Thursday, 10 July 2025
POLITICS

'อุตตม' ชี้!! ขีดแข่งขันไทยลดฮวบ สะท้อนอนาคตประเทศเสี่ยงสูง

หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ชี้ ตัวเลขขีดความสามารถทางการแข่งขันไทยตก สะท้อนอนาคตประเทศมีความเสี่ยงสูง แนะเร่งยกระดับสินค้าส่งออก แก้ปัญหาหนี้สินของประชาชน และจัดหาแหล่งเงินทุนให้ผู้ประกอบการ

17 มิ.ย. 65 นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังจะเผชิญกับมรสุมเศรษฐกิจถึง 3 ลูก โดยลูกแรกคือโควิด แม้จะทุเลาลงแต่ก็ได้สร้างบาดแผลทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง ลูกที่ 2 คือราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นจากสงครามยูเครน และลูกที่ 3 ซึ่งกำลังก่อตัวรุนแรงขึ้น คือภาวะเงินเฟ้อ ที่ส่งผลทำให้สินค้าราคาแพง กระทบกับการทำธุรกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน

“เรากำลังเผชิญกับปัญหาทั้งต้นทุนพลังงาน ปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลก สหรัฐอเมริกากำลังห่วงว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย จีนก็ยังไม่เปิดประเทศ ขณะที่ไทยต้องพึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้ จึงมีคำถามว่าเราจะบริหารจัดการกับภาวะท้าทายที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร ไม่ใช่เพียงการจัดการระยะสั้น แต่ต้องมองไปถึงความยั่งยืนในอนาคตด้วย”

นายอุตตม กล่าวต่ออีกว่า ความกังวลประการหนึ่ง คือตัวเลขผลสำรวจขีดความสามารถทางการแข่งขันจากมุมมองของนักบริหารทั่วโลก ที่เพิ่งเผยแพร่โดยสถาบัน TMA ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ปรากฏว่าปี 2565 ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 33 จากปีก่อนที่อยู่ในอันดับที่ 28 เป็นการลดลงถึง 5 อันดับ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยพบว่าประเทศไทยจะมีอันดับลดลงมากขนาดนี้

โดยสมรรถนะทางเศรษฐกิจที่ลดลงมีผลมาจากปัจจัยหลักในเรื่องการค้า ทั้งการบริโภคภายในประเทศที่ลดลงจากโควิด ซึ่งต้องมีการบริหารจัดการต่อเนื่อง ส่วนการส่งออกแม้ที่ผ่านมาจะมีตัวเลขที่สูงขึ้น แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนทั่วโลก ทำให้เราไม่สามารถไว้วางใจได้ ที่สำคัญประเทศไทยจำเป็นต้องยกระดับสินค้าส่งออกให้สู้กับคู่แข่ง และตรงความต้องการของตลาดโลกในปัจจุบัน รวมทั้งพัฒนาระบบเศรษฐกิจจากฐานราก เพื่อความยั่งยืนในอนาคต 

ส่วนประสิทธิภาพภาครัฐ อันดับที่ตกลงมาเกิดจากการบริหารการคลัง ที่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อบริหารจัดการผลกระทบโควิด ซึ่งผลการจัดอันดับนี้เป็นสัญญาณที่ชี้ว่า คนภายนอกหรือผู้บริหารทั่วโลกมองประเทศไทยอย่างไร มีความสามารถควบคุมความเสี่ยงด้านการคลังแค่ไหน เราจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อมาดูแลยามวิกฤตเป็นเรื่องถูกต้อง แต่ต้องดูว่ากู้มาแล้วเอาไปทำอะไร แก้ไขปัญหาถูกจุดหรือไม่ วันนี้เรากู้เต็มเพดานแล้วจะมีผลกระทบกับการคลังในอนาคตอย่างไร

สำหรับประสิทธิภาพภาคเอกชนที่ลดลง ต้องยอมรับว่าเป็นผลสะท้อนจากสมรรถนะเศรษฐกิจ และประสิทธิภาพภาครัฐมีผลต่อประสิทธิภาพของเอกชน เนื่องจากรัฐบาลคือผู้ขับเคลื่อนนโยบายที่จะสนับสนุนภาคเอกชน วันนี้ต้องดูว่านโยบายของภาครัฐนั้นถูกทิศทางและทันต่อสถานการณ์หรือไม่ ยุทธศาสตร์ที่วางไว้ตอบโจทย์กับความเสี่ยงในอนาคตหรือไม่

'รังสรรค์' แนะรัฐบาลเร่งหาตลาดใหม่ส่งออกสินค้าเกษตร ชาวสวนลำใย 33 จังหวัดพร้อมบุกทำเนียบทวงเงินเยียวยา 2,000 บาทต่อไร่

นายรังสรรค์ มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ปี 2564 เกษตรกรผู้ปลูกลำใย ประสบปัญหาหนักมาก ส่วนหนึ่งมาจากราคาลำใยตกต่ำเป็นประวัติการณ์ ราคาลำใยเกรดดีราคาไม่เกิน 3 บาทต่อกิโลกรัม ที่ผ่านมาเกษตรกรได้มา ยื่นหนังสือเพื่อทวงถามเงินเยียวยาต้นทุนการผลิตจำนวน 2,000 บาทไม่เกินคนล่ะ 25 ไร่ ที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รับปากกับเกษตรกรเมื่อครั้งไปตรวจราชการในพื้นที่ไว้ว่าไม่มีปัญหา จนถึงวันนี้ผ่านมาครึ่งปีแล้วยังไร้วี่แวว ว่าเกษตรกรจะได้รับเงินเยียวยาตามที่พลเอกประวิตรรับปากไว้แต่อย่างใด 

เมื่อต้นปี 2565 เกษตรกรผู้ปลูกลำใย 33 จังหวัดทั่วประเทศ เดินทางมายื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลเกษตรกรรม เพื่อทวงถามจนถึงเวลานี้ผ่านมาครึ่งปีไม่มีความคืบหน้า หากไม่มีความคืบหน้าเกษตรผู้ปลูกลำใย ทั้ง 33 จังหวัดจะยกขบวนมาทวงถามถึงกรณีดังกล่าว ต่อพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีถึงทำเนียบรัฐบาลอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลทอดทิ้งเกษตรกรผู้ปลูกลำใยโดยไม่ใยดี

ม็อบแท็กซี่-วินจยย.-ไรเดอร์จี้พท. หวดสุพัฒนพงษ์ปล่อยน้ำมัน-แก๊สแพง ชลน่าน แจงเหตุไม่ใส่ชื่อรมว.พลังงานในศึกซักฟอก เผยต้องตอบพร้อมนายกฯ

เวลา 10.00 น. วันที่ 16 มิถุนายน 2565 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเเละนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค รับหนังสือร้องเรียนจากตัวเเทนเเท็กซี่ วินจักรยานยนต์ ไรเดอร์ส่งอาหารเเละเเมสเซนเจอร์เกี่ยวกับการร้องเรียนเรื่องปัญหาราคาพลังงานที่สูงขึ้นคือค่าน้ำมันและค่าแก๊สจนกระทบรายได้ เเละตั้งข้อสังเกตว่าญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ทำไมไม่มีชื่อนายสุพัฒน์พงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีเเละรมว.พลังงานในการอภิปราย

นพ.ชลน่านกล่าวว่าตนเเละเลขาธิการพรรคเเม้จะเป็นส.ส.ต่างจังหวัดเเต่ก็ทำหน้าที่ผู้เเทนปวงชนชาวไทยรับฟังทุกเสียงของประชาชน เรื่องราคาพลังงานที่สูงจนกระทบรายได้เเละการดำรงชีวิตของทุกคนที่มาร้องเรียนวันนี้นั้น ตนย้ำว่าเรื่องนี้พรรคติดตามมาอย่างต่อเนื่องเเละสะท้อนไปยังรัฐบาลหลายครั้งเเล้วเเต่คล้ายไม่ได้รับความสนใจ ขณะเดียวกันส.ส.ของพรรคที่เป็นกมธ.ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานเเละด้านที่เกี่ยวข้องก็ติดตามอยู่ ดังนั้นสมัยประชุมนี้พวกตนจะสอบถามรมว.พลังงานในเรื่องนี้เเน่นอน

เปิดตัว 'ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ' ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ทำลูกสมุนประยุทธ์หนาว 'ชญาภา' แนะทุกฝ่ายหยุดจับจ้องโจมตีทางการเมือง ทำประโยชน์ ปชช.ดีกว่า

นางสาวชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาวิพากษ์วิจารณ์พรรคเพื่อไทยหลังเปิดตัวนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในฐานะผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ว่า ไม่รู้สึกแปลกใจกับท่าทีของเหล่าสมุนผู้นำที่มาจากเผด็จการอำนาจนิยม ที่ถนัดแต่จับจ้องสร้างวาทกรรมโจมตีทางการเมืองมากกว่าสร้างสรรค์สิ่งที่เกิดประโยชน์แก่ประชาชน  ที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์ว่า นายณัฐวุฒิ ยืนอยู่บนเส้นทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างมั่นคงมาโดยตลอด  แม้จะต้องเผชิญกับวิบากกรรมทางการเมืองแสนสาหัส แต่ก็ไม่เคยคิดขายจิตวิญญาณ หรือก้มหัวให้กับเผด็จการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเหมือนคนบางกลุ่ม นี่คือเกียรติยศยิ่งใหญ่ของคนที่ไม่เคยละทิ้งอุดมการณ์ประชาธิปไตย 

ดังนั้นการกลับมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยของนายณัฐวุฒิ ในฐานะผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย มีภารกิจสำคัญคือร่วมสร้างสรรค์ประชาธิปไตย โดยยึดผลประโยชน์ประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก และที่สำคัญคือการเดินหน้าต่อสู้ในสนามเลือกตั้งเพื่อช่วงชิงอำนาจจากรัฐบาลเผด็จการและจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ตามเจตนารมณ์ของประชาชน หลังจากที่ประเทศไทยต้องตกอยู่ภายใต้รัฐบาลสืบทอดอำนาจมายาวนานกว่า 8 ปี จนบ้านเมืองพังพินาศอย่างเช่นทุกวันนี้ 

‘แพทองธาร-ณัฐวุฒิ’ นำทัพ ‘ครอบครัวเพื่อไทย’ ลุย ‘ศรีสะเกษ’ เปิดมหกรรมไล่หนูตีงูเห่า พร้อมเปิดตัวตัวแทนพรรคในการรับใช้ประชาชนในพื้นที่ศรีสะเกษ 

นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าพรรคเพื่อไทย กำหนดจัดกิจกรรมครอบครัวเพื่อไทย บ้านหลังใหญ่ หัวใจเดิม ที่จังหวัดศรีสะเกษ ‘ครอบครัวเพื่อไทยไปศรีสะเกษ ตอน ไล่หนูตีงูเห่า’ ในวันที่ 18 มิถุนายน 2565 โดยจะเป็นรูปแบบการเดินสายพบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชนใน 3 เวที ใน 3 พื้นที่ คือ อำเภออุทุมพรพิสัย อำเภอราษีไศลและอำเภอขุนหาญ นำโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทยและหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ที่เปิดตัวรับภารกิจขับเคลื่อนครอบครัวเพื่อไทยทั้งระบบ จะลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษเป็นครั้งแรก พร้อมด้วยนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคามและรองหัวหน้าพรรคและนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย รวมไปถึง ส.ส.และสมาชิกพรรคเพื่อไทย

เก็บตกบรรยากาศ 'นายกฯ-คณะฯ' เฮือนถิ่นสกลนคร ชาวบ้านเฮ!! 'เทใจ - เชื่อมั่น' เชียร์ตู่อยู่ต่อยาว ๆ

ควันหลง เมื่อวานนี้ (15 มิ.ย.65) หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้ออกตรวจราชการ พร้อมตามติดโครงการพระราชดำริ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดสกลนครเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เดินทางมายังวัดป่านาคนิมิตต์ ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร พร้อมเข้ากราบนมัสการหลวงปู่อว้าน เขมโก ศิษย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต บูรพาจารย์สายพระป่า 

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้เดินทางไปวัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร อ.เมือง จ.สกลนคร เพื่อรับชมการแสดงต้อนรับชุด 'ชนเผ่าสกลนคร จากชนเผ่าคนรักพระธาตุ 6 ชนเผ่า ได้แก่ ไทญ้อ, ภูไท, ไทโย้ย, ไทกะโส้, ไทกะเลิง, ไทลาว จำนวน 300 คน

โดยเมื่อนายกรัฐมนตรี​ เดินทางมาถึงได้ทักทายประชาชน​ที่รับบริเวณด้านหน้า​ โดยประชาชนได้ตะโกนพร้อมถือป้ายกระดาษเขียนมือ 'ลุงตู่สู้ ๆ ลุงตู่อยู่ยาว​' ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ส่งสัญลักษณ์​ไอเลิฟยู​ และยกนิ้วโป้ง​ และถ่ายรูปร่วมกับประชาชน​ พร้อมกับตอบกลับประชาชนว่า​ "ก็อยู่ที่เขาเลือกละนะ​" และว่าเราไม่อยากกลับไปอยู่ที่เดิม​ หลังจากนั้นประชาชนได้ตะโกนอีกว่า "เราจะให้ลุงตู่เป็นนายกฯตลอดไป​"

ก่อนที่ นายกฯ จะได้กราบสักการะหลวงพ่อพระองค์แสน และกราบนมัสการเจ้าคณะจังหวัดสกลนคร (พระสิริพัฒนาภรณ์) และพระครูกิตติธรรมนิวิฐ เจ้าคณะอำเภอโพนนาแก้ว ณ พระวิหาร และกราบสักการะองค์พระธาตุเชิงชุมวรวิหาร พร้อมเยี่ยมชมร้านค้าและพบปะผู้ผลิตผ้าย้อมครามสกล ที่ถนนผ้าคราม โดยนายกรัฐมนตรี กล่าว​ย้ำว่า​ "บ้านเมืองเราไม่มีเวลาขัดแย้งอีกแล้ว"

'ก้าวไกล' แถลงขอบคุณมติประวัติศาสตร์ หลังสภารับหลักการ 'สมรสเท่าเทียม'

หลังสภาเสียงข้างมากมติรับหลักการร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ,ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ และ ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ สัดส่วนผู้มีความหลากหลายทางเพศ พร้อมด้วย ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ในฐานะผู้ร่วมร่างและผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมและอดีต ส.ส.ของพรรค รวมถึงเพื่อน ส.ส.พรรคก้าวไกล ร่วมกันแถลงขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันผ่านมติประวัติศาสตร์ในครั้งนี้

พิธา กล่าวว่า การลงมติในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การตีความกฎหมายตามตัวอักษร แต่เป็นการส่งสัญญาณต่อประชาชนและโลกว่าประเทศไทยให้คุณค่ากับสิ่งใด ชัยชนะครั้งนี้ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ของพรรคก้าวไกล รัฐบาลหรือฝ่ายค้าน แต่เป็นชัยชนะของประชาชน

ด้าน ธัญวัจน์ กล่าวขอบคุณทุกเสียงที่ทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนราษฎร นึกย้อนกลับไปตั่งแต่วันแรกที่ยื่นกฎหมายเข้าสภา วันนั้น #สมรสเท่าเทียม ได้ขึ้นเทรนด์อันดับหนึ่งทันที 

'ศุภชัย' ติงบางสื่อบิดเบือนร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ย้ำปลูกที่บ้านใช้ในครัวเรือน จดแจ้งฟรีไร้ค่าใช้จ่าย

นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย และประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง พ.ศ. ... สภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีที่มีสื่อแห่งหนึ่งใช้ข้อความบิดเบือนการจดแจ้งการปลูกกัญชา ว่า ...

เป็นสื่อ อย่าบิดเบือน 

มีประชาชนส่งคำถามว่า สรุปแล้วประชาชน ถ้าจะปลูกกัญชาต้องเสียค่าใบอนุญาตอย่างนั้นหรือ ผมได้ฟังคำถามก็ตกใจ เลยถามกลับว่า ท่านไปเอาข้อมูลมาจากไหน ปรากฏว่า ชาวบ้านได้ส่งลิ้งค์รายการหนึ่งมา ผมไปนั่งดู บางช่วงบางตอนผมถึงกับร้อง “เฮ่ย” เพราะการนำเสนอนั้น มันเป็นไปลักษณะของ “ถูกครึ่ง ผิดครึ่ง” 

แต่ที่แน่นอนคือมันทำให้สังคมเข้าใจผิดในร่างพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง ไปจนถึงนโยบายของพรรคภูมิใจไทย ในรายการ มีความพยายามสื่อสารว่า เราวางเงื่อนไข จนประชาชนเข้าไม่ถึงการปลูก เพราะกฎหมาย กำหนดค่าใบอนุญาตสูงถึง 5 หมื่นบาท ฟังมุมไหน ก็เหมือนว่า นโยบายกัญชา มีล็อกมากมาย ประชาชนไม่มีทางเข้าถึง ผมฟังแล้วก็ต้องร้อง “อุบ๊ะ” แล้วต้องออมาชี้แจง ว่า “มันไม่ใช่”

เรื่องการปลูกการใช้ ใน พ.ร.บ.ระบุไว้อย่างชัดเจนเป็น 2 ประเด็น คือ การใช้ในครัวเรือน และการใช้ในเชิงอุตสาหกรรม ซึ่งเรื่องนี้ ผม และพรรคภูมิใจไทย อธิบายกันไว้หลายทีแล้ว แล้วท่าน เป็นถึงสื่อมวลชน มีหรือที่ท่านจะไม่รู้ ไม่ทราบ แต่ถ้าท่าน จะนำเสนอทั้งที่ท่านรู้ไม่จริง ผมก็ต้องออกมาอธิบาย ย้ำ กันให้เข้าใจอีกรอบ นี่ผมนั่งเปิดไฟล์ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ของพรรคภูมิใจไทย ย้ำนะครับ กฎหมายฉบับนี้ แบ่งการใช้กัญชา เป็น 

ฝ่ายค้าน’ เปิด ‘ญัตติซักฟอก’11รมต. ฉะแรง!! บริหารพลาดดึงชาติตกต่ำ

(15 มิ.ย.65) ที่รัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคฝ่ายค้าน นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน ยื่นญัตติญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีอื่นอีกรวม 11 ราย ตามยุทธการ ‘เด็ดหัว สอยนั่งร้าน’ โดยระบุข้อกล่าวหาในญัตติฯ ว่า รัฐบาลมีความผิดพลาดล้มเหลวการบริหารราชการแผ่นดิน จงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและมาตรฐานจริยธรรม ส่อทุจริตเอื้อประโยชน์ ไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาหรือเรื่องที่ฝ่ายค้านเคยอภิปรายทักท้วงไว้ การละเมิดสิทธิมนุษยชน และทำลายระบอบประชาธิปไตย มีรายละเอียดญัตติ ดังนี้…

ข้าพเจ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้มีรายนามท้ายญัตตินี้ ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ขอเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามรายนาม ดังต่อไปนี้…

1.พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
2.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
3.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
4.พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
5.พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
6.นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
7.นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
8.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
9.นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
10.นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
11.นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

โดยมีพฤติการณ์และเรื่องที่จะอภิปราย ดังนี้...

>> พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ตลอดระยะเวลาร่วมแปดปีที่บริหารประเทศมาในฐานะนายกรัฐมนตรี ผิดพลาดล้มเหลว ไม่สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้กับประเทศ ไม่สามารถสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชนได้เลย ในทางตรงกันข้ามกลับกลายเป็นต้นตอที่ทำให้ปัญหาที่มีอยู่มีความซับซ้อน ขยายวงกว้างและรุนแรงยิ่งขึ้นทั้งปัญหาด้านเศรษฐกิจ การเมือง อาชญากรรม ยาเสพติด การทุจริตคอรัปชั่น ประชาชนในชาติแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขยายวงกว้างขึ้นมากกว่าเดิม โดยเฉพาะปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นในยุคของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นับว่ามีสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยแพร่กระจาย ไปทุกอณูของสังคม เป็นยุคที่ทุจริตเฟื่องฟู ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจรั้งท้ายของอาเซียน

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ ไร้ความสามารถ ไร้ประสิทธิภาพ ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ขาดภาวะความเป็นผู้นำที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้นำที่พิการทางความคิด ยึดติดแต่อำนาจ ไม่เคารพหลักนิติรัฐนิติธรรม ไร้คุณธรรมจริยธรรม ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ผิดพลาด บกพร่องเสียหายอย่างร้ายแรงทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม มีพฤติกรรมปล่อยปละละเลยให้บุคคลแวดล้อมและพวกพ้องของตนแสวงหาผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยละเว้นเพิกเฉยต่อการทุจริตในภาครัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง การใช้จ่ายงบประมาณมิได้คำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง มุ่งแต่ก่อหนี้เพื่อแสวงหาคะแนนนิยมทางการเมือง โดยไม่สนใจต่อภาระหนี้สาธารณะและหนี้สินต่อหัวของประชาชน จนเรียกได้ว่า “เป็นยุคก่อหนี้มหาศาลเพื่อนำมาผลาญโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศและประชาชน”

ไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ไม่ใส่ใจและไม่ดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องในการบริหารราชการแผ่นดินตามข้อกล่าวหาและคำแนะนำของสภา จงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขาดจิตสำนึกในความเป็นประชาธิปไตย ไร้การเคารพซึ่งสิทธิเสรีภาพของประชาชน มุ่งใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ปิดปากประชาชนและปิดกั้นเสรีภาพของสื่อมวลชน ละเมิดสิทธิมนุษยชน ใช้งบประมาณเพื่อการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ไม่มีความจำเป็นต่อภารกิจของประเทศในภาวะที่ประเทศมีปัญหาด้านเศรษฐกิจที่รุนแรง ไม่กำกับดูแลการใช้งบประมาณแผ่นดินให้เป็นไปโดยมีประสิทธิภาพ มีประสิทธิผล ไม่รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

ผลจากการบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นับวันจะทำให้ประเทศถอยหลัง เศรษฐกิจของประเทศดิ่งเหว ประชาชนที่ยากจนอยู่แล้วยิ่งยากจน ลงเรื่อยๆ ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยขยายวงกว้างมากขึ้น ผู้คนตกงานและบัณฑิตจบใหม่ไม่มีงานทำเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ธุรกิจย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น นักลงทุนใหม่ก็เข้ามาลงทุนน้อยลง ขณะที่ปัญหาสังคมทั้งยาเสพติด อาชญากรรมโดยเฉพาะอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้นสร้างความเสียหายและความเดือดร้อนให้กับประชาชนโดยที่ภาครัฐไม่สามารถป้องกันและแก้ปัญหาดังกล่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้สถานการณ์ความเดือดร้อนและความทุกข์ยากของประชาชนดังกล่าว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับปล่อยให้พวกพ้องและบุคคลแวดล้อมของตนเองกระทำการทุจริต และประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง ไม่ใส่ใจที่จะป้องกันและปราบปราม มีการใช้เงินและการต่อรองผลประโยชน์เพื่อความอยู่รอดทางการเมืองของตนเอง อันเป็นการทำลายระบบรัฐสภาและหลักการประชาธิปไตย จนทำให้ระบบรัฐสภาตกต่ำสั่นคลอน และกลไกในระบบรัฐสภาเสียหาย

>> นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
มีพฤติกรรมฉ้อฉล ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ รู้เห็นเป็นใจหรือปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในองค์กรหรือหน่วยงานในกำกับดูแล สร้างความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ แสวงหาผลประโยชน์สำหรับตนเองและพวกพ้อง ไม่ระงับยับยั้ง ละเลยไม่ติดตามแก้ไขปัญหาการทุจริตเพื่อให้มีการชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รัฐ ล้มเหลวและไร้ความรู้ความสามารถในการบริหารราชการของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงในกำกับดูแล ปล่อยให้ราคาสินค้าอุปโภค บริโภคสูงขึ้นจนกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนและการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน จนส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกหย่อมหญ้า จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
 

เมื่อ ‘รอยยิ้ม-น้ำตา’ จาก ‘คนในครอบครัว’ มีส่วนให้เลือก ‘รับ-ไม่รับ’ ใบปริญญาบัตร

ครั้งหนึ่งในชีวิต!! การเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร อาจจะเป็นอีกความสำคัญที่มอบความภาคภูมิใจ และความสำเร็จแก่ ‘บัณฑิตจบใหม่’ ที่ต่างเฝ้ารอ!! หากแต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เรื่องนี้อาจจะกลายเป็นเพียง ‘แค่ครั้งหนึ่งในชีวิต’ ของบัณฑิตจบใหม่บางคนในด้วยเช่นกัน 

ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะต้องยอมรับว่า เด็กยุคใหม่กำลังให้ความสำคัญต่อการเข้ารับปริญญาเมื่อจบการศึกษาน้อยลง หลังจากมีการรณรงค์ไม่เข้ารับปริญญาในหมู่นักศึกษาและบัณฑิตจบใหม่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนตัว หรือเหตุผลทางการเมืองก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ยังมีบัณฑิตจบใหม่อีกจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะเลือกเข้ารับปริญญาด้วยความเต็มใจ โดยในพิธีเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร สำหรับบัณฑิตจบใหม่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2562 และ 2563 ที่ผ่านมาในเดือนพฤษภาคม (2565) ได้มีการสอบถามบัณฑิตจบใหม่ถึงเหตุผลในการเข้ารับปริญญา ภายใต้คำตอบที่ฟังแล้วยังแอบชื่นใจแทนพ่อแม่ยุคนี้ได้บ้าง ว่า...

บัณฑิตจบใหม่ที่มาเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร ส่วนหนึ่งยอมรับว่าที่เลือกมาเข้ารับเพราะ ‘ครอบครัว’ โดยพวกเขาถูกปลูกฝังจากคุณพ่อคุณแม่ว่า ‘ปริญญาบัตร’ คือ อีกความภาคภูมิใจที่แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของชีวิตอย่างหนึ่ง และการที่พ่อแม่พยายามทำงานหาเงินเพื่อส่งลูกหลานเข้าเรียนจนจบปริญญา ก็เพราะพวกเขาหวังที่จะให้เด็กๆ ได้มีโอกาสสัมผัสความภูมิใจที่สะท้อนความสำเร็จแบบเดียวกันกับยุคของพวกเขา 

ขณะเดียวกัน บัณฑิตจบใหม่ ก็เข้าใจดีว่า พ่อแม่ส่วนใหญ่มองว่าการเข้ารับปริญญา คือ อีกคุณค่าที่เติมเต็มพลังใจแก่พวกเขา เปรียบเหมือนกับการเลี้ยงดูลูกน้อยมาตั้งแต่วัยแรกเริ่ม สามารถเดินได้ เติบโตเป็นใหญ่ และวันนี้วันที่ปริญญาบัตรได้อยู่ในมือลูกหลาน ก็เหมือนกับเรือท่าที่ส่งพวกเขาได้ถึงฝั่ง

'แม่ยกปชป.' ลั่น ถ้านายกฯชื่อ 'อภิสิทธิ์' จะไม่มีคนถูกชี้มูลความผิดชูคออยู่ในสภาได้

'แม่ยกปชป.' ลั่นถ้านายกฯชื่อ 'อภิสิทธิ์' จะไม่มีนักการเมืองที่ถูกชี้มูลความผิดนั่งชูคออยู่ต่อในสภาได้

'ติ๊งต่าง - แม่ยกปชป.' ลั่นถ้านายกฯชื่ออภิสิทธิ์ รับรองว่าจะไม่มีนักการเมืองที่ถูกชี้มูลความผิดสามารถนั่งชูคออยู่ต่อในสภาได้ เพราะมาตรฐานของคนมันไม่เท่ากัน

(15 มิ.ย.2565) จากกรณีนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดคดีบุกรุกที่ดิน แต่ยังไม่ลาออกจากตำแหนง

นางกาญจนี วัลยะเสวี หรือ ติ๊งต่าง เจ้าของฉายาไฮโซสปอร์ตคลับและแกนนำกลุ่มชาวไทยหัวใจรักสงบ แม่ยกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงเรื่องดังกล่าว ว่า

‘อุ๊งอิ๊ง’ ต้อนรับ ‘เต้น ณัฐวุฒิ’ กลับบ้าน นั่งแท่น ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย สานฝัน ‘แลนด์สไลด์’

แพทองธาร ชินวัตร ต้อนรับ ‘ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ’ กลับบ้าน ในฐานะผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย เชื่อมั่นจะเป็นอีกหนึ่งแนวร่วมสำคัญ จัดทัพทำกิจกรรมครอบครัวเพื่อไทย ถึงเป้า ‘แลนด์สไลด์’ ได้จริง 

วันที่ (15 มิ.ย. 2565) พรรคเพื่อไทย จัดงาน “ครอบครัวเพื่อไทย ต้อนรับ ‘เขา’ กลับบ้าน” โดย นางสาวแพทองธาธ ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมและหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้กล่าวต้อนรับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย เพื่อนำทัพทำกิจกรรมครอบครัวเพื่อไทยว่า ตลอดเวลา 3 เดือนที่ผ่านมาที่เปิดตัวกิจกรรมครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งเป็นกิจกรรมทางการเมืองที่ออกแบบมาเพื่อลดข้อกำหนดทางกฎหมาย ให้ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองได้อย่างแท้จริง และที่ผ่านมา ครอบครัวเพื่อไทยทำงานอย่างหนักในการลงพื้นที่ไปรับฟังปัญหาพี่น้องประชาชน อย่างไรก็ตาม ครอบครัวเพื่อไทยจำเป็นต้องพัฒนาปรับปรุงการทำงานของตัวเองเพื่อทำให้ครอบครัวเพื่อไทยนั้นแข็งแรงกว่าเดิม และไปถึงพี่น้องประชาชนในทุกกลุ่มได้จริง

'พิชัย' จี้ 'ประยุทธ์' พลิกวิกฤตเป็นโอกาส เลิกทำโอกาสเป็นวิกฤต

'พิชัย' จี้ 'ประยุทธ์' พลิกวิกฤตเป็นโอกาส สามารถทำได้ทันที ชี้ 4 โอกาสของไทย พลังงาน อาหาร ธุรกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมอนาคต  แนะ ต้องปรับประเทศเพื่อรองรับอนาคต เลิกทำโอกาสเป็นวิกฤต ไม่ได้โหนชัชชาติ แต่อยากให้เห็นวิธีการทำงาน 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นเป็นลิตรละ 35 บาทซึ่งชนเพดานที่พลเอกประยุทธ์ บอกแล้วและกำลังจะขยายเป็นลิตรละ 38 บาท ในขณะที่เงินเฟ้อของสหรัฐในเดือนพฤษภาคมพุ่งขึ้นถึง 8.6% สูงที่สุดในรอบ 41 ปี ซึ่งจะเร่งให้สหรัฐขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นน่าจะขึ้นถึง 0.75% ในอีกไม่กี่วันนี้ ในขณะที่เงินเฟ้อของไทยที่สูงถึง 7.1% ในเดือนพฤษภาคม ยังมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นไปอีกจน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องปรับตัวเลขอัตราเงินเฟ้อปีนี้เป็น 6.2% จากเดิม 4.9% และอาจจะจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยในอีกไม่นานนี้เช่นกัน 

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจจะพุ่งขึ้นถึง $150-160 ต่อบาเรล ตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนไว้นานแล้ว ปัญหาเงินเฟ้อสูงกำลังจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงทั้งโลกและจะสร้างความปั่นป่วนกับเศรษฐกิจโลก ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเตรียมตัวรับมือจากปัญหาเศรษฐกิจที่จะเพิ่มขึ้นอีกมาก 

ในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ทำท่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลที่ดีจะต้องพลิกวิกฤติเป็นโอกาสในการแก้ไขปัญหาและนำพาประเทศสู่การพัฒนาและการกินดีอยู่ดีของประชาชนในอนาคต ดังนั้นคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยขอเสนอ แนวทางในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส 4 ด้านดังนี้...

1. โอกาสทางด้านพลังงาน ในขณะที่ นำ้มัน  ก๊าซ ไฟฟ้ามีราคาแพง และ จะยิ่งแพงขึ้น รัฐบาลควรจะต้องปรับโครงสร้างราคาพลังงานตามที่ได้เสนอไว้แล้ว ทั้งนี้ค่าการกลั่นเป็นอัตรามาตรฐานของสากลใช้กับโรงกลั่นทั่วโลก ที่เกิดจาก demand และ supply ของน้ำมันสำเร็จรูป  และ อยากให้นาย กรณ์ จาติกวณิช ไปศึกษาให้ดีก่อนที่จะวิจารณ์ว่าเป็นการปล้น แต่ถึงแม้จะเป็นราคามาตรฐานสากลแต่ก็อาจจะลดลงได้ และและ เมื่อพูดถึงมาตรฐานสากล รัฐบาลจะต้องตัดสินใจเรื่องราคาหน้าโรงกลั่นก็ต้องเป็นราคาสากลเช่นกัน อย่าให้บริษัทพลังงานเอาเปรียบประชาชนในทุกด้านแบบเอาแต่ได้ แต่ที่สำคัญและอยากเรียกร้องคือการเจรจาพื้นที่ทับซ้อน ไทย-กัมพูชา ที่มีแหล่งพลังงานจำนวนมาก และสามารถนำขึ้นมาใช้และบริการให้กับประชาชนในราคาที่ถูกลง อีกทั้งจะสามารถทำเงินเป็นรายได้เข้ารัฐ ปีละหลายแสนล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้ทำสวัสดิการให้กับประชาชนได้ เท่ากับทำเรื่องเดียว แต่ได้แก้ปัญหาสองด้าน แนวทางการเสนอการทำสวัสดิการปัจจุบันจะต้องหาแหล่งที่มาของรายได้ก่อน อย่าเพียงแต่ฝันว่าจะแจกโดยไม่มีเงิน นอกจากนี้โอกาสทางพลังงานยังหมายถึงการปรับโครงสร้างการใข้พลังงานในอนาคตของประเทศไทย การใช้พลังงานที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนที่เป็นทิศทางของโลก การส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV ที่ยุโรปประกาศจะจำหน่ายเฉพาะรถยนต์ EV ในปี 2035 และเลิกจำหน่ายรถยนต์น้ำมันทั้งหมด ซึ่งไทยคงต้องปรับเปลี่ยนทิศทางตามแนวทางโลก อีกทั้งต้องคิดวางแผนระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) สำหรับอนาคต และ ต้องออกมาตรการการช่วยเหลือประชาชนในภาวะพลังงานแพงนี้ 

2. โอกาสทางด้านอาหาร ในภาวะที่โลกขาดแคลนอาหาร ประเทศไทยผู้ผลิตอาหารควรจะต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถผลิตและขายอาหารที่โลกต้องการเพื่อไปจำหน่ายทั่วโลกในราคาที่สูงเพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร โดยประเทศไทยต้องนำระบบ Ai เข้ามาช่วยในการผลิตเพื่อตรวจสอบภูมิอากาศและความชื้น คุณภาพของดิน เพื่อการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มผลผลิต รวมถึงการใช้ระบบ Automation เช่น โดรน และ อุปกรณ์การเกษตรสมัยใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุน 

3. โอกาสทางธุรกิจดิจิทัล ที่ไทยต้องปรับระบบราชการเป็นระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดขนาดราชการ และ กำจัดการคอรัปชั่น การปรับระบบดิจิทัล(Digital Transformation) ทั้งภาคราชการ และ ภาคเอกชน พร้อมทั้งสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เพื่อนำไปสู่การส่งเสริมให้เกิดธุรกิจดิจิทัลขนาดใหญ่จำนานมาก และสร้างมูลค่าธุรกิจและมูลค่าของประเทศ เพิ่มการจ้างงานที่มีรายได้สูงในอนาคต ซึ่งเป็นทิศทางอนาคตของโลก 

4. โอกาสทางอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยต้องคำนึงว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมที่จำเป็นเหมือนเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของโลก คือ อุตสาหกรรมผลิตไมโครชิพ (Microchip) และ อุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งกำลังขาดแคลนอย่างมากทั่วโลก ราคาได้พุ่งสูง เพราะอุตสาหกรรมสมัยใหม่ทั้ง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด รวมถึง รถยนต์พลังงานไฟฟ้า และโดรน จำเป็นต้องใข้อุปกรณ์เหล่านี้ ประเทศไทยจะต้องหาบริษัทต่างประเทศมาร่วมลงทุนผลิตไมโครชิพและแบตเตอรี่นี้โดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างธุรกิจต่อเนื่อง ทำให้เกิด Supply Chain ครบงวงจรภายในประเทศนี้ให้ได้ เพื่อจะนำไปสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ต่อเนื่องในอนาคต 
 
การเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสยังมีอีกมากหากรัฐบาลมีความคิดและฉลาดพอ โดยอยากให้เริ่มต้นใน 4 เรื่องนี้ เพื่อเป็นจุดหักเห (Turning point) สำคัญของประเทศไทย ซึ่งหากทำได้ประเทศไทยจะพัฒนาต่อไปได้อีกมาก  แต่ถ้าประเทศไทยยังบริหารอย่างที่เป็นอยู่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะตลอด 8 ปีที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ ทำให้โอกาสกลายเป็นวิกฤตมาตลอด ทั้งนี้เพราะ ตลอดหลายปีก่อนวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด เศรษฐกิจโลกดีแต่ไทยกลับขยายตัวต่ำมาก อีกทั้งราคาน้ำมันตลอดหลายปีราคาถูกมากแต่ไทยกลับไม่ได้ประโยชน์เลย พอมาถึงปัจจุบันเศรษฐกิจโลกกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย และ ราคาน้ำมันแพงและยังจะพุ่งขึ้นอีกพลเอกประยุทธ์ จะรับมือได้อย่างไร ซึ่งได้พิสูจน์มาแล้วหลายปี ซึ่งหากยังจะดื้อรั้นและคิดว่าตนเองทำได้ และทำดีแล้ว ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่ล้มเหลวอย่างแน่นอน ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยไม่ได้โหน อดีต. รมว. ชัชชาติ แต่อยากให้ดูถึงวิธีการทำงานที่รู้ปัญหาจริง มีทางแก้ไขและทำได้จริง เข้าถึงพื้นที่ สุภาพไม่ก้าวร้าว ซึ่งเป็นแนวทางการทำงานของพรรคเพื่อไทยที่นำเสนอปัญหาและทางแก้มาตลอด ซึ่งต่างจากผู้นำปัจจุบันราวฟ้ากับเหว ซึ่งการที่ประชาชนจำนวนมากเริ่มออกมาเดินขบวนขับไล่พลเอกประยุทธ์ อีกครั้งก็น่าจะเพราะทนความล้มเหลวกันไม่ไหวแล้ว 
--------------------
'เพื่อไทย' เชื่อ 'เศรษฐกิจดิจิทัล' คือโอกาสสำคัญของประเทศ แต่รัฐบาลต้องส่งเสริมและเลิกเป็นตัวถ่วง


 
นาย ศรัณย์ ทิมสุวรรณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเลย เขต 2 และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนเชื่อว่าแม้กระแสเศรษฐกิจดิจิทัล จะไม่ใช่เรื่องใหม่แล้วในปี 2565 แต่ยังมีโอกาสอีกมากมายที่ประเทศไทยสามารถมีส่วนร่วมและสร้างผลประโยชน์ทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคมไทยได้ โดยในปัจจุบันประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ประชาชนมีการปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ๆได้อย่างดี เห็นได้จากช่วงวิกฤตโควิด 19 ที่ผ่านมา ประชาชนไทยสามารถปรับตัวกับกระแสของโลก พัฒนาการให้บริการและเดินเข้าสู่โลกดิจิทัลได้อย่างยอดเยี่ยม ตัวชี้วัดและการศึกษาจากต่างประเทศก็ชี้ให้เห็นถึงโอกาสของประเทศไทยในด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ถึงแม้จะขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ พรรคเพื่อไทยได้เล็งเห็นและเชื่อว่า โอกาสด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยยังคงเปิดกว้าง แต่หากรัฐบาลยังปล่อยให้ภาคเอกชนต่อสู้และหาโอกาสอยู่ฝ่ายเดียว จะเป็นอีกครั้งที่ประเทศไทยต้องสูญเสียโอกาสที่สำคัญ ภายใต้การบริหารของรัฐบาลปัจจุบัน
 
ในขณะนี้กำลังมีการพิจารณา ร่าง พรบ งบปี 66 ซึ่งผ่านวาระที่ 1 ไปแล้ว พรรคเพื่อไทยได้อภิปรายในสภาถึงความไม่เหมาะสมของการจัดทำงบประมาณ ซึ่งคือความสิ้นหวังของประชาชนผู้เป็นเจ้าของเงินภาษี การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่า รัฐบาลไม่จริงใจในการพัฒนา แสดงจากการจัดงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานที่มีหน้าที่พัฒนาและส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศไทย ยังคงได้งบประมาณไม่เหมาะสมเมื่อเปรียบเทียบกับหน้าที่และความสำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงระบบราชการ หรือ Digital Transformation ของหน่วยงานภาครัฐ ถึงแม้จะไม่ใช่การสนับสนุนโดยตรงต่อเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย แต่การพัฒนาระบบราชการจะสร้างโอกาสให้ประชาชน ไม่ใช่เฉพาะด้านเศรษกิจดิจิทัล ยังรวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนและลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นที่เกิดขึ้นในระบบราชการได้อยากมาก เรื่องนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่รัฐบาลไม่เคยพยายามพัฒนาอย่างจริงจัง แม้ในปัจจุบันจะมีความพยายามปรับปรุง แต่ยังห่างไกลจากเป้าหมายอีกมาก
 
หากรัฐบาลสามารถแก้ไขและเปลี่ยนแปลงระบบราชการที่ล่าช้าได้สำเร็จ ภาคเอกชนของไทยจะสามารถถือธงนำประเทศเข้าหาโอกาสในโลกดิจิทัลได้ดีกว่านี้อีกมาก เนื่องจากโลกดิจิทัลยังคงมีสิ่งใหม่และโอกาสใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีต่างๆ หรือช่องทางใหม่ๆในการสื่อสาร การเปิดพื้นที่ในโลกเสมือนจริง หรือกระแส metaverse ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก หลายประเทศตั้งเป้าหมายถึงการเป็นผู้เล่นหลักในพื้นที่ใหม่เหล่านี้ ความสามารถของประเทศไทยเองนั้น ไม่ด้อยกว่าประเทศอื่น เรามีประชาชนที่มีความพร้อมในการพัฒนาและประสบความสำเร็จในโลกใหม่นี้ แต่เราจะทำให้มันเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อรัฐบาล ผู้บริหารประเทศมีวิสัยทัศน์ที่กว้างพอจะมองโลกและนำประเทศไทยเข้าหาโอกาสเหล่านั้น

ครม. ไฟเขียว แต่งตั้ง ‘นันทิวัฒน์’ อดีตบิ๊กข่าวกรอง นั่งตำแหน่งเลขาฯ รมว.ต่างประเทศ

วันที่ (14 มิ.ย.) นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ/เห็นชอบ ในเรื่องแต่งตั้ง วันที่ 14 มิถุนายน 2565 ดังนี้

1. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) 
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้  

- นายชุมพล เด็จดวง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณเชี่ยวชาญ) สำนักงบประมาณ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2564  

- นายสารสิน ศิริถาพร ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณเชี่ยวชาญ) สำนักงบประมาณ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2565  
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 

2. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ) 
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้ 

- นางทิพย์วรรณ ศุภมิตรกิจจา กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดาการ์ สาธารณรัฐเซเนกัล  

- นางอุรษา มงคลนาวิน อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลน์เหนือ ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ สาธารณรัฐโปแลนด์ 

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศทั้ง 2 ราย ดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ 

3. การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการต่างประเทศ) 

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอการแต่งตั้ง นายนันทิวัฒน์ สามารถ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป 

ปธ.วิปฝ่ายค้านปลง เปิดศึกซักฟอกรัฐบาล รับสภาพ 'น็อคยาก’ ได้แค่ทำให้ช้ำ

‘ปธ.วิปฝ่ายค้าน’ รับ น็อครัฐบาลไม่ง่าย เล็งใช้ข้อมูลสู้ให้ช้ำ แย้ม ‘นิพนธ์’ ไม่รอดแม้คดีอยู่ระหว่างศาล รับ เคส ‘ครูโอ๊ะ’ มาทีหลังขอฟาดตู่ ให้รับผิดชอบแทน เปรียบ รัฐบาลเหมือนเรือรูรั่วทั่งลำ จนนายกฯ ไม่รู้ต้องอุดรูไหนก่อน จับตา ปรับครม.หลังซักฟอก เดาใจ ‘บิ๊กตู่’ ลากยาว

เมื่อวันที่ (14 มิ.ย. 2565) เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงกรณีความคืบหน้าการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ว่า ขณะนี้จำนวนรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายลงตัวแล้วคือ 1 + 9 คือนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีก 9 คน ทั้งนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ดูและตรวจสอบร่างญัตติแล้ว ซึ่งทุกคนโอเค วันนี้ (14 มิถุนายน) แต่ละพรรคร่วมฝ่ายค้านจะร่วมลงชื่อก่อนนำญัตติเสนอนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ในวันที่ 15 มิถุนายน เวลา 13.00 น. ส่วนหมัดเด็ดที่มั่นใจคิดว่าจะล้มรัฐบาลได้นั้นมีหลายประเด็น แต่จะน็อคได้หรือไม่ ตนคิดว่าการน็อคด้วยมือก็คงไม่ง่าย แต่หากน็อคโดยสาระและความรู้สึกของสังคม ที่จะรับไม่ได้มีหลายประเด็น

เมื่อถามว่า จะมีรายชื่อนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่มีคดีเรื่องการจัดซื้อเรื่องรถอเนกประสงค์ซ่อมบำรุงทาง สมัยเป็นนายก อบจ.สงขลา ถูกอภิปรายด้วยหรือไม่ เพราะตามมารยาทหากเรื่องอยู่ในกระบวนการตรวจสอบขององค์กรอื่นก็จะไม่นำมาบรรจุในรายชื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ นายสุทิน กล่าวว่า ก็สามารถอภิปรายได้ ในมุมการเมือง และไม่ก้าวล่วงไปในเรื่องการพิจารณาคดี ดังนั้นเรื่องนายนิพนธ์ คิดว่า ไม่น่าเป็นปัญหา เพราะหากจะอภิปรายก็สามารถทำได้

เมื่อถามย้ำว่า จะมีชื่อนายนิพนธ์ เป็น 1 ใน 10 รัฐมนตรีใช่หรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า ก็ไม่ควรจะละเว้นได้ เพราะเป็นความผิดชัดเจน และเป็นเรื่องที่นายกฯ ต้องตระหนักรวมถึง รัฐมนตรีในกรณีอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกันด้วย เป็นความรับผิดชอบที่นายกฯ ต้องคิด และรับผิดชอบ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top