Sunday, 6 July 2025
NEWS

ตำรวจสนธิกำลังบุกเข้า ตรวจค้น สถานบันเทิงของ กลุ่มนายทุนต่างชาติและนอมินี หวังกวาดล้างอาวุธปืน สารเสพติด

วันนี้ (1 พ.ย. 65) เวลา 00.01 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร.(ปป.) และพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. (สส.) พร้อมชุดปฏิบัติการ บช.น. ,บช.สอท. ,บช.ปส. , บช.สตม. พิสูจน์หลักฐาน และ บช.ทท.กว่า 200 นาย เข้าตรวจค้น ผับ บาร์ สถานบริการ ซึ่งเชื่อว่าเป็นของนายทุนต่างชาติ และนอมินีพร้อมกัน 6 จุด ทั่วกทม.  มีพื้นที่ มักกะสัน  ได้แก่
K Bangkok / Space + ส่วนพื้นที่ห้วยขวาง มี 3 จุด คือ Hollywood  /Brooz / และ Asgard พื้นที่สุดท้ายคือ คลองตัน คือ Baby Face

โดยมีพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุวิมล พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทั้งสายปราบปรามและสืบสวน ลงไปติดตามประเมินความคืบหน้าในการบุกเข้าค้นสถานประกอบการทั้ง 6 แห่ง 

โดยจุดแรกที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นคือ
เบบี้เฟซ ซึ่งอยู่ย่านเอกมัย เป็นผับขนาดใหญ่ ซึ่งระหว่างที่เจ้าหน้าที่แสดงตัวเข้าตรวจค้นยังพบว่ามีนักท่องเที่ยวเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดไฟและขอเข้าตรวจค้น เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน ได้นำชุดตรวจสารเสพติดออกมาวางโดยให้นักท่องเที่ยวเข้ามาแสดงตนและรับชุดตรวจสารเสพติดไปตรวจ

'เฉลิมชัย' ดีเดย์แผนพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม 5 ปี ฉบับแรกของประเทศ 1 มกราคม 2566

'อลงกรณ์' พอใจการปฏิรูปบริการดิจิตอลภาครัฐของกระทรวงเกษตรฯ 175 ระบบคืบหน้า 95% 

วันนี้ (31 ต.ค. 65) นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 และ คณะกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) ภายใต้ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร4.0ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมผ่านระบบทางไกลออนไลน์ ZOOM Cloud Meeting ครั้งที่ 5/2565 พร้อมด้วย นายวุฒิพงศ์ เนียมหอม รองเลขาธิการ ส.ป.ก. นายโฆสิต สุวินิจจิต ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนธุรกิจเกษตร (Agribusiness) นายกฤชฐา โภคาสถิตย์ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน e-Commerce ดร.วราภรณ์ พรหมพจน์ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรอัจฉริยะ นายฉันทานนท์ วรรณเขจร ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Big Data และ Gov Tech นายสัญชัย รัศมีจีรวิไล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ศทส.) ดร.เจษฎา วิชาพร รองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษ คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร รศ.ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี รศ.ดร.พัชรศักดิ์ อาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี นายสุวิทย์ รัตนจินดา ประธานสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย และนายจิตติศักดิ์ ศรีปัญญา ผู้อำนวยการกองนโยบายเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรและเกษตรกรรมยั่งยืน ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการฯ อีกทั้ง ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ ผู้แทนกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง ภาคการศึกษา ภาคเอกชน และศูนย์ AIC จากทั่วประเทศ 492 ราย ร่วมประชุมติดตามผลการดำเนินงานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้าน Big Data และ Gov Tech ด้านเกษตรอัจฉริยะ ด้าน e-Commerce และด้านธุรกิจเกษตร (Agribusiness) 

โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ.ภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 
ดังนี้...

1. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนธุรกิจเกษตร (Agribusiness) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายงานผลความก้าวหน้าการดำเนินงานผลการส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าเกษตรผ่านระบบออนไลน์ มีมูลค่าการจำหน่ายสินค้า จากวันที่ 27 เมษายน 2563 ถึง วันที่ 15 ตุลาคม 2565 เป็นเงินจำนวน 523,792,120 บาท และในการขับเคลื่อนบูรณาการงานด้านการส่งเสริมธุรกิจเกษตร จะมีการจัดงาน Creative and Innovation for Agribusiness ระหว่างวันที่ 18-20 พฤศจิกายน 2565 ณ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อตก.) โดยคณะทำงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์เชิงเกษตร เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน

2. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน E-Commerce ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายงานผลความก้าวหน้าการดำเนินงาน ในความพร้อมและการขายสินค้าเกษตรแบบพรีออร์เดอร์ และการจัดฝึกอบรมเกษตรกรรายย่อยด้านช่องทางการทำตลาดออนไลน์ ผ่านช่องทาง tiktok 

3. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรอัจฉริยะ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการเกษตรอัจฉริยะ ปี 2565-2566 จำนวน 3 โครงการ ได้แก่  (1) การพัฒนา IoTs Platform สำหรับการผลิตทุเรียนแปลงใหญ่อัจฉริยะ (2) แอปพลิเคชันทำนายและตรวจวิเคราะห์ศัตรูพืช (โรคพืช แมลงศัตรูพืช และวัชพืช) ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)  (3) การพัฒนาเครื่องจักรกลเกษตร (เครื่องสาง+เครื่องม้วนใบอ้อย) เพื่อแก้ปัญหาการเผาอ้อย และความก้าวหน้าการเชื่อมโยงและเข้าถึงข้อมูลสภาพอากาศของเกษตรกรเพื่อสนับสนุนการทำเกษตรอัจฉริยะ

4. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Big Data และ Gov Tech ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีความก้าวหน้าการดำเนินงานด้าน Gov Tech โครงการบริการออนไลน์ e-Service ระบบบริการภาครัฐของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีการให้บริการในรูปแบบ Digital ทั้งสิ้น จำนวน 175 บริการ เป็น Digital Service จำนวน 166 บริการ คิดเป็น 95% เหลืออีก 5% อยู่ระหว่างดำเนินการให้เป็น Digital Service จำนวน 9 บริการ ซึ่งนายอลงกรณ์แสดงความชื่นชมและพอใจต่อความคืบหน้าโดยขอให้บรรลุ 100% ในปีนี้

ส่วนการพัฒนาระบบบริการดิจิตอลที่เชื่อมโยง NSW แล้ว จำนวน 55 บริการ มีการอนุมัติและเป็น e-Signature ทั้งสิ้น 5 หน่วยงาน 46 บริการ มีการชำระเงิน และเป็น e-Payment ทั้งสิ้น 4 หน่วยงาน 38 บริการ อีกทั้งได้มีการรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้าน Big Data โดยศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ ได้ดำเนินการจัดทำโครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลการเกษตร มีระบบงานที่พัฒนาขึ้น จำนวน 5 ระบบ โดยผู้สนใจสามารถเข้าใช้งานผ่านทางเว็บไซต์ http://nabc.go.th/app/application ได้แก่...
(1) ระบบการบูรณาการข้อมูลและจัดทำรายงาน 
(2) ระบบการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) 
(3)ระบบปฏิทินการผลิตสินค้าเกษตร 
(4) ระบบ Coaching Program Platform (CPP)
และ (5) ระบบ Public AI ให้บริการข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลทางการเกษตร

ที่ประชุมยังรับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) ในเรื่องต่างๆ ดังนี้...

(1) การบริหารการขับเคลื่อนศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC) จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งได้ดำเนินการติดตั้งระบบการบริหารจัดการน้ำ เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลเพื่อรายงานสถาการณ์น้ำ ระดับน้ำ และระยะเวลาระบายน้ำ พัฒนาระบบเตือนภัยน้ำท่วมสำหรับเกษตรกรในพื้นลุ่มต่ำ กรณีศึกษา โครงการบางระกำโมเดล โดยเกษตรกรจะสามารถเข้าถึงระบบได้โดยผ่านทางโทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์

(2) ผลการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ในฐานะศูนย์AICจังหวัดนครราชสีมาและ ศูนย์ความเป็นเลิศโคเนื้อในโครงการพัฒนาการปรับปรุงพันธุ์และการขุนวัวโคราชวากิว ให้มีไขมันแทรกสูง โดยใช้พ่อพันสายพันธุ์วากิวแท้ 100% (Full Blood) ที่มีการตรวจยีนการสร้างไขมันแทรกเป็นที่ยอมรับทั่วโลก และสามารถนำมาผสมกับแม่พันธุ์โคผสมสายพันธุ์ต่างๆในประเทศไทยสามารถให้ลูกที่มีไขมันแทรกสูง เนื้อคุณภาพ สามารถส่งขายได้ในราคาดี เป็นที่ต้องการของตลาด โดยในปัจจุบันเกษตรกรรายย่อยทางภาคอีสานสามารถขุนเองให้ได้มาตรฐานตรงตามที่ตลาดต้องการ

(3) แผนพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) ฉบับแรกของประเทศสอดรับกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่13 โดยฝ่ายเลขาฯ ได้แจ้งประสานไปยังสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทุกจังหวัดเพื่อให้จัดทำแผนฯ และส่งข้อมูลภายใน 30 พ.ย. 2565 ซึ่งพร้อมจะเสนอให้รัฐมนตรีเกษตรฯ.ประกาศแผนดังกล่าวในวันที่ 1 มกราคม 2566 

(4) ผลการดำเนินงานระบบฐานข้อมูล AIC (Innovation Catalog) ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2565 มีข้อมูลของ Innovation Catalog โดยแบ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็น 11 ประเภท จำนวน 790 เรื่อง ศพก. 882 แห่งมีการนำไปใช้ประโยชน์ จาก AIC 77 แห่ง ทั่วประเทศ เกษตรกรได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จำนวน 10,257 ราย และการใช้นวัตกรรมขยายลงสู่พื้นที่การเกษตรแปลงใหญ่ใน 10 จังหวัด 14 แปลงใหญ่

โดยที่ประชุมมีมติให้ความเห็นชอบสนับสนุนโครงการ พัฒนาฟู้ดวัลเลย์จังหวัดภาคกลางตอนล่าง(RAINs For Lower Central Provinces Food Valley )โดย มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชบุรี ในฐานะศูนย์AICจังหวัดเพชรบุรีซึ่งมีเป้าหมายการขับเคลื่อนในพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง เพื่อพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์อาหารให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคและฐานทรัพยากรธรรมชาติ ใน 2 กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร คืออาหารสุขภาพ (Healthy Food) และอาหารวัฒนธรรม (Cultural Food) เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่จากพืชและอาหารในพื้นที่เพิ่มมูลค่าเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้วัตถุดิบคุณภาพ ปลอดภัย (GAP) จากพืชเศรฐกิจที่ผลิตได้ในภูมิภาค ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเชิงสุขภาพ สร้างความแตกต่าง เพื่อเป็นผู้นำตลาดอาหารสุขภาพ ผลิตภัณฑ์อาหารวัฒนธรรมที่ตรงตามความต้องการผู้บริโภค กระบวนการพัฒนาตลอดห่วงโซ่ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ (วิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์) จนถึงปลายน้ำ (การจัดจำหน่ายสินค้า)สู่เกษตรมูลค่าสูง โดยใช้เครือข่ายความร่วมมือ Quad-Helix ระหว่าง ผู้ประกอบการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และมหาวิทยาลัยเครือข่าย (มรภ.เพชรบุรี มรภ.กาญจนบุรี และมรภ.หมู่บ้านจอมบึง) ซึ่งในปัจจุบันมี 5 โครงการที่ผ่านการคัดเลือก แบ่งเป็น 2 ด้าน คือ

1.ด้าน Healthy Food (HF) จำนวน 2 ผลิตภัณฑ์ คือ การพัฒนาเครื่องดื่มเยลลี่เพื่อสุขภาพจากผลไม้ สมุนไพร ท้องถิ่นภาคตะวันตกของประเทศไทย (บริษัท น้ำแควแฮปปี้ฟูด จำกัด) และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวเม่าทรงเครื่องวีแกนบอลจากโปรตีนพืชท้องถิ่น (บริษัท เพชรบุรีโอท็อป อินเตอร์เทรดเดอร์ จำกัด

2.ด้าน Cultural Food (CF) จำนวน 3 ผลิตภัณฑ์ คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ธัญพืชอัดแท่งให้พลังงานสูงจากกระยาสารท (วิสาหิจชุมชนแม่ช่อมาลีกระยาสารทมะพร้าวน้ำหอม) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนมเม็ดขนุนโดยใช้สารทดแทนน้ำตาลเชิงพาณิชย์ (กลุ่มวิสาหกิจขนมหวานห้วยโรง) และการพัฒนาผลิตภัณฑ์คุกกี้ลำดวนผสมข้าวไรซ์เบอร์รี่ (บริษัทเพชรบุรีไทยดีเสริท์ จำกัด) 

‘ชัชชาติ’ เร่งหาทางแก้ปัญหาราคา รฟฟ. สายสีเขียว หลังประชาชนโอดหนัก ‘ค่าโดยสารแพง’

รถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา (รถไฟฟ้าสายสีเขียว) หรือที่พวกเราเรียกสั้น ๆ ว่า รถไฟฟ้า BTS เป็นระบบรถไฟฟ้ายกระดับแห่งแรกของประเทศไทยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จ.สมุทรปราการ และ จ.ปทุมธานี โดยเปิดใช้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ในช่วงแรกได้เปิดให้บริการช่วงสถานีอ่อนนุช - สถานีหมอชิต และช่วงสถานีสะพานตากสิน - สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ 

ต่อมารถไฟฟ้า BTS มีการก่อสร้างส่วนต่อขยายออกไปเพิ่มเติมอีก 5 ระยะ แบ่งเป็น
ระยะที่ 1 จากสถานีสะพานตากสิน - สถานีวงเวียนใหญ่
ระยะที่ 2 จากสถานีวงเวียนใหญ่ - สถานีบางหว้า
ระยะที่ 3 จากสถานีแบริ่ง - สถานีเคหะฯ
ระยะที่ 4 จากสถานีหมอชิต - สถานีคูคต
ระยะที่ 5 จากสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ - สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ

โดยการหาเสียงเลือกตั้งของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการ กทม. รอบที่ผ่านมา ได้มีการหาเสียงในประเด็นเรื่องรถไฟฟ้า BTS โดยมี Key message คือ ‘ไม่ต่อสัญญา BTS เปิดเผยสัญญา เข้า พ.ร.บ ร่วมทุน ค่าโดยสาร 25-30 บาท’ 

นอกจากนี้ นายชัชชาติ ยังให้คำมั่นว่าจะขอใช้เวลา 1 เดือน ตรวจสอบรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยจะขอดูสัญญาที่เกี่ยวข้องทุกฉบับแล้วจะให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย เบื้องต้นมีเรื่องต้องสะสาง 3 ส่วน ประกอบด้วย หนี้ที่รัฐบาลโอนให้กทม. กระบวนการรับหนี้ถูกต้องหรือไม่ ใครจะรับผิดชอบ เบื้องต้นเห็นว่ารัฐบาลควรต้องรับผิดชอบเพราะได้ประโยชน์หลายอย่าง เช่นเดียวกับรถไฟฟ้าทุกสาย

ซึ่งนโยบายของนายชัชชาติกับรถไฟฟ้า BTS มี 5 ข้อ ได้แก่
1. ไม่เห็นด้วยกับการต่อสัญญาสัมปทานถึงปี 2602 อย่างแน่นอน และไม่ผ่านกระบวนการตาม พ.ร.บ ร่วมทุน ที่มีกระบวนการเรื่องความโปร่งใส การเปิดเผยข้อมูล การขอต่อสัญญาสัมปทานถึงปี 2602 เป็นเรื่องของ ม.44 ที่เห็นว่ากรรมการพิจารณาไม่กี่คน ประชุมกัน 10 ครั้ง สามารถชี้ชีวิตของคนกทม. 1 รุ่นเลย ถ้ามีคนจบใหม่วันนี้ ต้องทนกับค่าโดยสาร BTS ไปจนถึงเกษียณอายุ 60 ปี เปลี่ยนอะไรไม่ได้ โดยหากจะทำ ต้องทำตาม พรบ. ร่วมทุน

2. กทม. ต้องเจรจากับเรื่องนี้ เพราะมีส่วนขยาย 2 ที่ ทางรฟม. โยนหนี้มาให้ กทม. ราว 60,000 ล้านบาท และมีค่าอื่น ๆ รวมหนี้เป็น 100,000 ล้านบาท ซึ่งเรื่องหนี้ผมคิดว่า เป็นการใช้เงื่อนไขในการขยายสัมปทานให้ โดยอ้างว่า กทม. ไม่มีเงินจ่ายหนี้ ดังนั้นต้องเจรจาเรื่องหนี้ไปก่อนเลย โดยให้รัฐรับผิดชอบในเรื่องการโยธาไป

3. ปัจจุบันเราให้วิ่งส่วนต่อขยายฟรีมาเกือบ 3 ปี ทำให้หนี้มันยิ่งพอกพูนขึ้นมาก มันเหมือนเป็นหนี้ที่รัดเราให้แน่นขึ้น ดังนั้นต้องรีบคุยเรื่องการเก็บค่าโดยสารส่วนนี้ เพราะสุดท้าย ผู้โดยสารส่วนขยาย 2 มันช่วยไปเติมให้ผู้โดยสารส่วนกลาง ซึ่งเป็นรายได้หลักของ BTS อยู่ จึงต้องอาศัยตรงนี้เป็นตัวต่อรอง และคิดราคาที่เหมาะสม แล้วเก็บค่าโดยสารเพิ่ม เพื่อลดหนี้ให้น้อยลง

4. ต้องเปิดเผยสัญญาจ้างเดินรถจนถึง 2585 ว่าต้นทุนเป็นเท่าไหร่ โดยหลังปี 2572 เป็นต้นไป กทม. จะคิดค่าโดยสารเท่าไหร่ก็ได้ เพราะถ้ายังไม่ต่อสัญญาสัมปทาน รายได้ทั้งหมดเป็นของ กทม. อยู่แล้ว แต่ต้องรู้ว่า ต้นทุนที่ต้องจ่ายให้ BTS เป็นเท่าไหร่ เนื่องจาก กทม. ไม่สามารถแบกรับการขาดทุนได้ และยังมีเรื่องที่ไปร้องเรียน ป.ป.ช. อยู่ด้วย

5. ต้องหา ‘รายได้อื่น’ มาประกอบ คือระบบการเดินทาง จะมีรายได้ 2 ส่วน คือรายได้จากค่าโดยสารที่ปัจจุบันอยู่ที่ 44+15 = 59 และตัวใหม่จะอยู่ที่ราคา 65 บาท สำหรับรถไฟฟ้าสายสีเขียว มีการโฆษณา มีพื้นที่ให้เช่าที่เป็นรายได้ทั้งนั้น และหลังปี 2572 ไปแล้ว รายได้ส่วนนี้ทั้งหมด ควรจะเข้ารัฐด้วย ซึ่งหลังปี 2572 รายได้จากค่าโฆษณา ค่าเช่าที่ต่างๆ ควรจะเข้า กทม. เต็มเม็ดเต็มหน่วย หากดูงบประมาณทางเอกชน รายได้ส่วนนี้อยู่ที่ปีละ 2,000 ล้านบาท ซึ่งนำมาจุนเจือค่าโดยสารได้

‘ตำรวจราชบุรี’ ช่วยเหลือเด็กนักเรียนชั้นป.1 หลังพลัดหลงกับรถรับ-ส่ง ระหว่างกลับบ้าน

ชื่นชมในโซเชียลที่ ตร.เมืองราชบุรี ได้ช่วยเหลือเด็กนักเรียนชั้นป. 1 อายุ 6 ขวบ หลังพลัดหลงกับรถรับส่งประจำ จนน้องต้องเดินร้องไห้จากร.ร. เพื่อจะเดินกลับบ้าน ขณะตร.พบเจอจึงเข้าช่วยเหลือจนสามารถติดต่อครอบครัว จนสามารถส่งน้องกลับบ้านจนปลอดภัย

เมื่อวานนี้ (30 ต.ค. 65) ผู้สื่อข่าวได้รายงานว่า ชาวโซเชียลแห่ชื่นชม ด.ต.วิเชียร มณีวิหค ผู้บังคับหมู่งานจราจร สภ.เมืองราชบุรี หลังโพสต์เรื่องราวอุทาหรณ์สอนใจผู้ปกครอง ที่ต้องอาศัยรถประจำทางรับส่งบุตรหลานไปโรงเรียน โดย ด.ต.วิเชียร ได้เล่าประสบการณ์ช่วยเหลือ น้องบอส อายุ 6 ขวบ เด็กนักเรียนชั้น ป.1/7 โรงเรียนแห่งหนึ่งในเขตเทศบาลเมืองราชบุรี หลังพลัดหลงกับรถรับส่งไปโรงเรียน จนเดินร้องไห้จากโรงเรียนที่ตัวเองเรียนอยู่ เพื่อจะกลับบ้านด้วยอาการหวาดกลัว เพราะน้องไม่รู้จักเส้นทางกลับบ้าน จนน้องเดินไปเจอชายคนหนึ่งและสอบถามรายละเอียด จึงพาไปพบ ด.ต.วิเชียร ที่กำลังออกตรวจพื้นที่เพื่อให้ช่วยเหลือจนทราบว่า น้องผลัดหลงกับรถรับส่ง และไม่มีเบอร์ติดต่อคนขับรถ แถมไม่มีเบอร์ติดต่อที่บ้าน จนต้องประสานงานกับทางผู้บังคับบัญชา จนสามารถนำน้องถึงมือผู้ปกครองอย่างปลอดภัย

ด.ต.วิเชียร มณีวิหค ผู้บังคับหมู่งานจราจร สภ.เมืองราชบุรี เปิดเผยว่า หลังพบตัวน้องโดยมีพลเมืองดีนำมาส่งที่ตน ตนได้พยายามสอบถามเบอร์ติดต่อทางบ้านและเบอร์คนขับรถ และลักษณะของรถรับส่ง ตลอดลักษณะรถรับส่งที่น้องนั่งมาเรียนทุกวัน แต่น้องบอสอยู่ในอาการตกใจเอาแต่ร้องไห้ด้วยความกลัว ทำให้ตนต้องพยายามปลอบ ก่อนจะพาน้องนั่งซ้อนท้ายรถจยย.ของตนขับไปตามเส้นทางที่น้องพอจำได้ เพื่อจะพาน้องไปส่งบ้าน จนผ่านไปเกือบชั่วโมงก็ยังไม่ถึงบ้านน้อง

ทำให้ตนต้องพาน้องไปที่สภ.เมืองราชบุรี เพื่อสอบถามน้องอย่างละเอียดในการติดต่อทางญาติของน้องมารับ โดยได้รับการช่วยเหลือจากผู้บังคับบัญชา จนได้รับแจ้งจากครูโรงเรียนว่ามีเด็กหายไป จนมีการออกตามหาตัวแต่ไม่พบ จึงประสานไปที่โรงเรียน เพื่อนำน้องไปส่งที่โรงเรียนถึงมือครูผู้สอน ก่อนจะติดต่อทางญาติให้มารับน้องกลับบ้าน ตนจึงอยากฝากเรื่องราวดังกล่าวเป็นอุทาหรณ์ ที่ให้ผู้ปกครอง ให้ความสำคัญและใส่ใจกับบุตรหลาน ที่ต้องนั่งรถรับส่งมาโรงเรียน ควรจะจดเบอร์โทรศัพท์ใส่ไว้ในกระเป๋านักเรียน เพื่อหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวจะได้ติดต่อทางญาติได้

ผบ.ตร.ติวเข้ม ความพร้อมเอเปค เผยรัฐบาลให้ความสำคัญด้านปลอดภัย คุมเข้มเส้นทาง รับมือตอบโต้ภัยคุกคาม วอนประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย 

วันนี้ (31 ต.ค. 65) เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กต. สธ. กทม. ฯลฯ เข้าร่วมประชุมพิจารณาแผนการปฏิบัติใน "การจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ.2565" โดยละเอียด ตรวจสอบทุกๆ การปฏิบัติ เพื่อให้การรักษาความปลอดภัยและการจราจรและพิธีการเข้าเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับ การจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคฯ เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการด้านการรักษาความปลอดภัยและการจราจร ฯ  โดยมี พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มอบหมายให้ ตร. เป็นหลักในการขับเคลื่อน โดยในวันนี้ ตร. ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือในด้านมาตรการการรักษาความปลอดภัยเส้นทางและสถานที่ต่างๆ ตามข้อห่วงใยของ นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร ฯ​ รวมถึงการข่าวที่จะมีผลกระทบต่อการจัดการประชุม การเตรียมแผนการปฏิบัติหลัก แผนรอง แผนฉุกเฉินหรือแผนเผชิญเหตุ 

โดยก่อนหน้า ครม.อนุมัติ 16-18 พ.ย.65 เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ เฉพาะพื้นที่ กทม. นนทบุรี และสมุทรปราการ  และคาดว่าจะมีประกาศเพิ่มเติมให้ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา เป็นวันหยุดด้วย ส่วนในวันนี้ที่ประชุมของ ตร. ได้มีมติให้ปิดการจราจรถนนรัชดาภิเษก บริเวณหน้าศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และจะมีการ "ปิดใช้บริการสถานี MRT ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์" ในวันที่ 16-19 พ.ย.65 โดยจะมีการจัดรถบัส รับ-ส่ง (shuttle bus) จำนวน 6 คัน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่อาศัยหรือทำงานอยู่บริเวณใกล้เคียง  ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยอย่างสูงสุดสำหรับสถานที่จัดการประชุม จึงอยากประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชน 

ส่วนกำหนดการซักซ้อมการปฏิบัติรูปขบวนรถและเส้นทางการเดินทาง ตลอดจนแผนเผชิญเหตุต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในห้วงวันที่ 6 – 12 พ.ย.65 จะได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบในภายหลัง ทั้งนี้ ได้กำชับการปฏิบัติของหน่วยงาน ตร. และหน่วยงานต่างๆ ให้ตรวจสอบ"ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซักซ้อมการปฏิบัติแผนที่รับผิดชอบและแผนการปฏิบัติภาพรวมทุกแผน พิจารณาปรับปรุงแผน และการปฏิบัติให้ครอบคลุมทุกสถานการณ์ ทุกพื้นที่    

ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า รัฐบาล และ ตร. ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนในการแจ้งเบาะแส ข้อมูลหรือสิ่งผิดปกติให้กับ ตร. ได้ตลอดเวลา ที่สายด่วน 191 หรือ 1599 ทั้งนี้ หากการแจ้งเบาะแส ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนสอบสวนและนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา โดยจะพิจารณามอบรางวัลนำจับให้กับผู้แจ้งเบาะแส หรือ ในการให้ข้อมูลตามแต่ละกรณี

บัตรทองเพิ่มสิทธิรักษา 'เจ็บป่วยเล็กน้อย' 16 กลุ่มอาการ ฟรีที่ร้านยาชุมชนอบอุ่นกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ

บัตรทองเพิ่มบริการ 'เภสัชกรรมปฐมภูมิ' ที่ร้านยาชุมชนอบอุ่นกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ ดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ครอบคลุม 16 กลุ่มอาการ ให้คำปรึกษาและรับยาไม่เสียค่าใช้จ่าย เตรียมเริ่มให้บริการเร็ว ๆ นี้  

เมื่อวันที่ (30 ต.ค. 65) นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า เภสัชกรเป็นหนึ่งในผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ที่ร่วมดูแลประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพ ส่วนหนึ่งประจำอยู่ในร้านยา ทั้งนี้ ร้านยาชุมชนอบอุ่น เป็นร้านขายยาแผนปัจจุบัน (ขย.1) ที่ร่วมเป็นหน่วยบริการที่รับส่งต่อเฉพาะด้านเวชกรรมในระบบบัตรทอง 

โดยปีงบประมาณ 2566 สปสช.ร่วมกับสภาเภสัชกรรมขยายการให้บริการบัตรทองที่ร้านยาชุมชนอบอุ่นเพิ่มเติม โดยเพิ่มบริการเภสัชกรรมปฐมภูมิ เพื่อดูแลประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองกรณีมีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Common Illness) 16 กลุ่มอาการตามแนวทางและมาตรฐานการให้บริการเภสัชกรรมปฐมภูมิโดยสภาเภสัชกรรม ได้แก่...

1. อาการปวดหัว เวียนหัว
2. ปวดข้อ
3. เจ็บกล้ามเนื้อ
4. ไข้
5. ไอ
6. เจ็บคอ
7. ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก
8. ถ่ายปัสสาวะขัด
9. ปัสสาวะลำบาก
10. ปัสสาวะเจ็บ
11. ตกขาวผิดปกติ
12. อาการทางผิวหนัง
13. ผื่น คัน
14. บาดแผล
15. ความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตา
และ 16. ความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับหู


ที่มา: https://mgronline.com/qol/detail/9650000103674

‘ถนนข้าวสาร’ เตรียม 7 ทางออก รองรับนทท.งานฮาโลวีน มั่นใจ!! สถานที่ปลอดภัย ไม่ซ้ำรอยอิแทวอนแน่นอน

(31 ต.ค. 65) ที่ถนนข้าวสาร เขตพระนคร นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร กล่าวถึงมาตรการความปลอดภัยในการจัดงานฮาโลวีน ที่ถนนข้าวสารวันที่ 31 ต.ค.นี้ ว่า เนื่องจากถนนข้าวสารมีการจัดงานเทศกาลฮาโลวีนในทุก ๆ ปีอยู่แล้วก่อนการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิด-19 ดังนั้นความพร้อมในการดูแลความปลอดภัยของพื้นที่จึงมีความพร้อม โดยได้มีการประสานงานกับเขตพระนคร ตำรวจ สน.ชนะสงคราม ตำรวจท่องเที่ยว และเจ้าหน้าที่ อปพร. ทั้งเรื่องรถพยาบาล จุดคัดกรองสำหรับตรวจอาวุธและความปลอดภัยต่าง ๆ ซึ่งจะมีตัวสแกนทั้งหัวถนนและท้ายถนน

และจากเหตุการณ์สลดที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลฮาโลวีน ที่อิแทวอน เกาหลีใต้ ที่ผ่านมาจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนั้น ทำให้ตนกลับมาทบทวนเรื่องเส้นทางการออกจากพื้นที่ในโซนของถนนข้าวสารมีกี่จุด ตรงไหนบ้าง ซึ่งจากเดิมจะให้ออกแค่เพียง 2 ทาง คือ หัว-ท้ายของถนน เมื่อสำรวจแล้วพบว่า จะมีทางออกจากพื้นที่ถนนข้าวสารได้เพิ่มอีกรวมเป็นทั้งหมด 7 เส้นทาง ซึ่งในวันนี้ (31 ต.ค.) ก่อนเริ่มงานจะมีการนำป้ายประชาสัมพันธ์ทางออกมาติด ซึ่งป้ายประชาสัมพันธ์นั้นมี 3 ภาษา คือ ไทย-อังกฤษ-จีน เพื่อให้นักท่องเที่ยวเห็นและสามารถออกจากพื้นที่ได้หากเกิดเหตุไม่คาดคิด

นายสง่า กล่าวต่ออีกว่า เนื่องจากลักษณะทางกายภาพของถนนข้าวสารกับถนนเส้นที่เกิดอุบัติเหตุในย่านอิแทวอนนั้น เท่าที่ทราบมีลักษณะต่างกันเพราะพื้นที่ที่เกิดเหตุมีลักษณะลาดชันตามภูมิประเทศซึ่งเป็นภูเขา และความกว้างของถนนประมาณ 4-6 เมตร เท่านั้น ต่างจากสภาพของถนนข้าวสารซึ่งเป็นถนนลักษณะราบและไม่มีฟุตปาธ อีกทั้งยังมีความกว้างของถนนกว่า 14 เมตร ยาว 400 เมตร

ส่วนเรื่องความปลอดภัยในสถานบันเทิง ที่ผ่านมาได้เรียกประชุมผู้ประกอบการให้ตรวจตราร้านของตนเองอยู่เสมอตามนโยบายของราชการที่กำชับมาเรื่องความปลอดภัยในสถานบันเทิง รวมทั้งซักซ้อมหากเกิดเหตุเพื่อความปลอดภัย อีกทั้งเจ้าหน้าที่เขตพระนครได้ออกตรวจสถานบันเทิงในข้าวสารอยู่เป็นประจำ จึงไม่น่ากังวลและขอให้มั่นใจในความปลอดภัย

สำหรับประมาณการณ์นักท่องเที่ยวที่จะมาในงานฮาโลวีนปีนี้ นายสง่า ระบุว่า คาดว่าจะมีประมาณ 20,000 คน ซึ่งไม่น่าเป็นห่วงนัก เนื่องจากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ถนนข้าวสารยังเคยรองรับนักท่องเที่ยวมาแล้วกว่า 50,000 คน


ที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/1631633/ 

กรมทะเลและชายฝั่ง เร่งหาสาเหตุการตายวาฬขนาดใหญ่เกยตื้นเสียชีวิตบริเวณเกาะราชาใหญ่ จ.ภูเก็ต

วันที่ (30 ต.ค. 65) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (อทช.) ได้รับแจ้งจากศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน (ศวอบ.) ว่าได้รับการประสานงานจากสำนักงานประมงจังหวัดภูเก็ต กรณีได้รับแจ้งจากนายสฤทธิ์ จันดี เครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเกาะราชาใหญ่ว่า พบซากวาฬขนาดใหญ่ลอยเสียชีวิตอยู่ที่เกาะราชา ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต จึงได้นำเรือทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 308 และเรือสปีดโบ๊ทออกไปตรวจสอบซากวาฬขนาดใหญ่ ที่ลอยเกยตื้นบริเวณอ่าวแหลมไทร ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเกาะราชา พบว่าเป็นซากวาฬไม่ทราบชนิดลอยมาติดอยู่ที่บริเวณริมชายฝั่ง อ่าวแหลมไทร จึงนำกลับมายังฝั่งเกาะภูเก็ต ภายหลังเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากสิรีธาร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลจังหวัดภูเก็ต สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 10 ได้เข้าพื้นที่เพื่อตรวจสอบซากวาฬดังกล่าว พบว่าเป็นซากวาฬบรูด้า ขนาดความยาวลำตัว 13 เมตร เพศเมีย โตเต็มวัย สภาพซากเน่า และได้นำซากวาฬดังกล่าวมาชันสูตรหาสาเหตุการตาย ณ ศวอบ.

นายอรรถพล เปิดเผยว่า ภายหลังได้รับผลการชันสูตรซากจาก ศวอบ. พบว่าอวัยวะส่วนใหญ่เน่าและย่อยสลาย ภายในกระเพาะอาหารพบของเหลวปนอาหารเล็กน้อย และมีผลลูกจาก จำนวน 2 ลูก ซึ่งไม่ใช่อาหารตามปกติ ภายในลำไส้พบของเหลวตลอดลำไส้และพบพยาธิตัวกลม พยาธิตัวตืดเล็กน้อย โดยในส่วนของลำไส้เล็กส่วนกลางพบถ้วยพลาสติกจำนวน 1 ใบ แต่ยังไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของลำไส้ โดยสาเหตุการตายเบื้องต้นพบว่าวาฬดังกล่าวมีสภาพร่างกายสมบูรณ์ แต่มีสภาพซากเน่ามากจึงไม่สามารถระบุสาเหตุการตายได้แน่ชัด

ทั้งนี้ จึงอยากฝากพี่น้องประชาชน ว่าอย่าทิ้งขยะลงทะเล และหากพบเห็นให้ช่วยกันเก็บขยะ เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีสัตว์ทะเลเสียชีวิตจากขยะ เป็นจำนวนมาก ซึ่งกินเข้าไปมันก่อให้เกิดการอุดตันของลำไส้ทำให้เสียชีวิต จึงขอให้ช่วยกันดูแลรักษา และอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลให้คงความอุดมสมบูรณ์ หากใครพบเห็นการกระทำความผิด หรือสัตว์ทะเลเกยตื้น สามารถแจ้งเบาะแสมายังสายด่วนพิทักษ์ป่าและรักษาทะเล โทร. 1362  ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่เข้าตรวจสอบได้ทันท่วงทีต่อไป “นายอรรถพล กล่าวทิ้งท้าย”

‘อนุทิน’​ เตือนผู้ปกครองพาเด็กเล็กฉีดวัคซีนโควิด-19 หวั่นระบาดอีกครั้ง หลังอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

‘อนุทิน’​ เตือนผู้ปกครอง พาเด็กเล็กฉีดวัคซีนโควิด-19​ หวั่นอากาศเปลี่ยนแปลง โควิด-19 อาจหวนระบาดอีกครั้ง

(31 ต.ค. 65) เมื่อเวลา 08.40 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน​ ชาญวีรกูล​ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข​ กล่าวถึงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19​ หลังจากที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงและโควิด-19 อาจกลับมาระบาดอีกครั้งหนึ่ง​ ว่า​ จะต้องเพิ่มการระมัดระวังมากขึ้น​ โดยการฉีดวัคซีน​สามารถป้องกันความรุนแรงของโรคได้​ โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ และมีผลยืนยันแล้วว่าไม่มีอาการหนักถึงขั้นต้องใส่เครื่องช่วยหายใจหรือเสียชีวิต​ จึงเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์​มากหากร่วมกันฉีดวัคซีน​ 

ทั้งนี้วัคซีนให้บริการครอบคลุม ตั้งแต่เด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือน​ -​ ​4 ขวบ​ เป็นวัคซีนไฟเซอร์ฝาแดง ซึ่งเตรียมไว้พร้อมแล้วและกระจายไว้ทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนให้ผู้ปกครอง พาเด็กไปรับวัคซีน เราต้องฉีดถึง 3 เข็ม ควรรีบไปฉีด ความปลอดภัยจะเกิดขึ้นกับทั้งครอบครัว ขอผู้ปกครองอย่าเป็นกังวลว่าเด็กจะนำเชื้อจากโรงเรียนมาติดยังผู้ปกครอง โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่บ้าน

ตำรวจท่องเที่ยวจัดการนักท่องเที่ยวมาเลเซียขับรถซ่า

วันนี้ (๓๑ ต.ค. ๖๕) เวลา ๐๙๐๐ น. ณ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พล.ต.ท. สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต. อภิชาติ สุริบุญญา โฆษกกองบัญชาการฯ แจ้งความคืบหน้าต่อสื่อมวลชนกรณีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียทราบชื่อภายหลังว่า MR.ABDUL RAIMI BIN AZMI อายุ 32 ปีเกิดความคึกคะนองดริฟต์รถเก๋งหรู BMW สีน้ำเงิน  เป็นวงกลม 3 รอบ บริเวณลานจอดรถสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สร้างความเดือดร้อนให้กับรถยนต์คันอื่นๆ ที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๘ ต.ค.๖๕ ที่ผ่านมานั้น

พล.ต.ต. อภิชาติฯ แจ้งว่าหลังจากได้รับแจ้งเหตุแล้ว พล.ต.ต. กฤษณ์ วาฤทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว ๓ ซึ่งควบคุมรับผิดชอบพื้นที่ท่องเที่ยวภาคใต้ทั้งหมดได้สั่งการให้ตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดสงขลาตรวจสอบทันที จนกระทั่งวันที่ ๒๙ ต.ค.๖๕ เวลา ๒๒๐๐ น. ตำรวจท่องเที่ยวได้พบรถยนต์คันดังกล่าวทะเบียน VGC 2014 บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา จว.สงขลากำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ จึงเรียกให้หยุดและสอบถาม ซึ่ง Mr Abdul ผู้ขับขี่ให้ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ขับรถแบบคึกคะนองในวันที่เกิดเหตุจริง จึงได้เชิญตัวมายังสถานีตำรวจภูธรคอหงส์ พร้อมกับได้เรียกผู้เสียหายทั้งหมดมาเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยกัน 

ผลจากการเจรจาไกล่เกลี่ย Mr Abdul ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียหายทั้งหมดรวมเป็นเงิน ๙๙,๐๐๐ บาท นอกจากนี้ เจ้าหน้าตำรวจได้แจ้งข้อหาให้ Mr Abdul ทราบด้วยว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามกฎหมายของไทย กล่าวคือ “ทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันควรจนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน” ซึ่ง Mr Abdul ให้การรับสารภาพโดยพนักงานสอบสวนได้สั่งปรับเป็นจำนวนเงิน ๑,๐๐๐ บาท ก่อนจะปล่อยตัวเดินทางกลับประเทศมาเลเซียต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินสายพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนต่อเนื่องในโครงการ 'จักรยานเพื่อน้องสัญจร' ครั้งที่ 3 ประจำปี 2565 มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในภาคอีสานรวม 9 จังหวัด

ระหว่างวันที่ 25-30 ตุลาคม 2565 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย รักษาการหัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมลงพื้นที่มอบรถจักรยาน ให้กับโรงเรียนในพื้นที่ภาคอีสาน 8 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดมหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี (โดยจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นจังหวัดที่ 9 ของโครงการจักรยานเพื่อน้องสัญจรฯ กำหนดมอบจักรยานในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2565) ที่มีเยาวชนประสบปัญหาในด้านการเดินทางไปและกลับโรงเรียนด้วยความยากลำบาก ภายใต้โครงการจักรยานเพื่อน้องสัญจร ครั้งที่ 3 ประจำปี 2565 รวมจำนวน 45 โรงเรียน มอบรถจักรยาน จำนวน 900 คัน พร้อมมอบหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ รวมถึงมอบค่าพาหนะให้กับโรงเรียนที่เดินทางมารับ รวมงบประมาณทั้งสิ้น 1,537,807.50 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนสามหมื่นเจ็ดพันแปดร้อยเจ็ดบาทห้าสิบสตางค์) เพื่อให้เด็กนักเรียนสามารถใช้จักรยานเดินทางมาโรงเรียนได้อย่างสะดวก อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน รวมถึงการดูแลรักษาสิ่งของส่วนรวมและใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง โดยเมื่อเด็กนักเรียนจบการศึกษา จักรยานจะถูกส่งต่อให้แก่เด็กนักเรียนในรุ่นต่อไป โดยมี คุณครู และตัวแทนนักเรียนจากโรงเรียนต่าง ๆ ร่วมในพิธี พร้อมด้วย สมาคม/มูลนิธิแต่ละจังหวัดเป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี 

โดยเมื่อวันที่  14 – 17 ตุลาคม 2565  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ลงพื้นที่มอบรถจักรยาน ให้กับโรงเรียนในพื้นที่ภาคเหนือ รวม 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดลำปาง สุโขทัย พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ที่มีเยาวชนประสบปัญหาในด้านการเดินทางไปและกลับโรงเรียนด้วยความยากลำบาก ภายใต้โครงการจักรยานเพื่อน้องสัญจร ครั้งที่ 3 ประจำปี 2565 รวมจำนวนโรงเรียนทั้งสิ้น 40 แห่ง รถจักรยาน รวม 600 คัน พร้อมมอบหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ รวมถึงมอบค่าพาหนะให้กับโรงเรียนที่เดินทางมารับ

ไทยติดโผ 1 ใน 4 ประเทศสุดขัดใจต่างชาติ เพราะครอบครองสิทธิที่ดินได้ยากที่สุด

(31 ต.ค. 65) จากเฟซบุ๊ก 'Pat Sangtum ได้โพสตฺ์ข้อความ ระบุว่า...

ประเทศไทยเป็น 1 ใน 4 ประเทศในโลกที่บุคคลต่างชาติจะครอบครองกรรมสิทธิที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์ได้ยากที่สุด เช่นเดียวกับ เวียดนาม, เม็กซิโก และกรีซ

นั่นเท่ากับประเทศที่ยอมให้ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ได้ ทั้งสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, อิตาลี, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย ฯลฯ ล้วนขายชาติทั้งนั้นใช่ไหม?

อย่าไปเรียกใครว่าขายชาติแบบชุ่ย ๆ เอาเวลาไปหาซื้อสมองก่อน


ที่มา: https://www.facebook.com/100000845184675/posts/pfbid0S1u11jo8KV7ybcyN8Kkx89LVdDq8EHXaZqjMhWbkGrRJWZtwn66211x9eMUxHsPJl/

‘อิแทวอน’ จากแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง สู่โศกนาฏกรรมสะเทือนใจ

เหตุการณ์น่าสลดใจที่ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อคืนวันฮาโลวีน 29 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเกิดเหตุประชาชนเรือนแสนหลั่งไหลเข้าไปท่องเที่ยวย่านอิแทวอน เนื่องในเทศกาลฮาโลวีน จนเกิดการเบียดเสียด ทำให้ผู้คนจำนวนมากเกิดภาวะขาดอากาศหายใจ เหยียบกันจนบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก จนกลายเป็น ‘โศกนาฏกรรมอิแทวอน’ ที่สร้างความรู้สึกเศร้าสลด หดหู่และสะเทือนใจให้กับผู้คนทั้งโลกกับเหตุการณ์อุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน


ภาพโพสแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ที่มา : https://www.facebook.com/KoreanEmbassyThailand/photos/a.1481238955314530/5490548854383500

ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2565 เฟซบุ๊ก เพจ KoreanEmbassyThailand สถานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย ได้โพสแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และแจ้งว่ารัฐบาลเกาหลีใต้กำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม ถึง 5 พฤศจิกายน เป็นช่วงไว้ทุกข์ของชาติ และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขอุบัติเหตุในครั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ จะลดธงครึ่งเสาในช่วงไว้ทุกข์ของชาติเพื่อรำลึกถึงผู้เคราะห์ร้ายในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย 

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้คนมีความสนใจย่านอิแทวอนมากขึ้น วันนี้ THE STATES TIMES จึงจะพามาทำความรู้จักย่านอิแทวอน แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังในกรุงโซลว่าน่าสนใจอย่างไร
 

ภาพซีรีส์ Itaewon Class ถ่ายทำย่านอิแทวอน
ที่มา : https://bestreview.asia/tv/itaewon-class-series-review/

ย่านอิแทวอน อยู่ในเขตยงซาน ทิศเหนือของแม่น้ำฮัน ย่านท่องเที่ยวชื่อดังในกรุงโซล โด่งดังเป็นที่รู้จักทั่วโลกจากซีรีส์เรื่อง ‘Itaewon Class ธุรกิจปิดเกมแค้น’ ที่นำแสดงโดย พัคซอจุน และคิมดามี โดยตอนจบซีรีส์เรื่อง Itaewon Class ได้รับเรตติ้งทั่วประเทศเกาหลี 16.5 % และสำหรับในประเทศไทย Itaewon Class เป็นซีรีส์อันดับหนึ่งที่มีคน นิยมดูมากที่สุดใน Netflix อีกด้วย ส่งผลให้สถานที่ถ่ายทำอย่างย่านอิแทวอนได้รับความสนใจตามไปด้วย 

ส่วนที่มาของย่านอิแทวอน ในอดีตเคยถูกปกครองภายใต้อาณานิคมของญี่ปุ่นและถูกใช้เป็นที่ตั้งของกองบัญชาการทหาร เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 สหรัฐอเมริกาเข้ามายึดพื้นที่ดังกล่าวต่อ และใช้เป็นพื้นที่จัดตั้งกองทัพ ย่านอิแทวอนอยู่ติดกับกองทหารรักษาการของสหรัฐอเมริกา และกลายมาเป็นพื้นที่เมืองเพื่อรองรับธุรกิจและบริการด้านต่างๆ ธุรกิจส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การพักผ่อนและความบันเทิง ร้านอาหารและคลับบาร์ ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า รวมไปถึงขายสินค้าต่างประเทศ 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลเกาหลีใต้ได้เข้ามาพัฒนาย่านอิแทวอนและสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของพื้นที่ให้เป็นย่านสำหรับผู้ประกอบการทางวัฒนธรรม ทำให้ย่านอิแทวอนเป็นพื้นที่ในการพักผ่อนและทำกิจกรรมทางวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น

ในปัจจุบันย่านอิแทวอนเป็นแหล่งท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ แหล่งช็อปปิ้ง ร้านอาหารนานาชาติ สถานบันเทิงมากมาย ส่งผลให้มีกิจกรรมที่หลากหลายผสมผสานทั้งวัฒนธรรมเกาหลีและวัฒนธรรมต่างชาติซึ่งสร้างความสนุกสนานและเพลิดเพลินให้กับนักท่องเที่ยวในย่านนี้ และยังเป็นแหล่งรวมวัยรุ่นหนุ่มสาวชาวเกาหลีที่มารวมตัว Hangout ในร้านอาหาร คลับบาร์ยามค่ำคืนที่แต่ละร้านสร้างความดึงดูดใจด้วยการตกแต่งร้านอย่างสวยงาม ซึ่งย่านอิแทวอนมีกิจกรรมดึงดูดใจนักท่องเที่ยวมากมาย 

>> แหล่งช็อปปิ้งที่น่าสนใจในอิแทวอน เช่น 
  

ภาพ Itaewon Shopping Street
ที่มา https://www.koreatodo.com/itaewon-street

- Itaewon Shopping Street ถนนช็อปปิงมีความยาวถึง 1.4 กิโลเมตร ซึ่งสองฝั่งของถนนเต็มไปด้วยร้านค้า เสื้อผ้าแบรนด์ชั้นนำ แผงขายสินค้าประเภทต่างๆ สถานบันเทิง และร้านอาหารนานาชาติ เช่น อาหารอิตาเลียน อาหารอินเดีย อาหารเยอรมัน อาหารอเมริกัน และอาหารไทย เป็นต้น

- Hamilton Shopping Center ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม Hamilton Hotel Seoul เป็นแหล่งจำหน่ายเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับและของฝากมากมาย

>> เทศกาลและกิจกรรมที่น่าสนใจในอิแทวอน เช่น 
 

ภาพ เทศกาล Itaewon Global Village Festival  
ที่มา https://english.visitseoul.net/events/2015-Itaewon-Global-Village-Festival_/9330

- เทศกาล Itaewon Global Village Festival เทศกาลที่จัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเดือนตุลาคม เป็นงานที่จัดแสดงเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมเกาหลีและวัฒนธรรมต่างชาติ ซึ่งเป็นงานเฉลิมฉลองที่ได้รวมความหลากหลายไว้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการแสดงการเต้นรำแบบดั้งเดิมของเกาหลี และของประเทศอื่น ๆ และไฮไลต์ของงานนี้ก็คือขบวน พาเหรดแฟชั่นโชว์ชุดประจำชาติ การแสดงคอนเสิร์ตจากนักร้องยอดนิยม การจัดซุ้มอาหารนานาชาติ เช่น World Food Fair, Korean Food Fair และ Craft Beer Zone เป็นต้น
 

ภาพ เทศกาล Itaewon Halloween Festival
ที่มา: seoulcafe2013
- Itaewon Halloween Festival เทศกาลเฉลิมฉลองวันฮาโลวีนที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี จัดขึ้นช่วงเดือนตุลาคม มีผู้คนจำนวนมากแต่งตัวแฟนซีเป็นผีต่าง ๆ มาฉลองเทศกาลที่ถนนอิแทวอน นอกจากนี้คลับบาร์ที่อิแทวอนก็จัดงานฮาโลวีนเช่นเดียวกัน เป็นกิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการเฉลิมฉลองในยามกลางคืน 

ภาพ สถานบันเทิงยามค่ำคืน Soap Seoul 
ที่มา https://www.facebook.com/soapseoul/photos

- กิจกรรมกลางคืน (Night Life) กิจกรรมกลางคืนเป็นหนึ่งกิจกรรมยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวเลือกเป็นจุดหมายปลายทาง ซึ่งอิแทวอนเป็นย่านหนึ่งในโซลที่มีสีสันเป็นอย่างมาก และมีคลับบาร์เปิดให้บริการมากมาย จึงทำให้กลายเป็นศูนย์กลางการสังสรรค์ในยามกลางคืน โดยเฉพาะคลับที่มีชื่อเสียงของอิแทวอนที่นักท่องเที่ยวนิยมไปก็คือ Soap Seoul 

จากเหตุการณ์ดังกล่าว THE STATES TIMES ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ คุณนารี งามวงศ์สุวรรณ นักธุรกิจชาวไทย ซึ่งมีประสบการณ์ท่องเที่ยวในย่านอิแทวอนบ่อยครั้ง 

ย้อนประวัติศาสตร์ไทย เมื่อพัฒนาการของ ‘สุโขทัย’ อาจไกลกว่า ‘พ่อขุนศรีอินทราทิตย์’ โดย เด็ก ม.2 เขียน เด็ก ม.3 ทำภาพ

(31 ต.ค. 65) เมื่อไม่นานมานี้ เพจ ‘ฤๅ - Leu History’ ได้โพสต์บทความเกี่ยวกับอีกมุมของประวัติศาสตร์ไทยที่อาจไม่ได้มี ‘อาณาจักรสุโขทัย’ เป็นจุดเริ่มต้น และผู้ก่อตั้งอาณาจักรอาจจะไม่ใช่ ‘พ่อขุนศรีอินทราทิตย์’ ไว้อย่างน่าสนใจว่า…

แต่เดิม เรามักจะพบเนื้อหาในเว็บไซต์ หรือ หนังสือ สำหรับเด็กในช่วงวัยประถมฯ หรือ มัธยมฯ และมีการท่องจำกันต่อ ๆ มาว่า อาณาจักรแรก หรือ จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทยมีจุดเริ่มต้นที่ ‘อาณาจักรสุโขทัย’ โดยมีผู้ก่อตั้งอาณาจักรคือ ‘พ่อขุนศรีอินทราทิตย์’

โดยให้รายละเอียดว่า คนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไตบ้าง มาจากน่านเจ้าบ้าง อพยพลงมาทางใต้แล้วมารบกับขอม และค่อยมีการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยขึ้นในที่สุด (แต่ปัจจุบันอาจมีการเพิ่มประวัติศาสตร์ในยุคสมัยรัฐโบราณ - ยุคสมัยก่อนสุโขทัย ลงไปในหนังสือเรียนในบางส่วน)

แต่บทความนี้เราจะมาเสนออีกมุมของประวัติศาสตร์ยุคสุโขทัยว่าจริง ๆ แล้ว ประชากรคนพื้นเมืองของรัฐสุโขทัยอาจไม่ได้มาจากทาง น่านเจ้า หรือ อัลไตแต่อย่างใด รัฐสุโขทัยอาจไม่ได้ก่อตั้งขึ้นมาแล้วเจริญรุ่งเรืองในทันทีทันใด จนเป็นอาณาจักรแรกของคนไท ดั่งในหนังสือที่เราเคยอ่านกันตอนประถมฯ หากแต่อาจจะมีพัฒนาการมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์เรื่อยมา

ก่อนอื่นเราต้องมาทราบกันก่อนว่าในจังหวัดสุโขทัยนั้นมีแหล่งโบราณคดีก่อนยุคประวัติศาสตร์ไหม จึงค่อยไปเจาะลึกลงรายละเอียดในด้านของศิลาจารึก

เราพบว่าในจังหวัดสุโขทัยนั้นมีแหล่งโบราณคดีที่สามารถช่วยบ่งบอกได้ว่าในบริเวณจังหวัดสุโขทัยในอดีตมีชุมชนอาศัยอยู่แล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เป็นการก่อตัวรวมกันอยู่ในลักษณะของชุมชน เช่น แหล่งโบราณคดีชุมชนบ้านวังหาด ที่ตั้งอยู่ภายในวัดจอมศรีรัตนมงคล (บ้านวังหาด) ที่มีการจัดแสดงโบราณวัตถุ เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม เข้าไปศึกษากัน ไม่ว่าจะเป็น เครื่องประดับที่ทำจากทองคำหรือเงิน ลูกปัดที่ทำจากแร่หิน carnelian ขวานหินขัด เครื่องปั้นดินเผา กลองมโหระทึก ฯลฯ ซึ่งเป็นหลักฐานที่ช่วยยืนยันได้ว่าบริเวณจังหวัดสุโขทัยเคยมีชุมชนมาแล้วไม่ต่ำกว่า  2,500 ปี มาแล้ว ซึ่งผู้เขียนสันนิษฐานว่าอาจมีชุมชนอื่น ๆ ไม่ว่าจากทางเหนือ หรือทางบริเวณชุมชนใกล้เคียงที่ตั้งอยู่ไม่ห่างกันนัก ที่เข้ามาติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับชุมชนที่อยู่บริเวณบ้านวังหาดและชุมชนใกล้เคียง

อีกทั้งยังมีอีกหนึ่งหลักฐานสำคัญที่อาจทำให้เราสามารถยืนยันได้ว่าจังหวัดสุโขทัยนั้นเคยมีชุมชนโบราณก่อนยุคประวัติศาสตร์นั่นก็คือ บริเวณวัดตะพานหิน หรือ วัดสะพานหิน ซึ่งอยู่นอกเมืองสุโขทัยทางทิศตะวันตก มีการพบแหล่งหินธรรมชาติทอดยาวไปเหมือนกับเป็นสะพาน ซึ่ง ศาสตราจารย์พิเศษ ศรีศักร วัลลิโภดม (นักวิชาการด้านโบราณคดีและมานุษยวิทยาชาวไทย) อธิบายเพิ่มเติมว่า แหล่งหินนี้คือวัฒนธรรมสืบเนื่องหินตั้งมาตั้งแต่ราว 2,500 ปีก่อน เมื่อครั้งตั้งแต่ชุมชนในบริเวณนี้ยังนับถือศาสนาผีอยู่

อย่างไรก็ดีหลักฐานต่าง ๆ ที่พูดมานี้อาจทำให้เราทราบว่าประชากรของรัฐสุโขทัยอาจไม่ได้มาจากไหน แต่อาจอยู่ที่นี้มาแต่เดิมอยู่แล้วก่อนที่จะพัฒนาจากชุมชนมาเป็นเมือง และ รัฐ โดยแต่ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นรัฐนั้น อาจจะมีประชากรเคลื่อนย้ายอพยพจากหลากหลายสารทิศ จากบริเวณชุมชนบริเวณ ละโว้ (ลพบุรี) บ้าง ชุมชนจากทางเหนือบ้าง เข้ามาผสมปนเปกับคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บริเวณสุโขทัยแต่เดิม

และในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ก็พบหลักฐานที่เป็นโบราณวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนากระจายอยู่ตามเมืองสุโขทัยและใกล้เคียง

ในช่วงระยะเวลาต่อมา มีการพบหลักฐานว่าอาจมีผู้มีอำนาจที่มาจากภายนอกเข้ามาปกครองเมืองสุโขทัย

โดยพบหลักฐานในศิลาจารึก หลักที่ ๒ หรือ จารึกวัดศรีชุม สันนิษฐานว่าผู้สร้างคือ ‘มหาเถรศรีศรัทธา’ สร้างขึ้นราว พุทธศตวรรษที่ ๑๙ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๘ - ๑๐ ได้กล่าวถึงถิ่นฐานชาติกำเนิดของมหาเถรศรีศรัทธา และ ‘พ่อขุนศรีนาวนำถุม’ ที่เข้ามาเป็นกษัตริย์ของสุโขทัย ถอดเป็นคำอ่านเข้าใจง่าย ๆ ในปัจจุบัน จากอักษรเดิม ได้ความว่า

“… (ง) พระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี เกิดในนครสรลวงสองแควสองแคว ปู่ชื่อพระยาศรีนาวนำถุม เป็นขุน เป็นพ่อ… ” (บรรทัดที่ ๘)

“… เสวยราชไนนครสองอัน อันหนึ่งชื่อ นครสุโขทัย อันหนึ่งชื่อนครศรีเส …” (บรรทัดที่ ๙)

“… -ชนาไล …” (บรรทัดที่ ๑๐ - มีต่อ หากสนใจรายละเอียดเนื้อหาเพิ่มเติม สามารถกดอ่านได้ใน Link อ้างอิง)

แสดงว่ามีผู้มีอำนาจจากแถบเมืองสรหลวงสองแคว (บริเวณจังหวัด พิษณุโลก - ปัจจุบัน) และในศิลาจารึกวัดศรีชุมยังได้กล่าวถึงเหตุการณ์ก่อนการเข้ามาครองเมืองสุโขทัยของ พ่อขุนศรีนาวนำถุม ในบรรทัดที่ ๑๗ - ๑๙ ความว่า

“… เขาแทงพ่อขุน…นำถุม…๐ พ่อขุนนำถุมต่อหัวช้าง ด้วย  อีแดง พุะเลิง …” (บรรทัดที่ ๑๗)

“…ได้เมืองแก่พ่อขุนนำถุม…พ่อขุนนำถุมใส่อีแดงพุะเลิง ใหญ่ประมาณเท่าบาตรเวน…เมือ …” (บรรทัดที่ ๑๘)

“.. องแหงเมืองสุโขทัย ( บรรทัดที่ ๑๙ - มีต่อ หากสนใจรายละเอียดเนื้อหาเพิ่มเติม สามารถกดอ่านได้ใน Link อ้างอิง )

แสดงให้เห็นว่าก่อนที่ พ่อขุนศรีนาวนำถุม จะเข้ามามีอำนาจในดินแดนบริเวณเมืองแหง และ เมืองสุโขทัย มีผู้มีอำนาจในบริเวณนี้มาก่อนแล้ว ซึ่งในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้บันทึกนามของเขาว่า ‘อีแดงเพลิง’ (ในตัวจารึกเขียน ‘อีแดงพุะเลิง’ - ซึ่งตัวของอีแดงเพลิงในที่นี้ยังเป็นข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์อยู่ว่าคือใครกันแน่ และมีบทบาทสำคัญ หรือ เป็นผู้นำของคนกลุ่มใด)

แล้วในภายหลังพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ค่อยขยายอำนาจมาในบริเวณนี้อีกที

ซึ่งกล่าวโดยสรุปว่า บริเวณที่เป็นจังหวัดสุโขทัยปัจจุบัน มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในลักษณะของการเป็นชุมชน

แล้วก่อตัวมีบทบาทและความสำคัญมาเรื่อย ๆ ในที่สุดก็เห็นชัดในการก่อตัวเป็นลักษณะเมืองของสุโขทัย แล้วก็มีการพบหลักฐานว่ามีนามของ ‘อีแดงเพลิง’ ที่เป็นกษัตริย์ที่มาปกครองเมืองสุโขทัย และในระยะเวลานี้เองก็มี ‘พ่อขุนศรีนาวนำถุม’ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในบริเวณใกล้เคียง ขึ้นมามีอำนาจในแถบสุโขทัย

ซึ่งหลังจากรัชสมัยของพ่อขุนศรีนาวนำถุม สุโขทัยก็โดนแย่งชิงจาก ‘ขอมสบาดโขลญลำพง’ จึงทำให้พ่อขุนผาเมือง (บุตรของพ่อขุนศรีนาวนำถุม) และ พ่อขุนบางกลางหาว จำเป็นต้องลงมาชิงสุโขทัยคืน และในภายหลังพ่อขุนผาเมืองก็ยกบัลลังค์ให้พ่อขุนบางกลางหาว (ส่วนสาเหตุก็ยังเป็นข้อถกเถียง ยังหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้)

นายกฯ เชื่อมั่น ระบบสาธารณสุขไทย หลัง เป็นประเทศแรก ที่เข้ารับการประเมินศักยภาพระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ลี้ภัย ผู้ย้ายถิ่นฐาน แรงงานต่างด้าว จาก WHO ผลมีระบบการดูแลอย่างดี ช่วงโควิด-19 ระบาด

เมื่อวันที่ 30 ต.ค. นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบกรณี ไทยเข้ารับการประเมินศักยภาพระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ลี้ภัย ผู้ย้ายถิ่นฐาน และแรงงานต่างด้าว โดยผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก

นายอนุชา กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานว่า ไทยเป็นประเทศแรกที่ได้เข้ารับการประเมินศักยภาพระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ลี้ภัย ผู้ย้ายถิ่นฐาน และแรงงานต่างด้าว เนื่องจากมีระบบการดูแลอย่างดี และมีประสิทธิภาพในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 โดยได้มีการลงพื้นที่ในจังหวัดกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งมีผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย คณะผู้เชี่ยวชาญของไทยและองค์กรระหว่างประเทศ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top