“นายกฯ” ย้ำ เตรียมพร้อมเปิด 5 จังหวัด รับไฮซีซั่น 1 ต.ค.นี้ เข้ม มาตรการสธ. คู่ดูแลความปลอดภัย นทท. เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมวิถีใหม่

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวทางขับเคลื่อนแผนเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่าหลังจากรัฐบาลเดินหน้าแผนเปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยวางไว้เป็นระยะนำร่อง ระยะที่ 1 ในรูปแบบแซนด์บอกซ์ ได้แก่ ภูเก็ต พังงา กระบี่ และสุราษฎร์ธานี ซึ่งโครงการภูเก็ตแซนด์บอกซ์  2 เดือน ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับที่ดี เป็นที่น่าพอใจ รายจ่ายต่อทริปของนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 6-7 หมื่นบาท รายได้สะสม 1,634 ล้านบาท สร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก 

นายธนกร กล่าวว่า ในเดือนต.ค.นี้ ได้วางแผนปรับมาตรการ ภายใต้การป้องกันตนเองแบบครอบจักรวาล เพื่อเตรียมเข้าสู่แผนการเปิดพื้นที่ระยะที่ 2 ใน 5 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ ชลบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเชียงใหม่ ซึ่งแต่ละจังหวัดได้เตรียมความพร้อมเร่งฉีดวัคซีนให้คนพื้นที่ และจัดแคมเปญต่าง ๆ รองรับนักท่องเที่ยว อาทิ กรุงเทพฯ แซนด์บอกซ์ หัวหิน รีชาร์จ และชาร์มมิง เชียงใหม่ เป็นต้น 

จากนั้นช่วงกลางเดือนต.ค.จะเข้าสู่แผนระยะที่ 3 เปิด 21 จังหวัด ครอบคลุมทั้งประเทศ 
ภาคเหนือ ลำพูน แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน เชียงราย สุโขทัย 
ภาคอีสาน อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ อุบลราชธานี 
ภาคตะวันตก กาญจนบุรี ราชบุรี ภาคตะวันออก ระยอง จันทบุรี ตราด 
ภาคกลาง อยุธยา ภาคใต้ นครศรีธรรมราช ระนอง ตรัง สตูล สงขลา

นายธนกร กล่าวว่า รัฐบาลวางแผนการกระตุ้นให้คนไทยเดินทางเที่ยวในประเทศผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ระยะที่ 3 รัฐสนับสนุนค่าโรงแรม 40เปอร์เซ็นต์ ให้คูปองอาหาร 600 บาทต่อคืน และสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน 40 เปอร์เซ็นต์จำนวน 2 ล้านสิทธิ หรือห้องพัก รวมทั้งโครงการทัวร์เที่ยวไทย รัฐสนับสนุนวงเงิน 5,000 บาท ให้ประชาชนเดินทางเที่ยวผ่านบริษัททัวร์ จำนวน 1 ล้านสิทธิ คาดว่าจะเปิดลงทะเบียนภายในเดือนก.ย.นี้ เพื่อให้ท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นของฤดูกาลท่องเที่ยวไทย 

“นายกฯ กำชับให้ดูแลเรื่องมาตรการตรวจโควิด-19 และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทุกคน ส่วนปีหน้าเป็นแผนระยะที่ 4 จะเริ่มเดือนม.ค. 2565 โดยเปิดพื้นที่จังหวัดที่ติดชายแดนเพื่อนบ้าน อีก 13 จังหวัด จับคู่ท่องเที่ยวระหว่างกัน หรือ "Travel Bubble" ซึ่งทั้ง 4 ระยะ จะเปิดรับนักท่องเที่ยว รวม 43 จังหวัด 

นอกจากนั้นยังเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานทำงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในแบบวิถีใหม่ ที่มีการผ่อนคลายมาตรการ ร่วมเดินหน้าเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบสาธารณสุข เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในวันนี้และอนาคต ลดช่องว่าง ลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยกันเดินหน้าสู่การเปิดประเทศวิถีใหม่ต่อไป” นายธนกร กล่าว