก็จะราบรื่นขึ้น นี่คือหัวใจสำคัญ 

ฉะนั้นถือว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเสริมการแก้ไขเศรษฐกิจด้วย และเป็นทางออกให้กับประเทศ ในสถานการณ์ที่ตนได้เรียงมาเป็นลำดับ​รวมทั้งปัจจุบันด้วย​ จะได้ไม่​เป็นเหยื่อในทางการเมืองโดยไม่จำเป็น เพราะการที่จะพาประเทศไปสู่การเป็นประชาธิปไตย เป็นทิศทางที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว

เมื่อถามว่าจะพยายามผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญใน​ 2 ปีที่เหลืออยู่ใช่หรือไม่​ นายจุรินทร์​ กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุดพรรคประชาธิปัตย์พยายามผลักดัน อันนี้ถือเป็นทิศทางที่ได้พุ่งไปตั้งแต่ต้น ที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าได้ทำหน้าที่จนวาระสุดท้าย นั่นคือการลงมติเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3

เมื่อถามว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราเป็นทางออกที่ดีที่สุดใช่หรือไม่ นายจุรินทร์​ กล่าวว่า ในสถานการณ์ขณะนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับมีเครื่องหมายคำถาม และดูเหมือนข้อถกเถียงยังไม่ได้ข้อยุติ ว่าสุดท้ายต้องไปทำประชามติก่อนวาระ 1 หรือไปทำประชามติหลังผ่านวาระ 3 ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ​ ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่

เมื่อถามถึงกรณีนายศรีสุวรรณ​ จรรยา​ เลขาธิการองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยยื่น​ ป.ป.ช.เอาผิด​ ส.ส.และ​ ส.ว.ที่ลงมติวาระ​ 3​ จำนวน​ 208​ คน จะส่งผลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่​ นายจุรินทร์​ กล่าวว่า การลงมติให้ความเห็นชอบแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระที่ 3 เป็นไปตามมติของรัฐสภา เพราะก่อนที่ทุกคนจะลงมติเห็นชอบก็เป็นมติของที่ประชุมรัฐสภาว่าจะให้มีการลงมติในวาระที่ 3​ ตนถือว่าการลงมติในวาระที่ 3 เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบทุกประการ 

ไม่ได้มีปัญหาอะไร และถ้ามีปัญหาคงมีปัญหาทุกคน เพราะคนที่ไปร้องก็ถูกตั้งข้อสังเกตเหมือนกันว่า ทำไมจึงร้องเฉพาะคนที่ลงมติเห็นชอบ แต่ไม่ร้องคนที่ลงมติไม่เห็นชอบ หรือไม่ร้องคนที่มีมติให้รัฐสภาลงมติในวาระที่ 3 ทำไมถึงเว้นไว้ แต่ตนไม่ได้หมายความว่าให้ไปร้องทุกคน เพียงแต่มีข้อสังเกต เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้คนที่ลงมติเห็นชอบในวาระที่ 3 กลายเป็นเป้าหมายในการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้นายจุรินทร์เคยระบุว่าจะแก้อำนาจ​ ส.ว. และญัตตินี้เคยถูกตีตกไปแล้วครั้งหนึ่ง มั่นใจหรือไม่ว่าในการยื่นครั้งต่อไปจะได้เสียงสนับสนุนจากส.ว. นายจุรินทร์​ กล่าวว่า เราก็ต้องทำหน้าที่ของเรา​ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรไม่ได้อยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียวหรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่มติของที่ประชุมร่วมรัฐสภา และขึ้นอยู่กับสมาชิกวุฒิสภาไม่น้อยกว่า 1 ใน 3​ และเสียงฝ่ายค้านไม่น้อยกว่า​ 20% 

เป็นเงื่อนไขบังคับที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนเอาไว้ ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้ยาก แต่เราก็ต้องฝ่าด่านนี้ไป
ไม่เช่นนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำไม่ได้เลย ยืนยันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นทางออกของประเทศทางหนึ่ง และจะส่งผลดีต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ประชาชนอยากเห็นอยู่ด้วย การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองต้องไปด้วยกัน

เมื่อถามว่า​ เป็นไปได้หรือไม่ที่ 3 ฝ่ายคือฝ่ายรัฐบาล​ ฝ่ายค้านและสมาชิกวุฒิสภา จะจับมือกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ​ นายจุรินทร์ กล่าวว่า​อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น และตนเคยพูดมาแล้วว่าอยากให้ 3 ฝ่ายได้คุยกัน หาทางออกร่วมกันเพื่อนำไปสู่ข้อสรุป ซึ่งนำมาซึ่งข้อสรุปในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่ตัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

‘ศรีสุวรรณ จรรยา’ จี้สภา สอบ ‘ส.ส.เจี๊ยบ นครปฐม’ ผิดจริยธรรมร้ายแรง หลังโผล่ร่วมม็อบ 20 มีนา ชี้เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหลายฉบับ

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า วันที่ 23 มี.ค.นี้ตนได้ส่งหนังสือร้องเรียนไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้สอบสวนและเอาผิดนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กรณีเข้าร่วมชุมนุมประท้วงกับกลุ่ม RE-DEM เมื่อ 20 มีนาคมที่ผ่านมา ที่บริเวณท้องสนามหลวงและถนนราชดำเนิน ซึ่งเป็นการจัดชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมายหลายฉบับ มีการทำลายและเผาป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในชาติบ้านเมือง เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของทางราชการเสียหายและมีผู้บาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก

นางอมรัตน์ มีสถานะเป็นถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกียรติ แต่กลับลดตัวลงมาคลุกคลีร่วมกิจกรรมการชุมนุมกับกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้ง ๆ ที่ย่อมรู้ได้ว่าเป็นการจัดการชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมาย จึงถือได้ว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ซึ่งตาม ป.อาญา ม.83 ระบุว่า “ในกรณีความผิดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น”

การชุมนุมเมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการฝ่าฝืน ม.14 แห่ง พรบ.ชุมนุมสาธารณะ 2558 ฝ่าฝืน ม.9 แห่ง พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 ฝ่าฝืน ม.34(6) แห่ง พรบ.โรคติดต่อ 2558 รวมทั้งฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา ม.116 ม.209 ม.210 และม.215 รวมทั้ง พรบ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง 2535 อีกด้วย

ที่สำคัญการเข้าร่วมชุมนุม โดยพยายามที่จะแสดงออกว่าตนเองมิใช่ “เตี้ยหลังม็อบ” ที่ถูกตั้งฉายานาม แต่พยายามจะสื่อสารผ่านเฟซบุ๊กของตนว่าตนเองอยู่หน้าม็อบเสมอนั้น แต่ทว่ากลับเป็นม็อบที่นำไปสู่การทำผิดกฎหมายอย่างมากมายข้างต้น การแสดงออกของ ส.ส.อมรรัตน์ จึงเป็นประจักษ์พยานที่ตอกย้ำพยานหลักฐานว่าเป็นพฤติการณ์ที่อาจฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯ 2561 อย่างร้ายแรง ในข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 12 และข้อ 17 ซึ่งเป็นมาตรฐานทางจริยธรรม ตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 ม.219 บัญญัติไว้

นอกจากนั้นการกระทำดังกล่าวยังอาจเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับ ว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ 2563 อย่างร้ายแรงอีกฉบับหนึ่งด้วย โดยเฉพาะในข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 9 และข้อ 10 ซึ่งกำหนดว่า ส.ส.ต้องจงรักภักดีและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเคร่งครัด ต้องรักษาไว้และปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด และต้องรักษาไว้ซึ่งชื่อเสียงของสภาผู้แทนราษฎร และไม่กระทำการใด ๆ อันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของประเทศชาติและสภาผู้แทนราษฎรอีกด้วย

สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงได้ส่งคำร้องไปยังท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายหรือข้อบังคับ เพื่อลงโทษขั้นสูงสุด

ราเมศ เผยคณะกรรมการกฎหมาย นัดถกยกร่าง แก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกฎหมายพรรค ได้กล่าวถึงความคืบหน้าในการยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราว่า

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคได้สั่งการให้ฝ่ายกฎหมายพรรคจัดทำการยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ซึ่งข้อมูลทั้งหมดตั้งแต่เริ่มทำเรื่องแก้รัฐธรรมนูญมีครบถ้วนแล้ว ฝ่ายกฎหมายจะได้มีการนัดประชุมในวันพรุ่งนี้ 24 มีนาคม เวลา 14.00 น. ที่พรรค เพื่อเริ่มต้นทำเป็นต้นร่าง มีร่างเดิมที่ได้เตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้วคือ มาตรา 256 และมาตรา 272 และมีประเด็นเรื่องระบบเลือกตั้ง 

รวมไปถึงประเด็นการตรวจสอบถ่วงดุลในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และเรื่องสิทธิชุมชน เป็นประเด็นเบื้องต้น ทำแยกเป็นรายฉบับ และไม่มีการแก้ไขในหมวด 1 และ หมวด 2 เมื่อดำเนินการเสร็จก็จะได้นำเสนอหัวหน้าพรรคต่อไป ฝ่ายกฎหมายคาดว่าจะเสร็จทันก่อนเปิดสมัยประชุมสามัญ 

นายราเมศกล่าวต่อว่า ทุกฝ่ายควรจริงใจในการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น หากทุกคนคิดเพื่ออนาคตในเรื่องประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศ เชื่อว่าจะเดินไปได้

กองทัพไทยแถลงข่าวปฏิเสธรายงานการส่งข้าวสาร 700 กระสอบช่วยกองทัพพม่าชายแดนริมแม่น้ำสาละวิน โดยอ้างในวันเสาร์ (20 มี.ค) ว่า การขนส่งข้าวสารตามรายงานสื่อฝ่ายไทย เป็นการค้าขายตามพรมแดนตามปกติ

ด้านแม่ทัพภาค 3 พลโท อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ อ้าง “นี่ไม่ใช่การส่งเสบียงให้ ทหารเมียนมา แต่ทางเมียนมาฝากซื้อข้าวของ ข้าวสาร ของใช้ต่าง ๆ จากฝั่งไทย”

รอยเตอร์รายงานวันเสาร์ (20 มี.ค) ว่า การช่วยใดๆ โดยตรงที่ออกมาจากไทยไปยังพม่าที่อยู่ภายใต้การรัฐประหารนั้น จะเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักออกมาจากนานาชาติโดยเฉพาะโลกตะวันตกที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งของ อองซานซูจี ผู้นำประชาธิปไตยพม่า

ขณะเดียวกันจากเพจ The Reporters ได้รายงานเมื่อวันที่ 20 มี.คที่ผ่านมา โดยอ้างรายงานข่าวจากหน่วยงานด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย - พม่า ใน ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอนพบว่า หน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยแห่งหนึ่ง ได้จัดส่งมอบข้าวสารและเสบียงอาหาร ให้แก่กองกำลังทหารพม่า ที่ตั้งที่ฐานปฏิบัติการอยู่ในรัฐกะเหรี่ยงบริเวณริมแม่น้ำสาละวิน โดยเป็นข้าวสารจำนวนอย่างน้อย 700 กระสอบ

แหล่งข่าวด้านความมั่นคงกล่าวตามการรายงานของสื่อไทยว่า “การขนเสบียงครั้งนี้ทราบว่าได้รับคำสั่งมาจากส่วนกลางของรัฐบาลไทย และรถบรรทุกขนข้าวเหล่านี้มาจาก อ.แม่สอด จ.ตาก การที่กองกำลังฝ่ายความมั่นคงของไทยยอมส่งเสบียงให้ทหารพม่าครั้งนี้ ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นการไม่สมควร เพราะเป็นปัญหาภายในพม่า ที่สำคัญคือ สังคมโลกกำลังจับตาดูการระทำอันรุนแรงที่กองทัพพม่ากำลังทำกับประชาชน ดังนั้นการส่งเสบียงให้ เท่ากับเป็นการสนับสนุนให้ทหารพม่าทำร้ายประชาชน”

ซึ่งชายแดนไทยที่ติดกับรัฐฉาน ภายหลังจากที่สภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน (RCSS หรือ SSA) ที่นำโดยพลเอกเจ้ายอดศึก ประกาศให้การคุ้มครองผู้ที่หลบหนีการรัฐประหารจากทหารพม่า ทำให้สถานการณ์หลายพื้นที่เกิดความตึงเครียด

พลเอกเจ้ายอดศึก เปิดเผยว่ายังไม่มีรายงานว่าบริเวณชายแดนรัฐฉาน-ไทย มีการขนส่งเสบียงให้กับทหารพม่า แต่อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา SSA ได้ประกาศไปแล้วว่าจะให้การคุ้มครองประชาชนที่หลบหนีมาจากสถานการณ์รัฐประหารของทหารพม่า

รอยเตอร์รายงานอีกว่า พล.ต.อำนาจ ศรีมาก ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 4 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังนเรศวรกล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า “กองทัพไม่ได้ส่งปัจจัยให้กับกองทัพพม่า และไม่มีการติดต่อจากพม่าก่อนหน้าเพื่อร้องขอความช่วยเหลือหรือเรียกร้องการสนับสนุนจากทางเราเพราะพวกเขาเองก็มีเกียรติยศ”

และเสริมต่อว่า “ซึ่งหากว่ามีอะไร ผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องการค้าขายข้ามพรมแดนตามปกติ” พล.ต.อำนาจยืนยันว่า “ทางเราไม่ได้ปิดกั้นหากว่าการปฏิบัติไม่ได้ละเมิดกฎหมายและเป็นไปตามระเบียบศุลกากร”

รอยเตอร์กล่าวว่า สื่อไทยได้รายงานว่า สหภาพชนชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union-KNU) หรือ KNU ได้ตัดเส้นทางลำเลียงเสบียงของหน่วยทหารพม่าที่ประจำอยู่ตามจุดต่างๆ ในรัฐกะเหรี่ยงบริเวณชายแดนริมแม่น้ำสาละวิน

ทั้งนี้จากการให้สัมภาษณ์ของ พลโท อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาค 3 ได้กล่าวชี้แจงถึงปมข้าวสาร 700 กระสอบว่า...

“ที่ผ่านมา ทหารเมียนมา ฝากซื้อข้าวของ ข้าวสาร ของใช้ต่างๆ จากฝั่งไทย โดยประสานผ่าน คณะกรรมการชายแดนระดับท้องถิ่น (TBC: Township Border Committee)มาเป็นปกติ เพราะซื้อจากฝั่งเมียนมา จะขนส่งไกลกว่า แต่ซื้อฝั่งไทย สะดวกกว่ามาก ถือเป็นการช่วยเหลือกันถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เพราะความสัมพันธ์ทางทหารเป็นไปด้วยดี

“เพราะที่ผ่านมาเวลาเรามีปัญหาอะไร คนไทยไปเกิดเรื่องในฝั่งเมียนมา เราก็จะประสานผ่านคณะกรรมการTBC ในการช่วยเหลือดูแล และการส่งคนไทยในเมียนมากลับประเทศ เมื่อเกิดปัญหา ฝ่ายทหารเมียนมา เขาก็ฝากเราซื้อของ ทำกันแบบนี้มายาวนานและถือเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในฝั่งไทยในการซื้อข้าวสาร ของใช้ต่างๆ จากพ่อค้าแม่ค้า ภาคเอกชนไทย แล้วส่งไปให้ฝั่งเมียนมา”

พลโท อภิเชษฐ์ ยังได้กล่าวอีกว่า "ปัญหาที่อาจถูกนานาชาติกดดันจากการที่อาจเห็นว่าฝ่ายไทยให้การสนับสนุนพม่าในการส่งเสบียง อันนั้น เป็นเรื่องการเมือง เพราะคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นTBC ไม่ได้ทำงานเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง เป็นเรื่องประสานงานความสัมพันธ์ทางทหาร และการร่วมดูแลชายแดนและดูแลประชาชน2 ฝั่งให้สงบเรียบร้อย ไม่มีปัญหาระหว่างกัน”

สำนักข่าวบีบีซีภาคภาษาไทยรายงานในวันเดียวกัน (20) ว่า กะเหรี่ยง KNU อ้างมีการปิดล้อมพื้นที่ในเขตอิทธิพลของ KNU ในเมียนมา ทำให้กองทัพเมียนมาต้องหันมาลำเลียงสินค้าผ่านทางไทยแทน

โดยชี้ว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU ด้านชายแดนไทย - เมียนมา จ.ตาก เปิดเผยเมื่อ 20 มี.ค. ยืนยันว่า “ทางทหารรัฐบาลเมียนมา ได้ส่งข้าวสาร จำนวน 700 กระสอบ พร้อมด้วยเนื้อกระป๋อง น้ำมันพืช และใบชาแห้งถูกลำเลียงมาจากฝั่ง จ.เมียวดี เมียนมา เข้ามาที่ อ.แม่สอด จ.ตาก แล้วลำเลียงส่งไปที่ ริมชายหาดแม่น้ำสาละวิน บริเวณ ด้าน อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน แล้วส่งข้ามแม่น้ำไปฝั่งเมียนมา ทั้งนี้เพื่อส่งให้ทหารเมียนมาตามฐานปฏิบัติการริมแม่น้ำสาละวิน หลังจากนั้นจะลำเลียงด้วยเรือหางยาวไปส่งให้ทหารเมียนมา”

แหล่งข่าวจาก KNU กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้พลโท โก่โก่ หม่อง แม่ทัพภาคตะวันออกเฉียงใต้ ได้ประสานมายังกองทัพภาคที่ 3 ของไทยเพื่อขออำนวยความสะดวก ซึ่งทางฝ่ายไทยไม่ได้ตอบรับตกลง และทำให้ทหารเมียนมาว่าจ้างเอกชนฝ่ายไทยให้ทำการขนส่งให้เอง

นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ของสหภาพชนชาติกะเหรี่ยง KNU ออกมาในวันอาทิตย์ (21) ได้ระบุว่า คัดค้านกรณีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดที่จะส่งเสบียงให้ทหารพม่าในพื้นที่กองพล 5 โดยระบุว่าว่าเคเอ็นยู "จะไม่รับผิดชอบใดๆ"

ขณะที่ฟากชาวบ้านแม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ได้ระบุว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่า กองข้าวสาร 700 กระสอบ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสาละวิน เป็นของใคร ชาวบ้านห่วงความปลอดภัย หากเป็นของทหารพม่า ก็ขอให้รัฐบาลไทยดำเนินการนำออกจากพื้นที่โดยเร็ว เพราะทาง KNU คัดค้านการส่งเสบียง หวั่นเกิดการปะทะที่ชายแดนไทย


ที่มา: https://www.facebook.com/119425428118611/posts/3998603250200790/

'บิ๊กป้อม' ลั่น พปชร.ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ยักไหล่ 'ปชป.-ภท.' ไม่ชวนร่วมแก้รธน. ชี้ จ่อนัดพรรคร่วมมาคุย

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีว่าได้มีแนวคิดตั้งพรรคสำรองหรือไม่ ว่า "ไม่มีแนวคิด" เมื่อถามว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจจะไม่เสร็จภายในสมัยรัฐบาลนี้ จึงควรจะมีการตั้งพรรคสำรองไว้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ไม่รู้ ผมไม่ได้ทำ"

เมื่อถามว่า จะหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่  พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เดี๋ยวค่อยคุยกัน 

เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) จับมือกันโดยไม่ได้ชวนพรรคพปชร. เข้าร่วม หัวหน้าพรรคพปชร. กล่าวว่า ถึงอย่างไรก็ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ในพรรคร่วมรัฐบาลคงต้องพูดคุยกันอยู่แล้ว ขณะนี้ยังไม่เจอกัน ถ้าเจอก็จะคุยกัน

เมื่อถามว่า เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจจะทำให้เป็นประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในพรรคร่วมรัฐบาล พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ไม่มีๆ อะไร" เมื่อถามว่า จะต้องนัดพบกระชับมิตรกันเหมือนในครั้งก่อนหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ไม่มีอะไร พวกคุณไปคิดกันเองทั้งนั้น เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคการเมืองก็ต่างคนต่างคิดกัน ไม่เป็นไร"

เมื่อถามว่า กรณีของน.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพปชร. และกรณีนายชาดา ไทยเศรษฐ์ส.ส.อุทัยธานี พรรคภท. จะถือว่าเจ๊ากันหรือไม่ หัวหน้าพรรคพปชร. กล่าวว่า "ไม่รู้ แล้วแต่พวกคุณจะคิดอย่างไร ยืนยันไม่มีอะไรหรอก"

เมื่อถามว่า พรรคพปชร. จะอยู่ยาวนานถาวรใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรคพปชร. กล่าวว่า ก็ตั้งมา 2 ปีกว่าแล้ว ยืนยันไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ

"แรมโบ้" ประณามบุคคลโพสต์โซเชียลลักษณะคุกคามบุตรสาวนายกฯ ถือเป็นพฤติกรรมถ่อย สมควรถูกดำเนินคดีไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ระบุหากคิดจะเป็นนักเลงคีย์บอร์ด ต้องมีสติ ปัญญา คิดก่อนโพสต์เพราะอาจทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถือว่า สันดานถ่อยเลวที่สุด

23 มีนาคม พ.ศ. 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงที่มีบุคคลโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลในลักษณะคุกคามบุตรสาวนายกฯ โดยขอประณามการกระทำดังกล่าว เพราะถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควรกระทำอย่างยิ่ง มีการโพสต์ออกสื่อสาธารณชนถือเป็นการคุกคามบุคคลอื่น ทั้งที่บุตรสาวนายกฯไม่เคยทำให้ใครได้รับความเดือดร้อนเลย และไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับใคร ทั้งนี้ตนเองยังมองว่าบุคคลที่มีพฤติกรรมเช่นนี้สมควรที่จะถูกดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด

นายเสกสกลระบุว่าแม้ว่าบุคคลที่โพสต์ข้อความอาจจะไม่ชอบนายกฯหรือรัฐบาลจะออกมาประท้วง เดินขบวนเรียกร้อง นายกฯก็ไม่เคยห้ามการชุมนุม ขอเพียงอย่าสร้างความรุนแรงและทำผิดกฎหมาย แต่ไม่ควรที่จะออกมาโพสต์ข้อความคุกคามเช่นนี้ ถือว่าเลวถ่อยที่สุด

"คนที่มีความคิดเลว ๆ ถ่อย ๆ เช่นนี้สมควรที่จะถูกดำเนินคดีให้โดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับบุคคลอื่นอีก และหากคิดอยากจะเป็นนักเลงคีย์บอร์ดแล้วก็จะต้องมีสติ ปัญญา คิดให้รอบคอบก่อนโพสต์ข้อความต่าง ๆ เพราะอาจทำให้คนอื่นได้รับความเดือดร้อน อย่าเอาแต่สนุกตัวเองจนลืมนึกถึงความรู้สึกของคนอื่น การกระทำเช่นนี้ไม่ควรให้อภัย

ตนขอเรียกร้องให้ประชาชนที่รักความถูกต้องในสังคมไทยหรือองค์กรปกป้องสิทธิสตรีและครอบครัวได้ช่วยกันประณามบุคคลที่ก้าวล่วงครอบครัวทุกคนในประเทศนี้ จะเป็นการคุกคามครอบครัวใครก็ตามไม่ควรจะกระทำ แม้กระทั่งในกรณีคุกคามไปถึงครอบครัวนายกฯทั้งที่บุตรสาวของนายกฯ ซึ่งไม่เคยมายุ่งเกี่ยวการเมืองยังเอามาโพสต์ทำลายได้ จิตใจคนพวกนี้ทำด้วยอะไร ขอพวกเราช่วยกันขจัดคนชาติชั่วประเภทนี้ออกไปจากสังคมไทย

ตนเองถือว่า เลวชั่วช้า หยาบคายและถ่อยที่สุด พวกนักเลงโจรคีย์บอร์ด พวกโจรจิตวิปริตเหล่านี้ ที่ออกมาโพสต์ ต้องไม่ให้มีที่ยืนในสังคมไทย และต้องรีบดำเนินการตามกฎหมายอย่างเร่งด่วน จับกุมตัวมาดำเนินคดีไปนอนอยู่ในคุกให้เร็วที่สุด จะได้ไม่ไปกระทำความชั่วหรือความคิดเลวๆ โพสต์คุกคามระรานครอบครัวคนอื่นได้อีกในวันข้างหน้า" นายเสกสกล กล่าว

‘ดร.นิว’ ถาม ‘ประจักษ์ ก้องกีรติ’ ร้องไห้ขนาดนี้ทำไมไม่ติดคุกแทนลูกศิษย์ หรือออกมานำม็อบเอง.?

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Suphanat Aphinyan ว่า

น้ำตาอาจารย์หรือน้ำตาอา...?

ร้องไห้ขนาดนี้ ทำไมประจักษ์ถึงไม่ออกมานำม็อบเอง?

ร้องไห้ขนาดนี้ ทำไมประจักษ์ถึงไม่ติดคุกแทนลูกศิษย์?

ประจักษ์เป็นอาจารย์ประเภทไหน? สอนแบบไหน? ทำไมลูกศิษย์ถึงได้ติดคุก?

ประจักษ์มีส่วนทำให้ลูกศิษย์ติดคุกด้วยหรือไม่? ประจักษ์ยุยงปลุกปั่นอะไรลูกศิษย์บ้างหรือเปล่า?

ประจักษ์ ก้องกีรติ อยู่ในเครือข่ายอาจารย์สามนิ้วของ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ใช่หรือไม่?

ผู้ปกครองนักศึกษาธรรมศาสตร์จะปล่อยให้คนอย่างประจักษ์ ก้องกีรติ และบรรดาอาจารย์สามนิ้วในเครือข่ายของชาญวิทย์ เกษตรศิริ สอนบุตรหลานต่อไปอีกนานแค่ไหน?

เมื่อไหร่เครือข่ายของชาญวิทย์ เกษตรศิริ จะหมดไปจากธรรมศาสตร์?

นานแค่ไหนแล้วที่นักศึกษาธรรมศาสตร์ต้องติดคุก ในขณะที่อาจารย์ธรรมศาสตร์กลุ่มนี้อยู่รอดปลอดภัยมาโดยตลอด?

อาจารย์กลุ่มนี้เห็นลูกศิษย์นักศึกษาเป็นอะไรกันแน่?

#ปฏิรูปธรรมศาสตร์

#อาจารย์สามนิ้วออกไป

#ให้ชาญวิทย์จบที่รุ่นเรา

'อนุทิน' เตรียมฉีดวัคซีนเข็ม 2 บ่ายนี้ เผย รัฐเล็งหนุน องค์การเภสัชฯ ผลิต 'วัคซีนไทยแลนด์'

วันที่ 23 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า บ่ายสองโมงวันนี้ ตนจะฉีดวัคซีนซิโนแวค เข็มที่ 2 ส่วนกรณีที่องค์การเภสัชกรรม ได้ฉีดวัคซีนให้กับอาสาสมัคร ซึ่งเป็นวัคซีนที่คนไทยผลิตเองจากเชื้อตายโควิด-19 นั้น เป็นวัคซีนที่ร่วมพัฒนากับสถาบันทางการแพทย์ของสหรัฐอเมริกา 

ซึ่งเท่าที่ฟังจากนพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ว่าวัคซีนตัวนี้ทำมาจากเชื้อตายของโควิด-19 ที่ใช้ไข่ไก่สด ซึ่งทางองค์การเภสัชกรรมมีเทคโนโลยีนี้ และมีโรงงานวัคซีนนี้อยู่แล้ว จึงได้มีการพัฒนาและวิจัยขึ้นมา จนมาถึงขั้นที่ได้ฉีดในอาสาสมัคร จำนวนกว่า 100 คน ซึ่งกว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้เขาก็ต้องผ่านเฟส 1 เฟส 2 เฟส 3 มาแล้ว ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนและเป็นไปตามมาตรฐานทุกอย่าง 

นายอนุทิน กล่าวว่า ถ้าเราสามารถทำตรงนี้ได้ เราก็จะมีวัคซีนไทยแลนด์ ซึ่งคนที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีก็คือคนไทย โดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งการพัฒนาก็จะเป็นไปในหลายรูปแบบ ทั้งการผลิตวัคซีนเองและมาฉีดให้คนไทยเอง โดยทราบว่าความสามารถในการผลิต คือ 30 ล้านโดส ต่อปี นี่คือเบื้องต้น

แต่ถ้ามันเวิร์ค กำลังการผลิตเราสามารถขยายได้ในอนาคต ขนาดบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ยังผลิตได้ตั้ง 200 ล้านโดส ต่อปี สิ่งเหล่านี้คือการทำให้คนไทยทุกคนมั่นใจได้เลยว่าวันนี้วัคซีน เราไม่จำเป็นต้องพูดถึง ไม่ใช่ประเด็นหลักแล้ว ตอนนี้มาคิดแค่ว่าจะทำอย่างไรที่จะเปิดประเทศ ถ้าวัคซีนมาเราต้องคิดแล้วว่าต้องเอาไปจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวก่อน เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย ตามเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ เจ้าหน้าที่ด่านหน้าเราสามารถควบคุมได้หมดแล้ว เมื่อแอสตราเซเนกาเข้ามา ก็จะกระจายไปยังคนไทยทุกคน ซึ่งเป็นไปตามแผนที่เราได้วางไว้ ไม่มีอะไรดีเลย์หรือล่าช้าเลย

เมื่อถามว่า รัฐบาลสนับสนุนการผลิตวัคซีนของทางองค์การเภสัชกรรมด้วยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตอนนี้องค์การเภสัชกรรมใช้เงินของตัวเองอยู่ ถ้าสำเร็จเขาก็คงมาขอให้ภาครัฐช่วยพิจารณาให้การสนับสนุน 

อนุทินย้ำ ! อย่าตกใจ ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งยันไม่ใช่ระลอก 3 แค่คลัสเตอร์เท่านั้น มั่นใจไม่กระจาย คาดให้อยู่โรงพยาบาลสนาม 10 วัน

วันที่ 23 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการประสานงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการตั้งโรงพยาบาลสนาม ที่สโมสรตำรวจถนนวิภาวดี ว่า ทางพล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ผบช.สตม.) ได้โทรศัพท์พูดคุยกับตนหลายวันแล้ว และได้มีการเตรียมความพร้อมการสร้างโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ที่ติดเชื้อที่ลักลอบเข้าเมืองมา 

ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุม และเป็นสิ่งที่ได้เตรียมการบริหารจัดการเป็นอย่างดี โรงพยาบาลสนามสามารถเกิดขึ้นมาได้ด้วยในระยะเวลาอันสั้น เชื่อว่าทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีโรงพยาบาลตำรวจ และมีแพทย์ตำรวจ ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขหากมีการร้องขอสิ่งใดมาเราก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุน เบื้องต้นให้การแนะนำไปในเรื่องของแนวทางต่างๆว่าควรจะปฏิบัติต่อผู้ที่เรานำเขามารักษาในโรงพยาบาลสนามนั้นอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่าแต่เมื่อประชาชนทั่วไปเห็นตัวเลขรายวันที่เพิ่มขึ้นแล้วก็รู้สึกตกใจ นายอนุทิน กล่าวว่า ส่วนใหญ่คนเหล่านี้ไม่แสดงอาการ ดังนั้นเมื่อเจอตัวเขาก็ต้องนำมารับการรักษาในโรงพยาบาลสนาม ถือเป็นการควบคุมโรคที่ปลอดภัยที่สุด บุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนในวัยทำงาน อายุไม่มาก เมื่อไม่แสดงอาการเราก็ต้องใช้เวลาเป็นตัวรักษา เพราะถ้าไม่แสดงอาการเลยก็ไม่ต้องให้ยาฟาวิพิราเวีย แล้ว 10 วันเขาก็จะหายเอง โควิด-19 ก็เป็นอย่างนี้ มีส่วนที่แรง ส่วนที่เมื่อครบ 10 วันแล้วก็จากไปดื้อๆ 

"ตอนนี้อย่าไปดูยอดตัวเลข แต่ดูว่าการกระจายอยู่นอกเหนือการควบคุมหรือเปล่า ซึ่งตอนนี้ไม่มีการกระจายอยู่เป็นคลัสเตอร์ เป็นที่ๆไป สะเก็ดไฟไปตรงไหนกรมควบคุมโรคก็สามารถตะครุบได้ ตอนนี้ยังไม่มีหลุด นี่คือโรคระบาดระดับโลก ก็ต้องมีแบบนี้ ยืนยันว่าอันนี้ไม่ใช่ระลอกสาม" นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามว่ามีการทำความเข้าใจกับประชาชนที่อยู่โดยรอบสโมสรตำรวจอย่างไรหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โรงพยาบาลสนามอยู่ภายในสโมสรตำรวจมีรั้วรอบขอบชิด และรอบข้างก็ไม่ได้มีชุมชนแต่อย่างใด ดังนั้นไม่ต้องกังวล และที่สำคัญบุคคลที่มารับการรักษานั้นไม่แสดงอาการ เพราะถ้ามีอาการเมื่อไหร่ ต่อให้เป็นคนต่างชาติเราก็ต้องส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลหลัก เพื่อให้ได้รับการรักษาตามขั้นตอนทางการแพทย์ ตามความซับซ้อนของโรค 

ดังนั้นขอให้สบายใจในเรื่องนี้ได้ กรมควบคุมโรคอยู่กับสิ่งเหล่านี้มานานปีครึ่งแล้ว และคิดถึงความปลอดภัยของประชาชนภายในประเทศเป็นหลัก และหากผ่านไปสองถึงสามสัปดาห์ก็ยิ่งไม่ต้องกังวนใจ เพราะอุปกรณ์ด่านหน้าทางการแพทย์ได้รับวัคซีนอย่างเต็มที่สามารถเข้าไปให้การดูแลใกล้ชิดในพื้นที่เสี่ยงได้มากเพิ่มยิ่งขึ้น เป็นขั้นตอนเป็นวิธีการที่เมื่อไม่มีวัคซีนก็อีกอย่างนึง แต่เมื่อมีวัคซีนแล้วก็อีกอย่างหนึ่ง รวมถึงความพร้อมในเรื่องยา เรื่องการตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อเก็บโรงพยาบาลหลักเอาไว้ ใช้เมื่อจำเป็น

กระทรวงแรงงาน เปิดตัว “แรงงานพันธุ์ดี ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง”

กระทรวงแรงงาน ชื่นชม “แกมม่า อินดัสตรี้ส์” ร่วมเปิดตัวโครงการ “แรงงานพันธุ์ดี ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง” หวังให้เป็นต้นแบบของการจัดสวัสดิการนอกเหนือกฎหมายช่วยนายจ้าง ลูกจ้างมีภูมิคุ้มกัน พึ่งพาตนเองได้ภายใต้สถานการณ์วิกฤต COVID-19 ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ร่วมกันก้าวข้ามปัญหาอุปสรรคได้อย่างยั่งยืน

นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตนได้รับมอบหมายจาก นายสุชาติ  ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้มาเป็นประธานเปิดโครงการ “แรงงานพันธุ์ดี ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ มีนโยบายการบริหารงานภายใต้วิสัยทัศน์ “แรงงานมีศักยภาพสูง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี” โดยให้ความสำคัญกับการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของลูกจ้างและครอบครัว พร้อมสนับสนุน ส่งเสริมให้นายจ้างจัดสวัสดิการนอกเหนือกฎหมายให้แก่ลูกจ้าง 

จึงได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดโครงการ “แรงงานพันธุ์ดี ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อให้สถานประกอบกิจการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ให้ลูกจ้างได้ใช้ประโยชน์ ได้แก่ พื้นที่ว่างเปล่าบริเวณสถานประกอบกิจการให้ลูกจ้างใช้เวลาว่างหลังเลิกงานมาทำการเพาะปลูกพืชผักสวนครัว และเลี้ยงสัตว์ ผลผลิตที่ได้ลูกจ้างนำมาแลกเปลี่ยนกันและนำไปบริโภคในครัวเรือน ส่วนผลผลิตที่เหลือจากการบริโภคสามารถนำไปจำหน่ายในชุมชน อันเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ให้แก่ลูกจ้าง อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาอาชีพเสริมไว้รองรับให้กับลูกจ้างที่กำลังเข้าสู่วัยเกษียณ ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามแนวทางของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามารถก้าวข้ามปัญหาอุปสรรคในภาวะวิกฤตได้ยั่งยืน

ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการดังกล่าว ถือเป็นการวางรากฐานให้สถานประกอบกิจการจัดสวัสดิการร่วมกับลูกจ้าง เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID – 19 ทั้งนี้ กรมได้ตั้งเป้าส่งเสริมให้สถานประกอบการอย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง และในพื้นที่กรุงเทพมหานครอีก 10 แห่ง ได้นำโครงการนี้ไปดำเนินการให้เป็นรูปธรรม และเปิดตัวโครงการโดยได้รับความร่วมมือจาก บริษัท แกมม่า อินดัสตรี้ส์ จำกัด ซึ่งเป็นต้นแบบที่ดีของสถานประกอบกิจการ ในการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางการจัดสวัสดิการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของลูกจ้าง 

อีกทั้ง ยังเป็น สถานประกอบกิจการที่ได้รับรางวัลเกียรติยศสูงสุดสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน 15 ปีติดต่อกันจากกรมในปี 2563 และที่สำคัญอย่างยิ่ง บริษัทฯ ได้จัดสรรพื้นที่ให้แก่ลูกจ้างได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดมูลค่าด้วยการปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงสัตว์ สำหรับบริโภคและจำหน่ายในชุมชนอันเป็นการลดภาระค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ในครัวเรือนของลูกจ้าง รวมถึงการให้โอกาสทั้งลูกจ้างสัญชาติไทย ลูกจ้างสัญชาติเมียนมา และลูกจ้างกลุ่มพิเศษได้เข้าถึงการใช้ประโยชน์จากสวัสดิการที่จัดให้อย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ ได้อย่างน่าชื่นชม 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีที่นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เสนอให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นเรื่องของสภาอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แต่รัฐบาลมีสิทธิ์เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า รัฐบาลให้แก้อยู่แล้ว จะแก้รายมาตราหรือแก้ทั้งฉบับก็แล้วแต่ ขอให้ทำตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้ก็แล้วกัน

เมื่อถามว่า ขณะนี้ดูเหมือนว่าพรรคร่วมรัฐบาลมีแนวคิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญแตกต่างกับพรรคพปชร. หน้าพรรคพปชร. กล่าวว่า "ไม่แตก ๆ ก็เหมือนกันนั่นแหละ จะแก้รายมาตราหรือแก้ไขทั้งฉบับพรรครัฐบาลก็พร้อมอยู่แล้ว"

เมื่อถามว่า จุดยืนพรรคพปชร.จะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จะเอายังไงก็ได้ไม่เป็นปัญหา ได้ทุกเรื่อง เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้วในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นไม่ต้องถามหรอก

เมื่อถามว่า จะเห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ก็เห็นสิ จะดำเนินการอย่างไรก็ว่าไปเลย คุณอยากแก้ก็แก้เลย แก้ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญว่า"

เมื่อถามย้ำว่า การแก้ไขได้รัฐธรรมนูญจะเสร็จสิ้นภายในรัฐบาลนี้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "จะไปรู้ได้อย่างไร ถ้าไม่ทำตามศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้"

เมื่อถามว่าความเห็นส่วนตัวอยากเห็นการแก้ไขรายมาตราหรือแก้ไขทั้งฉบับ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ผมยังไม่เห็น แล้วแต่สภา"

จากกรณีศาลอาญา ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาล ที่ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญา หรือ ผอ.ศาลอาญา กล่าวหา นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน จำเลยคดี ม.112 และความผิดฐานชุมนุมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นผู้ถูกกล่าวหาคดีละเมิดอำนาจศาล

กรณีเมื่อวันที่ 15 มีนาคม เวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญาได้นัดตรวจพยาน หลักฐานคดีชุมนุมที่ท้องสนามหลวงวันที่ 19-20 ก.ย.63 และอัยการขอให้รวมสำนวนคดี ปรากฏว่ามีรายงานว่านายพริษฐ์ปฏิบัติตัวไม่เรียบร้อย โต้ตอบผู้พิพากษาในขณะปฏิบัติหน้าที่ ขออ่านแถลงการณ์ แม้ถูกคัดค้านก็ไม่ยอมฟัง ยังยืนยันอ่านแถลงการณ์โดยลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ จนเกิดเหตุการณ์วุ่นวายมีคนเขวี้ยงขวดน้ำลงพื้น โดย นายพริษฐ์ สารภาพเปลี่ยนเป็นกักขัง 15 วัน

ผู้สื่อข่าวรายงานเพจ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้โพสต์ข้อความการเปลี่ยนสถานที่คุมของ เพนกวิน จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ไปยัง สถานกักขังจังหวัดปทุมธานี

โดยระบุข้อความว่า ศาลพิพากษา จำคุก เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ 1 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล (ลดโทษเหลือ 15 วันเนื่องจากรับสารภาพ) โดยขณะนี้ เพนกวินถูกย้ายตัวมากักขังที่สถานกักขังจังหวัดปทุมธานีแล้ว ตั้งแต่เวลาประมาณ 20:00 น. โดยไม่แจ้งให้ญาติและทนายทราบ


ที่มา : https://www.matichon.co.th/local/crime/news_2636831

‘กาแฟ’ รักษ์ป่าภายใต้ชื่อว่า ‘Uncle Coffee’ กับ 'น้าหงา - สุรชัย จันทิมาธร' | Contributor EP.12

น่าจะเป็นอีกมุมของ ‘น้าหงา’ สุรชัย จันทิมาธร ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ที่หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยคุ้น ที่จะมานั่งคุยอะไรที่นอกเหนือจากเพลง เพลง และเพลง

Contributor EP. นี้ THE STATES TIMES ได้ที เลยขอไปชวน ‘หงา - คาราวาน’ ในบริบทที่คุ้นเคยกับการเป็นนักร้องนำและหนึ่งในผู้ก่อตั้งวงคาราวาน นักเขียน ผู้มองการเมืองจากมุมนอก และเซอร์ไพรซ์เบา ๆ กับการผันตัวเป็นนักธุรกิจ

ภายใต้บรรยากาศสบาย ๆ นั่งจิบกาแฟ คุยเรื่องการเมือง ภูมิหลังการเป็นนักเขียน และเรื่องราวของกาแฟ ที่โยงไปถึงธุรกิจกาแฟ ซึ่งน้าหงาเป็นพรีเซ็นเตอร์และผู้ร่วมธุรกิจนี้ในชื่อเท่ห์ ๆ ว่า Uncle Coffee กันตามสไตล์น้าหงา เชิญชม!!

.

ผอ.ซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจส่วนใหญ่เชื่อเปิดประเทศพ้นวิกฤต มั่นใจเปิดได้หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ และต้องการใช้ กฏหมายทุกมาตราจัดการม็อบทำลายชาติ ชี้รัฐบาลต่างชาติอย่าหนุนชุมนุมทำลายสถาบันหลักของไทย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เปิดเผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง เปิดประเทศ พ้นวิกฤต กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,600 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 17 - 20 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.3 เชื่อว่า เปิดประเทศ พ้นวิกฤต เพราะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว และห่วงโซ่ธุรกิจอื่นๆ ช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าของประชาชน

นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.5 ระบุ ประเทศไทยเปิดประเทศได้ เพราะมีวัคซีนแล้ว และเป็นหน้าที่ของทุกคน คนไทยอยู่กับโควิด ให้เป็นบุคลากรการแพทย์ไทยเก่งเครื่องมือทันสมัยติดโควิดก็รักษาได้ แต่ต้องไม่ประมาท การ์ดไม่ตก

ในขณะที่ร้อยละ 88.5 มั่นใจว่า เปิดประเทศแล้ว รัฐบาลและประชาชนช่วยกันทำเศรษฐกิจฐานราก เดินหน้าต่อได้ดีขึ้น

ที่น่าสนใจ คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.4 มีความสุข มีความหวัง ที่รัฐบาลจะเปิดประเทศ ช่วงโควิด กระตุ้นเศรษฐกิจ คนต้องการทำมาหากิน

แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.3 ทุกข์ใจ และต้องการให้ใช้กฎหมายทุกมาตรา จัดการพวกม็อบ พวกท่อน้ำเลี้ยงและนักการเมือง นักวิชาการบางคนยุยงปลุกปั่น ม็อบละเมิดกฎหมาย ก้าวล่วงละเมิดสถาบันหลักของชาติ เผาบ้านตนเอง ชักศึกเข้าบ้าน ทำลายภาษีของประชาชน แกนนำม็อบละเมิดศาล ม็อบละเมิดผู้อื่น คุกคามผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น ทำลายชาติบ้านเมืองของตนเองด้วยการยั่วยุให้เกิดความรุนแรงบานปลาย

นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.1 ต้องการเห็น รัฐบาลต่างชาติ หนุนประเทศไทยเปิดประเทศช่วงโควิด กระตุ้นเศรษฐกิจ ขอรัฐบาลต่างชาติอย่าหนุนม็อบทำลายสถาบันหลักของชาติ สร้างความแตกแยกของคนไทยในชาติ

ในขณะที่ ร้อยละ 89.6 ระบุ รัฐบาลต่างชาติ ควรหนุนประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเดินทางทั่วโลกอย่างปลอดภัย ปลอดโควิด

นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.5 ต้องการค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุด ต่อรัฐบาล

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีมาตรการใหม่ๆ ช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและย่อม (SME) ล่วงหน้ารองรับการเปิดประเทศ

ในขณะที่ ร้อยละ 22.4 ระบุปานกลาง และร้อยละ 4.1 ต้องการค่อนข้างน้อย ถึง ไม่เลย

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า “พวกเราต้องทำหน้าที่” เปิดประเทศ พ้นวิกฤต เพิ่มเงินในกระเป๋าของคนไทยถ้วนหน้า ดึงรัฐบาลต่างชาติมาเสริมสร้างการเปิดประเทศอย่างปลอดภัยสร้างผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างชาติ โดยชี้ให้ตรงจุดไปว่า ขอรัฐบาลต่างชาติอย่าร่วมมือกับนักการเมือง นักวิชาการ นักธุรกิจคนไทยบางคนที่พบปะกันบ่อยๆ วางแผนหนุนหลังม็อบ 3 นิ้ว ที่เห็นกันชัดเจนว่า แกนนำม็อบ 3 นิ้ว และนักการเมือง นักธุรกิจ และนักวิชาการบางคน ก้าวล่วงละเมิดสถาบันหลักของชาติ ละเมิดศาล ฝ่าฝืนกฎหมาย เผาทำลายเงินภาษีของประชาชน เบียดเบียนคุกคามผู้อื่น นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงบานปลายของคนไทยในชาติ

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า เปิดประเทศ พ้นวิกฤต จะเป็นจริงได้ เมื่อคนไทยทุกคนทำหน้าที่ พลเมืองที่ดี มีความรับผิดชอบ ไม่ชักศึกเข้าบ้าน ไม่เผาชาติบ้านเมืองของตนเอง และรัฐบาลออกมาตรการใหม่ๆ หนุนกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและย่อม รองรับการเปิดประเทศจะช่วยทำความสุข ความหวังของประชาชนเป็นจริงขึ้นมาได้ เมื่อประชาชนทุกกลุ่มมีความสุข สมหวังที่ตั้งเป้าไว้ ผลที่ตามมาคือ ม็อบต่างๆ จะจุดติดได้ยาก เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย


แหล่งข่าว

https://mgronline.com/politics/detail/9640000027004

‘พริษฐ์ วัชรสินธุ’ หลานอภิสิทธิ์ แจงกระแสข่าวร่วมงาน ‘พรรคก้าวไกล’ ชี้มีจุดยืนการเมืองคล้ายกัน แต่ขอให้เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ดูแลสตาร์ทอัพการศึกษาก่อน

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หลานชายของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ‘พริษฐ์ วัชรสิทธุ - ไอติม – Parit Wacharasindhu’ชี้แจงถึงกระแสข่าวว่า เตรียมเข้าร่วมงานกับพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า...

ตามกระแสข่าวที่ออกมา ผมขอชี้แจงว่าได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับพรรคก้าวไกลจริง เนื่องจากมีจุดยืนและอุดมการณ์ทางการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม คล้ายกัน และที่ผ่านมา ได้ร่วมงานกับพรรคในกิจกรรมต่างๆ เช่น การรณรงค์การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องนโยบายที่พรรคเชิญคนนอกไปร่วมวงคุย และล่าสุดคือการไปบรรยายเรื่องการวิเคราะห์นโยบายที่กิจกรรมพัฒนาบุคลากรของพรรค

ปัจจุบัน งานหลักของผมคือการบริหารสตาร์ทอัพด้านการศึกษา ส่วนบทบาททางการเมืองในฐานะผู้สมัคร ยังคงเป็นเป้าหมายของผมในอนาคต และเมื่อถึงวันนั้น จะแจ้งให้ทราบอย่างชัดเจนครับ

สำหรับ นายพริษฐ์ ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2561 และลาออกในปี 2562 หลังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ารับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี จากการสนับสนุนของพรรคพลังประชารัฐ


ที่มา: https://www.facebook.com/254171817929906/posts/5759775110702855/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top