Sunday, 6 July 2025
NEWS

โควิดกระหน่ำซ้ำเติม! ชุมชนบนตึกร้างบางพลัด ขาดรายได้ - ไร้อาหารประทังชีวิต ด้าน “พันธมิตรจิตอาสา” สานพลังปันสุข ลุยส่งข้าวกล่องได้ปันอิ่ม

ส่งความสุขปันอิ่มถึงบ้าน! วันที่ 9 กันยายน 2564 เริ่มจุดแรก ที่ชุมชนคลองสวนแดน ซอยจรัญสนิทวงศ์ 96/2 กรุงเทพมหานคร นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรม ตัวแทนนักศึกษาสถาบันพระปกเกล้า หลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 1 (ปสม.) พร้อมด้วย นายนพดล ลิปิเวชกุลกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคเมดะ ประเทศไทย จำกัด ตัวแทนหลักสูตร เสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่น 12 (สสสส.) และคุณสุกัญญา จรรยา ผู้จัดการมูลนิธิสหชาติ พร้อมกลุ่มช่วยเหลือสังคมในสถานการณ์โควิด-19 ในนาม “พันธมิตรจิตอาสา”

ลงพื้นที่เขตบางพลัด นำยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร หน้ากากอนามัย น้ำดื่ม พร้อมข้าวกล่องอุ่นร้อนพร้อมทาน รับจากจุดส่งมอบห้างโลตัส สาขาบางกะปิ ภายใต้โครงการ "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" บริษัทในเครือซีพี ซึ่งได้ดำเนินการมาเป็นระยะที่ 2 ที่จะมีไปจนถึงในที่ 26 กันยายน โดยมีนายศีลธรรม พัชรประกาย หรือลุงตุ๊ อดีตประธานสภาเขตบางพลัด พร้อมชาวบ้านมารับมอบ

จากนั้นเดินทางต่อไปยังชุมชนตึกร้าง สุดซอยจรัญสนิทวงศ์ 95/1 นำสิ่งของต่างๆ และอาหารพร้อมทาน ส่งมอบให้กับชาวบ้านที่พักอาศัยอยู่ในตึกร้าง โดยพันธมิตรจิตอาสา เป็นสะพานบุญรับมอบส่งต่อให้ถึงมือชาวบ้านตามชุมชนต่างๆ โดยเฉพาะผู้ที่ขาดรายได้ คนว่างงาน กลุ่มเปราะบาง กลุ่มที่กักตัวดูอาการ หรือทำ Home Isolation อยู่ที่บ้าน ในพื้นที่กรุงเทพ ปริมณฑล และพื้นที่สีแดง ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19

นางสุนันท์ พวงประเสริฐ ผู้ดูแลชุมชนตึกร้าง เปิดเผยว่า ชุมชนแห่งนี้มีประชากรกว่า 150 ครัวเรือน มีผู้พักอาศัยกว่า 200 คน หลายครอบครัวที่มาอาศัยบนตึกร้าง จากการถูกไล่ที่ก่อสร้างทางด่วน จึงมาอาศัยอยู่บนตึกร้าง ส่วนใหญ่มีอาชีพเก็บของเก่า อาชีพแม่บ้าน และขายของตามตลาดนัด เมื่อเกิดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา ทำให้ต้องประสบปัญาขาดรายได้ ส่งผลให้ความเป็นอยู่ขาดแคลน และขอขอบพระคุณกลุ่มพันธมิตรจิตอาสา และผู้ใหญ่ใจดี นำอาหารมาแบ่งปันช่วยบรรเทาทุกข์ และขอวิงวอนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทางชุมชนของเรายังประสบปัญหาขาดแคลนสิ่งของในการดำรงชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะข้าวสาร อาหารแห้ง

ด้านนายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า พันธมิตรจิตอาสายังลงพื้นที่แบ่งปันความสุขต่อเนื่อง ทางเรายินดีต้อนรับ หน่วยงาน ห้างร้าน องค์กร หรือบุคคลทั่วไป มาเป็นพันธมิตรช่วยพี่น้องคนไทยในยามที่ลำบาก เพื่อให้ก้าวข้ามผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ติดต่อได้ที่หมายเลข 065-982-6689

ผต.ก.ศึกษาธิการ เปิดงานเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ “สธ. และ ศธ. ห่วงใยคนในสถาบันศึกษาปอเนาะ จ. ปัตตานี” หวังผู้สอนสถาบันศึกษาปอเนาะ สร้างความเข้าใจสถานการณ์การแพร่ระบาดแก่ผู้เรียน

วันที่ 9 กันยายน 2564  นายณัฐพงษ์ นวลมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ เขตตรวจราชการที่ 7 เป็นประธานการเสวนาออนไลน์ภายใต้กิจกรรม “สธ. และ ศธ. ห่วงใยคนในสถาบันศึกษาปอเนาะ จังหวัดปัตตานี” เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจแก่ผู้บริหารสถาบันศึกษาปอเนาะรวมถึงครูอาสาสมัครในสถาบันศึกษาปอเนาะ โดยมี นายแพทย์สมหมาย บุญเกลี้ยง ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต นายนันท์ สังข์ชุม รองศึกษาธิการจังหวัดปัตตานี นายวาทิต มีสนุ่น ผอ.ศปบ.จชต. นายอุดร สิทธิพาที ผอ.กศน. ปัตตานี นายอามีน กะดะแซ ผอ.สช.ปัตตานี นางเปรมจิต หงษ์อำไพ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปัตตานี และนายอับดุลอาซิส ยานยา นายกสมาคมสถาบันศึกษาปอเนาะจังหวัดชายแดนภาคใต้ และครูผู้สอนในสถาบันศึกษาปอเนาะจังหวัดปัตตานี เข้าร่วมรับฟังการเสวนาผ่านช่องทางออนไลน์ในครั้งนี้ ณ ห้องประชุมรูสะมิแล สำนักงาน กศน.จังหวัดปัตตานี

พร้อมกันนี้ผู้ตรวจราชการและคณะได้ทำพิธีส่งมอบน้ำดื่มจำนวน 1,728 แพ็ค, หน้ากากอนามัยจำนวน 40 กล่อง และพืชสมุนไพรตามโครงการล้านเมล็ดพันธุ์ ศธ.ห่วงใยต้านภัยโควิดเฉลิมพระเกียรติให้กับ รพ.สนามจังหวัดปัตตานี ผ่านตัวแทนสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานี

ทางด้านนายณัฐพงษ์ นวลมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ เขตตรวจราชการที่ 7 กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19)สถาบันศึกษาปอเนาะ จังหวัดปัตตานี มีข้อกำหนดโดยการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ระบบ On-Hand เป็นหลักเพราะจะมาอยู่ร่วมกันไม่ได้ ในสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา โควิด-19 จำนวนมาก ซึ่งประเด็นที่น่ากังวลก็คือการที่นักเรียนกลับไปบ้านแล้วกลับเข้ามาในสถาบันปอเนาะ ถ้าหากมีนักเรียนคนใดคนหนึ่งกลับมาอยู่ในสถาบันการศึกษาปอเนาะจะต้องกักตัวก่อน 14 วัน ซึ่งในบางสถาบันศึกษาปอเนาะ จะเป็นนักเรียนที่อยู่ประจำ เพราะฉะนั้นกลุ่มคนเหล่านี้จะออกนอกพื้นที่ไม่ได้ โดยจะต้องอยู่ในสถาบันศึกษาปอเนาะทุกวันและต้องได้รับการดูแลอย่างเต็มที่แบบ 100% โดยห้ามคนในออกคนนอกเข้าไม่เช่นนั้นการแพร่ระบาดจะเกิดขึ้น

ส่วนในการจัดการเรียนการสอนจะเป็นไปใน 3 รูปแบบ ดังนี้

1.ใช้ระบบ ON-HAND เป็นหลัก ซึ่งครูจะสามารถที่จะประสานกับนักเรียนในสถาบันศึกษาปอเนาะ ผ่านทางบาบอโดยมอบนโยบายในการจัดการเรียนการสอนต่างๆให้กับนักเรียนได้อ่านและตอบ

2.ใช้ระบบ ON–DEMAND ซึ่งบางคนมีมือถือเครื่องมือสื่อสารที่จะสามารถติดต่อสื่อสารกับครูได้ ซึ่งจะใช้คลิปเป็นหลักในการจัดการเรียนการสอนดังกล่าว

3.ใช้ระบบ ON-AIR ซึ่งในบางพื้นที่ก็สามารถจัดการเรียนการสอนได้แต่ก็มีน้อย ก็จะสามารถจัดการเรียนการสอนใน 3 รูปแบบได้

ซึ่งในขณะนี้การจัดการเรียนการสอนแบบ ON-SITE ไม่ได้เด็ดขาด เพราะพื้นที่จังหวัดปัตตานีเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม การจัดการเรียนการสอนแบบ ON-SITE ต้องได้รับการอนุมัติจาก ศบค. จังหวัดปัตตานีเป็นหลัก ในขณะนี้การจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์เป็นปัญหาและอุปสรรคในด้านเครื่องมือต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ โน๊ตบุ๊ค รวมถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทางกระทรวงศึกษาธิการก็ได้รับทราบถึงปัญหาดังกล่าวแล้ว และร่วมหารือหาทางแก้ไข และในส่วนของเด็กยากจนที่ยังขาดอุปกรณ์ในการเรียนการสอนนั้นในขณะนี้ต้องยึด ศบค.เป็นหลักคือเงินอุดหนุนบางส่วน สามารถที่จะสนับสนุนจัดอุปกรณ์การเรียนการสอน เช่นโทรศัพท์มือถือ ซึ่งต้องรอทำการตกลงกันระหว่างกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ยังกล่าวอีกว่า การประชุมครั้งนี้ เป็นการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ในกิจกรรม “สธ. และ ศธ. ห่วงใยคนในสถาบันปอเนาะ” สืบเนื่องจากการตรวจราชการในหลายพื้นที่ในห้วงที่ผ่านมานั้น ยังมีประเด็นที่น่ากังวลคือ การสร้างการรับรู้รวมถึงแนวทางการป้องกันมาตรการการป้องกัน Covid-19 ยังไม่รัดกุมเท่าที่ควรหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเร่งสร้างการรับรู้ระหว่างรัฐกับประชาชนทั่วไป รวมถึงนักเรียนนักศึกษาในประเด็นดังกล่าวให้มากขึ้น และควรจะต้องดำเนินการให้เร็ว ครอบคลุมให้มากที่สุด ทางสาธารณสุขในพื้นที่ และศึกษาธิการจังหวัดจึงได้ร่วมกันประชุมหารือ หาแนวทางมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับสถานศึกษาในพื้นที่ โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม หรือสถาบันการศึกษาปอเนาะ โดยสถานศึกษานั้น ๆ จะต้องปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันโรคโควิด-19 ตามที่ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กำหนด

ส่วนเรื่องของการฉีดวัคซีนโควิด-19 นั้น ขณะนี้ทางศึกษาธิการจังหวัดได้ดำเนินการให้บุคลากรทางการศึกษาทุกแห่งได้ฉีดวัคซีนวัคซีน เพื่อรองรับการเปิดภาคเรียนแล้ว โดยหลังจากนี้ศึกษาธิการจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะได้เร่งชี้แจงสร้างความเข้าใจถึงมาตรการต่าง ๆ ต่อสถานศึกษาในความรับผิดชอบ เพื่อให้เกิดการรับรู้ และมีการปฏิบัติเรื่องการป้องกันโควิด-19 ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันต่อไป

‘สุชาติ สวัสดิ์ศรี’ ไม่ทน ส่งทนายฟ้องแล้ว ชี้! จงใจทำให้อาย ปมถูกถอดพ้นศิลปินแห่งชาติ

9 กันยายน 2564 นายสุชาติ สวัสดิ์ศรี โพสต์เฟซบุ๊กภาพถ่ายร่วมกับคณะทนายจาก "ภาคีนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน" พร้อมกล่าวถึงกรณีคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) มีมติยกเลิกประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินแห่งชาติของตน ว่า 

เรื่อง "ยกเลิกการยกย่องเชิดชูเกียรติการเป็นศิลปินแห่งชาติ" ของผมนั้น ผมขอบคุณในคำแนะนำและกำลังใจจากหลายท่าน ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกัน ด้วยความรู้สึกปีติอย่างยิ่ง คำแนะนำของท่านในประเด็นเรื่องข้อกฎหมายทำให้ผมรู้สึกว่าต้อง "ไม่เฉย" ความจริงผมก็ปรึกษาหารือกับเพื่อนมิตรมาตลอด และเห็นว่า แม้ผมจะไม่แยแสแล้ว แต่ก็จำต้องถามหาบรรทัดฐานของความถูกต้อง ยิ่งเห็นวิธีปฏิบัติที่มีธงนำมาอย่างสามานย์ โดยตั้งใจทำให้ผมเสียหาย อับอาย ก่อนจะได้รับหนังสือ "ยกเลิกการยกย่อง" จากกระทรวงวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการ ที่มาล่าช้ากว่าข่าวที่ปรากฏถึง 10 วัน ทำให้เห็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบมาพากลและ "ผิดปกติ" มากขึ้น

ทั้งที่ก็น่าจะให้เกียรติกันบ้างในฐานะที่ผมเคยมีส่วนร่วมก่อตั้งโครงการนี้มาตั้งแต่ครั้งริเริ่มโครงการเมื่อ พ.ศ. 2527 ในสมัยที่นายชวน หลีกภัย เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ และอีกทั้งผมยังเคยเข้าไปช่วยงานเป็นคณะอนุกรรมการ สาขาวรรณศิลป์ ในช่วงปี พ.ศ. 2533 - 2535 ขณะเมื่อกระทรวงวัฒนธรรมยังมี "สถานะ" เป็นแค่หน่วยงานเล็ก ๆ ในกระทรวงศึกษาธิการที่เรียกว่า "สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ" (สวช.) โดยได้รับเชิญจาก ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง ที่เป็นเลขาธิการของสำนักงานนี้ในขณะนั้น

เอาเป็นว่าการประชุมลับของคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่มีนายวิษณุ เครืองาม เป็นประธาน และ นายอิทธิพล คุณปลื้ม เป็นรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ที่ร่วมมือกันแก้ไขกฎกระทรวงเมื่อปี พ.ศ. 2563 เพื่อให้สามารถยกเลิกการยกย่อง "ศิลปินแห่งชาติ" ในครั้งนี้ได้นั้น สาธารณชนคงจะได้ทราบว่า คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติคณะนี้เหมือนจะตั้งธงไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม คือมีเป้าทางการเมืองที่จะทำให้ผมอับอายและเสียหายในประวัติชีวิตการทำงาน

เพื่อต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมที่ได้รับจากการปฏิบัติราชการอย่างไม่ถูกต้อง และเพื่อสร้างบรรทัดฐานเรื่องนี้ไว้ให้ปรากฏแก่ "ศิลปินแห่งชาติ" คนอื่น ๆ ในเวลาต่อไป ไม่ว่าท่านจะมีมุมมองในเรื่องนี้อย่างไร บัดนี้ เรื่องนี้ก็ได้ปรากฏให้สาธารณชนได้ร่วมพิจารณารับทราบเรียบร้อยแล้ว

เพื่อดำรงขั้นตอนต่าง ๆ ตามกฎหมายให้ถูกต้อง ผมจึงได้มอบอำนาจให้กับทนายจาก "ภาคีนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน" เพื่อช่วยทำความจริงให้ปรากฏว่า "การยกเลิกการยกย่องเชิดชูเกียรติการเป็นศิลปินแห่งชาติ" ของคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ครั้งนี้มีความชอบธรรมในคำสั่งทางราชการหรือไม่

ความคืบหน้าในเรื่องนี้จะเป็นเช่นใด ผมจะรายงานให้สาธารณชนรับทราบเป็นระยะต่อไป ขอขอบคุณในทุกคำแนะนำและความปรารถนาดีที่ท่านได้มอบเป็นไมตรีมาให้แก่ผมในช่วงบั้นปลายของชีวิต”


ที่มา : https://www.facebook.com/people/สุชาติ-สวัสดิ์ศรี/100007995606560

การรถไฟแห่งประเทศไทย แจง ญี่ปุ่นให้รถไฟดีเซลรางฟรี สภาพยังดี เสียแค่ค่าขนส่ง เตรียมพัฒนาใช้ส่งเสริมการท่องเที่ยว

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย ชี้แจงกรณีการออกประกาศจัดจ้างขนย้ายรถดีเซลรางจากประเทศญี่ปุ่น จำนวน 17 คัน เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2564 เพื่อนำตู้โดยสารดังกล่าวมาปรับปรุงและใช้งาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยระบุว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย และ บริษัท JR Hokkaido ในการส่งมอบให้กับประเทศไทยโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่การรถไฟฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนย้ายเท่านั้น

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบสภาพตู้รถโดยสารในเบื้องต้นอยู่ในสภาพดี สามารถนำมาใช้งานได้ แม้จะเป็นตู้โดยสารที่ถูกปลดระวางในปี 2559 แต่ก็ได้รับการดูแล บำรุงรักษาเป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อการรถไฟฯ ได้รับตู้โดยสารดังกล่าวมา ก็จะเข้าไปตรวจสอบด้านความปลอดภัย และนำมาดัดแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน และระบบของการรถไฟฯ เบื้องต้น คาดว่าจะนำตู้โดยสารดังกล่าวมาใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ

ก่อนหน้านี้ การรถไฟฯ เคยได้รับตู้โดยสารรถไฟจากประเทศญี่ปุ่น (บริษัท JR-West) เพื่อใช้ในกิจการรถไฟมาแล้ว โดยนำมาปรับปรุงและดัดแปลงเป็นรถโดยสาร และรถจัดเฉพาะ เช่น รถ SRT Prestige รถประชุมปรับอากาศ ฯลฯ ให้บริการแก่ประชาชน โดยสามารถสร้างรายได้ให้กับการรถไฟฯ และส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่างการรถไฟฯ กับ JR Hokkaido ในความร่วมมือด้านต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาระบบราง การพัฒนาบุคลากร และเทคโนโลยี เพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับการรถไฟฯ ซึ่งความร่วมมือระหว่างการรถไฟฯ และ JR Hokkaido ในครั้งนี้เป็นความร่วมมือในการมอบตู้โดยสารเป็นครั้งที่ 2 หลังจากครั้งแรกได้ส่งมาให้ประเทศไทยแล้ว จำนวน 10 ตู้ เมื่อเดือนตุลาคม 2561 และอยู่ระหว่างกระบวนการปรับปรุงดัดแปลงเพื่อใช้สำหรับเป็นขบวนรถด้านการท่องเที่ยวแล้ว 

โดยการออกแบบนั้น ใน 1 ขบวน มีตู้โดยสาร 5 คัน แบ่งเป็นรถนั่งทั่วไป 3 คัน รถสำหรับครอบครัว 1 คัน และรถพักผ่อน 1 คัน ซึ่งการออกแบบและสีสันจะเป็นไปตามลักษณะของเส้นทางที่ให้บริการของรถไฟท่องเที่ยวขบวนนั้น ๆ โดยสามารถนำออกให้บริการได้ในช่วงประมาณปี 2565 พร้อมยืนยันการประกาศจัดซื้อจัดจ้างขนย้ายตู้โดยสารดังกล่าว เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของการรถไฟฯ ทุกประการ


Cr. ภาพ https://www.facebook.com/photo?fbid=4036375893124979&set=pcb.4036376136458288

ทร.แจง คลัสเตอร์ ทหารใหม่ ติดโควิด เข้าใจคลาดเคลื่อน รับุ เกิดจากการรายงานยอดผู้ป่วยสะสมในหลายเดือน

พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ตามที่ สื่อมวลชนได้มีการนำเสนอข่าวระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อในพื้นที่จังหวัด ชลบุรี พุ่งสูงขึ้นเนื่องจากมีคลัสเตอร์ศูนย์ฝึกทหารใหม่  อำเภอสัตหีบ จำนวนยอดสะสม 583 รายนั้น  กองทัพเรือขอชี้แจงว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเนื่องจาก ยอดผู้ป่วยสะสมดังกล่าว เป็นยอดสะสมที่  กรมแพทย์ทหารเรือ จะต้องรายงานยอดผู้ป่วยในระบบ ซึ่งเป็นยอดป่วยสะสมของทหารทั้งทหารเก่า และทหารใหม่ ผลัด1/64 และ 2/64  จำนวนรวมประมาณ 7,000 นาย  ซึ่งส่วนใหญ่หายป่วยออกไปเกือบหมดแล้ว น่าจะเกิดจากความผิดพลาดเรื่องรายงานข้อมูลค้างเก่า  

ในส่วนการรักษานั้น โรงพยาบาลส่วนต่อขยาย โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ซึ่งตั้งอยู่ในพิ้นที่ กองฝึกพลทหาร ศูนย์การฝึก  หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นพื้นที่ ซึ่งรับทหารทั้งเก่าและใหม่เข้ามารักษาโควิด19  โดยมีการ ควบคุมป้องกัน และดูแลรักษา ตามมาตรการ เป็นอย่างดี  

ทั้งนี้ ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมดของ ศูนย์การฝึกหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ทั้งผลัดที่ 1/64 และ 2/64 จนถึงวันนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 583 นาย ขณะนี้หายป่วยกลับไปแล้ว คงเหลือรักษา181นาย โดยทั้งหมดอยู่ในการดูแลเป็นอย่างดีจากบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์กรมแพทย์ทหารเรือ

สรรพสามิต ตั้งศูนย์ปราบสินค้ากันบุหรี่เถื่อนระบาด

นายเกรียงไกร พัฒนาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี และรองโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนประจำปีป้องกันและปราบปราบบุหรี่เถื่อน และทำแผนเฉพาะกิจในการปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย ซึ่งระดมกำลังเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบปราบปรามบริเวณชายแดน รวมถึงได้จัดตั้งศูนย์ปราบปรามสินค้าออนไลน์ เพื่อเฝ้าระวังและติดตามผู้กระทำผิด ผู้ต้องสงสัยทางอินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์ และร่วมกับกรมศุลกากร ตำรวจ ทหาร เพื่อสกัดกั้นการลักลอบบุหรี่หนีภาษี

“ตอนนี้ในพื้นที่ภาคใต้ผู้บริโภคส่วนใหญ่หันไปสูบบุหรี่หนีภาษีหรือบุหรี่เถื่อนซึ่งมีราคาที่ถูกกว่า ส่งผลให้เกิดการลักลอบนำเข้าบุหรี่หนีภาษีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีเส้นทางการค้าบุหรี่หนีภาษีจากประเทศเพื่อนบ้านที่ติดต่อกับชายแดนของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องผ่านทางด่านชายแดน เช่น สระแก้ว ปัตตานี จันทบุรี สตูล สงขลา และจังหวัดต่าง ๆ ที่เป็นศูนย์กลางทางการค้า”

ทั้งนี้ในปีงบ 64 กรมฯ ได้จับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับสินค้าบุหรี่ผิดกฎหมายได้ 6,252 คดี ของกลาง 1.4 ล้านซอง ปรับเป็นเงิน 1,248 ล้านบาท โดยเป็นการจับกุมพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย 1,792 คดี ของกลาง 815,981 ซอง ปรับ 1,063 ล้านบาท

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เปิดเผย รัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการจับกุมผู้กระทำความผิด เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์เงินภาษีของรัฐ สร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจโดยสุจริต ที่สำคัญคือคำนึงถึงสุขภาพของประชาชน กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง และขอความร่วมมือประชาชน หากพบเบาะแสหรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการลักลอบนำเข้าบุหรี่หนีภาษี แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อให้ได้เร่งปราบปรามแก้ไขปัญหาและขยายผลเพิ่มเติมต่อไป  

‘เซียะถิงฟง’ สละสัญชาติแคนาดา พร้อมยืนยัน 'ผมคือคนจีน'

‘เซียะถิงฟง’ ประกาศว่าเขาได้ขอสละสัญชาติแคนาดาที่ตัวเองมีอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยืนยันหนักแน่นว่าเขาคือคนจีน หลังข่าวลือเริ่มหนัก นักแสดงที่ถือ 2 สัญชาติหลายคน อาจถูกแบนห้ามมีผลงานในวงการบันเทิงจีน

นักแสดงหนุ่มชื่อดังชาวฮ่องกงพูดถึงเรื่องนี้ระหว่างไปออกรายการ Lan Yu Reception Room ทาง CCTV ว่าเขาได้ขอสละสัญชาติแคนาดาของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในรายการวันนั้น เซียะถิงฟง ยังเอ่ยปากว่า ‘ผมเกิดในฮ่องกง เพราะฉะนั้น เดิมทีผมก็เป็นคนจีนอยู่แล้ว ซึ่งจริง ๆ แล้วผมก็ได้ส่งเอกสารเพื่อขอสละสัญชาติไปแล้วด้วย’

ขณะที่ผู้จัดการส่วนตัวของ เซียะถิงฟง ได้ให้สัมภาษณ์เช่นเดียวกัน ว่าเธอเองก็เพิ่งทราบเรื่องนี้จากการชมสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์เช่นเดียวกัน ส่วนพ่อของ เซียะถิงฟง อย่าง เซียะเสียน เปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่าไม่ว่าลูกจะทำอะไร ในฐานะพ่อเขาสนับสนุนเสมอ

เซียะถิงฟง เกิดที่ฮ่องกงเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 1980 แต่ย้ายไปอยู่ที่แวนคูเวอร์ แคนาดา ตั้งแต่ยังเด็ก เพราะพ่อที่เป็นดาราดังอยากให้เขาใช้ชีวิตเติบโตขึ้นมาแบบเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่แบบลูกของนักแสดงชื่อดัง จนทำให้เขาได้สัญชาติแคนาดาในตอนนั้นนั่นเอง แต่ในช่วงวัยรุ่น เซียะถิงฟง ก็ได้มีโอกาสย้ายกลับมาอยู่ฮ่องกง และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยอยู่หนึ่งปี ก่อนจะย้ายไปเรียนที่อเมริกาแทน แต่เพราะผลการเรียนไม่ดีจึงออกจากมหาวิทยาลัย และสุดท้ายได้กลับมารับงานในวงการบันเทิงที่ฮ่องกง และถือสองสัญชาติมาโดยตลอด

แน่นอนว่าการประกาศจุดยืน ‘เป็นคนจีน’ อย่างชัดเจนครั้งนี้ มาจากข่าวลือที่ว่านักแสดงที่ถือสองสัญชาติหลายคนอาจถูกแบนห้ามมีผลงานในวงการบันเทิงจีน การออกตัวสละสัญชาติอื่นก่อน ก็น่าจะทำให้เส้นทางในวงการบันเทิงของเขาปลอดภัยมากขึ้น

โดยในการให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดตัวของ เซียะถิงฟง ยังได้ประกาศอย่างชัดเจนในรายการ ว่าการทำงานของเขาไม่ว่าจะเป็นงานเพลง, งานภาพยนตร์ หรืองานทำรายการเกี่ยวกับการทำอาหาร ล้วนมีจุดประสงค์ในการเผยแพร่วัฒนธรรมจีนเช่นเดียวกัน


ที่มา : https://mgronline.com/entertainment/detail/9640000088952

“นายกฯ” ย้ำ เตรียมพร้อมเปิด 5 จังหวัด รับไฮซีซั่น 1 ต.ค.นี้ เข้ม มาตรการสธ. คู่ดูแลความปลอดภัย นทท. เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมวิถีใหม่

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวทางขับเคลื่อนแผนเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่าหลังจากรัฐบาลเดินหน้าแผนเปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยวางไว้เป็นระยะนำร่อง ระยะที่ 1 ในรูปแบบแซนด์บอกซ์ ได้แก่ ภูเก็ต พังงา กระบี่ และสุราษฎร์ธานี ซึ่งโครงการภูเก็ตแซนด์บอกซ์  2 เดือน ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับที่ดี เป็นที่น่าพอใจ รายจ่ายต่อทริปของนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 6-7 หมื่นบาท รายได้สะสม 1,634 ล้านบาท สร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก 

นายธนกร กล่าวว่า ในเดือนต.ค.นี้ ได้วางแผนปรับมาตรการ ภายใต้การป้องกันตนเองแบบครอบจักรวาล เพื่อเตรียมเข้าสู่แผนการเปิดพื้นที่ระยะที่ 2 ใน 5 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ ชลบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเชียงใหม่ ซึ่งแต่ละจังหวัดได้เตรียมความพร้อมเร่งฉีดวัคซีนให้คนพื้นที่ และจัดแคมเปญต่าง ๆ รองรับนักท่องเที่ยว อาทิ กรุงเทพฯ แซนด์บอกซ์ หัวหิน รีชาร์จ และชาร์มมิง เชียงใหม่ เป็นต้น 

จากนั้นช่วงกลางเดือนต.ค.จะเข้าสู่แผนระยะที่ 3 เปิด 21 จังหวัด ครอบคลุมทั้งประเทศ 
ภาคเหนือ ลำพูน แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน เชียงราย สุโขทัย 
ภาคอีสาน อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ อุบลราชธานี 
ภาคตะวันตก กาญจนบุรี ราชบุรี ภาคตะวันออก ระยอง จันทบุรี ตราด 
ภาคกลาง อยุธยา ภาคใต้ นครศรีธรรมราช ระนอง ตรัง สตูล สงขลา

นายธนกร กล่าวว่า รัฐบาลวางแผนการกระตุ้นให้คนไทยเดินทางเที่ยวในประเทศผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ระยะที่ 3 รัฐสนับสนุนค่าโรงแรม 40เปอร์เซ็นต์ ให้คูปองอาหาร 600 บาทต่อคืน และสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน 40 เปอร์เซ็นต์จำนวน 2 ล้านสิทธิ หรือห้องพัก รวมทั้งโครงการทัวร์เที่ยวไทย รัฐสนับสนุนวงเงิน 5,000 บาท ให้ประชาชนเดินทางเที่ยวผ่านบริษัททัวร์ จำนวน 1 ล้านสิทธิ คาดว่าจะเปิดลงทะเบียนภายในเดือนก.ย.นี้ เพื่อให้ท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นของฤดูกาลท่องเที่ยวไทย 

“นายกฯ กำชับให้ดูแลเรื่องมาตรการตรวจโควิด-19 และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทุกคน ส่วนปีหน้าเป็นแผนระยะที่ 4 จะเริ่มเดือนม.ค. 2565 โดยเปิดพื้นที่จังหวัดที่ติดชายแดนเพื่อนบ้าน อีก 13 จังหวัด จับคู่ท่องเที่ยวระหว่างกัน หรือ "Travel Bubble" ซึ่งทั้ง 4 ระยะ จะเปิดรับนักท่องเที่ยว รวม 43 จังหวัด 

นอกจากนั้นยังเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานทำงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในแบบวิถีใหม่ ที่มีการผ่อนคลายมาตรการ ร่วมเดินหน้าเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบสาธารณสุข เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในวันนี้และอนาคต ลดช่องว่าง ลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยกันเดินหน้าสู่การเปิดประเทศวิถีใหม่ต่อไป” นายธนกร กล่าว 

'แซม แบงก์แมน-ฟรายด์'​ มหาเศรษฐีแสนล้านในวัย 29 ผู้สะเทือนวงการโลกการเงินดิจิทัล! | Knowledge Times EP.18

????Knowledge Times BizView
????'แซม แบงก์แมน-ฟรายด์'​ มหาเศรษฐีแสนล้านในวัย 29 ผู้สะเทือนวงการโลกการเงินดิจิทัล!

หนทางพิสูจน์ม้า​ กาลเวลาพิสูจน์คน​ อาจจะใช้ไม่ได้กับ​ มหาเศรษฐี​แสนล้าน วัย​ 29​ อย่าง​ “แซม แบงก์แมน-ฟรายด์” ผู้ทรงอิทธิพล แห่งวงการคริปโตเคอร์เรนซี ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี​ สะสมประสบการณ์และสร้างความมั่งคั่งจากช่องโหว่ของวงการเงินดิจิทัล

แซม เป็นเด็กหนุ่มชาวอเมริกันผู้มีความสนใจในคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เขาสามารถเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกอย่าง MIT ในสาขาวิชาฟิสิกส์ 

เขาได้มีโอกาสฝึกงานเป็นนักพัฒนาโมเดลทางคณิตศาสตร์เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ หรือ “Quantitative Trading”

และดูเหมือนการฝึกงานในครั้งนี้​ จะพาเขาก้าวเข้ามาสู่โลกแห่งการเงินแบบถอนตัวไม่ออก... 

เมื่อแซมจบการศึกษา เขาก็มุ่งหน้าเอาดีทางด้านนี้ โดยเข้าทำงานที่ Jane Street Capital ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจ Quantitative Trading โดยเฉพาะ 

นอกจากนี้​ บริษัทดังกล่าว​ ก็ยังมีอีกธุรกิจ นั่นก็คือ “Liquidity Provider” หรือผู้ให้บริการเสริมสภาพคล่องของหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ เพื่อควบคุม Bid Offer หรือราคาซื้อขายสินทรัพย์ให้มีเสถียรภาพ

3​ ปีในบริษัทแห่งนี้​ ช่วยทำให้เขาเข้าใจโลกแห่งสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับสูง

สูงเสียจน​ ประสบการณ์ที่ได้มาจากการทำงานนั้น​ แซมเข้าใจถึงไส้ในของคริปโตฯ​ โดยในปี 2017 ซึ่งเป็นปีที่คริปโตฯ​ กำลังเป็นที่จับตามองของคนทั่วโลกนั้น เขาได้เข้าไปหาโอกาสโดยทันที

แซมทำยังไง? 
แซมเห็นช่องโหว่จากพื้นฐานและระบบที่รองรับนักลงทุน

เขามองเห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานหรือระบบที่จะมารองรับนักลงทุนในตลาดแห่งนี้ ยังไม่มีศักยภาพมากพอ

โดยเฉพาะเมื่อมีนักลงทุนให้ความสนใจในคริปโตฯ​ เกินกว่าสภาพคล่องทั้งระบบจะรับไหว 

มักจะเกิด​ 'ส่วนต่าง'​ ระหว่าง​ 'ราคารับซื้อ'​ และ 'ราคาเสนอขาย' หรือที่เรียกว่า​ Spread อย่างมาก

ทันทีที่เขาเห็นภาพของส่วนต่างด้านราคานี้​ จึงคาดการณ์ว่าธุรกิจให้บริการเสริมสภาพคล่องรวมถึงโมเดลการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลนี่แหละจะเติบโตไปได้อีกมากในอนาคต

เขาจึงได้ก่อตั้งบริษัท Alameda Research ขึ้นทันที ในปี 2017

Alameda Research เรียกได้ว่าถอดแบบมาจากประสบการณ์การทำงานของแซม

ที่บอกแบบนี้ก็เพราะว่าบริษัทดำเนินธุรกิจเหมือนกับสิ่งที่เขาเคยทำแทบจะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโมเดลคณิตศาสตร์เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้าหรือการให้บริการเสริมสภาพคล่อง

โดยสิ่งที่แตกต่างกันเพียงอย่างเดียว ก็คือ Alameda Research จะโฟกัสไปที่สินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโทเคอร์เรนซีโดยเฉพาะ

และสิ่งที่แซมคาดการณ์ไว้ก็เป็นไปตามนั้น เพราะในเวลาต่อมา คริปโตฯ​ ได้กลายมาเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจสูงมากในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน​ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและให้บริการด้านสภาพคล่องในตลาดแห่งนี้​ ยังหาได้ยาก!! 

ทำให้ Alameda Research ของแซม​ ที่นาทีนี้เริ่มมีความพร้อมทั้งด้านการลงทุนและให้บริการสภาพคล่อง​ จึงเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันบริษัทแห่งนี้ มีสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การจัดการ สูงถึง 3.3 หมื่นล้านบาท

หลังจาก Alameda Research สำเร็จ ด้วยความที่เป็นนักเทรดอยู่แล้ว แซมจึงได้มองไปที่การต่อยอดธุรกิจ Exchange เพื่อซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีที่เป็นของตัวเองอีกด้วย

โดย แซม ได้ร่วมมือกับ แกรี่ หวัง ก่อตั้งบริษัท “FTX” ธุรกิจ Exchange ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี

และแน่นอนว่า​ ด้วยความที่เขาคลุกคลีกับการลงทุนตั้งแต่สมัยฝึกงาน จึงทำให้เขาออกแบบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและเรียกได้ว่าซับซ้อน ลงบนแพลตฟอร์มแห่งนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็น... 

- Options สิทธิ์ในการซื้อหรือขายคริปโทเคอร์เรนซี
- Leveraged Token โทเคนแบบมีอัตราทด ที่อ้างอิงตามมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัล
- Volatility Products อนุพันธ์ที่อิงตามความผันผวนของตลาด

ส่งผลให้ ปัจจุบัน​ FTX มีมูลค่าการซื้อขายถึงราว 4.6 แสนล้านบาทต่อวัน

แซมยังไม่หยุด​ เขาได้สร้างเหรียญเป็นของตัวเอง ชื่อว่า FTX Token หรือ FTT ที่พัฒนาขึ้นให้เป็นเหรียญประจำ Exchange คล้ายกับ Binance Coin บน Binance หรือ Bitkub Coin บน Bitkub ซึ่งผู้ถือครอง FTT ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ​ อาทิ จ่ายเป็นค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหรือนำไปฝากไว้กับระบบเพื่อรับผลตอบแทน 

ปัจจุบัน FTX ได้รับการประเมินมูลค่ากิจการอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5.9 แสนล้านบาท 

โดยแซม ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของ มีทรัพย์สินอยู่กับตัวมากถึง 2.8 แสนล้านบาท​ ส่งเจ้าตัวเข้าสู่มหาเศรษฐีอันดับที่ 274 ของโลก​ และถูกยกให้เป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการคริปโทเคอร์เรนซี 

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ​ แซม​ ที่ปัจจุบันมีอายุ 29 ปี...

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

"สโมสรลูกพ่อเรย์และเพื่อน" แถลงข่าวเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในคำว่า "สังคมแบ่งปัน"เพื่อสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่

ณ มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ (พัทยา) บาทหลวง "ดร.พิชาญ ใจเสรี" เจ้าคณะพระมหาไถ่แห่งประเทศไทย / บาทหลวง "ภัทรพงศ์ ศรีวรกุล" ประธานมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ เป็นเกียรติให้โอวาทแด่คณะกรมการการบริหารงานของสโมสรฯและขอบคุณทุกท่านที่มีพลังแห่งศรัทธาร่วมกันสร้างคุณงามความดีข่วยเหลือคนพิการ คนยากไร้ คนเด้อยโอกาส ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปวันข้างหน้า

ในการนี้ "ดร.สุภรธรรม มงคลสวัสดิ์" ในฐานะประธานสโมสรฯได้กลาาสรายงานวัตถุประสงค์ เจตนารมย์ร่วมก่อตั้ง "สโมสรลูกพ่อเรย์และเพื่อน"  ที่เกิดจากการรวมกลุ่มกันของคนพิการ ที่เคยได้รับการอุปถัมภ์ดูแลจากคุณพ่อเรย์โดยทางตรงและทางอ้อม และมีความประสบสำเร็จในการดำเนินชีวิต มีงาน มีการทำ มีรายได้ และเป็นบุคคลที่ทําคุณประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ และเป็นการมอบโอกาสส่งต่อให้น้องๆเด็กๆเยาวชนคนพิการรุ่นใหม่ และ คำว่า "เพื่อน" มาจากสังคมโดยรอบไม่ว่าจะเป็นเจ้าของสถานประกอบการ คนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี คนที่ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยจิตอันเป็นกุศล ก็สามารถมาร่วมกันสร้างคุณงามความดีด้วยการช่วยเหลือและแบ่งปัน ต่อไป

ทั้งนี้ "สโมสรลูกพ่อเรย์และเพื่อน" เริ่มก่อตั้งจากจำนวนสมาชิก 9 ท่าน  ในวันที่ 9 เดือน 9 เวลา 9.19 น.
โดยมีรายนามคณะกรรมการ ดังนี้
1.ดร.ธนโชติ.  หาญเจริญอัศวสุข
 2.ดร.สุภรธรรม มงคลสวัสดิ์
3. อ.ณรงค์ ไปวันเสาร์
4.  อ. มานพ เอี่ยมสอาด
5.  คุณธนัช  คงคา
6. คุณชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล
7. ผอ.ชิด สุขหนู
8. อ.ประทีป ยอดสิงห์
9.นาย.สัมฤทธิ์  ชาภิรมย์

ชลบุรี-ภาคเอกชนร่วมมือลงนามสู่ความมั่นคงเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจด้านน้ำ ทั้งภาคประชาชน และเมืองอุตสาหกรรมในอนาคต รองรับการเจริญเติบโตพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ( EEC )

ณ สถานีผลิตน้ำประปา มรกตสยาม บ. อินดัสเตรียล วอเตอร์รีซอร์สแมนเนจเม้นท์ จก.49/2 ม.4  ต.มาบโป่ง อ.พานทอง จ.ชลบุรี อีกก้าวที่สำคัญ สู่ความร่วมมือเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำ อุปโภค /บริโภค และน้ำอุตสาหกรรม เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

บริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ รีซอร์สแมนเนจเม้นท์ จำกัด (IWRM) นำโดย คุณธนวัฒน์ สันตินรนนท์ กรรมการบริษัท  ร่วมกับบริษัท Wewater Supply (กลุ่มบริษัทพนัสวิศวกรรม) นำโดย คุณมนัส ศุภศิริลักษณ์ และคุณพนัส ศุภศิริลักษณ์ กรรมการบริษัท 

จัดพิธีลงนาม "ความร่วมมือเสริมสร้างศักยภาพการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออก" โดยนำอ่างเก็บน้ำภาคเอกชนบริเวณ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี พื้นที่กว่า 600ไร่ กักเก็บน้ำหลาก ช่วงฤดูฝน คาดสามารถกักเก็บน้ำดิบได้ไม่น้อยกว่า10 ล้านลบ.ม.ต่อปี เป็นการร่วมมือจากภาคเอกชนในพื้นที่ ที่มีศักยภาพด้านบ่อดินลูกรังร้าง เพื่อกักเก็บน้ำ ร่วมกับ IWRM ภาคเอกชน ที่มีประสบการณ์ ด้านบริหารจัดการน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรม กว่า 17 ปี ในการลงนามครั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจด้านน้ำ ในพื้นที่EEC อีกด้วย

“ช่วยทุกคน ทุกพื้นที่ 24 ชั่วโมง”  ทบ. ส่งหน่วยทหารช่วยประชาชนรับมือสถานการณ์น้ำตลอด กันยายน นี้  

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์สภาพอากาศ ห้วง 9-30 ก.ย. 64 ที่ประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงใต้และพายุโกนเซิน ทำให้ฝนตกหนักให้หลายพื้นที่ อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม โดยมีจังหวัดที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, เพชรบูรณ์, พิษณุโลก, ลำปาง, น่าน, พะเยา, ร้อยเอ็ด, จันทบุรี, ตราด และ นครราชสีมา

 จากสถานการณ์ดังกล่าวศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก หน่วยทหารในทุกกองทัพภาคและมณฑลทหารบก ได้ติดตามสถานการณ์น้ำและประเมิน รวมถึงเตรียมแผนการป้องกันและช่วยเหลือหากเกิดผลกระทบจากปริมาณน้ำฝนที่มากเกินจนทำให้เกิดน้ำท่วม ตลอดจนบูรณาการร่วมกับจังหวัดและหน่วยป้องกันบรรเทาภัยท้องถิ่น, เตรียมความพร้อมของกำลังพลและเครื่องมือบรรเทาสาธารณภัย ชุดแพทย์เคลื่อนที่ รถครัวสนาม เป็นต้น เพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนได้ทันต่อเหตุการณ์ ปัจจุบันในบางพื้นที่ได้มีการแจ้งเตือนประชาชน อพยพสิ่งของและสัตว์เลี้ยงขึ้นที่สูง รวมทั้งการเตรียมชุดประเมินภัยพิบัติพร้อมปฏิบัติทันทีหากเกิดเหตุการณ์ ส่วนในพื้นที่ชุมชนหนาแน่นหรือเขตเมือง เช่น กทม. และปริมณฑล หน่วยทหาร จะเน้นการอำนวยความสะดวกด้านการสัญจร สนับสนุนหน่วยงานต่างๆ ในการเร่งระบายน้ำ 

 ล่าสุด พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้หน่วยทหารดูแลประชาชนในสถานการณ์น้ำตลอดฤดูฝนนี้ เนื่องจากหากมีฝนตกมากผิดปกติ อาจทำให้ประชาชนเดือนร้อนหรือเกิดอุทกภัย การเข้าช่วยเหลือทันทีจึงมีความจำเป็นและเร่งด่วน โดยให้นำศักยภาพของหน่วยทหารทั้งในด้านกำลังพล เครื่องมือ เตรียมแผนการช่วยเหลือ เข้าสนับสนุนหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ในขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญควบคู่ไปกับการบรรเทาสาธารณภัย คือ การป้องกันตนเองและป้องกันประชาชนไม่ให้มีการติดเชื้อโควิด-19 ทั้งนี้การช่วยเหลือในสถานการณ์พิเศษ ต้องสอดคล้องกับมาตรการป้องกันโรค การพิทักษ์พลและสามารถเข้าดูแลประชาชนได้ในทุกเหตุการณ์ สิ่งสำคัญคือการรักษาสุขภาพตนเอง เนื่องจากในช่วงนี้มีฝนตกต่อเนื่อง ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิดในหลายพื้นที่ยังมีอยู่ 

ส่วนสถานการณ์น้ำในวันนี้ กรมทหารราบที่ 16 ได้นำกำลังพลจิตอาสาเข้าช่วยเหลือโรงพยาบาลพนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ขนย้ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ พร้อมสูบน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วม,  จ.เลย จากภาวะน้ำล้นตลิ่งที่ อ.ด่านซ้าย มณฑลทหารบกที่ 28 ได้ส่งกำลังพลวางกระสอบทรายป้องกันน้ำท่วมบ้านประชาชนร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่  และที่ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี เกิดอุทกภัยน้ำป่าไหลหลาก กรมทหารราบที่ 2 รอ. จัดกองร้อยบรรเทาสาธารณภัยช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน

 สำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะฝนตกหนักในช่วงนี้ ขอรับความช่วยเหลือได้จากหน่วยทหารใกล้บ้านหรือติดต่อศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก โทร. 02-2977648, กองทัพภาคที่ 1 (กลาง) โทร. 02-2815443, กองทัพภาคที่ 2 (อีสาน) โทร. 04-4245946, กองทัพภาคที่ 3 (เหนือ) โทร. 055242859, และกองทัพภาคที่ 4 (ใต้) โทร. 07-5383405

รมว.ยุติธรรม แจง พืชกระท่อมปลูก ใช้ ครอบครอง ขายใบสดได้เสรี น้ำต้มกินเอง-แจกจ่ายได้ แต่หากจะนำมาทำอาหาร-น้ำสมุนไพรขาย ยังผิดกฎหมาย สาธารณสุขกำลังเร่งปรับแก้ให้สอดคล้อง 

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ภายหลังจากที่รัฐสภาได้เห็นชอบ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) ซึ่งเป็นการถอดพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 ไปแล้วนั้น แต่ยังมีหลายคนสงสัย เกี่ยวกับการใช้พืชกระท่อมว่าสามารถทำในส่วนใดได้บ้าง ดังนั้นตนจึงขอชี้แจงว่า ในส่วนของการเคี้ยวใบ การปลูก การครอบครองและการขายใบสดที่ไม่ได้ปรุงหรือทำเป็นอาหารทำได้อย่างเสรีไม่ผิดกฎหมาย แต่ส่วนการนำไปทำผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่แจ้งว่ามีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ ต้องไปขออนุญาตตามกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข เพราะมี พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 ควบคุมอยู่ 

นอกจากนี้การนำไปทำเป็นอาหารหรือเป็นส่วนผสมในอาหารเพื่อขายนั้น  พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 ยังไม่ปลดล็อกให้สามารถนำพืชกระท่อมไปทำอาหารหรือผสมในอาหารเพื่อจำหน่ายได้ โดยประกาศของกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 424 ) พ.ศ. 2564 ออกตามความใน พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย ซึ่งกำหนดให้อาหารที่ปรุงจากพืชกระท่อมเป็นอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้าหรือจำหน่าย หรือแม้กระทั่งน้ำต้มกระท่อมที่ไม่ได้ผสมกับสิ่งใดเลยก็เป็นสิ่งที่ห้ามผลิตเพื่อจำหน่ายตามประกาศฉบับนี้ การฝ่าฝืน ผลิต และขาย อาหาร ที่ พ.ร.บ. อาหาร ห้าม มีโทษตามมาตรา 50 จำคุก 6 เดือน - 2 ปี ปรับ 5,000 - 20,000 บาท

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยา อาหาร และเครื่องสำอาง ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ จากพืชกระท่อมได้อย่างเต็มที่ กระทรวงสาธารณสุขจึงสมควรที่จะแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์ จากพืชกระท่อมเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยา อาหาร และเครื่องสำอางได้ เรื่องนี้เป็นอุปสรรคในการค้าขายแบบชาวบ้าน 

ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... คณะกรรมาธิการฯ ซึ่งตนเป็น ประธานฯ ได้มีข้อสังเกตเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจะส่งให้กระทรวงสาธารณสุขรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไปแล้ว 

แต่สำหรับในช่วงนี้ที่ประกาศยังไม่ถูกแก้ไข หากผู้ประกอบการที่อยากจะพัฒนาต่อยอดเพื่อสกัดหรือแปรรูปพืชกระท่อมโดยใช้ประโยชน์จากสารสำคัญในใบกระท่อมเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือยาแผนโบราณ ที่มีสรรพคุณในการบำบัดหรือบรรเทาอาการต่าง ๆ นั้น สามารถขอคำแนะนำหรือติดต่อได้ที่ กองควบคุมผลิตภัณฑ์สมุนไพร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

ก.แรงงาน เร่งระดมสมองวางแผนพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve

วันที่ 9 กันยายน 2564 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ครั้งที่ 4/2564 ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล และผ่านระบบ Video Conference โดยมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงแรงงาน อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผู้แทนสภาองค์การนายจ้าง ผู้แทนสภาองค์การลูกจ้าง ผู้ทรงคุณวุฒิ และคณะกรรมการจากทุกภาคส่วนร่วมประชุม

โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเสนอ 4 เรื่องให้ที่ประชุมพิจารณา ได้แก่

การเสนอรายชื่อบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กพร.ปจ. แทนตำแหน่งที่ว่างลง

การแก้ไขเพิ่มเติมรายชื่ออนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กพร.ปจ. (ร่าง) แ

ผนพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve (พ.ศ.2565-2570)

และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการเพื่อรองรับการประกอบอาชีพ (พ.ศ.2564-2570) 

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและแนวทางในการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพของกำลังแรงงานให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประสานแผนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างระบบการศึกษากับระบบการพัฒนากำลังแรงงาน ประสานนโยบายแผนการพัฒนาฝีมือแรงงาน และแผนการฝึกอาชีพของ ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อความเป็นเอกภาพในการพัฒนาแรงงาน ขจัดปัญหาความซ้ำซ้อนและความสิ้นเปลือง รวมถึงติดตามและประเมินผลการดำเนินงานการพัฒนาแรงงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพ โดยมีคณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพจังหวัด (กพร.ปจ.) เป็นกลไกระดับจังหวัดในการขับเคลื่อนติดตามและดำเนินงานตามแผนการพัฒนากำลังแรงงานในพื้นที่จังหวัด

การประชุมในวันนี้ นอกจากเรื่องที่เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอแล้ว กพร. ได้รายงานถึงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564 ได้ปรับปรุงคำสั่งให้เป็นปัจจุบัน เพิ่มองค์ประกอบของ กพร.ปช. และปรับปรุงอำนาจหน้าที่แล้ว

การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ขณะนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ จัดทำแผนพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแล้วเสร็จ กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลและอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็น ส่วนอุตสาหกรรมอื่นๆ นั้น อยู่ระหว่างการประชุมร่วมกับภาคอุตสาหกรรมและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อยกร่างแผนผังตำแหน่งงานและแนวโน้มการจ้างงานใน แต่ละอุตสาหกรรมเป้าหมายในรูปแบบการระดมความคิดเห็นผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการเพื่อรองรับการประกอบอาชีพ สรุปการจัดงานสัมมนาออนไลน์ “ให้กลไกตลาดทุน เกื้อหนุนผู้พิการ สร้างงานสร้างอาชีพ” เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2564 ผ่านระบบไมโครซอฟท์ทีม และถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊ค ของ กลต. กระทรวงแรงงาน และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน  ผู้เข้าร่วมงานสัมมนาประกอบด้วยผู้บริหาร ผู้แทนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ องค์กร สมาคมคนพิการ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน จำนวน 524 คน โดยมีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์สนใจทำ CSR ด้านคนพิการ จำนวน 75 แห่ง ซึ่ง กพร. จะติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานต่อไป และการสนับสนุนซิมการ์ดพัฒนาฝีมือแรงงานออนไลน์ 500 ซิม จาก บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ในการนี้ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้จัดพิธีแถลงข่าวและรับมอบซิมการ์ด จำนวน 500 ชุด เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2564 ณ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดย กพร. ร่วมกับสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย ดำเนินการแจกจ่ายซิมการ์ดให้แก่กลุ่มแรงงานคนพิการและกลุ่มเปราะบางเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น ยกระดับศักยภาพด้านดิจิทัล ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

และการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนาทักษะฝีมือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผลการช่วยเหลือแรงงานกลุ่มเปราะบาง ประจำปี 2564 กระทรวงแรงงานเป้าหมาย 72,150 แห่ง ผลการสำรวจแล้ว 22,370 แห่ง และการเตรียมรองรับการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 อีกด้วย

“คณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) มีองค์ประกอบมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยร่วมกันบูรณาการและวางแผนการพัฒนากำลังแรงงานของประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อความเป็นเอกภาพในการพัฒนาแรงงาน เพื่อให้แรงงานมีความรู้และทักษะตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน ให้แรงงานไทยสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยต่อไป ภายใต้ชีวิตวิถีใหม่ และเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลง” อธิบดี กพร. กล่าวทิ้งท้าย

แผนอยู่ร่วมกับไวรัสของสิงคโปร์ส่อยุติ เหตุยอดติดเชื้อใหม่สูงสุดในรอบปี แม้ฉีดวัคซีนครบแล้ว 80%

สิงคโปร์เตือนว่าบางทีอาจต้องกลับมากำหนดข้อจำกัดสกัดโควิด-19 อีกรอบ หากว่าไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของตัวกลายพันธุ์เดลตา ที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก ซึ่งเสี่ยงทำให้ประเทศแห่งนี้อาจต้องละทิ้งยุทธศาสตร์อยู่ร่วมกับไวรัส

กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์รายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่ในชุมชน 347 คนเมื่อวันพุธ (8 ก.ย.) สูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2020 หลังจากเพิ่งสร้างสถิติดังกล่าวไปหมาด ๆ เมื่อ 1 วันก่อนหน้านี้ ที่จำนวน 328 รายในวันอังคาร (7 ก.ย.)

จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ของสิงคโปร์ เพิ่มขึ้นเท่าตัวในสัปดาห์ที่ผ่านมา จากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขของประเทศ เพิ่มเป็นมากกว่า 1,200 ราย ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 กันยายน

จนถึงวันพุธ (8 ก.ย.) จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมของสิงคโปร์อยู่ที่ 69,582 ราย เสียชีวิตสะสม 56 คน

ลอว์เรนซ์ หว่อง หัวหน้าทีมเฉพาะกิจสู้โควิด-19 ของสิงคโปร์ ยอมรับว่าไม่ใช่แค่จำนวนเคสผู้ติดเชื้อรายวันเท่านั้นที่สร้างความกังวลแก่รัฐบาลสิงคโปร์ แต่ยังรวมถึงอัตราการที่ไวรัสกำลังแพร่ระบาดด้วย

"เราเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศอื่น ๆ ที่เมื่อใดก็ตามเคสผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก จะมีผู้ติดเชื้ออาการหนักในห้องไอซียูเพิ่มขึ้นมาก และมีผู้เสียชีวิตจากไวรัสเพิ่มขึ้นเช่นกัน" เขากล่าว

สิงคโปร์เคยผลักดันนโยบายเชิงรุก "โควิดเป็นศูนย์" ระหว่างโรคระบาดใหญ่ กำหนดข้อจำกัดอันเข้มข้นต่าง ๆ นานา ปิดร้านอาหาร ปิดพรมแดนและบังคับใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม

แต่ในเดือนมิถุนายน รัฐบาลแถลงแผนเดินหน้าสู่ยุทธศาสตร์อยู่ร่วมกับไวรัส ความพยายามควบคุมการแพร่ระบาดด้วยวัคซีนและคอยเฝ้าระวังอัตราผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แทนการกำหนดมาตรการเข้มข้นที่จำกัดวิถีชีวิตของพลเมือง

"ข่าวร้ายคือโควิด-19 อาจไม่มีวันหายไป ข่าวดีคือมีความเป็นไปได้ที่เราจะใช้ชีวิตตามปกติร่วมกับมันได้" เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านโควิด-19 ของสิงคโปร์ ระบุในข้อเขียนแสดงความคิดเห็น (Op-Ed) เมื่อเดือนมิถุนายน

สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 สูงที่สุดในโลก ด้วยตอนนี้มีประชากรมากกว่า 80% ที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว

ตลอดเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สิงคโปร์เริ่มผ่อนปรนข้อจำกัดสกัดโควิด-19 บางอย่าง อนุญาตให้คนฉีดวัคซีนครบแล้วออกไปรับประทานอาหารค่ำที่ร้าน และรวมกลุ่มกันได้ไม่เกิน 5 คน จากเดิมที่จำกัดแค่ 2 คน

อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดระลอกใหม่ทำให้มาตรการเปิดเศรษฐกิจเพิ่มเติมต้องสะดุดลง และ หว่อง เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (6 ก.ย.) ว่า สิงคโปร์จะพยายามควบคุมการแพร่ระบาดระลอกใหม่ด้วยการติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดเชิงรุกยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับสกัดเคสผู้ติดเชื้อและคลัสเตอร์ต่าง ๆ

การบังคับตรวจเชื้อแรงงานที่มีความเสี่ยงสูงจะเกิดขึ้นถี่ขึ้น เป็น 1 ครั้งต่อสัปดาห์จากเดิม 2 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง และบัญชีแรงงานต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้คำสั่งบังคับตรวจเชื้อจะถูกขยายให้ครอบคลุมกว่าเดิม โดยจะนับรวมพนักงานห้างค้าปลีก ธุรกิจจัดส่งสินค้าและเจ้าหน้าที่ระบบขนส่งสาธารณะเข้าไปด้วย

สิงคโปร์ยังได้ห้ามการรวมตัวของพนักงานตั้งแต่วันพุธ (8 ก.ย.) เป็นต้นไป และ หว่อง แนะนำประชาชนหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางสังคมต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็น ท่ามกลางความพยายามควบคุมการแพร่ระบาด

เขาระบุ มันสะท้อนว่า นโยบายใหม่ของสิงคโปร์และอัตราการฉีดวัคซีนระดับสูง ช่วยให้ประเทศสามารถคงระดับการเปิดเศรษฐกิจระหว่างการแพร่ระบาดระลอกใหม่ "แต่แม้เราได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว เราพบว่าเคสผู้ติดเชื้ออาการสาหัสในห้องไอซียูที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เมื่อถึงเวลาเราอาจไม่มีทางเลือก ยกเว้นแต่ยกระดับความเข้มข้นในภาพรวม ดังนั้นเราจึงไม่ควรตัดความเป็นไปได้"


(ที่มา : ซีเอ็นเอ็น/รอยเตอร์)
https://mgronline.com/around/detail/9640000089302


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top