Thursday, 13 February 2025
NEWS

คนดังชาวออสเตรเลีย แพร่ 'เดลตา' ไม่รู้ตัวในงานปาร์ตี้ จากฉีดโมเดอร์นากลายเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์

อินฟลูเอนเซอร์ออสเตรเลียที่อาศัยในสหรัฐฯ กลายเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ จัดปาร์ตี้ขณะติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาไม่รู้ตัว แม้ฉีดวัคซีนโมเดอร์นาแล้ว

กรณีตัวอย่างที่ตอกย้ำว่าการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว ไม่ได้หมายความเสี่ยงติดเชื้อจะหมดไป และเมื่อติดแล้วก็ยังสามารถแพร่เชื้อต่อได้ หากละเลยมาตรการป้องกันส่วนบุคคล เหมือนกรณีของนาย แอนโทนี เฮสส์ (Anthony Hess) ชายชาวออสเตรเลีย ที่ยอมรับว่า ตนเองเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ไวรัสโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา หลังจากจัดปาร์ตี้โดยไม่รู้ตัวว่าติดเชื้ออยู่ และได้แพร่เชื้อต่อไปอีกอย่างน้อย 60 คน จำนวนนี้ 20 คนเป็นผู้ติดเชื้อยืนยัน อีก 40 คนแสดงอาการ

เฮสส์ ซึ่งสื่อในออสเตรเลียระบุว่าเป็นอินฟลูเอนเซอร์คนหนึ่ง ไม่ก็ระบุว่าเป็นหนุ่มสังคมที่มีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก เป็นที่รู้จักในฐานะเพื่อนของสเตซี แฮมป์ตัน ดาราจากรายการดัง Married At First Sight พำนักในนครลอสแองเจลิสมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดย เดอะ เดลีย์ เมล์ ออสเตรเลียระบุว่า เฮสส์ วัย 40 ปี ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีในสหรัฐฯ หลังเริ่มผ่อนคลายมาตรการคุมโควิด-19 เขาฉีดวัคซีนโมเดอร์นาแล้ว 2 เข็มที่สหรัฐฯ

ขณะจัดปาร์ตี้สุดสัปดาห์ วันที่ 9-11 ก.ค. เขาไม่รู้ตัวเลยว่าติดไวรัส เพิ่งมามีอาการช่วงกลางสัปดาห์ที่แล้ว และเขาก็ไม่รู้ว่าแพร่เชื้อไปให้อีกกี่คน รู้แต่สัมผัสกับคนจำนวนมาก อาจเป็นร้อย!!

เขารู้สึกผิดมาก เมื่อเพื่อนหลายสิบคนส่งข้อความไปบอกว่าพวกเขามีอาการ!!

หลังผลตรวจพบเป็นผลบวก เขานอนซมบนเตียง 4 วัน กินอะไรไม่ได้ เหงื่อออกเยอะมาก รู้สึกเหมือนกำลังจะตาย น้ำหนักลงฮวบ นอกจากนี้ยังมีอาการทั่วไป เช่น เจ็บคอ ไอแห้ง หายใจลำบากและคัดจมูก ทว่าหากไม่ฉีดวัคซีน อาการคงหนักกว่านี้...

เหตุที่แชร์ประสบการณ์ของตัวเอง เพราะอยากให้เป็นตัวอย่างว่าการแพร่เชื้อสายพันธุ์เดลตาโดยไม่รู้ตัวนั้น เกิดขึ้นง่ายมาก โดยเฉพาะในออสเตรเลีย ที่มีประชากรเพียง 11% เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนแล้ว

“หลายคนในออสเตรเลียยังคิดว่าไม่ร้ายแรง แต่ไม่ใช่เลย แอลเอกำลังกลับมาเข้มงวด ไวรัสแพร่ไวมาก ไม่มีใครรู้ว่าใครมีเชื้ออยู่ ผู้คนกำลังล้มตาย เขาเองไม่ได้เคร่งครัดเช่นกันจนกระทั่งเกิดกับตัวเอง" เฮสส์บอกอีกว่า "ดูเหมือนสายพันธุ์เดลตาเอาชนะวัคซีนโควิดได้ เพราะคนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อจากเขา ฉีดวัคซีนแล้ว เวลานี้วิตกว่าอาจจะเกิดการระบาดใหญ่"


ที่มา: https://www.komchadluek.net/news/foreign/475572

https://www.news.com.au/world/coronavirus/australia/australian-socialite-spreads-coronavirus-to-dozens-after-full-vaccination/news-story/8423ab0f07ebc646c665b23378d226f3


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

แจง “อนุทิน” ลงพื้นที่ชุมชน กทม. กลางดึกเป็นการปรับแนวทางทำงาน เร่งดูแลกลุ่มเปราะบางคนไร้บ้าน  ตามนโยบาย”บิ๊กตู่” ”ย้ำ”ประชาชนต้องไม่ถูกทอดทิ้ง ประสานหน่วยฉุกเฉินรับผู้ป่วยอาการหนักรับการรักษาเร็วที่สุด พร้อมตรวจ Rapid Test ให้ผู้ประสงค์ตรวจหาเชื้อโควิด 

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าจากการที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข พร้อมคณะด้วย ลงพื้นที่เพื่อดูความเรียบในการดูแลประชาชนผู้ป่วยโควิด-19 ที่อาการไม่รุนแรงที่แยกกักที่บ้าน(Home isolation) และแยกกักในชุมชน (Community isolation) รวมถึงติดตามสถานการณ์ผู้ป่วยในชุมชนแออัด พื้นที่ที่มีคนไร้บ้านพักอาศัย หลายพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น เป็นส่วนหนึ่งของการปรับการทำงานของเจ้าหน้าที่ ให้รับกับนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่ให้ทุกฝ่ายเร่งดำเนินแนวทุกแนวทางทางอย่างเต็มที่ เพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนผู้รอคอยการรักษาอยู่ที่บ้าน รวมถึงจะต้องไม่เกิดกรณีเสียชีวิตบนท้องถนนของประชาชนอีก จะต้องไม่มีประชาชนที่ถูกทอดทิ้ง  

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า  การลงพื้นที่ชุมชนในกรุงเทพฯ ครั้งนี้เป็นเพียงครั้งแรก หลังจากนี้จะยังมีการลงพื้นที่โดยเจ้าหน้าที่ในลักษณะเดียวกันนี้อย่างต่อเนื่อง โดยรูปแบบการทำงานจะมีการเลือกชุมชนเป้าหมายผ่านฐานข้อมูลของสถาบันแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ(สพฉ.) ว่าพื้นที่ใดมีการขอประสานไปรับตัวผู้ป่วยอยู่หนาแน่น ทีมเจ้าหน้าที่จะเข้าไปดูทั้งในแง่การตรวจดูอาการ มอบยาและเวชภัณฑ์ แนะนำกรณีการรักษาตัวอยู่ที่บ้านกรณีผู้ที่มีอาการไม่มาก
ส่วนกรณีที่มีอาการมากก็ประสานส่งตัวเข้ารับการรักษา ณ จุดพักคอย โรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลบุษราคัม หรือโรงพยาบาลทั่วไป ตามระดับอาการ ซึ่งในการลงพื้นที่ครั้งนี้ได้มีการรับตัวผู้ป่วยส่งไปยังโรงพยาบาล 4ราย  และส่วนหนึ่งจะมีการตรวจด้วยวิธี Rapid Antigen Test  ให้กับประชาชนในพื้นที่นั้นๆ ที่ประสงค์ตรวจหาเชื้อโควิด-19ด้วย

“การลงพื้นที่ของรองนายกรัฐมนตรีและคณะในครั้งนี้ไม่ได้มีกำหนดการไว้ล่วงหน้า แต่เนื่องมาจากรองนายกรัฐมนตรีประสงค์ให้มีการปรับการทำงานเพื่อการดูแลประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่นคนไร้บ้าน คนในชุมชนแออัด ให้มากที่สุด ซึ่งรูปแบบการทำงานของทีมเจ้าหน้าที่จะมีศูนย์กลางอยู่ที่อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ มีการเลือกพื้นที่จากฐานข้อมูล สพฉ. จากนั้นลงพื้นที่ทั้งตรวจเยี่ยม มอบยา รับผู้ป่วยอาการหนัก และตรวจ rapid test   ให้กับประชาชนที่พบเจอ โดยจะดำเนินการรูปแบบนี้จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น โดยมีเป้าหมายคือการเข้าไปดูแลกลุ่มเปราะบางให้มากที่สุด ไม่ให้เกิดกรณีผู้เสียชีวิตบนท้องถนนที่เป็นทั้งความสูญเสียของครอบครัวผู้เสียชีวิตและสร้างความสะเทือนใจให้ประชาชนอีก” น.ส.ไตรศุลี กล่าว  

'บิ๊กอู๊ด' พล.ต ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.รวมพลัง​ #อู๊ดคอนเนคชั่น​ #ทำบุญใหญ่มอบอุปกรณ์เครื่องช่วยหายใจให้โรงพยาบาลตำรวจ

พล.ต ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.นำหน่วยงาน สตม.จับมือหน่วยงานเอกชน บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์กล๊าส จำกัด ทำบุญสุดยิ่งใหญ่ต่อชีวิตและลมหายใจให้ผู้ป่วยใน รพ.ตำรวจ

วันนี้ (22 ก.ค. 64) เวลา 14.00 น. พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม.ในฐานะ โฆษก สตม. เปิดเผยว่า พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภานุวัฒน์ ร่วมรักษ์ ผบก.อก.สตม. ร่วมกับ บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) มอบเครื่องช่วยหายใจจำนวน 4 เครื่อง ให้แก่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินและวิกฤต โดยมี พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เป็นตัวแทนรับมอบ ณ ชั้น ๒ อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ                          

ทางด้าน พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.ตม.1 ในฐานะรองโฆษก สตม. กล่าวเพิ่มเติมว่า  ทาง พล.ต ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.มีความห่วงใยประชาชนทั้งชาวไทยและเทศ ที่อยู่ในประเทศไทยเนื่องจากสถานการณ์โควิด เครื่องช่วยหายใจมีความสำคัญมากในสถานการณ์วิกฤติโควิด 19 เป็นอย่างมาก จึงพยายามที่จัดโครงการมอบของทั้งในส่วนอุปโภคและบริโภคอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นโครงการ ตม.ปันน้ำใจสู้ภัยโควิด 19 / โครงการตู้ปันสุข ของ สตม.ทั้ง76 จังหวัด และ กรุงเทพ เพื่อให้ประชาชนสามารถดำรงชีพได้ต่อไปได้ และเราจะก้าวข้ามวิกฤติ โควิด 19 ให้ได้ไปด้วยกัน  

ขอให้ประชาชนร่วมมือร่วมใจกันและให้กำลังใจกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและเชิดชูหน่วยงานเอกชนที่มาช่วยเหลือแรงกายแรงใจแรงทรัพย์ในการร่วมบริจาคด้วย โดยหากสนใจดูภารกิจและกิจกรรมต่างๆ​ ของ​ สตม.สามารถเข้าไปดูและเยี่ยมชมเวปไซต์ได้ที่ www.immigration.go.th เพื่อเป็นเเนวร่วมและอีกหนึ่งแรงใจได้เสมอ

'นฤมล'​ ส่งทีมงานนำข้าวกล่องส่งแคมป์ก่อสร้าง บรรเทาความเดือดร้อน

(วันที่ 22 กรกฎาคม 2564)​ ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายทีมงาน นำข้าวกล่องช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะกลุ่มแคมป์คนงานก่อสร้าง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบันมีอัตราการแพร่ระบาดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประชาชนได้รับผลกระทบไม่สามารถประกอบอาชีพ หารายได้ดูแลตนเองและครอบครัวได้ ต้องหยุดงาน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานก่อสร้าง ที่ต้องกักตัวอยู่ในแคมป์ก่อสร้าง ซึ่งมีทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน สนับสนุนเครื่องใช้อุปโภคบริโภค เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

ในวันนี้ได้มอบหมายให้ทีมงานนำข้าวกล่อง ไปมอบให้แก่แรงงานในแคมป์ก่อสร้าง รวม 5 แคมป์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้ประกอบกิจการ บริษัท ห้าง ร้านค้าและบุคคลต่างๆ  โดยทีมงานจะนำข้าวกล่องไปส่งมอบตามจุดต่างๆ ในแคมป์ก่อสร้าง ตั้งแต่วันนี้ จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2564 

รมช.กล่าวต่อว่า แคมป์ก่อสร้างที่ส่งมอบข้าวกล่องแล้วในวันนี้ ได้แก่

จุดที่ 1 แคมป์คนงาน บริษัท ทวีพรเทคโนโลยี จำกัด บริเวณข้างโรงแรมมณเฑียร ริเวอร์ไซด์ ถนนพระรามที่ 3 แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม

จุดที่ 2 แคมป์คนงาน บริษัท ซินเท็ค เทคโนโลยี คอนสตรัคชั่น จำกัด บริเวณซอยมไหสวรรย์ 6 ถนนพระรามที่ 3 แขวง/เขต บางคอแหลม

จุดที่ 3 แคมป์คนงาน บริษัท ซินเท็ค จำกัด (มหาชน) บริเวณสามแยกยานนาวา แขวงบางโพงพาง เขตยานาวา

จุดที่ 4 แคมป์คนงาน โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการยานนาเวศ ภายในบริเวณโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการยานนาเวศ  ถนนสาธุประดิษฐ์ แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาทร

และจุดที่ 5 แคมป์คนงาน บริษัท อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) บริเวณข้างหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ถนนพระรามที่ 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน

“ต้องขอขอบคุณผู้ประกอบการ บริษัท ห้าง ร้าน ที่สนับสนุนข้าวกล่องให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดในครั้งนี้  ความช่วยเหลือของทุกภาคส่วนจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ทั้งแพทย์ พยาบาล ประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการในด้านต่างๆ เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน” 

พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องยา 'ฟาวิพิราเวีย' ได้อย่างน่าสนใจว่า "ฟาวิพิราเวีย...ยา (พิฆาต) Covid-19"

ไม่นานมานี้ พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องยา 'ฟาวิพิราเวีย' ได้อย่างน่าสนใจว่า...

"ฟาวิพิราเวีย ..ยา (พิฆาต) Covid-19"

ฟาวิพิราเวีย อาวุธที่จำเป็น สำหรับต่อสู้กับ Covid-19 ไม่ให้อาการลุกลาม โดยมีการใช้ต่อผู้ป่วยรายละ 60-80 เม็ด  สำหรับผู้มีอาการ เพื่อป้องกันไม่ให้ลงปอด จนวิกฤต ถ้าวันนี้มีผู้ป่วยใหม่ราว 10,000 คน ถ้ามีอาการครึ่งหนึ่ง ต้องเตรียมยาสูงสุดวันละ 3-6แสนเม็ด เดือนละ 9-18 ล้านเม็ด ผลิตได้เดือนละ 2 ล้านเม็ดยังไม่เพียงพอ จำเป็นต้องนำเข้าอยู่ดี และต้องสต๊อกให้เพียงพอ ดังนั้นต้องเร่งการผลิตให้ได้เพียงพอในอนาคตครับ

การให้ผู้ติดเชื้อกักตัวอยู่ที่บ้านหรือ Home Isolation ถ้ามีอาการ เข้าข่ายข้อบ่งชี้ จะต้องส่งยาให้ทัน เพราะการได้ยาช้าจะทำให้ผู้ป่วยอาการหนักเข้าโรงพยาบาล และเสียชีวิตมากขึ้น

ข้อเท็จจริงอันหนึ่งคือได้ยาช้า กว่าจะเข้า รพ.ได้ ต้องใช้เวลาหลายวัน

1.) กว่าจะเข้าถึงการตรวจต้องเข้าคิว ต่อคิว หลายวัน ที่ฟรี ยกเว้นเสียเงินเองถึงมีโอกาสตรวจเร็ว แต่ก็ยังจำกัด เป็นคอขวด แม้ Test Kit จะช่วยได้มาก แต่เข้าโรงพยาบาลต้องใช้ ผล RT-PCR อยู่ดี แปลว่าขั้นตอนแรกกว่าจะเข้าถึงต้องรอ 1-2 วัน

2.) การตรวจ RT-PCR ถ้าผลลบมักจะได้เลยในวันรุ่งขึ้น จบไป แต่ถ้าบวกอาจจะ 2-3 วัน ขึ้นกับแลปที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ปกติไม่ควรเกิน 3 วัน รวมเวลาจากขั้นตอน 1 เข้าคิวใช้เวลา 3-5 วัน ได้รับผล RT-PCR

3.) เมื่อได้รับผล แจ้ง 1330/1669/1668 เพื่อขอเข้าโรงพยาบาล หรือรับการรักษา ปัจจุบัน ต้องรอตั้งแต่ 1-3 วัน เพื่อขอให้จัดเตียงให้ และพบว่ามีค้าง รอเตียงข้ามวันจำนวนมาก ตามรายงานประจำวันของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า อย่างเร็วเข้าระบบได้ทันที แต่ถ้าลองนับจากวันแรกเริ่มที่ตรวจ 4 ถึง 7 วัน...ซึ่งยาจะได้ในสถานพยาบาล ในรายที่มีอาการ อาจจะช้าเกินไป

เคยมีผู้เสนอแนวคิด เสนอให้ยาเร็วขึ้นหลังผลบวก จะช่วยให้ผู้ป่วยหนักน้อยลง แต่ดูตัวเลขแล้ว ต้องใช้ยาจำนวนมหาศาล มากกว่าที่ผลิตได้หรือที่มี และอาจจะนำไปสู่การดื้อยาได้ เขาจึงยังต้องให้ในสถานพยาบาลดูตามอาการเพื่อให้ตรงข้อบ่งชี้ แต่ทำอย่างไรจะได้เร็วที่สุด นั่นคือปัญหาสำคัญ และทำอย่างไรให้ได้รับทันเวลา

ขอบคุณองค์การเภสัชกรรม ที่ผลิตยานี้อย่างเร่งด่วน เพราะเป็นจุดสำคัญในการเปลี่ยนคนไข้ อาการหนัก ให้น้อยลง โดยต้องมียามากเพียงพอ ในที่สุด คงต้องเร่งผลิตให้ทันใช้ในประเทศ ที่กำลังเข้าสู่วิกฤตครับ ทุกคนที่มีอาการ และมีข้อบ่งชี้ที่ต้องได้ยาโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เข้าสู่ภาวะวิกฤต ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลในการดูแล

ยาฆ่าเชื้อไวรัสจะเป็นจุดเปลี่ยนของการรักษา และศึกนี้ในอนาคต

หมออิทธพร


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4407212119339560&id=100001524474522


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โควิดทั่วโลกพุ่งไม่หยุดกว่า 192 ล้านคน ตายทะลุ 4.1 ล้านศพ องค์การอนามัยโลก ระบุโลกล้มเหลวรับมือโควิด ตำหนิ ประเทศร่ำรวยไม่แบ่งวัคซีนประเทศยากจน ขณะที่สิงคโปร์ ติดเชื้อพุ่งสูงสุดในรอบปี สั่งคุมเข้มระดับ 2 ทันควัน

โควิดทั่วโลกพุ่งไม่หยุดกว่า 192 ล้านคน ตายทะลุ 4.1 ล้านศพ องค์การอนามัยโลก ระบุโลกล้มเหลวรับมือโควิด ตำหนิ ประเทศร่ำรวยไม่แบ่งวัคซีนประเทศยากจน ขณะที่สิงคโปร์ ติดเชื้อพุ่งสูงสุดในรอบปี สั่งคุมเข้มระดับ 2 ทันควัน ส่วนเกาหลีใต้ ยอดติดเชื้อรายวันนิวไฮอีกหนเกือบ 1,800 คน ออสเตรเลียสั่งล็อกดาวน์แล้วเกือบครึ่งประเทศ

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ว่ามีผู้ติดเชื้อรวม 192,210,659 คน มีผู้เสียชีวิตรวม 4,124,266 คน และมีผู้รักษาหายรวม 174,912,403 คน

ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นพ.เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผอ.องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่าโลกกำลังล้มเหลวในการรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พร้อมกับตำหนิประเทศร่ำรวยที่ไม่ยอมแบ่งวัคซีนให้ประเทศยากจน ทำให้การกระจายวัคซีนไม่เท่าเทียมและทั่วถึง เพราะยังมีผู้คนจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเหมือนประชาชนในประเทศร่ำรวย ซึ่งเวลานี้มีความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดต่ำมาก ขณะที่ประเทศที่มีรายได้น้อย ประชาชนเพียงร้อยละ 1 เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม

ส่วนที่ประเทศสิงคโปร์ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ รายงานสถิติผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่ามีผู้ติดเชื้อสะสมอย่างน้อย 63,440 คน เพิ่มขึ้น 195 คน นับเป็นสถิติรายวันสูงสุด ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคมปีที่แล้ว แบ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 13 คน และติดเชื้อในประเทศ 182 คน จำนวนนี้ 135 คนเชื่อมโยงกับคลัสเตอร์ตลาดค้าส่งปลาจูรง ขณะที่ผู้ติดเชื้อจากคลัสเตอร์ห้องคาราโอเกะเคทีวี เพิ่มเป็น 205 คน สำหรับผู้เสียชีวิตสะสมอย่างน้อย 36 คน และยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอย่างน้อย 289 คน

ทั้งนี้ เพื่อยกระดับมาตรการควบคุมโรคให้มีความเข้มงวดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น คณะทำงานเฉพาะกิจด้านการตอบสนองต่อโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของสิงคโปร์ ประกาศใช้มาตรการระดับ 2 รวมถึงการห้ามรับประทานอาหารในร้านโดยให้ซื้อกลับบ้านเท่านั้น และการห้ามรวมตัวมากกว่า 2 คนในสถานที่สาธารณะ มีผลบังคับใช้ระหว่างวันที่ 22 กรกฎาคม-18 สิงหาคมนี้

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ว่า นพ.นูร์ฮิชาม อับดุลเลาะห์ อธิบดีกรมควบคุมโรคมาเลเซีย ระบุถึงผลการศึกษาวิจัยการใช้งานวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของซิโนแวค ในชิลี ว่าลดอัตราการติดเชื้อได้ร้อยละ 65.9 ลดอัตราการเข้าโรงพยาบาลได้ร้อยละ 87.5 ลดอัตราการเข้าห้องไอซียูได้ร้อยละ 90.3 และลดอัตราการเสียชีวิตได้ร้อยละ 86.3 ขณะที่การใช้งานวัคซีนไฟเซอร์ ประสิทธิผลในภาพรวมอยู่ที่ร้อยละ 95

นพ.นูร์ฮิชามกล่าวว่า ผลการศึกษาการใช้งานวัคซีนซิโนแวคและไฟเซอร์ไม่แตกต่างกันมากนัก โดยวัคซีนทั้งสองตัวแม้พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีคนละแบบ แต่สามารถป้องกันอาการป่วยหนัก และการรักษาตัวในโรงพยาบาลได้เช่นกัน

ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเกาหลี (เคซีดีซี) รายงานสถิติผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สะสมอย่างน้อย 182,265 คน เพิ่มขึ้น 1,784 คน นับเป็นสถิติรายวันสูงสุด ตั้งแต่เกาหลีใต้พบผู้ติดเชื้อคนแรกเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว ขณะที่สถิติผู้เสียชีวิตสะสมอย่างน้อย 2,060 คน เพิ่มขึ้น 1 คน ทั้งนี้ นับเป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์แล้ว ที่เกาหลีใต้ยืนยันผู้ติดเชื้อรายวันมากกว่า 1,000 คน โดยกรุงโซล ยังเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาด และพบคลัสเตอร์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งที่ทำงาน โรงเรียน และในครอบครัว

ขณะเดียวกัน ทุกฝ่ายต่างมีความวิตกกังวลอย่างยิ่งต่อเชื้อกลายพันธุ์ สายพันธุ์เดลตา ซึ่งแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว โดยรอบ 7 วัน ล่าสุด มีการยืนยันผู้ติดเชื้อเดลตาแล้ว 951 คน ซึ่งรัฐบาลเกาหลีใต้เร่งการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้ประชาชนโดยจำนวน 16.3 ล้านคน หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 32 ของประชากรทั้งประเทศ ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม และประมาณ 6.6 ล้านคนได้รับวัคซีนครบแล้ว

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประชากรในประเทศออสเตรเลียกว่าครึ่งหนึ่ง เข้าสู่มาตรการล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หลังจากพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาในเมืองใหญ่ โดยรัฐเซาท์ออสเตรเลีย ใช้มาตรการล็อกดาวน์เป็นเวลา 7 วัน ภายหลังมีผู้ติดเชื้อในเมืองแอดิเลด ส่วนรัฐวิกตอเรียซึ่งมีเมืองเมลเบิร์นเป็นเมืองเอก รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ 22 คน เพิ่มจากเดิมในวันที่ 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่กว่า 100 คน ทางการจึงขยายมาตรการล็อกดาวน์เป็นเวลา 7 วัน ถึงต้นสัปดาห์หน้า ขณะที่รัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งมีนครซิดนีย์เป็นเมืองเอก อยู่ในช่วงล็อกดาวน์สัปดาห์ที่ 4 ในห้วงเวลา 5 สัปดาห์

ทั้งนี้ ออสเตรเลียพยายามสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว หลังจากพบผู้ติดเชื้อรายแรกเป็นพนักงานขับรถลีมูซีนรับ-ส่งผู้โดยสารในสนามบินที่เมืองซิดนีย์เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และแม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตในออสเตรเลียยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอีกหลายประเทศ โดยมีผู้ติดเชื้อสะสมราว 32,100 คน และเสียชีวิต 915 คน แต่การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ที่ล่าช้าและการประกาศล็อกดาวน์ต่อเนื่องหลายครั้งได้สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนภายในประเทศแล้ว


ที่มา : https://www.naewna.com/inter/589428


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'ผู้เฒ่า เซียนเต่า' ได้โพสต์เหตุการณ์ร้านอาหารไทยในเท็กซัส กับการถูกเหยียด แต่สุดท้ายเกิดเรื่องไม่คาดคิด

ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'ผู้เฒ่า เซียนเต่า' ได้โพสต์เหตุการณ์ร้านอาหารไทยในเท็กซัส กับการถูกเหยียด แต่สุดท้ายเกิดเรื่องไม่คาดคิดว่า...

#หนึ่งข้อความจากคนใจร้าย

#ก่อเกิดพันข้อความจากคนใจดี

1.) ร้านอาหารไทยชื่อ "Thai Thai Restaurant" ตั้งอยู่ที่เมืองลับบ็อค รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เจ้าของเป็นคนไทยที่มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่และเปิดร้านมานานกว่า 30 ปีแล้ว

2.) วันที่ 21 พ.ย. 62 มีลูกค้าคนหนึ่งมาทานมื้อกลางวันที่ร้าน ได้ยินเจ้าของร้านและพนักงานคุยกันเป็นภาษาไทยแล้วเกิดความไม่พอใจ

3.) หลังทานเสร็จ ลูกค้าคนดังกล่าวได้เขียนข้อความลงบนกระดาษเช็ดปาก แล้วเอาไปวางไว้บนเคาน์เตอร์ ข้อความว่า...

“If you’re going to live in AMERICA learn to speak ENGLISH! or, go back to where you came from!”

(ถ้าอยากอยู่ "อเมริกา" ก็ต้องฝึกพูดภาษา "อังกฤษ" ไม่งั้นก็กลับบ้านเก่าไปซะ!)

4.) “คุณรังสี” เจ้าของร้าน ได้นำข้อความดังกล่าวมาโพสต์ในเพจของร้านแล้วกล่าวขอโทษว่า...

“Someone left it at the counter at lunch today. Whoever you are, I apologize for that which I wasn’t born with.”

(มีคนทิ้งข้อความนี้ไว้บนเคาน์เตอร์ตอนมื้อกลางวัน ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม เราขออภัยด้วยที่เราไม่ได้เกิดมาพูดภาษาอังกฤษ)

5.) โพสต์นี้กลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว มีคนมาคอมเมนต์เพื่อให้กำลังใจร้านมากกว่า 2,400 ข้อความ

6.) และที่น่าตื้นตันใจยิ่ง คือ วันรุ่งขึ้นลูกค้าจำนวนมากพร้อมใจกันมาอุดหนุนร้านจนที่จอดรถเต็ม ลูกค้าต่อคิวยาวเหยียดจากเคาน์เตอร์ไปถึงประตู

7.) พวกเขายอมรับว่า มาที่นี่เพราะทราบข่าวเรื่องข้อความที่ร้านได้รับเมื่อวาน จึงต้องการมาสนับสนุนและให้กำลังใจร้าน

8.) หลังจากทานเสร็จ ลูกค้าหลายคนยังเขียนข้อความลงบนกระดาษแล้วทิ้งไว้ที่เคาน์เตอร์ เพื่อให้กำลังใจเจ้าของร้านและพนักงานอีกหลายข้อความ เช่น

- ไม่พูดภาษาอังกฤษก็ไม่มีปัญหา เราทุกคนรักพวกคุณ

- เรารักคุณ ขอบคุณนะที่มาเปิดร้านที่ลับบ็อค คุณทำให้ชุมชนของเราน่าอยู่ขึ้น

- ความหลากหลายทำให้ชุมชนเข้มแข็ง ขอบคุณที่มาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนของเรา

9.) เรื่องนี้กลายเป็นข่าวดังทั้งในโซเชียลมีเดีย หนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ มีนักข่าวไปสัมภาษณ์เจ้าของร้านและลูกค้าด้วย ทำให้มีคนรู้จักร้านอาหารไทยแห่งนี้มากขึ้น

#จริงอยู่ที่โลกนี้มีคนใจร้าย

#แต่ก็มีคนใจดีมากกว่า

#poetryofbitch

Credit : ภาพจากเพจ Thai Thai Restaurant และ KLBK TV


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=330604588691478&id=100052258193762


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

จุฬาฯ แถลงการณ์ตำหนิองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ (อบจ.) หลังนำนักเคลื่อนไหว ปฐมนิเทศนิสิตใหม่

วันที่ 22 กรกฎาคม 2564 เพจเฟซบุ๊ก สำนักบริหารกิจการนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความว่า ตามที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดกิจกรรมปฐมนิเทศนิสิตใหม่ประจำปีการศึกษา 2564 ผ่านสื่อออนไลน์เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 เพื่อแสดงความยินดีต้อนรับ ให้ข้อมูลความรู้ และสร้างความภาคภูมิใจในสถาบันแก่นิสิตใหม่ และองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ (อบจ.) ได้ใช้โอกาสนี้เปิดคลิปวีดิทัศน์ที่มีเนื้อหาที่ใช้รูปแบบการสื่อสารที่รุนแรงและมีคำหยาบคายดังที่ปรากฏในสื่อต่าง ๆ นั้น

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรู้สึกเสียใจในความไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้นในกิจกรรมดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง และขอชี้แจงว่ามหาวิทยาลัยได้ดำเนินงานโดยยึดหลักการและส่งเสริมให้นิสิตมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกบนพื้นฐานของการให้เกียรติผู้อื่นรวมทั้งไม่กระทำการอันผิดกฎหมาย

มหาวิทยาลัยขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า ในการจัดกิจกรรมปฐมนิเทศในปีนี้ สำนักบริหารกิจการนิสิตได้ดำเนินการร่วมกับ อบจ. และได้เตรียมการมาตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2564 โดยตลอดระยะเวลาเตรียมงานได้มีการประชุมประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม อบจ. มิได้แจ้งให้มหาวิทยาลัยทราบถึงแผนในการนำเสนอวิดิทัศน์ข้างต้นแต่อย่างใด และได้ดำเนินการดังกล่าวเองโดยไม่ผ่านการพิจารณาร่วมกันซึ่งขัดกับมารยาทของการร่วมดำเนินงานที่ดี นอกจากนั้นเนื้อหาของคลิปวิดิทัศน์ที่ใช้ความรุนแรงหยาบคายและอาจขัดกับหลักกฎหมายนั้น มหาวิทยาลัยเห็นว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง จึงขอตำหนิการกระทำดังกล่าว และจะได้ดำเนินการอบรมพัฒนานิสิตและพิจารณาเพื่อดำเนินการทางวินัยต่อไป

ทั้งนี้มหาวิทยาลัยขอยืนยันว่าเห็นด้วยกับการมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ถ้อยคำหยาบคาย หรือการแสดงความคิดเห็นที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แสดงความก้าวร้าวหรือบังคับกดดันผู้ไม่เห็นด้วยหรือไม่แสดงความคิดเห็น นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยใคร่ขออภัยผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งคณาจารย์ บุคลากร นิสิตเก่า และนิสิตปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสิตใหม่ที่เข้าร่วมกิจกรรมปฐมนิเทศที่ได้รับการกระทำที่ไม่เหมาะสม โดยมหาวิทยาลัยจะได้กำกับดูแลการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของนิสิตอย่างใกล้ชิดในอนาคตอย่างระมัดระวังมากขึ้น


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รมว.ยุติธรรม มั่นใจในยาจากฟ้าทะลายโจรช่วยได้ เร่งปลูก 2,000 ต้น ในเรือนจำสุโขทัย

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โครงการโคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวัง กรมราชทัณฑ์ และจังหวัดสุโขทัย  ด้วยการนำพืชสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ปลูกในแปลงสาธิตโครงการพระราชทานในเรือนจำ 1,000 ต้น และบริเวณพื้นที่ว่างด้านหน้าเรือจำอีก 1,000 ต้น เพื่อเป็นทางเลือกในการดูแลรักษาสุขภาพเบื้องต้นของผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่  โดยมีนายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย นางพรรณสิริ  กุลนาถศิริ สส.สุโขทัย เขต 1 และนายกฤตภพ จันทร์ภูโดม ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดสุโขทัย ร่วมปลูกฟ้าทะลายโจร พร้อมกับผู้ต้องขังกลุ่มพักการลงโทษกรณีพิเศษ 28 นาย ที่ผ่านโครงการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยตัว เข้ามาเสริมทักษะให้เกิดแรงจูงใจกลับตัวเป็นพลเมืองดี และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้ร่วมปลูก

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้เสนอแนวทางการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร ที่มีข้อมูลการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาผู้ต้องขังที่เรือนจำหลายแห่งที่ ใช้ยาแผนไทยในการรักษา จึงได้ไปศึกษาข้อมูลของฟ้าทะลายโจรเพิ่ม และทราบว่าในฟ้าทะลายโจรมีสารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ ซึ่งกรมการแพทย์แผนไทยระบุว่าสามารถยับยั้งไวรัสได้ สารตัวนี้จะสกัดจากฟ้าทลายโจรในอัตราส่วน 4 ต่อ 1 ซึ่งในการปลูก 1 ไร่จะได้ประมาณ 600 กิโลกรัม สามารถสกัดได้ประมาณ 150 กิโลกรัม ทำยาได้ 375,000 แคปซูล หากเราจะใช้กับคนไทยทั้งประเทศ ต้องใช้ 3,150 ล้านแคปซูล หรือจะต้องปลูกประมาณ 8,400 ไร่

ในส่วนของการนำต้นมาบดหยาบ 600 กิโลกรัม จะได้ประมาณ 1,300,000 แคปซูล จึงแนวคิดกินเป็นยารักษาตั้งต้น ซึ่งฟ้าทะลายโจรโตเต็มที่ 4 เดือนสามารถนำมาตัดตามข้อได้ 8 ข้อ แล้วนำมาใส่ยาเร่งราก แล้วนำไปปักชำ สามารถขยายพันธ์ได้อย่างเร็ว หากเร่งปลูกกันทุกบ้าน จะไม่มีการขาดช่วง ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นยาแผนไทยประจำบ้านได้อีกด้วย

อีกทั้งในเบื้องต้นได้ให้เรือนจำทุกแห่งจะได้นำมาต่อยอดทำเครื่องมือบรรจุแคปซูลด้วยมือ ซึ่งสามารถบรรจุได้เองวันละไม่น้อยกว่า 5,000 แคปซูล ซึ่งการใช้ยาแผนไทยนั้นให้ควบคู่กับความรู้ด้านสาธารณสุขด้วย โดยต้องใช้ประมาณ 180 มิลลิกรัมต่อวัน ใช้ติดต่อกัน 5 วันจะรักษาโควิดได้ ผลดีของการใช้ฟ้าทะลายโจร คือ การใช้กับกลุ่มเสี่ยงที่สัมผัสผู้ติดเชื้อกินได้ทันทีโดยไม่ต้องรอผลตรวจ ใช้กับผู้ที่มีอาการคล้ายการติดเชื้อ และใช้กับผู้ที่ผลการตรวจเป็นบวกแต่ไม่แสดงอาการ ทั้งนี้จะต้องมีการศึกษาข้อดีข้อเสียของสมุนไพรฟ้าทะลายโจรให้ชัดเจน และสร้างการรับรู้ให้ประชาชนอย่างถูกต้อง


ภาพ/ข่าว  สุริยา ด้วงมา จ.สุโขทัย

มูลนิธิเบญจรงคกุล และกลุ่มบริษัทเบญจจินดา จัดโครงการ “ปลูกสร้างสรรค์ สร้างพลังให้แผ่นดิน” สนับสนุนโรงเรียนทั่วประเทศสร้างแหล่งอาหารที่ปลอดภัย มอบผลิตภัณฑ์บำรุงดินและพืชชีวภาพ

มูลนิธิเบญจรงคกุล และกลุ่มบริษัทเบญจจินดา จัดโครงการ “ปลูกสร้างสรรค์ สร้างพลังให้แผ่นดิน” โดย คุณณัฐวุฒิ ปิ่นทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร ผู้แทนมูลนิธิเบญจรงคกุล และกลุ่มบริษัทเบญจจินดา มอบผลิตภัณฑ์บำรุงดินและพืชชีวภาพ มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท ให้แก่โรงเรียนทั่วประเทศจำนวน 46 แห่ง เพื่อสร้างแหล่งอาหารที่ปลอดภัย สร้างสรรค์การเกษตรที่ยั่งยืนให้กับชุมชน

ผู้ติดเชื้อโควิดในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3 เท่า ในช่วง 2 สัปดาห์ ท่ามกลางแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตาและการกระจายข้อมูลบิดเบือน

เคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าในช่วง 2 สัปดาห์ ท่ามกลางแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตาและการกระจายข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับวัคซีน จนอัตราผู้เข้ารับวัคซีนชะลอตัว สถานการณ์ที่กำลังทำให้โรงพยาบาลกลับสู่ภาวะตึงเครียด แพทย์และพยาบาลอ่อนแรง

"เจ้าหน้าที่ของเรา พวกเขาผิดหวัง" คำกล่าวของ ชาด นีลเซน ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันเชื้อแห่งบูเอฟ เฮลท์ แจ็คสันวิลล์ โรงพยาบาลในรัฐฟลอริดา ซึ่งจำเป็นต้องยกเลิกการผ่าตัดแบบไม่เร่งด่วน หลังจำนวนผู้ป่วยในโควิด-19 ของโรงพยาบาล เพิ่มเป็น 134 ราย จากระดับต่ำสุด 16 รายในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่ยังไม่ฉีดวัคซีน

"พวกเขาเหนื่อยล้า พวกเขากำลังคิดว่านี่มันเป็นเรื่องเดจาวูอีกแล้ว มีอารมณ์โกรธบ้าง เพราะเรารู้ว่ามันเป็นสถานการณ์ที่สามารถป้องกันได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ประชาชนไม่ฉวยประโยชน์จากวัคซีน" เขากล่าว

ทั่วทั้งสหรัฐฯ ค่าเฉลี่ย 7 วันของผู้ติดเชื้อใหม่รายวันในช่วง 2 สัปดาห์หลังสุด ขยับขึ้นไปแตะระดับ 37,000 คน ในวันอังคาร (20 ก.ค.) เพิ่มขึ้นจากระดับไม่ถึง 13,700 คน ในวันที่ 6 กรกฎาคม จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮ็อปกินส์ โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกล่าวโทษตัวกลายพันธุ์เดลตาและอัตราการฉีดวัคซีนที่ชะลอตัว

จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ พบว่ามีอเมริกันชนเพียงแค่ 56.2% เท่านั้นที่ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส

ในลุยเซียนา เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน 5,388 คน ในวันพุธ (21 ก.ค.) ถือเป็นจำนวนรายวันสูงที่สุดอันดับ 3 นับตั้งแต่โรคระบาดใหญ่เริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นปี 2020 ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เพิ่มเป็น 844 คน เพิ่มขึ้นมามากกว่า 600 ราย นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิถุนายน

ยูทาห์ มีผู้ติดเชื้อที่ถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 295 ราย สูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ รัฐแห่งนี้มีค่าเฉลี่ยผู้ติดเชื้อรายใหม่ 622 คนต่อวัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดในช่วงต้นเดือนมิถุนายนถึง 3 เท่า ขณะที่ข้อมูลด้านสาธารณสุขพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ยังไม่ฉีดวัคซีน

ที่นิวยอร์ก ซิตี เจ้าหน้าที่ประจำโรงพยาบาลต่าง ๆ และคลินิกสุขภาพที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของเมือง จะถูกบังคับให้ฉีดวัคซีนหรือเข้ารับการตรวจเชื้อทุกสัปดาห์ ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังหาทางต่อสู้กับเคสติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น จากการเปิดเผยของนายกเทศมนตรีบิล เดอ บลาซิโอ ในวันพุธ (21 ก.ค.)

คำสั่งของเดอ บลาซิโอ จะไม่บังคับใช้กับครู ตำรวจและเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ของเมือง แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์มุ่งเน้นฉีดวัคซีนของทางเมือง ท่ามกลางการแพร่ระบาดหนักหน่วงขึ้นของตัวกลายพันธุ์เดลตา

จำนวนการฉีดวัคซีนรายงานของเมืองนิวยอร์ก ลดต่ำลงมาเหลือไม่ถึง 18,000 เข็มต่อวัน จากระดับสูงสุดมากกว่า 100,000 เข็มต่อวันในช่วงต้นเดือนเมษายน เวลานี้ประชากรวัยผู้ใหญ่เกือบ 65% ฉีดวัคซีนครบแล้ว แต่อัตราการฉีดวัคซีนวัยผู้ใหญ่ที่เป็นประชากรผิวสีอายุต่ำกว่า 45 ปี มีเพียงแค่ราว ๆ 25% ทั้งนี้มันเป็นอัตราที่น่ากังวลพอสมควร เนื่องจากในบรรดาคนงานในระบบโรงพยาบาลรัฐของทางเมืองนั้น มีถึง 45% ที่เป็นคนผิวสี

ในขณะที่เคสผู้ติดเชื้อในนิวยอร์กซีตี เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์ เจ้าหน้าที่ระบุว่าตัวกลายพันธุ์เดลตาคิดเป็นมากกว่า 70% ของผู้ติดเชื้อเหล่านั้นเลยทีเดียว "เราต้องการให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเราฉีดวัคซีน มันกำลังอันตรายขึ้นจากตัวกลายพันธุ์เดลตา" เดอ บลาซิโอกล่าว

ย้อนกลับไปที่ลุยเซียนา มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่นิวออร์ลีนส์กำลังชั่งใจรื้อฟื้นข้อจำกัดบางอย่างเพื่อสกัดการแพร่ระบาด หลังจากก่อนหน้านี้ได้ยกเลิกไป สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดซาลง "ทุกทางเลือกวางอยู่บนโต๊ะ" จากการเปิดเผยของโฆษกประจำเมือง


(ที่มา : เอพี)

https://mgronline.com/around/detail/9640000071547


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ฉีดวัคซีนสลับชนิด ภูมิพุ่ง 8 เท่า ที่สำคัญป้องกันสายพันธุ์เดลตาได้

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงนามในประกาศ ด่วนที่สุด ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข ถึงนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ระบุถึงหลักเกณฑ์การฉีดวัคซีนสลับชนิดกันสำหรับประชาชน และการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า โดยระบุว่า

ด้วยสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด พบการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์กลายพันธุ์ เช่น สายพันธุ์เดลตา เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก มีการศึกษาโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งประเทศไทย (ไบโอเทค) พบว่า

การฉีดวัคซีน Sinovac เป็นเข็มที่ 1 และฉีควัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสให้อยู่ในระดับที่สูงได้เร็วมากขึ้น โดยสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีใกล้เคียงกับ AstraZeneca 2 เข็ม ซึ่งคาดว่าจะมีผลดีต่อการป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลตา และไม่พบอาการข้างเคียงรุนแรงภายหลังได้รับวัคชีน


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ไม่พิมพ์ แต่ลงมือทำ’ รวมเหล่าคนดัง ที่ลงมือช่วยเหลือผู้คนในวิกฤติโควิด-19 แบบทำจริง

กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกบันเทิง เมื่อเหล่าดารา ศิลปิน คนดัง ออกมาทำการ Call Out หรือส่งเสียงเรียกร้องประเด็นการบริหารงานของรัฐบาล

ถึงตรงนี้ เป็นสิทธิที่ทุกคน (แม้จะไม่ใช่ดารา คนดัง) สามารถทำได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราทุกคนต้อง ‘เคารพ’ ในกฎหมาย และวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเคารพในสิทธิของผู้อื่นด้วยเช่นกัน การเอาแต่ ‘ความสะใจ’ คงไม่เกิดผลดีในการแก้ปัญหาใด ๆ ที่เกิดขึ้น

ในกระแสที่ดารา คนดัง ออกมา Call Out นั้น ในมุมกลับกัน ยังมีผู้คนอีกมากมาย ที่ออกมา ‘ลงมือทำ’ ช่วยเหลือกันในยามวิกฤติ THE STATES TIMES รวบรวมเหล่าคนดังที่ร่วมมือร่วมใจในแบบที่เรียกว่า ‘ลงมือทำจริง’ ซึ่งนี่ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ยังมีอีกมากมายหลายคนที่ลงแรงแข็งขันในการช่วยเหลือครั้งนี้

เราขอคารวะในหัวจิตหัวใจอันดีงาม แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนมีสิทธิ์ ‘เลือกแสดงออก’ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใด ๆ หากว่าเป้าหมายสูงสุด เป็นเป้าหมายของการนำพาประเทศไทย ให้ก้าวออกจากวิกฤติที่กำลังเผชิญอยู่นี้

วาง ‘อารมณ์’ ลงก่อน ปลด ‘ความเกลียดชัง’ กันลงบ้าง พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ก่อนที่จะไม่เหลือใครให้ทะเลาะกัน...


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

แผนล้มจีน!! เมื่อเหล่ามหาอำนาจเก่า ปั้นเกมสกปรก ยก “Western Values” ยื้อความก้าวหน้าของ ‘จีน’ แต่สุดท้าย 'ไร้ผล' I Knowledge Times EP.4

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
???? แผนล้มจีน!! เมื่อเหล่ามหาอำนาจเก่า ปั้นเกมสกปรก ยก “Western Values” ยื้อความก้าวหน้าของ ‘จีน’ แต่สุดท้าย 'ไร้ผล'

ประเทศจีนในปัจจุบัน ถือเป็นประเทศที่ก้าวขึ้นมามีบทบาทและมีอำนาจอย่างมากในเวทีโลก จากการพัฒนาตนเองรอบด้าน ไม่ว่าจะในแง่ของความมั่นคงทางอาวุธยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ ภายใต้ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ

สร้างความมั่งคั่ง ร่ำรวย และความแข็งแกร่งที่มากพอจะก้าวออกสู่แผนที่โลก เพื่อต่อยอดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประเทศ 

โดยจีนเริ่มยุทธศาสตร์การแผ่ขยายอำนาจเข้าไปในหลายพื้นที่ของแผนที่โลก ผ่านโครงการเชื่อมแผ่นดิน ทั้งทางบก ที่มี Belt and Road Initiative หรือเส้นทางสายไหมใหม่เป็นใบเบิกทาง หรือแม้แต่ String of Pearls โครงการที่มีจุดมุ่งหมายขยายอำนาจไปทั่วน่านน้ำมหาสมุทร

แน่นอนว่า การพัฒนาและแผ่ขยายอำนาจของจีน ดูจะไม่ถูกใจฝั่งชาติมหาอำนาจตะวันตกเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกับสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร

การ “แก้เกม” จึงเริ่มเห็นได้ชัดว่า ในช่วงระยะหลัง เหล่าบรรดาชาติตะวันตก ได้ร่วมโจมตีไปที่แกนกลางอำนาจของจีน ซึ่งก็คือ “พรรคคอมมิวนิสต์จีน” บ่อย ๆ 

โดยใช้อาวุธสำคัญที่เรียกว่า “Western Values” หรือการอวดอ้างคุณค่าของความเป็นชาติตะวันตก จากการที่มีประชาธิปไตย ความหลากหลายของพรรคการเมือง สิทธิมนุษยชน และการค้าเสรีในเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมยัดเยียดว่าจีนคือประเทศที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและระเบียบโลก

ตัวอย่าง “Western Values” ที่ถูกนำมาใช้โจมตีประเทศจีนที่เห็นได้ชัดนั้น มีตั้งแต่การโจมตีระบอบสังคมนิยม ว่าขัดต่อหลักการประชาธิปไตย สังเกตได้จากการพยายามตีเรื่องสิทธิมนุษยชนในจีนผ่าน อุยกูร์ ทิเบต และซินเจียง ก็ดี 

หรือแม้แต่การโจมตีเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ที่จีนมักถูกอ้างว่าลอกเลียนเทคโนโลยีจากชาติตะวันตกบ่อย ๆ 

แม้ “Western Values” จะดูเป็นแผนการณ์ที่ดูสกปรก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้จีนดูเลวร้ายในสายตาชาวโลก

แต่นั่นก็ไม่ได้กระทบ ต่อการพัฒนาและขยายอำนาจของจีนเลยแม้แต่น้อย 

นั่นก็เพราะ ฐานการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนใหม่ มีการปรับปรุงและพัฒนาจีนอย่างรอบด้าน ภายใต้การเรียนรู้ว่า โลกในปัจจุบันมีทั้งความหลายหลายและการเปลี่ยนแปลง การทำให้คนเท่าเทียมโดยใช้ระบบการวางแผนจากส่วนกลางแบบเดิม ๆ ของพรรคนั้น ไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป

ฉะนั้น พรรคคอมนิวนิสต์จีน จึงมีการนำ "ระบบทุนนิยม" เข้ามาปรับประยุกต์กับประเทศ โดยใช้พลังจากภาคเอกชนที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ มาแก้ปัญหาความยากจน พร้อมทั้งนำ "ระบบสังคมนิยม" มาแก้ปัญหาและรับฟังประชาชนอย่างทั่วถึง

อีกทั้ง จีนยังถอดบทเรียนจากข้อผิดพลาดในอดีตและนำมาแก้ไข ทำให้มีการยกระดับพัฒนาสังคมจีนขนานใหญ่ เศรษฐกิจก้าวหน้า คนจนค่อย ๆ หมดไปจากจีน

ดังนั้น การที่วันนี้ชาติมหาอำนาจตะวันตก พยายามโจมตีจีนด้วยการนำคุณค่าจาก ความเป็น “Western Values” มาใช้บ่อยครั้ง จึงดูไร้ความหมาย

ซ้ำร้าย ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความล้าหลังของชาติตะวันตก ที่วันนี้ไม่สามารถวัดพลังกับจีนได้ตรง ๆ หากแต่ทำได้แค่มองพัฒนาการและการแผ่ขยายอำนาจของจีนแบบตาปริบ ๆ

เป็นหนามยอกใจ ที่ใช้วิธีไหน ก็ถอนไม่ออกเสียที... 


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ปริญญ์” เรียกร้อง ศบค. ทบทวนสั่งปิดร้านอาหารในห้าง พื้นที่สีแดงเข็ม หวั่นไม่เป็นผลดีต่อประชาชน - ซ้ำเติมเศรษฐกิจ แนะ 7 แนวทางแก้วิกฤติเร่งด่วน

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ให้ทบทวนมาตรการสั่งปิดร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้ มอลล์ ในพื้นที่ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม ห่วงไม่มีผลต่อการเพิ่มความปลอดภัยด้านสาธารณสุขเท่าไหร่นัก แต่สร้างผลกระทบหนักต่อประชาชนและเศรษฐกิจ

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กล่าวว่า เข้าใจดีถึงเจตนารมณ์ของศบค. ที่อยากลดการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ให้เร็วที่สุด แต่การสั่งปิดร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้ มอลล์ในพื้นที่สีแดงเข้ม เป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจและประชาชนครั้งใหญ่ เพราะเป็นการสั่งปิดแบบทันที ไม่มีการเยียวยาที่เหมาะสม รวมถึงยังไม่มีข้อมูลใดที่บ่งชี้ว่าร้านอาหารในห้างเป็นสาเหตุของการติดเชื้อได้มากกว่าร้านอาหารข้างนอก

โดยมาตรการในครั้งนี้ทำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องประสบกับปัญหาของค้างสต๊อก การขาดสภาพคล่องทางการเงิน เสี่ยงต่อการปิดกิจการ ส่วนลูกจ้างต้องว่างงานหรือตกงานกะทันหัน ในขณะที่ประชาชนทั่วไปก็หาร้านอาหารได้ยากขึ้น ต้องไปแออัดต่อคิวซื้อกลับบ้านตามร้านอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งอาจจะสร้างผลเสียให้กระบวนการทางสาธารณสุขมากกว่าจะเป็นผลดี จึงอยากเรียกร้องให้ศบค. เร่งทวบทวนมาตรการดังกล่าว และปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม อย่าปล่อยให้ประชาชนต้องเผชิญวิกฤติกลับไปกลับมาซ้ำ ๆ อย่างที่เป็น

นอกจากนี้ นายปริญญ์ยังได้เสนอ 7 มาตรการแก้วิกฤติขาดแคลนเตียงในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 อย่างเร่งด่วน ถึงรัฐบาลและศบค. ดังนี้

1.) เร่งตรวจหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกและอนุมัติการนําเข้า Rapid Antigen Test Kits อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ราคาในท้องตลาดถูกลง ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และควรแจกชุดตรวจฟรีถึงบ้าน

2.) ปรับเปลี่ยนสถานที่ เช่น โรงเรียนแพทย์ สถานที่ของกองทัพ และพื้นที่ของเอกชน มาเป็นศูนย์พักพิงแยกผู้ติดเชื้อออกมาจากชุมชนแออัด และมีมาตรการดูแลเชิงรุกก่อนส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล

3.) เร่งแจกฟ้าทะลายโจรแก่ผู้ป่วยติดเชื้อ ไม่ต้องศึกษาเพิ่มแล้ว เพราะตอนนี้มีการศึกษาวิจัยจำนวนมากที่ออกมายืนยันว่าใช้ยานี้กับผู้ป่วยได้ดีในจำนวนที่เหมาะสม รวมถึงควรเร่งจัดหายา Favipiravir และ Remdesivir ให้เพียงพอ อย่าให้มีคอขวดในการนําเข้าแบบตอนนี้ รวมทั้งควรสนับสนุนให้ผลิตยาดังกล่าวได้อย่างเสรีในประเทศไทย

4.) ปลดล็อกการจัดซื้อวัคซีนให้มีความคล่องตัว และโปร่งใสมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดหาวัคซีน mRNA และวัคซีนเทคโนโลยีใหม่ เช่น โนวาแวกซ์ (Novavax) ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ทัพหน้าและประชาชนในพื้นที่วิกฤติ รวมถึงสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนใบยาของจุฬาฯ ที่เป็นหนึ่งในความหวังสกัดเชื้อกลายพันธุ์อย่างปลอดภัย

5.) ปรับปรุงและพัฒนาการสื่อสารให้ชัดเจน ทำให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย เช่น องค์ความรู้ด้านการกักตัวอยู่บ้าน (Home Isolation) การบริหารจัดการคิวฉีดวัคซีนให้มีความเป็นธรรมและเป็นไปอย่างเหมาะสม

6.) เยียวยากลุ่มธุรกิจที่ให้ความร่วมมือปิดกิจการเป็นอย่างดีมาโดยตลอดและได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น ฟิตเนส ร้านอาหาร อีเว้นท์ นักดนตรี ธุรกิจกลางคืน/บันเทิง ให้เหมาะสม ทันท่วงที โดยกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ควรจัดหาแหล่งเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่มีดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการ พักหนี้ทั้งต้นและดอกอย่างจริงจัง และจัดสรรงบฟื้นฟูเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิต ไม่ใช่แค่แจกเงิน เช่น การพัฒนาศักยภาพและทักษะใหม่ ๆ ให้กับประชาชนผ่านสื่อออนไลน์เพื่อเพิ่มแรงงานฝีมือ และควรขยายผลโครงการที่ทำไปแล้วและได้ผลตอบรับที่ดี อาทิ โครงการกระจายความรู้ สู่ผู้ประกอบการยุคใหม่ (From Gen Z to be CEO) ของกระทรวงพาณิชย์ที่ท่านรองนายกฯ จุรินทร์ได้ริเริ่ม โครงการเรียนจบพบงาน ของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น

7.) ต้องช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนให้ได้อย่างจริงจัง โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น การประปาและการไฟฟ้าต้องยอมรับภาระต้นทุนในส่วนนี้เพื่อช่วยลดค่านํ้าค่าไฟให้กับประชาชนมากกว่าเดิม ภาครัฐต้องลดภาษีและค่าธรรมเนียมทุกชนิด รวมถึงบริษัทโทรคมนาคมต้องปรับลดค่าอินเตอร์เน็ตลงด้วย เพื่อสนับสนุนการทํางานและการศึกษาจากที่บ้าน (Work/Study From Home) โดยรัฐบาลอาจจัดสรรงบมาสนับสนุนด้วยได้

“พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะตัวแทนของประชาชน เราพยายามทําหน้าที่ในส่วนของเราให้ดีที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา ท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และประธานมูลนิธิเสนีย์ ปราโมช ได้นําคณะรัฐมนตรีของพรรคปล่อยคาราวานรถ ‘ถุงนํ้าใจ ปชป. ส่งผู้รอเตียง’ จัดส่งอาหารถึงบ้านประชาชนในพื้นที่กทม. ปริมณฑล และภาคใต้ รวมถึงช่วยจัดหาเตียงให้ผู้ป่วยที่ทางศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 พรรคประชาธิปัตย์ หรือ ศปฉ.ปชป. ได้ประสานงานไปแล้วกว่า 1,600 เตียง

อย่างไรก็ตาม ปชป. จะเดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระด้านสาธารณสุขของไทย และเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน โดยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลและศบค. จะเร่งดำเนินการแก้ไขวิกฤตินี้ตามที่ได้เสนอไป และมองที่ประชาชนเป็นสำคัญ เพื่อพาประเทศฝ่าวิกฤติไปได้ด้วยกัน” นายปริญญ์ กล่าว


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top