Wednesday, 2 July 2025
POLITICS

ดีอีเอส เตรียมออกร่างประกาศฯ แก้ปัญหาข้อมูลเท็จท่วมโซเชียล 

“ชัยวุฒิ” เรียกประชุม คกก.ป้องกันฯ การเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางโซเชียลนัดแรก ไฟเขียวเตรียมออกร่างประกาศกระทรวงฯ หลักเกณฑ์เก็บ Log files หนุน พรบ.คอมพ์ฯ ตามทันยุคโซเชียล 

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ครั้งที่ 1/2564 โดยที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานด้านการปรับปรุงกฎหมายลำดับรองตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่ใช้บังคับมานานเพื่อให้ทันสมัย สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่เป็นสากล และสามารถพิสูจน์และยืนยันตัวตนของผู้ใช้งานทั้งในโซเชียลมีเดีย และดิจิทัลแพลตฟอร์มต่าง ๆ 

โดยคณะทำงานอยู่ระหว่างการพิจารณา (ร่าง) ประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่องหลักเกณฑ์การจัดเก็บข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ. .... และแนวทางการกำกับดูแลและการลงทะเบียนผู้ใช้งาน Social Media โดยดูจากแนวทางของต่างประเทศเป็นต้นแบบ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนนี้ และจะรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับสรุปผลการดำเนินงานด้านการป้องกันปราบปรามของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม โดยกระทรวงดิจิทัลฯ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) ศปอส.ตร. (PCT) ในช่วง 2 เดือนนี้ (เม.ย.- พ.ค. 64) ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดำเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง (Verify) ทั้งหมดจำนวน 683 เรื่อง ได้รับการตรวจสอบแล้ว 348 เรื่อง ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบแล้ว 160 เรื่อง แบ่งเป็น ข่าวปลอม 121 เรื่อง ข่าวจริง 15 เรื่อง บิดเบือน 24 เรื่อง

นอกจากนี้ กระทรวงฯ ได้ดำเนินการปิดกั้นข้อมูลที่เข้าข่ายการกระทำความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ โดยยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอปิดกั้น จำนวน 16 คำร้อง 349 ยูอาร์แอล ศาลมีคำสั่งให้ระงับแล้ว 4 คำร้อง และเรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล จำนวน 12 เรื่อง 256 ยูอาร์แอล อีกทั้ง ได้ดำเนินการแจ้งเตือนแพลตฟอร์มให้ปิดกั้นข้อมูลตามคำสั่งศาล 35 คำสั่ง 726 ยูอาร์แอล และแจ้งความดำเนินคดีในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ตามมาตรา 27 แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 321 ยูอาร์แอล ทวิตเตอร์ 155 ยูอาร์แอล 

ขณะที่ (ศปอส.ตร.) ได้ดำเนินคดีตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ จำนวน 4 เรื่อง 6 รายและดำเนินการตักเตือนให้ลบโพสต์และแก้ไขข่าว โดยใช้อำนาจตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ จำนวน 4 เรื่อง 12 ราย กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) ได้ดำเนินการสืบสวนพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้บัญชี Social Media ที่ใช้กระทำความผิดเกี่ยวกับข่าวปลอม เรื่อง โรงพยาบาลเมดพาร์ค เปิดให้ลงทะเบียนจองวัคซีนโควิด-19 ของ Moderna จำนวน 11 กรณี ระบุตัวตนได้ 5 ราย อยู่ระหว่างสืบสวน (อวาตาร) 6 ราย และกรณีบิดเบือนวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 25 กรณี ระบุตัวตนได้ 19 ราย และอยู่ระหว่างสืบสวน 6 ราย  

นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า แนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ในวันนี้มีความพร้อมและจะเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม โดยจะมีการแต่งตั้ง โฆษกกระทรวง/ส่วนราชการ ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอมฯ เพื่อประสานและดำเนินการตอบโต้ข่าวปลอมให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว  

โดยมีแนวทางให้ทุกกระทรวง จัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของกระทรวงขึ้นโดยด่วน เพื่อติดตาม ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบอย่างรวดเร็ว และเพื่อประสานการปฏิบัติกับคณะกรรมการประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอมฯ กับกระทรวงดิจิทัลฯ อย่างใกล้ชิด รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อกำชับให้ กระทรวง/ส่วนราชการ ที่ได้รับความเสียหายจากการให้ข้อมูล/ข่าวสารที่เป็นเท็จ/บิดเบือน รีบดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ ให้ตำรวจเร่งรัดดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดโดยเร็ว รวมทั้งรายงานผลการปฏิบัติ เพื่อประกอบการประเมินผลการดำเนินงานตามวงรอบที่เหมาะสมต่อไป

“บิ๊กตู่” นั่งหัวโต๊ะถก ศบค.ชุดใหญ่ จับตาพิจารณาต่อขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2 เดือน ถึง 31 ก.ค.นี้ หลังพบคลัสเตอร์ใหม่ทำยอดผู้ติดเชื้อ-เสียชีวิตยังพุ่งไม่หยุด

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564  ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะ ผู้อำนวนการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นประธานการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ครั้งที่ 7/2564 ผ่านระบบ Video Conference

ทั้งนี้คาดว่า ศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) จะเสนอให้ที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ พิจารณาขยายระยะเวลาประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 2 เดือน ตั้งแต่ 1 มิ.ย.-31 ก.ค. โดยยึดตามเหตุผลของกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้มีการประเมินสถานการณ์ไว้ว่า ต้องใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 2 เดือน ในการควบคุมการการแพร่ระบาดของโควิด-19 หากต่อเพียง 1 เดือน หรือ 30 วัน เหมือนเดิม อาจจะไม่เพียงพอ พร้อมทั้งจะพิจารณาถึงแผนการให้บริการวัคซีนโควิด-19 ตามที่ที่ประชุมอีโอซีกระทรวงสาธารณสุขเสนอด้วย

นอกจากนี้คาดการณ์ด้วยว่าจะมีการรายงานถึงมาตรการควบคุมเข้มงวดเฝ้าระวังและสกัดกั้นชายแดนป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายยาเสพติดและการค้ามนุษย์ที่อาจเข้ามาพร้อมโควิดสายพันธุ์ใหม่ และตั้งด่านจุดสกัดการลักลอบเข้าเมืองทางน้ำซึ่งถือว่ายังเป็นอีกหนึ่งจุดที่ยังคงมีปัญหา หลังพบผู้ติดเชื้อลอยลำในน่านน้ำ

นอกจากนี้ที่ประชุม อาจมีการหารือ การกระจายวัคซีนแบบ on-site รวมไปถึงกระจายวัคซีนไปยังพื้นที่เสี่ยง เนื่องจากพบการแพร่ระบาดของคลัสเตอร์ใหม่เพิ่มมากขึ้น อย่างในพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งขณะนี้พบผู้ติดเชื้อกว่า 600 คน รวมไปถึงพื้นที่ชุมชนแออัด ที่จะต้องนำวัคซีนเข้าไปเสริม เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่อย่างเร่งด่วน

“บิ๊กบี้” ส่งหน่วยทหารลงพท. รณรงค์ “ฉีดวัคซีนป้องโควิด” สร้างภูมิคุ้มกันหมู่เพื่อชาติ

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก ในฐานะ โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่าสถานการณ์โควิด-19 ของไทยในขณะนี้ได้เริ่มเข้าสู่การฉีดวัคซีนให้กับประชาชนตามการบริหารจัดการวัคซีนของ ศบค. และ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งการฉีดวัคซีนเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด และเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน ทั้งนี้ที่ผ่านมา กองทัพบกได้ให้หน่วยทหารและชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือน มวลชนเครือข่าย เข้าพบปะให้คำแนะนำเรื่องการป้องกันโรคและการปฏิบัติตนให้กับประชาชนในทุกพื้นที่และเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง เป็นไปตามแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาล

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้มอบให้หน่วยทหารทุกกองทัพภาคจัดชุดรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในแนวทางการให้วัคซีนโควิด-19 ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ โดยหน่วยทหารของกองทัพบกจะสื่อสารทุกช่องทางทั้งภายในองค์กรและการสื่อสารกับประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจทันต่อข้อมูลข่าวสาร สามารถเข้าร่วมและได้รับประโยชน์จากโครงการฉีดวัคซีนของรัฐบาลอย่างเต็มที่ เน้นการให้คำแนะนำช่องทางที่ประชาชนจะเข้าถึงการฉีดวัคซีน และช่วยอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม”

สำหรับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์จะเป็นไปในลักษณะ การจัดชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนออกรณรงค์ตามชุมชน สถานที่สาธารณะ แหล่งที่มีผู้คนมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก เพื่อส่งข้อมูลถึงระดับบุคคล รวมถึงการใช้สื่อ วิทยุ โทรทัศน์ สื่อสังคมออนไลน์ในเครือข่ายกองทัพบกกระจายข้อมูลข่าวสารและเชิญชวนประชาชนเข้ารับบริการฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวาง ส่วนโรงพยาบาลค่ายในสังกัดกองทัพบก จะเน้นให้ความรู้และคำแนะนำเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด รวมทั้งร่วมกับสาธารณสุขในพื้นที่ออกให้คำแนะนำและบริการประชาชน

พล.ท.สันติพงษ์ กล่าวอีกว่า การรณรงค์ดังกล่าว ผู้บัญชาการทหารบกมีเจตนารมย์เพื่อให้ประชาชนมีข้อมูลข่าวสารและเข้าถึงบริการสาธารณสุข ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ลดความรุนแรงเมื่อมีการติดเชื้อ และป้องกันการเสียชีวิต การฉีดวัคซีนนอกจากจะเป็นการป้องกันตนเอง ครอบครัว ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ที่สำคัญจะช่วยให้ประเทศไทยผ่านสถานการณ์วิกฤติโควิด และกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ 

ผู้การแต้ม-ดรุณวรรณ ปชป. มอบกล่องยังชีพ รพ.จุฬาภรณ์ ช่วยคนเดือดร้อนโควิด

พล.ต.ต. วิชัย สังข์ประไพ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตหลักสี่-จตุจักร พร้อมด้วย นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมคณะฯ ร่วมบริจาคกล่องยังชีพที่ประกอบไปด้วยข้าวสาร 5 กก. ปลากระป๋อง ขนมขบเคี้ยว หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ พร้อมถ้วยและจานกระดาษให้กับโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โดยมี พล.อ.ต.นพ.สันติ. ศรีเสริมโภค รองเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นตัวแทนรับมอบเพื่อช่วยแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 

ทั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการช่วยเหลือประชาชนที่ผู้ประสบภัยโควิด-19 ของมูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และศูนย์บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินโควิด-19 พรรคประชาธิปัตย์ (ศปฉ.ปชป.) ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ทั้งการช่วยจัดหาเตียงให้กับผู้ติดเชื้อ การแจกหน้ากากอนามัย 2 ล้านชิ้นที่ได้กระจายผ่านภาคส่วนต่าง ๆ ทั้ง ส.ส. ของพรรค สาขาพรรค อดีต ส.ส. อดีต ส.ก. ส.ข. และโครงการข้าวกล่องเดลิเวอรี 40,000 กล่อง ส่งตรงถึงบ้าน ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ต้องกักตัวอยู่บ้านและโครงการถุงยังชีพเดลิเวอรีผ่านเคอรี่ส่งตรงถึงบ้าน ที่มีพล.ต.ต. วิชัย สังข์ประไพ เป็นผู้บริหารจัดการ

“ธนาธร” ย้ำไม่เห็นด้วยแผนฟื้นฟู “การบินไทย” ล่าสุดดึงกลับเป็นรัฐวิสาหกิจ-ชี้ เสี่ยงล้มละลายอีกรอบ ประชาชนเป็นผู้แบกแต่กลุ่มทุนได้ประโยชน์

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความลงเพจเฟซบุ๊ค Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถึงกรณีแผนฟื้นฟูกิจการการบินไทย ที่เจ้าหนี้เห็นชอบล่าสุดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

โดยนายธนาธร โพสต์ข้อความระบุว่าตนไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะแผนฟื้นฟูกิจการฉบับนี้ จะทำให้การบินไทยกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจอีกครั้ง และหากเกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต ภาษีประชาชนจะต้องถูกนำไปอุ้มการบินไทยอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นายธนาธรระบุต่อไป ว่าการที่รัฐบาลตัดสินใจให้แผนฟื้นฟูนี้ผ่าน ทั้ง ๆ ที่ไม่สมเหตุสมผลทางธุรกิจ ไม่มีการปรับโครงสร้างงบการเงินอย่างมีนัยสำคัญ เป็นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ รู้สึกไม่มั่นคงกับสถานะทางการเมืองของตนเอง จึงไม่อยากเผชิญหน้าใครเพื่อผลักดันแนวทางที่ควรจะเป็น เพราะอาจจะเสียพันธมิตรและเสียคะแนนนิยมทางการเมือง

“ไม่มีที่ไหนเขาทำกัน ที่บริษัทขนาดใหญ่จะผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการ โดยยังคงมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สินถึงประมาณ 1.2 แสนล้านบาท เหตุผลสำคัญที่เจ้าหนี้และผู้เกี่ยวข้อง สนับสนุนแผนฟื้นฟูนี้ คือความเชื่อที่ว่าหาก “การบินไทย” เกิดปัญหาอีกในอนาคต รัฐบาลจะเข้ามาอุ้มการบินไทยต่อไปเรื่อย ๆ ความคิดเช่นนี้จะไม่ทำให้เกิดการพัฒนา หรือนวัตกรรมขึ้นในการบินไทย การบินไทยจะยังเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต ไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเองในการแข่งขันระดับโลก รอคอยการช่วยเหลือจากรัฐตลอดเวลา”

นายธนาธรยังระบุอีก ว่าแผนฟื้นฟูฉบับนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า การบินไทยที่ปรับโครงสร้างการบริหาร เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายแล้ว จะสามารถทำกำไรก่อนภาษี ได้เฉลี่ยปีละ 1.8 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่ปีพ.ศ.2566-2578 ติดกันเป็นเวลา 13 ปี ซึ่งจะทำให้บริษัทล้างยอดขาดทุนสะสมได้หมด

แต่ภาวะวิกฤตอาจเกิดขึ้นได้เสมอ และเพียงมีวิกฤตใดก็ตามอีกสักครั้งในช่วง 13 ปีนี้ การบินไทย อาจต้องเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการอีกรอบ และรอบหน้า อาจต้องใช้เงินภาษีประชาชนอุ้มการบินไทยมากกว่านี้

“และอย่าลืมว่า การคาดการณ์ว่าการบินไทยจะกำไรติดต่อกัน 13 ปี ปีละเกือบ 2 หมื่นล้าน ทันทีที่พ้นวิกฤตโควิด ก็ออกจะมองโลกในแง่ดีเกินจริงไปมาก เพราะ ในช่วงปีพ.ศ. 2558-2562 ซึ่งยังไม่มีโควิด การบินไทยยังขาดทุนไปแล้ว 4.1 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 8,200 ล้านบาท”

โพสต์ของนายธนาธรยังระบุด้วยว่า การแก้ปัญหาเช่นนี้ กลุ่มที่ได้รับประโยชน์กลุ่มสำคัญคือกลุ่มทุนธนาคารที่ใกล้ชิดกับคณะรัฐประหาร และเคยร่วมอยู่ในโครงการทุนประชารัฐ ส่วนคนที่เสียประโยชน์มากที่สุดคือประชาชน ที่ต้องนำเงินไปค้ำประกันเงินกู้ให้กับการบินไทย

ที่สำคัญกว่านั้น การดึงการบินไทยกลับเป็นรัฐวิสาหกิจอาจส่งผลกระทบกับเสรีภาพการเดินทางของประชาชน การเปิดน่านฟ้าเสรีในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้ค่าตั๋วเครื่องบินถูกลง ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการเดินทางมากขึ้น ประชาชนสามารถเดินทางค้าขายติดต่อธุรกิจได้อย่างว่องไวมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น มีทางเลือกมากขึ้น และค่าใช้จ่ายน้อยลง

“การผลักดันให้เกิดการแข่งขันในธุรกิจการบิน การเปิดน่านฟ้าเสรีจึงสำคัญกว่าการปกป้องการบินไทย สถานการณ์เดินมาไกลมากแล้ว ความเห็นของผมในวันนี้คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่หากผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมจะอธิบายให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าใจว่าการยอมรับการเจ็บปวดในระยะสั้น แก้ปัญหาอย่างตรงไปตรงมา เพื่อผลประโยชน์ของบริษัท และของประชาชนในระยะยาว ย่อมดีกว่าการเลี่ยงเผชิญหน้ากับปัญหาเช่นนี้”

“จตุพร” ปลุกปชช.ร่วมเปลี่ยนแปลงประเทศไม่ทนระบอบประยุทธ์ เชื่อ ทันทานพลังประชาชนไม่ไหวแน่ ด้าน อดีต ส.ว.นครศรีธรรมราช ชี้ รัฐประหารเป็นภัยร้ายแรง 

เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย จัดงานรำลึกครบรอบ 29 ปี พฤษภาทมิฬ 35 ที่ลานสวป. ลานประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ มหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยช่วงแรกเป็นส่วนของพิธีสงฆ์ เพื่ออุทิศแด่วีรชนผู้ล่วงลับจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จากนั้น เป็นการเสวนาในหัวข้อ “มองอดีต คุยอนาคต” ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายสิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ อดีต ส.ว.นครศรีธรรมราช และอดีตแกนนำนักศึกษารามฯ พฤษภา 35 และนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน

นายสิริวัฒน์ กล่าวว่า ทุกการรัฐประหารจะตามมาด้วยความรุนแรง ความไม่สงบ และความตกต่ำของประเทศเสมอ ขณะที่ระบอบประชาธิปไตยจะทำให้ความขัดแย้งเดินไปได้อย่างสันติ ซึ่งการทำรัฐประหารทำไม่ได้ แต่วงจรอุบาทว์เกิดขึ้นอยู่เสมอ เพราะพวกที่ถือว่าวุธไม่เคยเรียนรู้ที่จะปรับตัว แต่หาข้ออ้างแบบเดิม ๆ มาทำรัฐประหาร หากย้อนกลับไปสังคมไทยโชคดีที่หลังเกิดเหตุการณ์พฤษภาประชาธรรม 35 เราได้รัฐธรรมนูญฉบับที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดฉบับหนึ่ง ผลพวงจากรัฐธรรมนูญฉบับนั้น ทำให้เกิดรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ตนเชื่อว่าไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี หากเรามีรัฐธรรมนูญ และประชาชนที่ยอมรับหลักการประชาธิปไตย ปฏิเสธหลักการหรืออำนาจอื่น ๆ ประเทศจะเจริญรุ่งเรืองแน่นอน แต่สังคมไทยไม่เคยสรุปบทเรียน ว่าความขัดแย้งหรือความรุนแรงไม่สามารถยุติได้ด้วยความรุนแรง อำนาจนิยม และอำนาจปืน ซึ่งล้าสมัยไปนานแล้ว ประเทศต่าง ๆ ในโลกเขาหายไปนานแล้ว เหลือไม่กี่ประเทศในโลกที่ยังตัดสินด้วยอาวุธ 

“นับจากปี 57 ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น ประชาชนยากจนเศรษฐกิจตกต่ำ คนที่รักชาติถ้าชาติหมายถึงประชาชน คนที่รักความเป็นธรรมจะไม่อาจจะยอมรับระบอบเผด็จการได้เลย เราไม่สามารถยอมรับอภิสิทธิ์ชนไม่กี่ตระกูลได้เอาอำนาจ เอาทรัพย์สิน ผลระโยชน์ทุกอย่างไป แล้วปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัส เราไม่ได้ใส่ร้ายรัฐบาลนี้ แต่ตัวเลขทุกอย่างมันฟ้อง เหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา รัฐประหารเป็นภัยร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่ง วัฒนธรรมอำนาจนิยมเป็นภัยร้ายแรงอย่างมหาศาล วันนี้ขอชื่นชมเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ร่วมกันค้นหาความจริง เพราะความจริงนำไปสู่ความเจริญ” นายสิริวัฒน์ กล่าว

ด้าน นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่เราพึงเชื่อ คือไม่มีอำนาจของผู้ปกครองที่ได้มาด้วยความไม่ถูกต้องจะชนะประชาชน บ้านเมืองนี้หากฝ่ายประชาชน ฝ่ายประชาธิปไตย ลุกขึ้นมาต่อสู้ก็ยากที่ใครจะรับมือ เราต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ถูกต้องที่เรียกว่าประชาธิปไตย เพราะหากบ้านเมืองเสียหลักการเรื่องประชาธิปไตย ย่อมเกิดกติกาที่ไม่ชอบธรรม เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นปัญหา และแม้ว่าวงจรอุบาทว์ทางการเมืองของไทยจบลงแบบเดิมทุกครั้ง คือประชาชนและนักศึกษาตาย ซีกอำนาจทางการเมืองเปลี่ยน แต่ประชาชนไม่เคยเปลี่ยน 

นายจตุพร กล่าวอีกว่า สถานการณ์โควิด-19 ปีหน้าก็ไม่จบ หากประชาชนไม่คิดที่จะเปลี่ยนหรือต่อสู้ เราก็ต้องน้อมรับชะตากรรมนี้ต่อไป ตนเคยพูดหลายครั้งว่า คนไทยตื่นยากแต่เมื่อตื่นแล้วจะเอาเรื่องและชนะทุกครั้ง แต่พอชนะแล้วคนไทยจะกลับไปหลับต่อ เป็นการเปิดช่องให้ความอยุติธรรมเผด็จการกลับมา วันนี้จึงอยากเชิญชวนให้ประชาชนตื่นมาเอาเรื่องอีกครั้ง เพื่อให้ประเทศเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเราทนระบอบประยุทธ์ได้เราก็ทนไป แต่ถ้าเราเห็นว่าระบอบประยุทธ์ไม่ถูกต้อง สร้างความเสียหายให้ประเทศ ก็ต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง ประเทศจะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยประชาชน เพียงแต่ว่าประชาชนจะพร้อมหรือไม่ ทั้งนี้ ไม่มีผู้นำคนไหนจะทัดทานพลังประชาชนได้ นี่คือความหวัง และตนเชื่อว่าคนหนุ่มสาวคือจุดเปลี่ยนแปลงของประเทศนี้

นายวีระ กล่าวว่า อำนาจของประชาชนยิ่งใหญ่ที่สุด วันนี้ต้องทำให้จบในรุ่นเราคือรุ่นของเยาวชน เรายังมีความหวังเต็มเปี่ยมกับคนรุ่นปัจจุบัน ที่จะทำให้เกิดประชาธิปไตยที่แท้จริงในสังคมไทยแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่อเรามีบทเรียนเราไม่ควรจะผิดพลาดซ้ำซาก เผด็จการพัฒนาตลอด วันนี้เขาเข้มแข็ง เพราะเขาเอาความผิดพลาดในอดีตมาปรับเปลี่ยนเสริมให้เข้มแข็งขึ้น เราก็ต้องเอาบทเรียนมาทำให้เกิดชัยชนะ เอาความผิดพลาดมาแก้ไขปรับปรุง ถ้าเราไม่เข้มแข็งเผด็จจะปราบเราแล้วขึ้นมายึดอำนาจ ประเทศไทยจะไม่ว่างเว้นจากเผด็จการ ไม่ว่างเว้นจากการยึดอำนาจ และฉีกรัฐธรรมนูญ 

เชื่อหมอ ! “อธิบดี คร.”  ชี้ วัคซีนแอสตร้าฯ แบ่งฉีดขวดละ 12 โดสได้

จากกรณีที่ฝ่ายการเมืองตั้งคำถามในกรณีที่กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายแบ่งฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนกา ต่อขวดให้ได้ 12 โดส ว่าอาจจะทำให้ประชาชนได้วัคซีนไม่เพียงพอ ล่าสุด 20 พฤษภาคม 2564 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวในประเด็นดังกล่าวว่า ตนคิดว่าไม่ใช่ประเด็นอะไร เนื่องจากวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ตามกลไกผลิตของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนฯ ใน 1 ขวด จะบรรจุวัคซีนในขวดเผื่อไว้ประมาณ 20-30% โดยวัคซีนแอสตร้าฯ 1 ขวด บรรจุวัคซีนมา 6.5 ซีซีแต่เวลาฉีด 1 โดส จะใช้ปริมาณ 0.5 ซีซี ดังนั้น การฉีด 10 เข็มจึงใช้วัคซีนที่ 5 ซี ยังเหลือที่ขวดอีก 1.5 ซีซี  ดังนั้น การฉีด 11-12 โดสต่อขวด จึงสามารถทำได้

วิธีการฉีดจะใช้เข็มพิเศษ เรียกว่า Low Dead Space Syringes ทำให้การสูญเสียวัคซีนในปลายหลอดลดลง โดยได้อบรมพยาบาลดึงวัคซีนเป็นอย่างดี ด้วยเทคนิคการดึงยาที่มีความแม่นยำ ซึ่งที่ผ่านมาเขาสามารถดึงยาได้ 11-12 โดสต่อขวด ซึ่งเป็นเรื่องปกติ  

"องค์การอนามัยโลก ก็เห็นว่า สามารถทำได้และเกิดประโยชน์ ทั้งนี้การฉีดวัคซีนให้ได้เพิ่มเป็น 11-12 โดส จะทำให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้มากขึ้น" นพ.โอภาส กล่าว

นพ.โอภาส กล่าวว่า การฉีดวัคซีนให้ได้จำนวนประชากรที่มากขึ้น จะทำให้เราสร้างภูมิคุ้มกันระดับหมู่ได้เร็วขึ้น ตนมั่นใจว่าวัคซีนที่เพิ่มมา 20% ในแต่ละขวด จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมาก และขอให้ประชาชนมั่นใจในความสามารถของบุคลากรแพทย์พยาบาลผู้ฉีดวัคซีน ทุกคนผ่านการอบรมและฝึกซ้อมดึงยา มาเป็นอย่างดี

วัคซีนหยดเดียว!!

เรียกได้ว่าเดือดระอุกันเลยทีเดียว เมื่อคนของ 2 พรรคการเมือง ฝั่งพรรคร่วมรัฐบาล ระหว่างพรรคพลังประชารัฐ กับ พรรคภูมิใจไทย ที่ออกมาซัดกันเอง ชนิดหมัดต่อหมัด ซึ่งสาเหตุก็มาจาก กรณีนายกรัฐมนตรี เบรค ‘วอล์กอินฉีดวัคซีน’ เปรียบเหมือนการทะเลาะกันด้วย ‘น้ำผึ้งหยดเดียว’ เพียงแต่ครั้งนี้ ต้นเหตุมาจาก ‘วัคซีน’ เท่านั้นเอง


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“บิ๊กตู่” สั่งคุมเข้มชายแดน ต้องให้มั่นใจ ไม่มีโควิดสายพันธุ์ใหม่ข้ามมาพร้อมผู้ลักลอบข้ามแดน ย้ำฟันเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้สั่งการฝ่ายความมั่นคง ทหารและตำรวจ ในที่ประชุมสภากลาโหม ให้สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลเพิ่มความเข้มงวดคุมเข้มเฝ้าระวังและสกัดกั้นชายแดน ป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ยาเสพติดและการค้ามนุษย์ที่อาจเข้ามาพร้อมโควิดสายพันธุ์ใหม่ โดยให้มีมาตรการคัดกรองโรคเข้มข้นต่อเนื่องควบคู่กันไป ทั้งนี้ให้ประสานสืบจับกุมทำลายเครือข่ายและดำเนินการทางกฎหมายกับนายทุน ผู้ลักลอบและนำพาอย่างจริงจัง  ทั้งนี้ หากมีเจ้าหน้าที่รัฐในทุกระดับเข้าไปเกี่ยวข้อง จะดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญาอย่างเด็ดขาด ไม่มีการละเว้น

พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า ภาพรวม การปฏิบัติของหน่วยงานความมั่นคง ทหารและตำรวจ ที่ผ่านมา ได้เพิ่มกำลังสกัดกั้นและความถี่การลาดตระเวนมากขึ้น ร่วมกับการวางเครื่องกีดขวาง จัดตั้งจุดตรวจและกวาดล้างจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายตามแนวชายแดนและพื้นที่ชั้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ ธ.ค.63 จนถึงปัจจุบัน มีการจับกุมทั้งสิ้น 2,122 ครั้ง สามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายได้ จำนวน 18,039 คน เป็นผู้นำพา  243 คน (ชาวเมียนมา 8,010 คน ลาว 1,345 คน กัมพูชา 5,977คน มาเลเซีย 37 คน ชาวไทย 1,851 คน และสัญชาติอื่น ๆ 576 คน )  

โดยเป็นการจับกุมในพื้นที่ชายแดนได้กว่า 15,000 คน และพื้นที่ตอนในเกือบ 3,900 คน ซึ่งจากสถิติผลการจับกุมรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา พบมีความสัมพันธ์กับสถานการณ์ประเทศเพื่อนบ้านและความต้องการแรงงานจากภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการสู้รบในเมียนมา มีผลให้การจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองได้มากขึ้น ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามฝ่ายความมั่นคง ยังคงให้ความสำคัญและปฏิบัติงานร่วมกันโดยไม่ประมาท โดยเฉพาะการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นในพื้นที่ชายแดนด้านมาเลเซียและเมียนมา ที่มีแนวโน้มเสี่ยงต่อการข้ามมาของโควิด-19 สายพันธ์ที่ยังไม่พบการแพร่ระบาดในไทยพร้อมกับผู้ลักลอบเข้าเมือง

รมว.สุชาติ ประสานทูต กรุงเทลอาวีฟ ส่ง 2 ศพแรงงานกลับมาตุภูมิ ถึงไทย 26 พ.ค.นี้

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือการนำศพแรงงานไทยที่เสียชีวิตจากเหตุระเบิดในอิสราเอลกลับประเทศไทยว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้แสดงความเสียใจกรณีแรงงานไทยเสียชีวิตและห่วงใยแรงงานไทยที่ได้รับบาดเจ็บ จึงได้สั่งการให้ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประสานความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ และในวันนี้ผมได้โทรศัพท์ประสานพูดคุยกับ น.ส.พรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ 

ซึ่งจากการประสานทราบว่า ศพของแรงงานไทยจำนวน 2 ราย คือ นายวีรวัฒน์ การันบริรักษ์ อายุ 44 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ และ นายสิขรินทร์ สงำรัมย์ อายุ 24 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ จะมาถึงประเทศไทย ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในวันที่ 26 พฤษภาคมนี้ โดยบริษัทที่แรงงานไทยทำงานอยู่จะรับผิดชอบในการจัดส่งศพไปจนถึงบ้านของแรงงาน ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 8 ราย ขณะนี้ยังพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 1 ราย คือ นายอัตรชัย ธรรมแก้ว อายุ 28 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี ส่วนที่เหลืออีก 7 รายได้กลับไปที่พักคนงานทั้งหมดแล้ว

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ยังรายงานเพิ่มเติมอีกว่า มีแรงงานไทย อีก จำนวน 5 คนที่แจ้งความประสงค์กับสถานเอกอัครราชทูต โดยจะเดินทางกลับในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ยังได้สั่งการให้ฝ่ายกงสุล ประสานให้ทางการอิสราเอลดูแลคนงานไทยเป็นอย่างดี ซึ่งในเบื้องต้นเมื่อวานนี้ (19 พ.ค.64) ได้ให้จิตแพทย์เข้าไปพูดคุยกับคนงานในพื้นที่ที่มีการระเบิด 

ทั้งนี้ นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ได้มาบรรยายสรุปถึงสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น พร้อมกล่าวแสดงความเสียใจกับท่านทูตฯ ในกรณีที่แรงงานไทยเสียชีวิตจำนวน 2 ราย และบาดเจ็บอีก 8 ราย จากเหตุระเบิดในครั้งนี้ ขณะเดียวกันท่านทูต ยังได้รายงานกับนายกรัฐมนตรีของอิสราเอลว่า กรณีการเกิดเหตุระเบิดในครั้งนี้ ระบบไซเรนไม่มีเสียงดังขึ้น และที่หลบภัยยังมีน้อยเกินไป ซึ่งขอให้มีการตรวจสอบเพิ่มเติม ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีของอิสราเอลรับจะไปดำเนินการ

ขณะที่แรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในประเทศอิสราเอลอยู่แล้วในขณะนี้ และยังไม่ประสงค์จะแจ้งการเดินทางกลับประเทศไทย หากแรงงานไทยรายได้ประสงค์จะขอให้ย้ายออกจากพื้นที่อันตราย ท่านทูตก็ยินดีที่จะดำเนินการให้ตามที่ร้องขอต่อไป

นายกฯ ประชุมสภากลาโหม สั่งเข้มตามชายแดนสกัดโควิด-19 กระจายวัคซีนกำลังพลด่านหน้าทั่วถึงแล้ว ให้หน่วยขึ้นตรงเร่งสร้างความเชื่อมั่นฉีดวัคซีน

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ไปยังหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม 

โดยภายหลังการประชุมพ.อ.วีรยุทธ์ น้อมศิริ ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมว่า พล.อ.ประยุทธ์มอบนโยบายหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงทุกเหล่าทัพสนับสนุนกำลังพลสายแพทย์ช่วยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) ที่ตั้งขึ้นมาภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ด้านความมั่นคง และศูนย์ปฎิบัติการบริหารสถานที่กักกันโรคแห่งรัฐของกระทรวงกลาโหม และศูนย์บูรณาการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล รวมถึงสนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ตกค้างและติดตามข่าวสารที่มีการบิดเบือน ทั้งนี้ขอให้เน้นย้ำเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานอย่างระมัดระวัง เป็นไปตามมาตรการสาธารณสุขกำหนด เพื่อคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็ว และให้ทุกหน่วยสร้างการรับรู้ในการสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในเรื่องการฉีดวัคซีน รวมถึงกำลังพล และครอบครัวด้วย ขณะที่ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนให้กำลังพล ตอนนี้กระจายไปยังทั่วถึงแล้ว

พ.อ.วีรยุทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการป้องกันลักลอบหนีเข้าเมือง และการลักลอบขนสินค้าตามแนวชายแดน ให้หน่วยขึ้นตรงกลาโหม เฝ้าระวังตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวด โดยให้กองกำลังป้องกันแนวชายแดนประสาน การปฎิบัติกับหน่วยที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการสกัดกั้นการทำผิดกฎหมาย หากตรวจพบว่ามีข้าราชการมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องจะลงโทษทางวินัยและอาญาโดยไม่มีการละเว้น ส่วนการรับทหารเกณฑ์ผลัดที่ 1 ปี 2564 และการฝึกทหารใหม่ให้หน่วยขึ้นตรงกลาโหม และเหล่าทัพเตรียมการสำหรับการรับทหารใหม่ ให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย คำนึงถึงมาตรการสาธารณสุข และปฎิบัติตามระเบียบ ตามหลักสูตรทหารใหม่อย่างเคร่งครัด ระมัดระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการฝึก ส่วนการลงโทษทหารที่ทำผิดวินัยให้เป็นไปตามระเบียบทหารเท่านั้น

‘หมอวรงค์’ ได้ที ขี่กระแส ‘ดราม่าพิมรี่พาย’ ขย่มซ้ำ ‘พี่โทนี่’ ชี้หมดเวลานายทักษิณแล้วจริง ๆ เชื่อหลังจากนี้คงหายจากหน้าจออีกนาน หลังโดนเด็กสวนกลับหน้าหงาย

เมื่อวันที่ 20 พ.ค. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี เขียนข้อความทางเฟซบุ๊ก ‘Warong Dechgitvigrom’ แสดงความเห็นกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีพูดในคลับเฮาส์ ช่วงหนึ่งระบุว่า แนะนำให้รัฐบาลเร่งทำโรงพยาบาลสนาม โดยหากไม่รู้ว่าจะทำให้ดี ถูก คุ้มค่าอย่างไร ก็ให้ดูจากที่พิมรี่พาย ลงไปทำ ต่อมาถูกพิมรี่พาย วิจารณ์กลับ เรียกร้องนายทักษิณ อย่าพูดถึงตนอีก เพราะถูกอำนาจมืดเล่นงาน ถูกไม่ได้รับความร่วมมือแล้วหลายครั้ง เวลาที่นายทักษิณกล่าวถึง นพ.วรงค์ ระบุว่า

#หมดเวลาของนายทักษิณจริงๆ

การที่นายทักษิณออกมาแขวะรัฐบาล โดยอาศัยชื่อเสียงขอพิมรี่พาย ยูทูปเบอร์ชื่อดัง แต่ท้ายที่สุด ก็โดนสวนกลับอย่างแรง อย่างตรงไปตรงมา ชนิดที่ต้องหายจากหน้าจอไปอีกนาน

นายทักษิณต้องรู้ตัวได้แล้วว่า ช่วงโควิดนี้ สังคมไทยเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะดารา เซเล็ป เขากล้า เขาไม่กลัว ใช้ข้อมูล ใช้ความจริง บนเหตุและผล คนที่รวยจากการผูกขาดสัมปทานรัฐ คงไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงนี้

ผมดูแล้ว ไม่รู้ว่า นายทักษิณจะรู้ตัวไหมว่า หมดเวลาของนายทักษิณแล้วครับ "แม้ช่วงหนึ่งจะเป็นดวงอาทิตย์ แต่อาทิตย์ดวงนี้ ก็กำลังจะลับขอบฟ้าแล้ว"

 

ที่มา : https://www.facebook.com/therealwarong


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ถอดรหัส ‘พรรคกล้า’ ต้นแบบ ‘กล้าทำ’ เรื่องที่ควรทำ ในห้วงเวลาที่คนไทยโหยหาคนช่วย ส่วนใครจะไม่จำ ไม่รู้!!

ในระหว่างที่โลกการเมืองภายในประเทศตอนนี้ ยังคงมีวาทกรรมให้โต้ตอบจากการขุดประเด็นอะไรก็ไม่รู้มาพ่นน้ำลายในแต่ละวัน คู่ขนานไปกับการทำงานของคนการเมืองที่ต้องมีส่วนเอี่ยว แบบเดินไป สะดุดไป

พลันหลงให้ต้องเหลือบไปมองดูพรรคการเมืองอื่น ๆ เพื่อพักสายตา ซึ่งช่วงนี้ชื่อ ‘พรรคกล้า’ ก็ลอดเล็ดเข้ามาเป็นระยะ ๆ เพราะดันอดสงสัยไม่ได้ว่า แคมเปญสารพัดที่พรรคนี้งัดออกมาในช่วงประชาชนโหยหาความรักความเมตตาอยู่เนี่ย มันควรเป็นหน้าที่ของใคร?

จริง ๆ แล้ว พรรคกล้า เป็นพรรคหนึ่งที่เชื่อว่าคนไทยบางส่วน คงมีแอบตามติดอยู่เบา ๆ แต่ก็ไม่ใช่เพราะหัวหน้าพรรคชื่อดัง ไม่ใช่ว่าเพราะเบื่อลุง หรือเซ็ง 3 นิ้วใด ๆ

แต่แค่รู้สึกว่า ในหัวชาวบ้านทั่ว ๆ ไป อยากได้ความช่วยเหลืออะไร พรรคนี้ก็ดันทะลึ่งมีไอเดียคลอดออกมาซัพพอร์ตในวันที่ภาคส่วนซึ่งเกี่ยวข้องยังงง ๆ หรือมึนกับบทบาทตัวเองอยู่เลย (แต่บางคนทำงานดี ๆ ก็มีเยอะนะ)

เพราะตั้งแต่เกิดการระบาดระลอก 3 มานี้ ‘พรรคกล้า’ มีเส้นทางในการทำงานการเมืองนอกสภา ที่ดู OK ไม่น้อย

แถมสิ่งที่เห็นชัด คือ ไม่ใช่แค่การคิด หรือ คุย หรือ วาทกรรมไปเรื่อย แต่คนในพรรคดูจะ ‘เน้นลงมือทำ’ เลยเฮ้ย!! (อันนี้อยากให้นักการเมืองไทยมองเป็นแบบอย่าง)

อย่างเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ พรรคกล้ามีการตั้งทีมช่วยประสานหาเตียงผู้ป่วย มีการตั้งโครงการ ‘กล้าเติมอิ่ม’ ดูแลคนที่จะเดือดร้อน มีการพาทีมไปบริจาคเลือดให้กับสภากาชาด มีการช่วยรณรงค์ให้ประชาชนไปฉีดวัคซีนโดยการทำแคมเปญเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ ‘กล้า ฉีดวัคซีน’ ทุกกิจกรรมมันแอบกระแทกใจคน แม้จะเฉย ๆ กับพรรคนี้

เท่าที่จำได้ บรรดาคนในพรรคนี้ตั้งแต่ หัวหน้า / เลขาธิการพรรค ยันลูกพรรคแต่ละเขต ระดมแรงลงไปไล่เร่งช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ตัวเองรับผิดชอบ น่าจะตั้งแต่ช่วงวันที่ 25 เมษายน 2564 ที่โควิดระลอก 3 เริ่มหนัก

ขอไล่เรียงเท่าที่พอรู้ พรรคนี้เริ่มโครงการ ‘กล้าสู้โควิด’ โดยมีการจัดตั้งศูนย์ประสานสำหรับผู้ที่ติดเชื้อโควิดและมีปัญหาเรื่องประสานหาเตียง มีอาสาสมัคร ประมาณ 10 ท่าน ช่วยในการโทรประสานเตียง ให้กำลังใจและคำแนะนำ โดยสามารถช่วยไปได้หลายร้อยราย

‘กล้าเติมอิ่ม’ เป็นโครงการที่หัวหน้าพรรคเขาริเริ่ม โดยการนำข้าวอิ่ม เกษตรอินทรีย์ ที่ปลูกโดยชาวบ้าน จังหวัด มหาสารคาม มาร่วมกับเชฟหลายท่าน ทำข้าวกล่อง ‘กล้าเติมอิ่ม’ นำแจกตามชุมชนทั่วกรุงเทพมหานคร รวมไปถึงนำข้าวสาร อาหารแห้งไปบริจาคเพิ่มเติมอีกด้วย นอกจากนี้มีการตั้งครัวอาสาทำข้าวกล่องทั่วกรุงเทพหลายจุดมอบให้ประชาชนหลายหมื่นกล่อง

‘กล้าบริจาคเลือด’ ตามที่ สภากาชาดไทยได้แจ้งว่ามีการขาดเลือดจำนวนมาก คนของพรรคกล้าก็โร่ไปบริจาคเลือดกันหลายสิบชีวิต นำโดยคุณเอ๋-อรรถวิชช์ สุวรรณภักดีที่เป็นเลขาธิการพรรค

‘กล้าฉีดวัคซีน’ แคมเปญรณรงค์ล่าสุดของพรรคกระตุ้นให้คนไทยออกมาฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศ ช่วยฟื้นเศรษฐกิจโดยเป็นการทำแคมเปญเปลี่ยน รูปโพรไฟล์ในช่องทางโซเชี่ยลมีเดีย ‘กล้าฉีดวัคซีน พร้อมมากพูดเลย’ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากโลกโซเชี่ยลเป็นอย่างมาก

ล่าสุดก็ ‘กล้าหางาน’ ที่ช่วยประชาชนหางาน และช่วยผู้ประกอบการหาคน เป็นการช่วยสู้วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงโควิด-19 เพราะมองว่าแค่รับเงินแจกคงไม่พอแดก ซึ่งพรรคกล้าก็ได้เปิดเพจ-ทำงานเชิงรุกพื้นที่ บริการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย หวังช่วยคนไทยนับล้านมีงานทำ

แน่นอนว่าสิ่งที่พรรคนี้กำลังทำ อาจจะไม่ใช่กิจกรรมที่ช่วยคนได้ทั้งประเทศหรอก แต่ถ้านักการเมืองที่เกี่ยวข้องในกระบวนการด้านสังคม สุขภาพ และเศรษฐกิจของประชาชน ซึ่งมีอำนาจล้นพ้นได้ทำ ประโยชน์จะเกิดกับคนไทยได้มากแค่ไหน และควรเป็นบทบาทของใคร? อันนี้ไม่พูด

อย่างไรเสีย คนช่างอคติแบบเรา ก็มองกิจกรรมที่พรรคนี้ได้ทำ เป็นเหมือนกับการหาเสียง หาฐานประชาชนทั่วไปให้รักให้หลง ตามกระบวนการทางการเมือง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่มันเป็นความปกติที่ส่วนตัวแล้วอยากให้เกิดขึ้นบ่อย ๆ แบบ New Normal (ทันสมัยซะด้วย) เพราะสาระสำคัญของสิ่งที่ทำ มันแลดูเป็น ‘การเมืองเชิงสร้างสรรค์’ ที่เหมือนจะห่างหายจากสังคมไทยไปช้านาน

แต่คิดไปคิดมา เอาจริง ๆ พรรคกล้านี่ ถ้าไม่นับหัวหน้าพรรคนี่ คนอื่น ๆ ในพรรค ก็อาจจะไม่ได้มีใครคุ้นตาประชาชนเลย คนในพรรคส่วนใหญ่นี่เรียกว่าใหม่หมดจดในวงการเมืองแทบจะยกแผง ตั้งแต่ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. / ส.ส. ทำไปจะได้ใจ จะมีใครจดจำ หรือได้เสียงในวันข้างหน้าแค่ไหนก็บอกยาก

ทว่าการเมืองแบบนี้ เป็นการเมืองภาคประชาชนของโลกยุคใหม่ ยุคที่คนไทยอยากเห็นการเมืองสร้างสรรค์ ต่อให้ต้องพ่ายแพ้หลังวันคืนหมาหอน แต่ก็น่าจะเป็นประกายเล็ก ๆ ให้คนในประเทศยังรู้สึกมีความหวังกับคนที่อยากมานักการเมืองไทย

ถึงกระนั้น!! อนาคตก็เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก​ แต่ถ้าสิ่งที่เป็นอยู่ในวันนี้กับอนาคตที่จะมาถึง ยังคงสม่ำเสมอได้...

ตราตรึงจิตคนไทยไม่ยาก!!


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

กอ.รมน. บูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐรณรงค์ให้ประชาชนเข้าร่วมการฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ทำให้เกิดความปลอดภัยต่อประเทศตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี

พล.ต. ธนาธิป  สว่างแสง โฆษก กอ.รมน. เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ประเทศไทยในขณะนี้ และโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนจำนวนมาก และพบผู้เสียชีวิตรายวันเพิ่มขึ้น วัคซีนจึงถือเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยลดและหยุดยั้งการแพร่กระจายเชื้อที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้

กอ.รมน. โดย พล.อ. ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ในฐานะ รอง ผอ.รมน. ได้มอบหมายให้ศูนย์อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (ศรมน.) จัดประชุมติดตามสถานการณ์การให้บริการวัคซีนโควิด-19 โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้ามาร่วมในการฉีดวัคซีนมากที่สุด โดยใช้ช่องทาง กอ.รมน.ภาค และ กอ.รมน.จังหวัด บูรณาการร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขร่วมรณรงค์แนวทางการให้บริการวัคซีนโควิด-19 แบบปูพรมทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ระบาด รวมทั้งประชาสัมพันธ์เตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการให้บริการวัคซีน อีกทั้งการเตรียมความพร้อมจุดให้บริการวัคซีนทั้งในและนอกโรงพยาบาลผ่านช่องทางการลงทะเบียนและการรับบริการฉีดวัคซีนตามนโยบายของ พล.อ. ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ที่ต้องการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ทุกคนในประเทศได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 อย่างน้อยร้อยละ 70 ของประชากรในประเทศ และให้ความสำคัญในการฉีดวัคซีนที่รัฐบาล ได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 64 เป็นต้นไป

สำหรับช่องทางการลงทะเบียนและการเข้ารับวัคซีน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 จองผ่าน "หมอพร้อม" (Line OA และ Application) กลุ่มที่ 2 เป็นวิธีเสริมจากระบบหมอพร้อม ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนมากที่สุด ในกรณีที่มีวัคซีนสนับสนุนเพียงพอ โดยให้ลงทะเบียนผ่านสถานพยาบาล หรือ อสม. หรือผ่านองค์กร หรือ การลงทะเบียน ณ จุดฉีด (On Site Registration) กลุ่มที่ 3 การจัดสรรวัคซีนกลุ่มเฉพาะ ได้แก่ ประชาชนกลุ่มเสี่ยง กลุ่มที่มีความจำเป็นพิเศษ กลุ่มที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตประจำวัน

สำหรับการจองผ่าน “หมอพร้อม” ขณะนี้ยังเปิดให้จองได้เฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่ม โรคเรื้อรัง คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งทุกชนิดระหว่างการรักษา โรคเบาหวาน และโรคอ้วน ส่วนประชาชนทั่วไปให้เริ่มจองได้ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. 64 การปูพรมฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อต้องการเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ประเทศไทยโดยเร็วที่สุด ซึ่งมีความจำเป็นที่ประชาชนต้องให้ความสำคัญกับการเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อหยุดเชื้อ เพื่อชาติ โดยวัคซีนจะทำให้การแพร่กระจายเชื้อ อาการป่วยหนัก และการสูญเสียชีวิตลดลง

อย่างไรก็ตามขอให้ประชาชนยังคงปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค. และรัฐบาลกำหนดอย่างเคร่งครัด รวมทั้งมาตรการส่วนบุคคล (D-M-H-T-T-A) ได้แก่ การเว้นระยะห่าง, สวมหน้ากากอนามัย, ล้างมือบ่อย ๆ, ตรวจวัดอุณหภูมิ, สังเกตอาการ และ สแกนหมอชนะ เน้นย้ำการสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่มีการอยู่ร่วมกัน ลดกิจกรรมการชุมนุมสังสรรค์ ทุกประเภท และขอความร่วมมือภาครัฐและภาคเอกชนให้ใช้มาตรการการทำงานที่บ้าน (Work from home) ต่อไป จนกว่าการแพร่ระบาดจะลดลง รวมทั้งสร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงแนวทางการบริหารของทางรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง และขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างมีสติ เพื่อรู้เท่าทันเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

คณะที่ปรึกษาสธ.ศบค. แนะ กทม.กรุงเทพฯ เร่ง ตีวงต่างด้าวผิดกม. จัดสถานที่อยู่-ขยายขึ้นทะเบียน หวั่น มีพฤติกรรมเสี่ยงทำคุมระบาดยาก ด้านกทม.ขอกำลังเสริม ทีมสอบสวนโรค-ฉีดวัคซีน

วันที่ 20 พฤษภาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 ) หรือศบค.แถลงสถานการณ์ประจำวันว่า วันนี้คณะที่ปรึกษาด้านการสาธารณสุขศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ประกอบด้วย นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร นพ.อุดม คชินทร นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา ได้ประชุมหารือถึงการออกมาตรการเฉพาะในบางเรื่องในพื้นที่กรุงเทพฯ เนื่องจากสถานการณ์การติดเชื้อในกรุงเทพฯ พบผู้ติดเชื้อ 1,001 ราย พบจากการเฝ้าระวังในโรงพยาบาล คนไทย 541 รายต่างด้าว 167 ราย จากการค้นหาเชิงรุก คนไทย 132 ราย ต่างด้าว 161 ราย 

โดยที่ประชุมโฟกัสจุดระบาด ที่ดอนเมือง แคมป์ก่อสร้างหลักสี่แฟลตดินแดง ตลาดห้วยขวางที่พักคนงานก่อสร้างคลองเตยตลาดพลอยบางรัก จะอยู่ในจุดเฝ้าระวังสูงสุด 36 คลัสเตอร์ กระจาย 25 เขต แบ่งเป็นกลุ่มระวังสูงสุด14 คือ ดินแดง ราชเทวี หลักสี่ ดุสิต ป้อมปราบศัตรูพ่าย คลองเตย บางรัก สาทร พระนคร ประเวศ บางกอกน้อย ห้วยขวาง บางเขน บางคอแหลม เช่น ชุมชนแคมป์ก่อสร้าง ตลาดชุมชน สถานประกอบการที่เป็นคอลเซ็นเตอร์ เฝ้าระวังสูง วัฒนา สวนหลวง จตุจักร ราชเทวี ดอนเมือง บางกะปิ และพบใหม่ที่บางพลัดแคมป์ก่อสร้าง สำหรับเขตที่ดูแลดีและควบคุมการระบาดได้มี 8 เขต คือ ทวีวัฒนา ปทุมวัน ป้อมปราบศัตรูพ่าย สาทร สัมพันธวงศ์  ลาดพร้าว สวนหลวง

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า จากรายงานของกรุงเทพฯ พบแคมป์ก่อสร้างทั้งหมด 409 แห่ง มีคนงานรวม 62,169 คน คนไทยกว่า 2 หมื่น เป็นคนต่างชาติกว่า 36,000 คน ซึ่งแคมป์คนงานก่อสร้างมีความสำคัญสูง ที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการ และทางกรุงเทพฯ ไดเมอนิเตอร์ติดตามผ่านสำนักงานเขตทุกเขต ดังนั้นผู้อำนวยการเขตทั้งหลาย ฝ่ายปกคลอง ต้องทำงานอย่างเต็มที่ในการเฝ้าระวังร่วมกับคนในพื้นที่และท้องถิ่น เฝ้าระวังและช่วยกันดูแลคนในเขต เพราะจากการตรวจเชิงรุกพบติดเชื้อวันละ300-400 คนมี คนต้องการเตียงวันละไม่ต่ำกว่า 500 คน

โดยกรมควบคุมโรควิเคราะห์ปัจจัยระบาดในกรุงเทพฯ ที่ต้องเร่งแก้ไข คือ เรื่องสุขาภิบาลของตลาด ความแออัดของการใช้ห้องน้ำร่วมกันของแคมป์คนงานเป็นต้น ดังนั้นมาตรการที่จะต้องดำเนินการในการเฝ้าระวังในกลุ่มเฝ้าระวังสูงสุดและเฝ้าระวัง ในส่วนมาตรการของตลาด คือ ปรับการระบายอากาศให้เพียงพอ เหมาะสม จัดให้มีการควบคุมเข้าออกและมีมาตรการคัดกรอง หากใครมีอาการป่วย

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า คณะที่ปรึกษาฯ จึงเสนอเรื่องของต่างด้าวโดยประมาณการว่าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีคนต่างด้าวที่ถูกกฎหมายประมาณ 1,318,641 คน ส่วนที่ไม่ถูกกฎหมายประมาณการทั้งประเทศเป็นหลักล้านคน ซึ่งคนเหล่านี้มีพฤติกรรมที่อาจจะเป็นปัจจัยทำให้ยากต่อการควบคุมโรค คือ

1.) จะเป็นผู้ที่ไม่อยู่นิ่งและมีการหลบหนีเคลื่อนย้ายตัวเองบ่อยเพราะไม่ถูกกฎหมาย

2.) มีพฤติกรรมไปอยู่กับคนที่ถูกกฎหมายไปเกาะกลุ่มรวมกันทำงานและย้ายจุด

3.) และมีที่พักแออัด นอนพักอาศัย กินดื่ม รวมกัน ทางคณะที่ปรึกษาฯ จึงเสนอให้มีศูนย์คัดแยกผู้ป่วยโดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงานต่างด้าว โดยให้แยกออกมาโรงพยาบาลสนาม ยกตัวอย่างจังหวัดปทุมธานี ที่ใช้ตลาดเก่าไม่ได้ใช้ มาปูเสื่อน้ำมันให้อากาศถ่ายเท ให้คนต่างชาติมาอยู่รวมกันตรงนั้น โดยมีรั้วรอบขอบชิด ซึ่งกรุงเทพฯ จะต้องรีบทำเพราะวันนี้จำนวนที่ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาวันละกว่า 300 คนจะต้องแยกออกมาชุมชนให้ได้ และให้มีมาตรการนิรโทษกรรม รองรับขยายการขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฏหมายเข้าสู่ระบบจ้างงานถูกต้อง

ทั้งนี้กรุงเทพฯ ขอความร่วมมือ โดยต้องการทีมสอบสวนโรคเพิ่มขึ้นตามข้อแนะนำของคณะที่ปรึกษา ประกอบด้วยพยาบาลนักวิชาการสาธารณสุข ทีมละ 4 คน ลงไปสอบสวนโรคเกือบทุกเขต และทีมฉีดวัคซีน มีแพทย์พยาบาลอาสาสมัคร ทำงานทั่วไป ให้ติดต่อที่ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านสาธารณสุข สำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร ได้ที่เบอร์ 064 805 2620


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top