Wednesday, 2 July 2025
POLITICS

'ทิพานัน' ยัน 'บิ๊กตู่' กู้มาแก้ปัญหาตรงจุด ครอบคลุมทุกมิติ ย้อนแสบทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย ไม่ละอายแก่ใจ สมัย 'ยิ่งลักษณ์' ไร้วิกฤตใด ๆ ยังสร้างหนี้ล้น ทั้ง 'จำนำข้าว-เอื้ออาทร' เสียหายเกินล้านล้านบาท ทิ้งภาระให้ลูกหลานตามใช้หนี้อีก 12 ปี

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณี น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บริหารประเทศ 7 ปี ดีแต่กู้ หากไม่เปลี่ยนผู้นำประเทศลงเหวว่า...

การแสดงความเห็นของ น.ส.ตรีชฎา สะท้อนมาตรฐานของทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยที่ค่อนข้างตกต่ำ ด้วยเป็นการวิจารณ์โดยไม่มีฐานข้อมูลรองรับที่ถูกต้องนั่งเทียนด้วยอคติ ด้วยในความเป็นจริงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกประสบปัญหาเศรษฐกิจ แต่ประเทศไทยกลับยังรักษาอันดับความน่าเชื่อถือไว้ได้

โดยจากการจัดอันดับเครดิตขององค์กรชั้นนำระดับโลก ทั้ง S&P Moody's และ Fitch ได้มีเกณฑ์ในการพิจารณาจากเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงเสถียรภาพทางการคลังและวินัยทางการคลัง

ส่วนเหตุผลที่ต้องกู้เงินนั้น ก็เพื่อใช้เป็นงบประมาณค่าใช้จ่ายสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข มาตรการช่วยเหลือเยียวยาต่าง ๆ จากผลกระทบโควิด-19 และฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง, เราชนะ, ม.33เรารักกัน, บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, เกษตรกร เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนฐานราก ผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการรายย่อย

มาตรการพักหนี้ที่ออกมาช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจรายย่อย เพิ่มช่องทางให้ประชาชนที่ไม่มีสินทรัพย์และรายได้ที่มั่นคงต้องการเข้าถึงเงินกู้ ลดการกู้หนี้นอกระบบ และแก้ปัญหาภาระดอกเบี้ยจากการผิดนัดชำระ การจ่ายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน

นอกจากนี้ ยังลดค่าน้ำ-ค่าไฟด้วย รวมทั้งยังใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนการส่งออก การท่องเที่ยว และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ไปพร้อมๆกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าใช้จ่ายเงินกู้นั้นตรงจุดและครอบคลุมปัญหาในทุกมิติ ไม่ได้ไร้ทิศทางอย่างที่ น.ส.ตรีชฎา พยายามบิดเบือนให้ร้าย

น.ส.ทิพานัน กล่าวอีกว่า เมื่อต้องเผชิญการแพร่ระบาดในระลอกที่ 3 รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เพิ่มเติมอีก 7 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าเพดานที่ภาคเอกชนเรียกร้องให้กู้ถึง 1 ล้านล้านบาท โดยนำมาใช้แก้ปัญหาการระบาดระลอกใหม่ให้กับสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยเหลือเยียวยาและชดเชยให้กับประชาชน และผู้ประกอบการ รวมทั้งฟื้นฟูเศรษฐกิจ

แต่สิ่งที่ น.ส.ตรีชฎา หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงก็คือ ความแตกต่างกันระหว่างการกู้เพื่อแก้วิกฤตกับการกู้เพื่อโครงการทุจริต ภาระหนี้ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทิ้งเอาไว้จากการขาดทุนโครงการจำนำข้าวที่ทำให้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ต้องมีภาระชดใช้หนี้ให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากว่า 7 แสนล้านบาท และยังต้องตั้งบประมาณชดใช้ไปอีก 12 ปี รวมแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท ไม่รวมกับภาระหนี้จากโครงการบ้านเอื้ออาทรกว่า 2 หมื่นล้านบาท ไม่รวมหนี้เน่าและความเสียหายจากโครงการที่สร้างแล้วขายไม่ได้หลายหมื่นยูนิต รวมถึงภาระค่าบำรุงรักษาซ่อมแซมซึ่งก็กลายมาเป็นภาระของรัฐบาลนี้ทั้งสิ้น ทั้งที่เป็นการบริหารในสถานการณ์ที่ปกติ ไม่ได้เผชิญกับสถานการณ์วิกฤตไวรัสโควิด-19 หรือวิกฤตใด ๆ

“ไม่รู้ว่า น.ส.ตรีชฎากล้ายกเอาการบริหารในยุคของน.ส.ยิ่งลักษณ์ มาบลัฟ พล.อ.ประยุทธ์ได้อย่างไร โดยไม่ละอายแก่ใจ เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์บริหารประเทศในสถานการณ์ปกติ ไม่มีวิกฤตใด ๆ แต่กลับสร้างหนี้ไว้มากมายตกเป็นภาระคนไทยทั้งชาติตามใช้หนี้เกือบ 20 ปี ซึ่งที่ผ่านมาทุกคนรู้ดีโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยว่านโยบายต่าง ๆ นั้น อยู่ภายใต้สโลแกน ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ ดังนั้นที่ น.ส.ตรีชฎาแนะนำให้เอาวิธีคิดของนายทักษิณมาเป็นแนวทางให้รัฐบาลปฏิบัตินั้น เมื่อดูตัวอย่างผลงานสร้างหนี้ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว ก็คงไม่มีใครเดินตาม เพราะไม่น่าจะเป็นผลดีต่อประเทศชาติ” น.ส.ทิพานัน กล่าว


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ก้าวไกล ซัด 'ดีอี' ดีแต่ฟ้องคนปล่อยเฟกนิวส์

นางสาวสุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา โฆษกพรรคก้าวไกลกล่าวถึงนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่กำลังไล่ฟ้องประชาชนอย่างบ้าคลั่ง ประหนึ่งเป็นงานรักงานหลักที่รอคอยมานาน ท่านเร่งดำเนินคดีกับประชาชน รวมถึงไปถึงสื่อมวลชน ทั้ง ๆ ที่หน้าที่ของท่านคือ การให้ความรู้ความเข้าใจในข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีการดำเนินคดีกับประชาชนหลายราย เช่น ดำเนินคดีผู้ที่โพสต์ว่า “พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่วัดสังฆทาน จำนวน 300 ราย ดำเนินคดีผู้ที่โพสต์ว่า “ศบค. ประกาศเคอร์ฟิว เวลา 23.00-04.00 น. พื้นที่สีแดง 18 จังหวัด” ดำเนินคดีผู้ที่โพสต์ว่า “เคอร์ฟิวทั่วประเทศ ห้ามออกจากบ้าน ตั้งแต่ 4 ทุ่ม-ตี 4 เริ่มวันที่ 23 เม.ย.64 นี้” เป็นต้น

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่กำลังจะถูกดำเนินคดี ซึ่งหากย้อนดูดี ๆ หน่วยงานรัฐก็เคยแจ้งข้อมูลที่คาดเคลื่อนเช่นกัน

อย่างกรณีล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พ.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขบอกว่า “วอล์คอินฉีดซีนได้ โดยจนท.จะฉีดให้สำหรับผู้มีรายชื่อเท่านั้น”

16 พ.ค. ผู้ว่ากทม. บอกว่า “วัคซีนไม่พอ วอล์คอินไม่ได้ ต้องรอเดือนมิถุนายน”

18 พ.ค. ตอนเช้า อนุทินบอก “วอล์คอินได้ถ้าวัคซีนพอ ตกบ่าย นายกฯบอก “ให้ระงับการฉีดวัคซีน”

นี่คือตัวอย่างการให้ข้อมูลที่คาดเคลื่อนของรัฐ ซึ่งก็คล้ายกับประชาชนหลายรายที่กำลังจะถูกดำเนินคดี ถ้าหากจะฟ้องประชาชนที่โพสต์ข้อความให้เกิดความสับสน ก็เห็นควรว่าจะต้องฟ้องหน่วยงานรัฐด้วย เพราะเจ้าหน้ารัฐก็ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนเช่นกัน อยากให้ใช้มาตรฐานเดียวกันด้วย

นอกจากนี้ นางสาวสุทธวรรณ ยังตั้งคำถามต่อนายชัยวุฒิว่า มีความสามารถพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องราวของเทคโนโลยีบ้างไหม มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่ อยากให้แสดงเป็นที่ประจักษ์บ้าง ดูอย่างประเทศอื่น เช่น ออเดรย์ ถัง รัฐมนตรีดิจิทัลของไต้หวัน เขาเน้นส่งเสริมให้คนใช้เสรีภาพบนโลกออนไลน์ ช่วยกันพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมเพื่อสังคม มีการร่วมมือกับกลุ่มนักพัฒนาซอฟท์แวร์และระบบไอทีเพื่อสังคม พัฒนาแอปพลิเคชันบอกพิกัดร้านที่มีสต็อกหน้ากากอนามัยพร้อมแจกจ่าย แสดงความโปร่งใสและเป็นธรรมของรัฐในการกระจายอุปกรณ์ป้องกันโรค

นาวสาวสุทธวรรณ กล่าวต่ออีกว่า "อยากจะเรียนถามกับรัฐมนตรีกระทรวงดีอีว่า ภารกิจหลักที่ท่านตั้งใจเข้ามาทำคืออะไรกันแน่ ในสถานการณ์โควิดเช่นนี้ ท่านทำอะไรที่เป็นประโยชน์บ้าง เห็นมีแต่การขู่ฟ้องประชาชนและสื่อมวลชนเป็นหลัก ไล่ฟ้องแบบมอญซ่อนผ้าโยนนู่นยัดคดีนี่เพื่อเอาใจนายไปวัน ๆ เท่านั้นหรือ ทั้งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จนไปถึงมาตรา112 ท่านทำได้เท่านี้จริง ๆ หรือ?

"หากท่านและทีมงานมีเวลาว่างมากพอ โปรดช่วยกันระดมสมองมาปรับปรุงแอปพลิเคชันหมอพร้อมหรือพัฒนาแอปฯ ใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ประชาชนใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบายจะดีกว่า" นางสาวสุทธวรรณ กล่าวทิ้งท้าย


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

'ธัญวัจน์’ ตั้งคำถาม เงินกู้ 7 แสนลบ. จะเยียวยาถึงคนกลางคืนหรือไม่?

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ขณะนี้มียอดผู้ติดเชื้อสูงเป็นรายวัน แม้ที่ผ่านมาจะมีการควบคุมมาตรการต่าง ๆ ในสถานประกอบการ แต่จากต้นเดือนเมษายนจนปลายพฤษภาคมการแพร่ระบาดขณะนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะส่งผลในสถานประกอบการที่ยังต้องมีการรักษาระยะห่าง และจำกัดจำนวนลูกค้าในการเข้าใช้บริการ ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่ากิจการธุรกิจกลางคืน ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะไม่ว่าระลอกไหน ก็ถูกปิดก่อนและเปิดหลังเสมอ

แต่ในขณะเดียวกันประชาชนเข้าใจและพร้อมให้ความร่วมมือกับมาตรการต่าง ๆ อย่างเต็มที่

ตนจึงอยากเรียกร้องอยากให้รัฐบาลได้เข้าใจธุรกิจบันเทิงยามค่ำคืน ที่มี นักร้อง นักดนตรี นักเต้น นางโชว์ ที่พวกเขาไม่ได้ร่ำรวยไม่มีมีเงินเก็บและต้องเลี้ยงครอบครัวไม่ต่างกับอาชีพอื่น ๆ

หวังว่า พ.ร.ก. เงินกู้ 7 แสนล้านครั้งนี้คงไม่ลืมกลุ่มคนเหล่านี้ ที่เขาไม่ได้อยู่ในระบบการจ้างงานทั่วไป รับเงินเป็นรายวัน รายสัปดาห์ และที่สำคัญกระทบยาวนานที่สุดกว่างานประเภทอื่น การเยียวยาเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาสถานการณ์ ซึ่งรัฐต้องคำนึงถึงระยะเวลาในการกระทบเป็นสำคัญ เพราะคนเราต้องกินต้องใช้ทุกวัน รวมถึงข้อเสนอในการสร้างงานชุมชน เพราะ “งาน” ในขณะนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด รัฐควรมองการสร้างงานในชุมชนเพราะนี่คือหนึ่งวิธีสำคัญที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจและผ่านวิกฤติไปได้ ด้วยแนวคิด Healthy Ecosystem Vital Economy Social Well - Being ระบบนิเวศที่ดีต่อสุขภาพเศรษฐกิจที่สำคัญต่อความผาสุกทางสังคม ซึ่งแน่นอนแนวคิดดังกล่าวคือการสร้างงานในชุมชน ที่อาจเกี่ยวข้องกับ ผู้คน สังคม และวัฒนธรรม เป็นสำคัญในขณะนี้

ด้วยเหตุผลสำคัญคือ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพและไม่สามารถตีค่าวัดเป็นเงินได้ ไม่ว่าจะเป็นทุนทางปัญญา ทุนทางเครือข่ายสังคม หรือแม้แต่อารมณ์ก็เป็นทุน หากรัฐมองประชาชนเป็น “ทุนมนุษย์” ก็จะสร้างความยั่งยืนให้กับประชาชนและเศรษฐกิจได้ ขณะนี้ประชาชนต้องการงาน การจ่ายเงินให้กับคน ต้องคิดว่าคือการลงทุนไม่เช่นนั้นประเทศไทยก้าวไม่พ้นวิกฤติแน่นอน


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“กอ.รมน.ภาค 4 สน.” แจง ปืน 28 กระบอก ไม่ได้หายล็อตเดียว เป็นการทยอยหายในห้วงหลายปีผ่านมา วอน ปชช. อย่าตกใจ หลังผู้ไม่หวังดีเชื่อมโยงเตรียมก่อความไม่สงบ ทำให้ตื่นกลัว

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 พ.อ.วัชรกร อ้นเงิน รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กล่าวถึงกรณี อาวุธปืน AK102 จำนวน 28 กระบอก ของกองร้อยอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) อำเภอเมืองนราธิวาสที่ 2 หาย ไปเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 64 ว่า จากการตรวจสอบข้อมูลทราบว่า นายอำเภอจังหวัดนราธิวาส ได้ตรวจสอบสถานภาพของอาวุธปืนเมื่อ พ.ย. 63 ที่ผ่านมา และพบว่าหายไป 1 กระบอก จึงได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อรวบรวมอาวุธปืนที่สูญหายทั้งหมดในห้วงที่ผ่านมาว่าหายจากสาเหตุอะไรบ้าง

โดยล่าสุด คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ดำเนินการแล้วเสร็จและตรวจพบว่ามีอาวุธปืน หายไปในห้วงที่ผ่านมา จำนวน 28 กระบอก ซึ่งบางส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุก่อความไม่สงบ บางส่วนก็ไม่ใช่ แค่เป็นการทยอยหายในหลาย ๆ ปี และมาสรุปยอดรวม จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และมีเพจหนึ่งนำไปเสนอข่าว แต่ลงรายละเอียดไม่ครบถ้วน 

"ปืนทั้ง 28 กระบอกไม่ใช่เพิ่งหายและไม่ได้หายไปในล็อตเดียวกัน แต่เป็นการทยอยหาย หรือ อาวุธปืนหายสะสมในภาพรวมในห้วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่ง นายอำเภอ จ.นราธิวาส ได้สำรวจสถานภาพของอาวุธปืนใหม่ว่า มีอยู่จำนวนเท่าไร หายไปอีกกี่กระบอก" โฆษกกอ.รมน.ภาค4 สน. กล่าว

เมื่อถามว่า เป็นเรื่องที่ไม่ควรตื่นตนกกับข่าวที่เกิดขึ้นหรือไม่ พ.อ.วัชรกร กล่าวว่า ขณะนี้มีบางเพจนำเสนอข่าวเพื่อสร้างความตื่นตระหนก แต่ความจริงแล้วลงรายละเอียดไม่ครบถ้วน เพราะตามข้อเท็จจริงเป็นเพียงการตรวจสอบสถานภาพของคลังอาวุธปืนที่หายในห้วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะหายในหลาย ๆ สาเหตุ ไม่อยากให้ตื่นตนกกันไป 

เมื่อถามว่า ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวโยงกับการเตรียมก่อเหตุ หรือการสร้างสถานการณ์ในพื้นที่ใช่หรือไม่ พ.อ.วัชรกร กล่าวว่า มีความพยายามเชื่อมโยง ตามที่มีการนำเสนอข่าวนี้ออกไปให้เป็นประเด็น เพื่อหวังสร้างความตื่นกลัว

“ไทยไม่ทน” บุกทำเนียบ จี้ “ประยุทธ์” ลาออก ยก “พล.อ.เปรม” จี้ใจบิ๊กตู่ บอกคนเราต้องรู้จักพอในอำนาจ ขณะ “แรมโบ้” เบี้ยวรับหนังสือ ก่อน “จตุพร” ตอกกลับขอให้รัก “ประยุทธ์” นาน ๆ เหมือนรัก “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์”

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ที่สำนักงานข้าราชการพลเรือน (กพ.) กลุ่มสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย (กลุ่มไทยไม่ทน) นำโดย นาย จตุพรพรหมพันธุ์, นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์, นายวีระ สมความคิด, นายเมธา มาสขาว, นายไทกร พลสุวรรณ, นางพะเยาว์ อัคฮาด, ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี และนายนันทพงษ์ ปานมาศ เพื่อยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แบะรมว.กลาโหม ขอให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากการบริหารงานมา 7 ปี ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้เลย ทั้งเรื่องการปฏิรูปประเทศที่ล้มเหลว เป็นเพียงการต้มกลุ่ม กปปส. เพื่อเข้าสู่ตำแหน่ง การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติที่ไม่เข้ากับยุคสมัย การสร้างความปรองดองที่ไม่ได้ผล เพราะปัจจุบันความขัดแย้งทางการเมืองยังมีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้น ขณะที่ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นก็มีพัฒนาการที่เสื่อมถอย มีปัญหาเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำมาตลอด 7 ปี รัฐบาลใช้งบประมาณแผ่นดิน 20.8 ล้านล้านบาท แต่ตัวเลขคนจนยังพุ่งสูงขึ้น 100%

นอกจากนี้การละเมิดสถาบันยังเป็นปัญหาที่แบ่งแยกประชาชน โดยเฉพาะบุคคลในอำนาจรัฐและเครือข่ายกลับแอบอ้างเพื่อแสวงหาประโยชน์เข้าตัวเองและพวกพ้อง นอกจากนายกรัฐมนตรีจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้กลับทำให้แย่ไปกว่าเดิม เนื่องจากหลักคิดยังติดกับลักษณะรัฐราชการเพียงลำพัง ขณะที่รัฐธรรมนูญถูกมองว่า ร่างขึ้นเพื่อสืบทอดอำนาจ ระบบเลือกตั้งทำให้เกิด ความสับสน องค์กรอิสระถูกแทรกแซง ระบบยุติธรรมถูกทำลาย การแก้ปัญหา โควิด-19 ก็ล้มเหลว การฟื้นฟูเยียวยาประเทศเวลานี้จำเป็นที่จะต้องระดมพลังแผ่นดินทุกภาคส่วน ทั้งราชการ เอกชน พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน นักวิชาการทุกวงการ โดยที่พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดโอกาสให้มีคนใหม่เลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามาบูรณาการพลังแห่งแผ่นดินทุกภาคส่วนพาประเทศให้พ้นวิกฤต

นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้พล.อ.ประยุทธ์ อ้างว่าอยู่เพื่อปกป้องสถาบัน แต่ความจริงแล้วไม่เคยออกมาปกป้อง ยกตัวอย่างได้จากการเกิดข่าวลือต่างๆ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังนิ่งเฉยปล่อยประละเลยไม่ออกมาชี้แจง และยังใช้มาตรา 112 มุ่งทำลายบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ทางการเมือง ทั้งที่มาตรา 112 ไม่สามารถที่จะใช้แบล็กเมล์หรือปกป้องรัฐบาลได้ พล.อ.ประยุทธ์อ้างอีกว่าวันนี้อยู่เพื่อแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 มีการประกาศยึดอำนาจจากคณะรัฐมนตรีถึง 3 ครั้งเพื่อรวมอำนาจไว้ที่นายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมและแก้ไขปัญหาโควิด-19 ได้ และยังไม่ยอมรับผิดชอบ ดังนั้น หาก พล.อ.ประยุทธ์อยู่ โควิดก็คงยังอยู่ นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังอ้างว่าอยู่เพื่อแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่นแต่ความจริงแล้ว การทุจริตไม่ได้หมดไปและยังคงเกิดขึ้น อย่าง พ.ร.ก.กู้เงิน 7 แสนล้านบาท ก็เป็นจุดหนึ่งที่เสี่ยงจะเกิดการทุจริตได้

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ทุกสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศเป็นวาระแห่งชาติไม่เคยสำเร็จ แต่ก็ไม่เคยคิดจะออกจากตำแหน่ง แล้ววันนี้ไม่ต้องกังวลว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ออกแล้วใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทน ให้คิดเสียว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นได้ ใครก็เป็นได้

ทั้งนี้ นายจตุพร ยังยก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ให้มาเป็นตัวอย่างให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะ พล.อ.เปรมเป็นบุคคลที่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ทั้งหมด แต่พล.อ.เปรมรู้จักพอ หลังจากดำรงตำแหน่งมา 8 ปี ก็ปฏิเสธการเข้ารับตำแหน่งจากการเสนอชื่อของนักการเมือง ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคนที่ต้องรู้จักพอ

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่านายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่มีกำหนดการจะมาเป็นผู้รับหนังสือเอง แต่ไม่ออกมารับหนังสือเองแต่กลับส่งตัวแทนมารับ ทำให้นายจตุพร กล่าวถึงนายเสกสกลสั้น ๆ ว่า ขอให้รัก พล.อ.ประยุทธ์นานๆเหมือนกับที่รักนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ

 

“ชวน” แจงแคมป์คนงานก่อสร้างรัฐสภาติดโควิด ไม่เกี่ยวภายในอาคาร ยันไม่มี จนท.ติดเชื้อ มั่นใจการระบาดยังอยู่ในวงจำกัด ย้ำจำเป็นต้องเดินหน้าเปิดประชุมสภา ถก พ.ร.ก.2 ฉบับ-ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา ชี้แจงผ่านรายการมองรัฐสภา ทางสถานีโทรทัศน์รัฐสภา โดยย้ำถึงความจำเป็นในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า เป็นไปตามข้อบังคับ ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องมีสมัยการประชุมสามัญปีละ 2 ครั้ง ไม่ใช่การเปิดประชุมตามอำเภอใจ โดยมีระเบียบวาระการประชุมที่จะต้องพิจารณา พ.ร.ก. 2 ฉบับ ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้บังคับใช้ไปแล้ว ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้สภาฯ จะต้องพิจารณาเมื่อมีการเปิดประชุมทันที รวมถึงจะต้องพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2565 ที่สภาฯ จะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 105 วัน นับวันที่สภาฯได้รับร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯจากครม. เมื่อ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา 

นายชวน กล่าวต่อว่า ส่วนการประชุมสภาฯแบบออนไลน์เต็มสภานั้นยังไม่สามารถดำเนินการได้ จึงจะต้องมาประชุมที่รัฐสภาตามที่ข้อบังคับกำหนด ยืนยันว่า การประชุมสภาฯ จะระมัดระวัง ไม่ให้เกิดแหล่งระบาดการติดเชื้อใหม่ภายในรัฐสภา โดยจะดำเนินการมาตรการสาธารณสุขต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด โดยจะลดความแออัดภายในสภา เช่น ลดจำนวนข้าราชการที่ยังคงให้ปฏิบัติราชการที่บ้าน ร้อยละ 70 ส่วน จัดอาหารกล่องบริการแก่ ส.ส. ลดการนั่งรวมตัวกัน และส.ส.จะต้องลดจำนวนผู้ติดตามให้เหลือเพียงผู้ติดตาม 1 คน และผู้ขับรถ 1 คน โดยภายในห้องประชุม เมื่อครบองค์ประชุมจนสามารภเปิดการประชุมได้แล้ว ขอให้ ส.ส.รับฟังการประชุมผ่านโทรทัศน์วงจรปิดตามจุดต่าง ๆ ในรัฐสภา และจะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาที่อยู่ในรัฐสภา ทั้งนี้จะทบทวนมาตรการการอภิปรายแบบถอดหน้ากากอนามัยอีกครั้ง หลังการประชุมวันที่ 27-28 พ.ค.นี้ และในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบฯ ในวันที่ 31 พ.ค.-2 มิ.ย.นี้ สภาฯ ได้กำชับไปยังกระทรวงต่าง ๆ เพื่อกำหนดจำนวนข้าราชการที่จะมาสนับสนุนข้อมูลงบประมาณของกระทรวงให้แก่รัฐมนตรีประจำกระทรวงด้วย 

ส่วนการประชุมร่วมรัฐสภานั้น นายชวนกล่าวว่า ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะการประชุมร่วมรัฐสภา ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. จะมีสมาชิกรวมกันถึง 750 คนจะทำให้ภายในห้องประชุมแออัด จึงมีข้อเสนอว่า กฎหมายที่ต้องประชุมร่วมกันของรัฐสภา ทั้งร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ,ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงมติ จะต้องกลับไปทบทวนว่า จะดำเนินการอย่างไรได้ ส่วนกรณีกฎหมายที่มีความจำเป็น และถูกบังคับด้วยเรื่องกรอบเวลา ก็จะประชุมเฉพาะผู้เกี่ยวข้องที่ต้องอภิปรายเท่านั้น

นายชวนกล่าวถึงกรณีที่บุคลากรในวงงานรัฐสภา ที่จะต้องมาปฏิบัติหน้าที่ภายในห้องประชุมสภาฯว่า ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการประชุม ผ่านการฉีดวัคซีนแล้ว แต่ยังคงจะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลา และส.ส.กว่า 50% ก็ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วเช่นเดียวกัน แต่หากประมาทไปมั่วสุมตามบ่อน หรือสถานบันเทิง ก็จะมีความเสี่ยง ดังนั้นยังคงจะต้องผ่านมาตรการคัดกรอง การตรวจอุณหภูมิ ตั้งแต่เข้ามาภายในรัฐสภา 

ส่วนกรณีที่แคมป์คนงานก่อสร้างในจังหวัดนนทบุรี ที่มาทำงานก่อสร้างอาคารรัฐสภา นายชวน กล่าวว่า  มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 519 คนจริง ซึ่งเป็นแรงงานต่างชาติจากเมียนมา และกัมพูชา ที่ส่วนใหญ่ปฏิบัติงานอยู่นอกอาคารรัฐสภา บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ได้เข้ามาภายในอาคาร และล่าสุดยังไม่พบว่า มีเจ้าหน้าที่ของสภา เข้าไปสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ หรือกลุ่มเสี่ยง จึงมั่นใจว่า การแพร่ระบาดยังคงอยู่ในวงจำกัด แต่ก็จะติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด

ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ว่า...

ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ว่า...

คนที่ไม่เชื่อว่ารัฐบาลไทยไม่ได้ปิดกั้นวัคซีนทางเลือกให้กับบริษัทเอกชนไปหาซื้อมาเอง โดยเฉพาะไฟเซอร์และโมเดิร์นน่า ลองเชื่อรัฐบาลอินเดียดูมั้ยครับ?

เว็บไซต์ The Times of India รายงานว่า ในขณะที่รัฐบาลอินเดียกำลังพยายามหาซื้อวัคซีนอย่างหนักเพื่อแก้ปัญหาการระบาด และแจ้งว่าให้แต่ละรัฐลองติดต่อหาซื้อวัคซีนเอง บริษัทไฟเซอร์และโมเดิร์นน่า ก็แจ้งรัฐบาลอินเดียกลับมาอย่างชัดเจนว่า จะขายให้กับ "รัฐบาลกลาง" ของอินเดียโดยตรงเท่านั้น และจะไม่ขายให้กับรัฐบาลท้องถิ่น หรือบริษัทเอกชน

โดยโมเดิร์นน่าบอกว่าเป็น "นโยบายของบริษัท" ที่จะขายให้กับรัฐบาลกลางของแต่ละประเทศเท่านั้น

ส่วนไฟเซอร์ ก็แจ้งทางอินเดียว่าต้องการขายให้กับรัฐบาลกลางโดยตรงเท่านั้น เนื่องจากต้องการได้รับเงื่อนไขการยกเว้นการชดเชย (indemnity) บางข้อ (หลัก ๆ น่าจะเรื่องยกเว้นการชดเชยจากการเกิดผลข้างเคียง ซึ่งน่าจะมีแต่รัฐบาลกลางเท่านั้นที่มีอำนาจยกเว้น) ซึ่งแนวทางนี้ใช้กับแทบทุกประเทศทั่วโลก

แต่อย่างไรก็ตาม เกือบทุกบริษัทก็แทบไม่มีวัคซีนให้ส่งกันทั้งนั้น โดยโมเดิร์นน่านั้นบอกล่วงหน้าชัดเจนเลยว่า "ของขาด" ไปจนถึงสิ้นปีเป็นอย่างน้อย

สรุป

รัฐบาลไทย ไม่เคยปิดกั้นให้เอกชนหาซื้อวัคซีนเข้ามาเสริมเป็นทางเลือก แต่เป็นนโยบายของบริษัทผลิตวัคซีน ที่จะขายให้กับรัฐบาลกลางเท่านั้น (รัฐบาลท้องถิ่นก็ไม่ขาย) ซึ่งเป็นแนวทางนี้ทั่วโลก ไม่ใช่แค่ที่ไทยประเทศเดียว (จริง ๆ ทางไฟเซอร์ในไทย ก็เคยชี้แจงแบบนี้มาแล้ว แต่บางคนก็หาว่ารัฐบาลกดดันให้เขียนแบบนั้นบ้างล่ะ ร่วมมือกันบ้างล่ะ)

ก็ต้องเข้าใจว่า วัคซีน ไม่ใช่สินค้าที่ใครจะเดินเข้าไปในร้าน แล้วขอซื้อเมื่อไหร่ ยี่ห้อไหนก็เลือกได้ครับ

 

ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4620044694677800&id=100000169455098

https://timesofindia.indiatimes.com/india/will-deal-only-with-centre-pfizer-moderna/articleshow/82893485.cms


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“องอาจ” นัด ส.ส.ประชุม 26 พ.ค.เตรียมพร้อม ถก พ.ร.ก.2 ฉบับและร่างพ.ร.บ.งบ 65 ย้ำส.ส.ปชป.ทำงานเต็มที่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ด้าน “โฆษกพรรค” เผย “จุรินทร์” ให้ส.ส.เคร่งครัดมาตรการป้องกันโควิดในสภาฯ

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 27-28 พ.ค.เพื่อพิจารณา พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) 2 ฉบับว่าตนได้นัดประชุม ส.ส.พรรคในวันที่ 26 พ.ค.นี้ เวลา 13.30 น.ที่พรรคฯ เพื่อเตรียมความพร้อมในการพิจารณา พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2564 พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2564  และเตรียมความรพร้อมในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ที่จะเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯวาระแรก ในวันที่31. พ.ค.-1-2 มิ.ย.นี้

นายองอาจ กล่าต่อว่าการพิจารณา พ.ร.ก. ทั้ง 2 ฉบับ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชน ทางพรรคฯ จะได้เตรียม ส.ส.ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละเรื่อง อภิปรายแสดงความเห็นเพื่อให้การปฏิบัติให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของ พ.ร.ก. สัมฤทธิผลอย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประชาชนอย่างมาก ส่วนการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯนั้นพรรคฯได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ มีการเตรียม ส.ส. อภิปรายเพื่อชี้ให้เห็นถึงข้อเด่น ข้อด้อย ของการจัดสรรงบประมาณ รวมถึงชี้แนะการใช้งบประมาณให้เกิดผลคุ้มค่ามากที่สุด เนื่องจากงบประมาณแผ่นดินทุกบาททุกสตางค์มาจากเงินภาษีอากรที่เก็บจากประชาชน เราจึงควรพิจารณาให้เงินของประชาชนนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สุขกับประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย 

นายองอาจ กล่าวด้วยว่า ส่วนส.ส.จะเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณฯ ในสวัดส่วนของพรรคฯ นั้นจะได้พิจารณาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถมีความเหมาะสมไปทำหน้าที่ ซึ่งจะทุ่มเทการทำงานให้เกิดความเป็นธรรมในการกระจายงบประมาณเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนอย่างแท้จริง และแม้ขณะนี้จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ ส.ส.ในฐานะผู้แทนที่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน มีภารกิจต้องดูแลชาวบ้านในพื้นที่แต่ก็จัดสรรเวลาทำหน้าที่ในสภาฯอย่างเต็มกำลังเต็มความสามารถเช่นกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชนโดยรวม

ด้านนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่านายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคฯ  ได้ย้ำให้ส.ส.พรรคฯ ปฏิบัติตามระเบียบของสภาฯอย่างเคร่งครัด ในเรื่องมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งสภาฯ มีข้อปฏิบัติในการเข้ามาภายในอาคารรัฐสภาตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด โดยส.ส.ของพรรคทุกคนต้องกรอกแบบคัดกรองเชื้อโควิด ก่อนวันที่เดินทางมาอาคารรัฐสภา สแกนแอพพลิเคชั่นไทยชนะหรือหมอชนะ และตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าทำงานภายในอาคารรัฐสภา สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาอย่างเคร่งครัด โดยให้มีผู้ติดตามแค่ 1 คนและคนขับรถ 1 คนเท่านั้น และมีส.ส.ของพรรคฯบางคนตั้งใจจะขับรถไปเองโดยไม่มีผู้ติดตาม เพื่อช่วยลดจำนวนคนที่จะเข้าอาคารรัฐสภา ทั้งนี้พรรคฯพร้อมให้ความร่วมมือกับสภาฯ อย่างเต็มที่และเชื่อมั่นในมาตรการของสภาฯ ที่เตรียมไว้อย่างเต็มรูปแบบ

“บิ๊กตู่” ประชุม ครม.ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จากตึกไทย ก่อนประชุม รมว.ท็อป มอบต้นตะเคียนทองให้ เพื่อรณรงค์ให้คนไทยร่วมปลูกต้นไม้ เนื่องในต้นไม้ประจำปีของชาติ

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์โดย รัฐมนตรีส่วนใหญ่อยู่ประจำที่ตั้งของแต่ละกระทรวง นอกจากนี้ยังมีบรรดารองนายกฯ และรัฐมนตรีบางส่วน อาทิ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯและ รมว.พลังงาน นายอาคมเติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ประชุม ผ่าน Video Conference จากตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นไปตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขในการป้องกันการแพทยระบาดของไวรัส โควิด-19

ทั้งนี้ ก่อนการประชุม เมื่อเวลา 08.00 น.  ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายอดิศร นุชดำรง อธิบดีกรมป่าไม้ เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อมอบกล้าไม้ เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ.2564 โดยนายกรัฐมนตรีรับมอบกล้าไม้ “ต้นตะเคียนทอง” พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและให้สภาพอากาศดีขึ้น

นายวราวุธ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2532 กำหนดให้วันวิสาขบูชาของทุกปีเป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติเพื่อให้ประชาชนและหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ของชาติ เช่น การปลูกต้นไม้ ซึ่งช่วยป้องกันและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ลดมลภาวะเป็นพิษจากฝุ่นและหมอกควัน และวันต้นไม้ประจำปีของชาติปีนี้ ตรงกับวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 จึงถือโอกาสมอบต้นกล้าไม้ต้นตะเคียนทองให้กับนายกรัฐมนตรี รวมถึงมอบต้นกล้าไม้อื่น ๆ ให้กับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเพื่อจะได้นำไปปลูกต่อไป โดยต้นกล้าไม้ต่าง ๆ ได้ผ่านพิธีเจริญพระพุทธมนต์เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และได้มอบแจกจ่ายให้ประชาชนไปส่วนหนึ่งแล้ว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอขอบคุณกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เป็นหลักในการปลูกต้นไม้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรักษาโลก สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในเรื่องการลดผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศต่าง ๆ ซึ่งมีแผนแม่บทและกิจกรรมต่าง ๆ รองรับในการร่วมกันปลูกต้นไม้ โดยสิ่งสำคัญที่สุดของการปลูกต้นไม้คือทำให้อากาศและสภาพแวดล้อมดีขึ้น และขณะนี้กำลังให้มีการหารือร่วมกันเพื่อพิจารณาถึงการที่จะให้ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านมาปลูกต้นไม้ร่วมกัน โดยอาจพิจารณาให้ปลูกในบริเวณชายแดน ซึ่งจะเป็นการสร้างความร่วมมือในประเทศอาเซียนด้วยกันตามนโยบาย Thailand Plus One รวมถึงการลดการเผาซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ขอให้มีการรณรงค์เชิญชวนประชาชนมาร่วมกันปลูกป่าให้มากขึ้นเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว และขอให้เตรียมต้นกล้าให้เพียงพอและเหมาะสมสำหรับการปลูก ต้องมีขนาดความสูงเกิน 1 เมตรโดยประมาณ จะช่วยลดการตายของต้นไม้ได้พร้อมให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเตรียมกล้าไม้ให้เพียงพอสำหรับการปลูกด้วย

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้อวยพรให้การดำเนินกิจกรรมและโครงการในการปลูกต้นไม้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมถึงโครงการและกิจกรรมปลูกต้นไม้และปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ภายใต้ชื่อ “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้เพื่อแผ่นดิน” สืบสานการปลูกต้นไม้ สู่ 100 ล้านต้น ด้วย

‘ราเมศ’ เผย ‘จุรินทร์’ กำชับ ส.ส. ร่วมมือ สภาปฏิบัติตามระเบียบ ปัองโควิดเคร่งครัด 

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฏร นัดแรกในวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 ว่านายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ย้ำให้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ในส่วนของพรรค ปฏิบัติตามระเบียบของสภาผู้แทนราษฎรอย่างเคร่งครัด ในเรื่องมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งสภาได้มีข้อปฏิบัติในการเข้ามาภายในอาคารรัฐสภาตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19

โดย ส.ส.ของพรรคทุกคนต้องกรอกแบบคัดกรองเชื้อไวรัสโควิด-19 ก่อนวันที่เดินทางมาอาคารรัฐสภา สแกนแอปพลิเคชันไทยชนะหรือหมอชนะและตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าทำงานภายในอาคารรัฐสภา สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาอย่างเคร่งครัดให้มีผู้ติดตามแค่หนึ่งคนและคนขับรถหนึ่งคนเท่านั้น ซึ่งในส่วน ส.ส.ของพรรคบางคนตั้งใจจะขับรถไปเองโดยไม่มีผู้ติดตาม เพื่อเป็นการช่วยลดจำนวนคนที่จะเข้าอาคารรัฐสภา 

นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่าพรรคพร้อมให้ความร่วมมือกับสภาผู้แทนราษฏรอย่างเต็มที่และเชื่อมั่นในมาตรการของสภาที่เตรียมไว้อย่างเต็มรูปแบบ แต่ที่สำคัญความร่วมมือจากทุกคนที่เข้าไปยังอาคารรัฐสภาก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเช่นกัน ไม่อยากให้ละเลยกฎระเบียบต่าง ๆ ที่สภาได้วางไว้

“ยศวัฒน์” ภูมิใจไทย โวยจัดลำดับพื้นที่ฉีดวัคซีนผิดพลาด จี้ ทบทวนใหม่หลังเมืองกาญฯอยู่นอกสายตา ทั้งที่ติดชายแดน แถมเป็นเมืองเที่ยวอันดับต้น ๆ ย้อนถาม ถ้าคนในพื้นที่ติดเชื้อจากเมียนมาร์ใครผิดชอบยังไง

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 นายยศวัฒน์ มาไพศาลสิน ส.ส.กาญจนบุรี พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการจัดลำดับความเร่งด่วนของพื้นที่ในการฉีดวัคซีนในเดือน มิ.ย.-ก.ย. 64 ว่ารู้สึกไม่สบายใจ และไม่เข้าใจการแบ่งพื้นที่ดังกล่าว โดย จ.กาญจนบุรี อยู่ในกลุ่มที่ 2 ที่ระบุว่า เป็นจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน และมีความเร่งด่วนในการเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ภายหลังการระบาด แต่จากประกาศที่ออกมามีทั้งหมด 17 จังหวัด แต่กลับไม่มี จ.กาญจนบุรี ทั้งที่เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับชายแดนอย่างชัดเจน และที่สำคัญยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ติดลำดับต้นๆของประเทศ

นายยศวัฒน์ กล่าวต่อว่า ช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ตั้งแต่รอบแรก จ.กาญจนบุรี ได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 จากผลสำรวจว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวมาที่นี่เยอะที่สุด หมายความว่า ปัจจุบัน จ.กาญจนบุรี ทำรายได้ให้ประเทศจากการท่องเที่ยวได้ดีมาก แต่เมื่อมีคนเดินทางมาเที่ยวเยอะ คนภายในจังหวัดก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อโควิดมากเช่นกัน อีกทั้งพื้นที่ยังติดกับชายแดนเมียนมาร์อีกด้วย ถ้าคนที่นี่ต้องเผชิญกับเชื้อโควิดที่มาจากชายแดนเมียมาร์จะรับผิดชอบกันไหวหรือไม่ และใครจะรับผิดชอบชีวิตของคนที่นี่ ในเมื่อพวกเขาอยู่ในพื้นที่เสี่ยง แต่รัฐบาลไม่มองคน จ.กาญจนบุรีทั้ง ๆ ที่เป็นจังหวัดที่ตรงกับกลุ่ม 2 แล้วจะปล่อยให้เผชิญโควิดกันแบบตามมีตามเกิดเช่นนี้หรือ 

“ผมอยากขอร้องให้ผู้บริหารได้ทบทวน ว่าเหตุใดเมืองกาญฯ ถึงอยู่นอกสายตา ที่ผมออกมาเรียกร้องไม่ใช่การร้องขอในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล หรือเห็นความสำคัญของคนเมืองกาญฯ มากกว่าคนจังหวัดอื่น และไม่ใช่การกระทำเพื่อหาเสียง แต่ในเมื่อ 1 ในเป้าหมายสำคัญในการฉีดวัคซีน คือ การเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างเม็ดเงิน และฟื้นฟูธุรกิจการท่องเที่ยวให้เร็วที่สุด แต่บรรดาผู้เกี่ยวข้องกลับจัดลำดับแบบขอไปที ถ้าบอกว่าเกาะสมุย เชียงใหม่ พังงา กระบี่ คือสถานที่ท่องเที่ยว เมืองกาญฯไม่ใช่ที่ท่องเที่ยวหรือ ลองถามพวกท่านดูว่า มีใครไม่เคยมาเที่ยวที่นี่” นายยศวัฒน์ กล่าว

‘เสกสกล’ โต้ ‘หญิงหน่อย’ ปูด 7 ปี รัฐบาลตู่ ใช้เงิน 20 ล้านล้าน ชี้ ลดงบประจำข้าราชการ-เพิ่มเงินเข้าบัญชีปชช. 14 ล้านคน โว พัฒนาโครงการพื้นฐานในรอบ 50 ปี

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวตอบโต้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ระบุว่าพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีอยู่มา 7 ปี ใช้เงิน 20 ล้านล้าน กู้ 4.9 ล้านล้านบาท ว่า คุณหญิงสุดารัตน์ หยิบประเด็นนี้มาโจมตีเหมือนไม่รู้เรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ไปเอายอดวงเงินงบประมาณแผ่นดินแต่ละปีมารวมกันแล้วโจมตี สะท้อนว่าบวกเลขเป็นแต่ไม่ได้ดูว่าประเทศได้ทรัพย์สินอะไรเพิ่มมาบ้างในช่วงที่พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศ

นายเสกสกล กล่าวว่า ตัวเลข 20 ล้านล้านบาท ประมาณ 77 เปอร์เซ็นต์ เป็นรายจ่ายประจำ ที่ไม่สามารถนำไปลงทุนทำอย่างอื่นได้ เช่น เงินเดือนข้าราชการ หรือประมาณ 15.7 ล้านบาท ตามโครงสร้างงบประมาณที่รัฐบาลก่อนทิ้งไว้ให้ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ พยายามลดสัดส่วนรายจ่ายประจำลง จากเดิมสัดส่วนรายจ่ายประจำเคยสูงถึง 79.2 เปอร์เซ็นต์ ในงบปี 2556 สมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร ให้เหลือ 76.1 เปอร์เซ็นต์ ในงบประมาณปี 2565 และพยายามลดรายจ่ายประจำในงบประมาณแผ่นดินลง เพิ่มรายจ่ายที่จ่ายตรงเข้ากระเป๋าประชาชน เช่น จ่ายตรงเข้าบัญชี 14 ล้านคน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตัดหัวคิว ตัดวงจรทุจริต ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแก้ปัญหา เพิ่มสิทธิ์ เพิ่มวงเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด-คนชรา-คนพิการ-เบี้ยตอบแทนอสม.เป็นต้น

นอกจากนั้นยังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ เช่น รถไฟฟ้า 9 สาย ระยะทาง 327 กม. เปิดบริการแล้ว 3 สาย คือ สายสีน้ำเงิน สายสีเขียว สายสีทอง และทยอยเปิดอีก คือ สายสีแดง สายสีชมพู สายสีเหลือง สายสีส้ม รถไฟทางคู่ 8 เส้นทาง ที่สมัยรัฐบาลชุดที่แล้วไม่ได้พัฒนา เปิดใช้ช่วงจิระ-ขอนแก่น 187 กม. ช่วงฉะเชิงเทรา-แก่งคอย 106 กม. รถไฟความเร็วสูงอีก 2 สายที่กำลังสร้าง คือ หนองคาย-กทม (ช่วง กทม - โคราช) และรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน 

สถานีกลางบางซื่อถูกยกระดับการพัฒนาให้ใหญ่ที่สุด ทันสมัยที่สุดในอาเซียน ที่เตรียมเปิดให้บริการในเร็วๆนี้ ถนนมอเตอร์เวย์อีก 3 สายกำลังสร้าง คือ บางปะอิน-โคราช. บางใหญ่-กาญจนบุรี และล่าสุด พัทยา- มาบตาพุด สนามบินเบตง รอเปิดใช้ และสนามบินต่างจังหวัดได้รับการพัฒนา สร้างอาคารผู้โดยสารใหม่ เช่น ขอนแก่น เมืองคอนฯ เรือสมาร์ท เฟอร์รี่ เจ้าพระยา เรือไฟฟ้าคลองผดุงฯเป็นต้น 

นายเสกสกล กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ เพิ่มงบรายหัวให้ทุกปี เพราะเห็นความสำคัญของชีวิตประชาชน พัฒนาต่อยอดไปไกลกว่ายุคคุณหญิง เคลมเป็นผลงานอยู่ตลอด ปีนี้เพิ่มเป็น 3,853 บาทต่อหัว (สมัยคุณหญิงเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข งบรายหัวแค่พันกว่าบาท) ที่สำคัญ ยุคนี้เพิ่ม 50 สิทธิ์ UCEP 1669 รักษาทันที ทุกที่ทุกโรงพยาบาล ฟรี 72 ชั่วโมง ยกระดับอสม.(อาสาสมัครสาธารณสุข)งบเพื่อการสาธารณสุขในงบประมาณปี 65 สูงกว่า งบทหารเกือบแสนล้านบาท หากไม่เพราะความรักความจริงใจต่อประชาชน ฝีมือการบริหารจัดการของพล.อ.ประยุทธ์ ที่มีทีมเศรษฐกิจ ทีมที่ปรึกษามืออาชีพ  

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าคุณหญิงฯคิดแต่จะโจมตีทางการเมือง จำได้หรือไม่ว่าก้อนแรกที่พล.อ.ประยุทธ์ใช้ คือ จ่ายหนี้ค่าข้าวชาวนา 9 หมื่นล้านบาท ให้ธกส. ใช้คืนหนี้จำนำข้าวไปแล้วกว่า 7 แสนล้านบาท ตอนนี้เหลืออีก 2.8 แสนล้านบาท ภาระที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยทิ้งไว้ นักการเมืองที่โกงจำนำข้าวอยู่ในคุก บางคนหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ ในงบปี 65 ที่จัดสรรงบเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้มากที่สุดกว่ายุคไหน เพื่อลดภาระดอกเบี้ยในระยะยาว เพื่อให้การบริหารจัดการมีวินัยทางการเงินการคลัง ในภาวะบ้านเมืองแบบนี้ อยากขอร้องให้ลดอคติ ลดอัตตา ลดความอยากจะเป็นนายกฯ มาเริ่มต้นเป็นพลเมืองดี เพื่อช่วยกันประคับประคองบ้านเมืองให้ผ่านวิกฤตโควิดครั้งนี้ แล้วสร้างอนาคตร่วมกันกับพล.อ.ประยุทธ์ และประชาชนคนไทย จะดีกว่า

“อาคม” ตีมึน ไม่ตอบ พ.ร.ก.กู้เงิน 7 แสนล้าน ด้าน “วิษณุ” บอกเที่ยงวันนี้ชัดเจน ส่วน "สุพัฒนพงษ์" ให้รอฟังแถลงหลังครม.

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า จากกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติพ.ก.ก.กู้เงิน 7 แสนล้านเป็นวาระลับเมื่อวันอังคารที่ 18 พ.ค. จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย โดยรัฐบาลมอบหมายให้ นายอาคม เติมพิมชัยสิทธิ์ รมว.คลัง เป็นผู้ชี้แรงรายละเอียดแต่เพียงผู้เดียว 

กระทั้งเวลา 08.40 น. ที่ตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอาคม ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ความชัดเจน กรณีดังกล่าวโดยชี้นิ้วแสดงท่าทีรีบขึ้นประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ เมื่อถามย้ำว่าจะชี้แจงเรื่องดังกล่าวเมื่อใด นายอาคม ก็ไม่ตอบคำถามแต่อย่างใด 

ต่อมาเวลา 08.45น. นายวิษณุ เครืองาม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า ให้นายอาคม เป็นผู้ชี้แจง เมื่อผู้สื่อข่าวระบุว่านายอาคม ไม่ยอมชี้แจง นายวิษณุ กล่าวว่า เมื่อรมว.คลังไม่พูดตนจะพูดได้อย่างไร เมื่อถามว่า พ.ร.ก.กู้เงิน7 แสนล้าน จะเดินหน้าได้หรือไม่เพราะถูกวิจารณ์จากหลายฝ่าย นายวิษณุ กล่าวว่า พวกคุณวิจารณ์เพราะยังไม่เห็นตัวร่างพ.ร.ก. ขอให้ดูตัวร่างเสียก่อนว่ามันจะเป็นหรือไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อถามว่าจะเปิดเผยได้เมื่อใด นายวิษณุ กล่าวว่า เดี๋ยวฟังคณะรัฐมนตรีวันนี้เที่ยงก็รู้ว่าจะออกมาอย่างไร 

ด้าน​ นายสุพัฒนพงษ์​ พันธ์มีเชาว์​ รองนายกรัฐมนตรี​ และรมว.พลังงาน​ กล่าว ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี​ (ครม.)​ ถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์การออกพ.ร.ก.กู้เงิน 7 แสนล้านบาท​ว่า รอฟังแถลงการณ์ก็แล้วกันเมื่อถามว่าในที่ประชุมครม.วันนี้ จะมีการหารือถึงมาตรการเยียวยาประชาชนอย่างไรบ้าง​ นายสุพัฒนพงษ์​ กล่าวว่า หลังการประชุมครม.จะมีแถลง ตนอยู่แถลงด้วย

นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า ได้โพสต์เปรียบเทียบมุมมองคนจีนว่าทำไมถึงสามารถสร้างอนาคตและรายได้มหาศาลตั้งแต่อายุยังน้อย สะท้อนแก่คนรุ่นใหม่ที่ต้องการรายได้สูงตั้งแต่แรกเริ่มทำงาน แต่วิถีการดำเนินชีวิตต่างกันลิบลับดังนี้...

จากเฟซบุ๊ก Pongprom Yamarat ของนายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า ได้โพสต์เปรียบเทียบมุมมองคนจีนว่าทำไมถึงสามารถสร้างอนาคตและรายได้มหาศาลตั้งแต่อายุยังน้อย สะท้อนแก่คนรุ่นใหม่ที่ต้องการรายได้สูงตั้งแต่แรกเริ่มทำงาน แต่วิถีการดำเนินชีวิตต่างกันลิบลับดังนี้...

โพสต์ไปตะกี๊เรื่องมุมมองเด็กรุ่นใหม่ (บางกลุ่ม) ฝึกงานก็อยากได้เงินเดือนเยอะ ๆ พอแค่เริ่มทำงานก็อยากได้เงินเดือนแบบผู้บริหาร

เลยขอแชร์เรื่องทำไมเด็กจีนถึงเก่งมาเพื่อเปรียบเทียบ

เด็กจีนมองว่าก่อนอายุ 30-35 ต้องเรียนรู้จากสิ่งรอบตัวให้มากที่สุด ฝึกงาน อ่าน ดู ศึกษา เรียนออนไลน์ ตั้งกลุ่มคิด เอาทุกอย่างเพื่อจะเตรียมลุยเอง เปิดกิจการ ทำ Startup และ “ล้ม” ให้เจ็บน้อยที่สุดภายในอายุ 35

คนจีนมองว่าคนเก่งต้องเดินเป็นขั้นบันได เรียนรู้แบบบ้าคลั่งเพื่อเตรียมทำ เรียนจากมหาลัย เรียนจากรอบตัว จบแล้วก็ยังต้องเรียน เรียนจากงานจริง ไม่ใช่ไปนั่งเล่น Facebook เล่น IG ที่ทำงาน

เรียนแล้วต้องกล้าทำ คนที่ทำแล้วเก่ง คือมึงต้องเคยล้ม คนไม่เคยล้ม แปลว่าไม่เคยเจอปัญหา จากนั้นเปิดกิจการเองให้ได้ เล็กก็ได้ ใหญ่ยิ่งดีตอนอายุ 40

ออฟฟิศเก่าพี่ เคยมีคนจีนมาทำงานด้วย ส่วนใหญ่จบมหาวิทยาลัยตามปักกิ่ง และเมืองใหญ่อื่น ๆ ขยันขันแข็ง

ตี 1 ตี 2 เวลาเมืองไทย ตื่นมาดู WWDC (การประชุมระดับโลกของนักพัฒนา Apple) โดยไม่ต้องให้ใครสั่ง เพราะอยากติดตามนวัตกรรมฝั่งอเมริกา ตี 4 ค่อยนอนอีกรอบ

9.30 น.มาถึงออฟฟิศอย่างสดชื่น แล้วมาแชร์กันว่าได้อะไรจาก WWDC

ตอนเย็นทานข้าว ทำความรู้จักสังคมไทยให้มาก แล้วเริ่มประชุมอีกครั้ง 4 ทุ่ม เพราะอยากทำงานให้เสร็จ ให้พร้อม เพื่อชนะในวันถัดไป

ถ้าพรุ่งนี้ไม่ชนะ อาทิตย์หน้าต้องชนะ

อาทิตย์นึง จะมีกินเหล้าแบบ “ฉิบหาย” สไตล์คนจีน อาทิตย์ละ 2 ครั้ง

สั่งเบียร์ทีละลัง เพราะทันใจ เหล้าทีละ 2 ขวด เพราะไม่ชอบเทช้า แต่วันรุ่งขึ้น ส่งงาน ตอบงานใน WeChat ตรงเวลาเป๊ะ

พี่เคยไปทำโครงการที่เซี่ยงไฮ้อยู่ 2 ปี!!

เด็กฝึกงานนั่งอ่านหนังสือ อ่านหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจตอนพัก จนต้องถามว่าอ่านทำไมมากมายขนาดนั้น

เด็กฝึกงานตอบว่า “กลัวไม่เก่ง” ไม่เก่งแล้วเดี๋ยวไม่รวย”

คำตอบโคตรโดน!!

ในเวลาว่าง ในมือเด็กจีน วัยรุ่นจีนจะมี “หนังสือ” ใช่ละครับ คนในประเทศผู้นำดิจิทัล ยังอ่านหนังสือเล่ม ๆ กันทั้งเมือง ร้านหนังสือยังขายดี เพราะ 95% ของหนังสือในร้าน ไม่มีในออนไลน์

มือถือเอาไว้ทำงาน ความฉลาดหาจากรอบตัว รวมถึงหนังสือเล่ม ๆ

หนังสือที่ว่า จะแยกตามความชอบส่วนตัว

ตั้งแต่ Digital, อรรถชีวะประวัติคนเก่ง ๆ ไปจนถึงสถาปัตยกรรมศาสตร์ยุคบาโร้ค

ถ้าไม่เชื่อ ถามใครก็ได้ ว่าเด็กจีน วัยรุ่นจีนยุคใหม่เป็นยังไง?

อยากขับ Porsche เต็มเมืองแบบเค้า ก็ต้องทำให้ได้แบบเค้า

ถ้าอยากให้ตัวเองเจริญ ชาติไทยเจริญ มาช่วยกันสร้างชาติคนไทยขยันกับพี่ น่าสนกว่ามั้ย?

 

ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4317070361636402&id=100000004424101


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

กรมการขนส่งทางบก เน้นย้ำประชาชนที่ใช้บริการรถสาธารณะต้องให้ความร่วมมือ ตรวจวัดอุณหภูมิ ล้างมือด้วยเจล และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่จังหวัดหรือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดแต่ละจังหวัดกำหนดอย่างเคร่งครัด

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในปัจจุบัน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กำชับให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระบบขนส่งสาธารณะอย่างเคร่งครัด

กรมการขนส่งทางบก ได้ยกระดับความเข้มข้นมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งเป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย มาตรการคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิ entry scan และ exit scan ในรถโดยสารสาธารณะ สถานีขนส่งผู้โดยสาร และสำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ การจัดที่นั่งภายในรถเว้นระยะห่างและต้องมีจำนวนผู้โดยสารไม่เกินร้อยละ 70 ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด หรือให้เหมาะสมตามประเภทของพาหนะ ตรวจสอบการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา 100% มาตรการเว้นระยะห่าง จัดเตรียมแอลกอฮอล์เจลสำหรับทำความสะอาดมือ เพิ่มความถี่ในการทำสะอาดพื้นที่สาธารณะตลอดทั้งวัน ให้พนักงานขับรถ ผู้บริการ และผู้โดยสาร ลงทะเบียนเข้าใช้แพลตฟอร์ม “SAVE THAI” และเช็คอิน-เช็คเอาท์ “ไทยชนะ” ทุกครั้งในการเดินทาง โดยในวันที่ 23 พ.ค. 2564 สำนักงานขนส่งจังหวัด เช่น อุบลราชธานี แม่ฮ่องสอน ราชบุรี กำแพงเพชร เชียงราย พังงา พิษณุโลก อุดรธานี ลำพูน กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครราชสีมา อุตรดิตถ์ สระบุรี เลย มุกดาหาร ชัยภูมิ หนองคาย ชุมพร นครสวรรค์ ได้ดำเนินการตรวจสอบรถโดยสารสาธารณะทุกประเภททั้งที่สถานีขนส่งผู้โดยสารและจุดตรวจคัดกรองในพื้นที่รับผิดชอบ และประชาสัมพันธ์การปฏิบัติตามมาตรการ ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเคร่งครัด รวมถึงได้ประชาสัมพันธ์พร้อมให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่รวบรวมรายชื่อผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะทุกประเภทในเขตกรุงเทพฯ เพื่อลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนโควิด-19 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้บริการขนส่งสาธารณะตามเจตนารมณ์ของกระทรวงคมนาคม

ในส่วนของการให้บริการที่สำนักงานขนส่งทุกแห่ง มีการปรับรูปแบบดำเนินการแบบ New Normal ตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด พร้อมขอความร่วมมือประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าในการติดต่อราชการ และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้กรมการขนส่งทางบก แจ้งงดการอบรมและทดสอบ ด้านใบอนุญาตขับรถและผู้ประจำรถ ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นต้นไป โดยผู้ขอใบอนุญาตขับรถรายใหม่ให้รอจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ส่วนการต่ออายุใบอนุญาตขับรถสามารถนำผลการอบรมออนไลน์มาดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตขับรถได้ โดยจองคิวดำเนินการล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เท่านั้น เพื่อบริหารจัดการจำนวนผู้ใช้บริการภายในสำนักงาน  ตั้งจุดคัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิประชาชน ก่อนเข้าอาคารสำนักงาน ที่นั่งพักคอยของประชาชนมีการเว้นระยะอย่างเหมาะสม ติดตั้ง Table Shield กั้นระหว่างผู้มาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ พร้อมแนะนำการให้บริการชำระภาษีรถประจำผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อลดการสัมผัสและไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงานขนส่ง เช่น เว็บไซต์ https://eservice.dlt.go.th/ หรือ แอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax  ดาวน์โหลดฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS: https://apple.co/3iAx6Dd และแอนดรอยด์: https://bit.ly/2XXQLVT
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top