Tuesday, 22 April 2025
NEWS

“BYD - บียอนด์” เตรียมพร้อมที่จะก้าวไปอีกขั้น! สู่อะไรที่มากกว่าโบรกเกอร์

บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AEC จะเปลี่ยนเป็น “บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน)” และใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ใหม่เป็น BYD ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นไปตามที่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ได้มีมติอนุมัติไว้ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา

การเปลี่ยนโฉมบริษัทใหม่ในครั้งนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจที่มุ่งไปสู่การเติบโตในธุรกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งสำคัญ ทั้งการเสริมสร้างศักยภาพภายในโดยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้พัฒนาธุรกิจหลักทรัพย์ และเตรียมความพร้อมที่จะก้าวไปสู่การดำเนินธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อเสริมสร้างรายได้และเพิ่มความมั่นคงให้บริษัทอย่างยั่งยืน โดยบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปร่วมลงทุนในธุรกิจการเดินรถ โดยใช้รถโดยสารไฟฟ้าหรือ E-Bus ของบริษัท ไทยสมายล์บัส จำกัด โดยเป็นการร่วมลงทุนผ่านทางบริษัท เอซ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดซื้อรถโดยสารไฟฟ้าจากผู้ผลิต ตามแผนงานและคาดว่าจะมีการส่งมอบรถดังกล่าวภายในไตรมาสที่ 3 นี้

จากแผนธุรกิจดังกล่าว บริษัทมีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างรายได้และการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ โดยในขณะนี้ แผนการดำเนินการสำเร็จลุล่วงไปแล้วกว่า 50% ซึ่งภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทุเลาลง ผู้คนออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติก็จะเริ่มได้เห็นรายได้จากธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้าตามมาเช่นกัน

'ลี เซียนลุง' นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ กล่าวเตือนสหรัฐฯ ไม่ควรที่จะท้าทายอย่างก้าวร้าวใส่จีน ย้ำ “อันตรายมาก”

นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ของสิงคโปร์ กล่าวเตือนในวันอังคาร (4 ส.ค.) ว่า สหรัฐฯ ไม่ควรที่จะท้าทายอย่างก้าวร้าวใส่จีน โดยเขาบอกว่า ทัศนะแบบแข็งกร้าวซึ่งกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ของวอชิงตัน สามารถที่จะกลายเป็นสิ่งที่มี “อันตรายมาก”

นายกฯ ลี กล่าวว่า สหรัฐฯ ได้เคลื่อนตัวออกจากแบบแผนวิธีการที่มุ่งแข่งขันกับจีนอย่างชนิดมุ่งสร้างผลดีโดยรวมขึ้นมา และหันไปสู่การมีความคิดเห็นที่ว่า อเมริกัน “ต้องชนะ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง”

“พรรคการเมืองใหญ่ทั้งสอง (ของสหรัฐฯ) ในทุกวันนี้ มีฉันทามติเห็นพ้องต้องกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเรื่องความสัมพันธ์กับจีน” เขากล่าวในเวทีการประชุมความมั่นคงแอสเพน (Aspen Security Forum)

“ทว่าจุดยืนของพวกเขาคือการใช้แนวทางแข็งกร้าว และผมไม่แน่ใจเลยว่านี่เป็นฉันทามติที่ถูกต้องแล้ว” ผู้นำของสิงคโปร์บอก

“ผมไม่ทราบว่าฝ่ายอเมริกันจะตระหนักถึงความเป็นจริงหรือไม่ว่า พวกเขา (จีน) จะกลายเป็นปรปักษ์ที่น่าเกรงขามถึงขนาดไหนในการที่จะต้องรับมือ ถ้าหากพวกเขา (อเมริกัน) ตัดสินใจลงไปว่า จีนคือศัตรูรายหนึ่ง”

“ในสถานการณ์เช่นนี้ ผมจะขอพูดกับทั้งสองฝ่ายว่า (กดปุ่ม) “พอซ” เถอะ คิดกันให้รอบคอบก่อนที่พวกคุณจะ (กดปุ่ม) “ฟาสต์-ฟอร์เวิร์ด” มันมีอันตรายมาก” เขากล่าว

“เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับสหรัฐฯ และจีน ที่จะต้องเพียรพยายามเข้ามีปฏิสัมพันธ์ต่อกันเอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดความวิบัติหายนะแก่ทั้งสองฝ่าย และแก่โลกด้วย”

ลี ซึ่งมองเห็นกันว่าเป็นผู้หนึ่งที่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในคณะผู้นำของทั้งสองประเทศ กล่าวว่า ทัศนะแบบแข็งกร้าวของวอชิงตันที่มีต่อจีนนั้น กำลังผสมโรงเข้ากันกับความเชื่อของฝ่ายจีนที่ว่า สหรัฐฯ นั้นไม่สามารถไว้วางใจได้และต้องการที่จะสกัดกั้นการก้าวขึ้นมาของตน

เขายังวิพากษ์วิจารณ์การที่คณะบริหารไบเดนแสดงความแข็งกร้าวในการพบปะหารือทวิภาคีระดับสูงครั้งแรกกับฝ่ายจีนที่เมืองแองเคอเรจ รัฐอะแลสกา ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

“ความเป็นจริงก็คือไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่สามารถดูหมิ่นหมายบดขยี้อีกฝ่ายหนึ่งได้หรอก” เขากล่าว

แต่ ลี แสดงความยินดีในเรื่องที่คณะบริหารไบเดนหวนกลับมาสู่นโยบายการต่างประเทศ “ที่มีแบบแผนมากขึ้น” ภายหลังการใช้วิธีการที่ยุ่งเหยิงกระจัดกระจายของคณะบริหารโดนัลด์ ทรัมป์

“ประเทศต่าง ๆ กำลังเฝ้ามองหาความคงเส้นคงวาทางยุทธศาสตร์ระยะยาวจากสหรัฐฯ” เขาบอก และย้ำว่า มันหมายถึงนโยบายที่ “พึ่งพาอาศัยได้และคาดการณ์ทำนายล่วงหน้าได้”

เขากล่าวเน้นว่า ไต้หวันคือจุดที่มีศักยภาพจะกลายเป็นชนวนลุกลามได้มากเป็นพิเศษ

“ผมไม่คิดว่าพวกเขาต้องการที่จะเดินหมากตามอำเภอใจฝ่ายเดียว” อย่างเช่นการเข้ารุกรานไต้หวัน ลีพูดโดยหมายถึงฝ่ายปักกิ่ง

“แต่ผมคิดว่ามีอันตราย (เกี่ยวกับเรื่องนี้) อันตรายที่ว่าคือการคาดคำนวณผิดอย่างใหญ่โตมโหฬาร”

เขาแสดงความซาบซึ้งสำหรับการที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน แสดงความเห็นเอาไว้ระหว่างอยู่ที่สิงคโปร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยที่ออสตินกล่าวเตือนคัดค้านการเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมของสถานการณ์ไต้หวัน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบใดก็ตาม

“ผมคิดว่าถ้าหากมีการระมัดระวังคอยประคับประคองจุดยืนกันเอาไว้อย่างชัดเจนและสม่ำเสมอแล้ว เราก็จะสามารถประคับประคองสันติภาพและเสถียรภาพของสองฟากช่องแคบไต้หวันเอาไว้ได้” ลี บอก

แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม “คุณกำลังอยู่ในระยะเวลาที่ยากลำบากอย่างมากทีเดียว” เขากล่าวเสริม


(ที่มา : เอเอฟพี)

https://mgronline.com/around/detail/9640000076530


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ระนอง-ประกอบพิธีส่งมอบกระบือเผือก ตามโครงการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตทูลเกล้าถวายกระบือเผือก "สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี"

ณ กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดระนอง  ตำบลบางริ้น  อำเภอเมือง  จังหวัดระนอง  "นายสมเกียรติ  ศรีษะเนตร" ผู้ว่าราชการจังหวัดระนองเป็นประธานในพิธีส่งมอบ"กระบือเผือก" น้อมเกล้า ฯ ถวายสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า  กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มี "พระระณังคมุนีวงศ์" เจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรีวิหาร  เป็นประธานพิธีสงฆ์  ส่วนคณะผู้รับ-ส่งมอบ ประกอบด้วย "พลเอก ปวริศ  แจ่มสว่าง" ประธานคณะฝ่ายสำนักพระราชวัง (ประธานรับมอบ)  นายสมจิตต์  เขียนด้วง  รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง  นายยุทธพงษ์  เอี้ยงอ้าย  เลขานุการ ในองค์หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา  ภาณุพันธ์  นางสาวหอมจันทร์  ซาฮาด  เลขานุการ รมต.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระนอง ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 นางสาวผกาพร  นิลพงษ์  ผู้มอบกระบือเผือก และปศุสัตว์จังหวัดระนอง  นอกจากนี้มีหัวหน้าส่วนราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธี

สำหรับความเป็นมาของการมอบ "กระบือเผือก" ในครั้งนี้  เนื่องมาจากจังหวัดระนองได้รับแจ้งจาก "นางสาวผกาพร  นิลพงษ์"  อยู่บ้านเลขที่ 268 หมู่ 2 ตำบลบางนอน อำเภอเมือง ประสงค์จะทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายกระบือเผือก จำนวน 6 ตัว (ปัจจุบันเกิดเพิ่มอีก 2 ตัว รวม 8 ตัว)  และเมื่อวันที่  2  เมษายน  2564  สำนักพระราชวังแจ้งว่าได้นำความกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองพระบาทแล้ว ทรงรับ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานกระบือเผือกดังกล่าว แก่โรงเรียนทหารการสัตว์ กรมการสัตว์ทหารบก ตำบลพรหมณี อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก  จังหวัดระนองได้รับความกรุณาจาก "พลเอก ปวริศ  แจ่มสว่าง" และคณะได้เดินทางมาร่วมหารือและให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติส่ง-รับมอบกระบือ กันในวันนี้

ในส่วนของพิธีการส่ง-รับมอบ "กระบือเผือก" เริ่มพิธีโดยประธานในพิธี จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เปิดกรวยดอกไม้ถวายเครื่องราชสักการะ เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ "สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี" และกล่าวคำกราบบังคมทูล จากนั้นพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์  เจริญจิตภาวนา  ประธานในพิธีพร้อมหัวหน้าส่วนราชการ ถวายเครื่องไทยธรรม  พระสงฆ์อนุโมทนา และกรวดน้ำรับพร  จากนั้น "พระระณังคมุนีวงศ์" ประธานฝ่ายสงฆ์ พรมน้ำมนต์แก่กระบือเผือกทั้ง 8 ตัว เพื่อความเป็นสิริมงคล  ประธานในพิธี ผู้ถวายกระบือ พร้อมคณะผู้มารับมอบร่วมกันคล้องพวงมาลัย ป้อนหญ้า พรมน้ำอบน้ำหอมไทย เพื่อเป็นสิริมงคล  จากนั้นประธานในพิธี มอบเอกสารการส่งมอบกระบือให้กับ ประธานผู้รับมอบ สุดท้ายเจ้าหน้าที่ทำการต้อนกระบือ ทั้ง 8  ตัว ขึ้นรถบรรทุก เพื่อเริ่มเดินทางนำกระบือไปส่งที่ "โรงเรียนทหารการสัตว์  กรมการสัตว์ทหารบก"  ต.พรหมณี  อำเภอเมือง  จังหวัดนครนายก ต่อไป

ทั้งนี้  ระหว่างที่ "กระบือ" อยู่ในความดูแลของจังหวัดระนอง  ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี  โดยได้รับการตรวจสุขภาพ  ฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย  วัคซีนโรคลัมปีสกิน  ให้ยาบำรุงและยาถ่ายพยาธิ  ขึ้นทะเบียนสัตว์ พร้อมจัดทำบัตรประจำตัวสัตว์เป็นที่เรียบร้อย
เมื่อกระบือเผือกเดินทางมาถึง โรงเรียนทหารการสัตว์ กรมการสัตว์ทหารบกนครนายก โรงเรียนกศ.ทบ.นครนายกแล้ว "พลเอกปวริศ แจ่มสว่าง" ประธานคณะฝ่ายประสานงานขอพระราชทานพระราชานุญาตถวายกระบือเผือก และ "นายยุทธพงษ์ เอี้ยงอ้าย" เลขานุการในองค์หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ พร้อมด้วยคณะได้นำ"กระบือเผือก" พร้อมทะเบียนกระบือจากกรมปศุสัตว์จังหวัดระนอง มอบให้ "โรงเรียนทหารการสัตว์ กรมการสัตว์ทหารบกนครนายก" และต้อนกระบือเผือกเขาคอกที่จัดเตรียมไว้เป็นอันเสร็จพิธี

“ทัพเรือ” ปูนบำเหน็จ “แต้ว” อส.ทหารพรานหญิง สุดาพร เรือตรี ตามวุฒิ ด้านผบ.ทร. โทรให้กำลังใจ บอกทำดีที่สุดแล้ว

ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ (บก.ทร.) ว่าที่เรือโทหญิง พุทธรักษา โรคารักษ์ ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ภายหลังจาก อาสาสมัครทหารพรานหญิง สุดาพร สีสอนดี นักกีฬามวยสากลหญิง รุ่น 60 กก. สังกัดกองทัพเรือ ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผ่านเข้าสู่รอบ 4 คน สุดท้าย โดยแม้จะพ่ายให้แก่ เคลลี แอนน์ แฮริงตัน จากไอร์แลนด์ แต่อาสาสมัครทหารพรานหญิง สุดาพร จะได้รับรางวัลเหรียญทองแดง

ทั้งนี้ ภายหลังเสร็จสิ้นการชก พล.ร.อ. ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้โทรศัพท์ให้กำลังใจ ที่นำชัยชนะ เกียรติยศ และชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทย โดยได้ติดตามรับชมมาโดยตลอดและเห็นว่า "แต้ว" ทำดีที่สุดแล้ว

ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ กล่าวต่อไปว่า กองทัพเรือ โดย พล.ร.อ.วศินสรรพ์ จันทวรินทร์ ประธานกรรมการบริหารสวัสดิการกีฬากองทัพเรือ ได้ขออนุมัติรางวัลพิเศษและการบรรจุเข้ารับราชการให้แก่อาสาสมัครทหารพรานหญิงสุดาพร ตามหลักเกณฑ์การเสนอขอเลื่อนยศและการให้รางวัลพิเศษแก่นักกีฬาในสังกัดกองทัพเรือเป็นกรณีพิเศษ

สำหรับแต้ว ปัจจุบันสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี จากคณะศึกษาศาสตร์ สถาบันการพลศึกษาวิทยาเขตสุโขทัย และกำลังรออนุมัติการสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโท คณะศึกษาศาสตร์ เอกสังคมศาสนาและวัฒนธรรม วิทยาลัยทองสุข ซึ่งตามหลักเกณฑ์การขอเลื่อนยศ และเลื่อนฐานะตามลำดับชั้นนั้น ในส่วนของผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือคุณวุฒิปริญญาตรีขึ้นไปให้เสนอขอปรับวุฒิ และแต่งตั้งยศตามคุณวุฒิที่สำเร็จการศึกษา ซึ่งตามหลักเกณฑ์ผู้ที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีจะเข้ารับการบรรจุในระดับสัญญาบัตร ได้รับการแต่งตั้งยศเป็นเรือตรี

สำหรับ อาสาสมัครทหารพรานหญิงสุดาพร สีสอนดี เกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2534 ที่ อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ได้รับการบรรจุเป็นอาสาสมัครทหารพรานหญิง ที่หน่วยบัญชาการนาวิกโยธินในปี 2556 ปัจจุบันสังกัด กองร้อย ทหารพรานนาวิกโยธินที่ 524 ชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานนาวิกโยธิน

อาสาสมัครทหารพรานหญิงสุดาพร ได้เข้าร่วมทีมมวยกองทัพเรือ โดยเข้าร่วมการแข่งขันในระดับชาติโดยเป็นนักกีฬาของกองทัพเรือในทีมสโมสรราชนาวี ทำการแข่งขันรายการมวยสากลชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ได้รางวัลชนะเลิศเหรียญทองในระดับประเทศไทย ในรุ่นที่ขึ้นชก ทำให้ทีมมวยของกองทัพเรือ สโมสรราชนาวี สามารถครองถ้วยคะแนนรวมทีมหญิง และทีมสโมสรราชนาวี สามารถครองถ้วยคะแนนรวมถึง 8 สมัย ติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน

สำหรับผลงานที่สำคัญของ อาสาสมัครทหารพรานหญิงสุดาพร ในการแข่งขันรายการสำคัญ ประกอบด้วย

- รายการ Sea Games Indonesia 2011 ครั้งที่ 26 ในปี 2554 ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้รับรางวัลชนะเลิศเหรียญทอง

- รายการ Sea Games ครั้งที่ 27 ณ สาธารณรัฐเมียนมา ได้รับรางวัลชนะเลิศเหรียญเงิน

- การแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 ในปี 2561 ณ กรุงจาร์กาต้า สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้รับรางวัลชนะเลิศเหรียญเงิน

- รายการ Sea Games ครั้งที่ 30 ในปี 2562 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ได้รับรางวัลเหรียญทอง และล่าสุดก่อนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกคือ การแข่งขันคัดเลือกโอลิมปิกเกมส์ โซนเอเชียและโอเชียเนีย ที่กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ อาสาสมัครทหารพรานสุดาพร สีสอนดี คือ พันจ่าเอกสุบรรณ พันโนน อดีตนักมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทย ในรุ่นไลท์ฟลายเวท สังกัดสโมสรราชนาวี ซึ่งเคยคว้ารางวัลเหรียญทองเอเชี่ยนเกมส์ 2541 เหรียญทองซีเกมส์ ปี 2544 เหรียญทองแดงเอเซี่ยนเกมส์ ปี2546 เหรียญเงินเอเชี่ยนเกมส์ ปี 2549 นอกจากนั้น ยังเป็นตัวแทนทีมชาติไทยเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์สองครั้ง

ในปี 2543 (โอลิมปิก 2000) ที่เมืองซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย และในปี 2547 (โอลิมปิก 2004) ที่ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ โดยปัจจุบัน พันจ่าเอกสุบรรณ เป็นข้าราชการกองทัพเรือ ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่หมวดการฝึกและจัดการแข่งขัน แผนกการกีฬา กองกิจการพิเศษ ฐานทัพเรือสัตหีบ ปัจจุบันช่วยราชการกองการกีฬา กรมสวัสดิการทหารเรือ และยังเป็นผู้ฝึกสอนให้กับทีมมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทย ทั้งทีมชายและทีมหญิง ตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบัน โดยสามารถพานักกีฬามวยสากลทีมชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขันรายการสำคัญมากมาย อาทิ ซีเกมส์ เอเชี่ยนเกมส์ และโอลิมปิคเกมส์

เจ้าแต้ว-สุดาพร สีสอนดี พ่ายต่อ เคลลี่ แฮร์ริงตัน นักชกจากไอร์แลนด์ 3:2 คว้าเหรียญทองแดงกลับประเทศไทย

ลุ้นกันจนยกสุดท้าย แต่เป็นที่น่าเสียดาย เจ้าแต้ว-สุดาพร สีสอนดี นักมวยหญิงของไทย ต้องจบเส้นทางโอลิมปิกเกมส์ 2020 ด้วยการพ่ายต่อ เคลลี่ แฮร์ริงตัน นักชกจากไอร์แลนด์ไปแบบสูสี

สุดาพร สีสอนดี ลงดวลหมัดในรอบรองชนะเลิศ ในกีฬามวยสากลสมัครเล่นหญิงโอลิมปิกเกมส์ รุ่นไลต์เวต น้ำหนักไม่เกิน 60 กก. โดยพบกับเต็งหนึ่งของรายการ เคลลี่ แฮร์ริงตัน นักชกจากไอร์แลนด์ ในยกแรก ต่างฝ่ายต่างดูชั้นเชิง แต่เป็นเคลลี่ แฮร์ริงตันที่ทำผลงานได้ชัดเจนกว่า จึงได้คะแนนนำไปในยกแรก

เข้าสู่ยกสอง เจ้าแต้วแก้เกมมาดี เป็นฝ่ายเดินหน้าเข้าหา และออกหมัดมากขึ้น ทำเอาแคร์ริงตันออกอาการช็อต ออกหมัดน้อยลง เห็นชัดเจนว่านักชกไทยดูมีความคล่องตัวมากกว่า แต่นักมวยไอร์แลนด์ก็พยายามดักจังหวะต่อยอยู่เป็นระยะ จบยกสองคะแนนออกเบียดสุด ๆ

ถึงยกตัดสิน เจ้าแต้วยังเดินหน้าเข้าหาเหมือนเดิม และไล่หาจังหวะต่อยเข้าเป้าได้สวย ๆ หลายหมัด ภาพรวมเกมดูเป็นของเจ้าแต้วมากกว่า จนกระทั่งสิ้นเสียงจบยก ภาษากายของเจ้าแต้ว ดูมีความมั่นใจมากกว่านักชกจากไอร์แลนด์อย่างเห็นได้ชัด

แต่ผลปรากฏว่า โฆษกสนามประกาศให้ เคลลี่ แฮร์ริงตัน นักชกจากไอร์แลนด์ เป็นผู้ชนะไป ด้วยคะแนน 3:2 ทำให้เจ้าแต้วต้องยุติเส้นทางมวยสากลสมัครเล่นหญิงในโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ไป อย่างไรก็ตาม นักชกไทยทำผลงานได้เข้าตากองเชียร์เอามาก ๆ (แม้ว่าอาจจะไม่เข้าตากรรมการก็ตาม) พร้อมกับคว้าเหรียญทองแดงกลับมาให้คนไทยได้ชื่นชมกันอีกหนึ่งเหรียญ


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"หมอเณร" ยื่นศาลปค.สูงสุดโชว์ผลรักษา 4 พ่อแม่ลูก ใช้สมุนไพรปรับธาตุหายโควิด วอนรัฐส่งเสริมภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยแก้วิกฤตสาธารณสุขประเทศ

นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือหมอเณร ผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนไทย และเจ้าของสวนสมุนไพรไทย เข้ายื่นหลักฐานเพิ่มเติมต่อศาลปกครองสูงสุด กรณีได้ยื่นฟ้องกระทรวงสาธารณสุข กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2  ฐานละเลยต่อหน้าที่ ไม่ออกใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนไทย และรับรองสูตรตำรับยาสมุนไพรให้แก่นายชัยรัตน์   และศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 63 ให้กรมแพทย์แผนไทยพิจารณาคำขอจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยของนายชัยรัตน์  และแจ้งผลการพิจารณาให้นายชัยรัตน์ทราบ โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่กรมแพทย์แผนไทยได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด

นายชัยรัตน์  กล่าวว่า วันนี้นำหลักฐานเป็นผลการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิดของครอบครัวพ่อแม่ลูก 4 คน ซึ่งคนเป็นแม่ เมื่อรู้ผลติดเชื้อ และรักษาตัวอยู่ที่บ้านได้นำยาสมุนไพรปรับไฟธาตุของตนไปรับประทาน 4 วันอาการก็ดีขึ้น และได้มีการนำยาไปให้สามีที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งมีผลตรวจว่าเชื้อลงปอด หายใจลำบาก รับประทานอะไรไม่ได้เพราะเจ็บคอมากมา10 วันเมื่อทานยาปรับไฟธาตุก็อาการดีขึ้นภายใน 2-3 วัน จนหมอแปลกใจว่าทำไมอาการดีขึ้นได้เร็ว ส่วนลูกชายเมื่อหมอให้มากักตัวที่บ้านพบว่ามีอาการเม็ดผื่นขนาดใหญ่ขึ้นตามลำตัว ซึ่งทางแพทย์แผนไทยเรียกว่าไข้กาฬ ก็ทานยาของตนไล่พิษจนหายและเมื่อบุคคลทั้งหมดได้ไปตรวจเลือด ผลตรวจโควิดก็เป็นลบ ตนจึงนำหลักฐานทั้งหมดรวมถึงผลเลือดของผู้ป่วยมายื่นให้กับศาลปกครองสูงสุดเพื่อประกอบการพิจารณาคดี

นายชัยรัตน์ ยังกล่าวด้วยว่า ขณะนี้ถือว่าประเทศประสบกับวิกฤตโควิดอย่างรุนแรงประชาชนเดือดร้อนมาก มีทั้งคนที่เข้าไม่ถึงวัคซีน บางคนติดโควิดแล้วก็ไม่มีที่รักษา แพทย์เองก็ยังติดเชื้อ หรือบางคนก็ไม่อยากฉีดวัคซีน ซึ่งตนอยากให้ผู้บริหารประเทศหันมาสนใจให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยเพื่อเป็นทางออกในภาวะวิกฤตของสาธารณสุขไทยเพราะตั้งแต่เกิดปัญหาการแพร่ระบาด ผู้บริหารประเทศไม่ได้ให้ความสนใจภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยในการรักษาเท่าที่ควรสนใจแต่การแพทย์แผนตะวันตกและผลการวิจัยในหลอดทดลองที่ไม่สามารถค้นพบเรื่องของไฟธาตุได้ ซึ่งมีผู้ป่วยหลายรายหมอรักษาโควิดหายแล้วแต่กลับมาเสียชีวิตที่บ้านก็เพราะพิษของไข้กาฬในตัวไม่ถูกขับออกมาให้หมด ตรงนี้แพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถรักษาได้เพราะมุ่งฆ่าแต่ไวรัส แต่แพทย์แผนไทยจะมียาขับพิษและปรับไฟธาตุ

นายชัยรัตน์ กล่าวอีกว่า สู้เรื่องนี้มา 7 ปี รู้สึกท้อแต่ต้องสู้เพื่อรักษาภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยให้คงเอาไว้เป็นมรดกของประเทศไม่ให้สูญหาย และขณะนี้ตนก็กำลังรักษาผู้ป่วยโควิด อีกหลายราย ทั้งหมดมีอาการดีขึ้นตามลำดับ ถ้ารักษาหายเรียบร้อยก็จะได้มีการนำผลการรักษามายื่นเป็นหลักฐานเพิ่มเติมต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อประกอบการพิจารณาอีก

กลุ่มรักสถาบัน ยื่นหนังสือถึง ผบ.ทบ. เรียกร้องให้ออกมาปกป้องสถาบัน

ที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถนนราชดำเนิน ผู้สื่อข่าวรายงาน กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน ( ศปปส.) นำโดย นายจักรพงศ์ กลิ่นแก้ว ร่วมกับ นายฐิติวัฒน์ ธนการุณย์ ภาคีประชาชนปกป้องสถาบัน พร้อมพวก เดินทาง ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เรียกร้องให้ออกมาปกป้องสถาบัน โดยมี ร.ต.ทวีรัตน์  ศุภฤกษ์ตระกูล  นายทหารเวร บก.ทบ. ได้ออกมารับหนังสือกับทางกลุ่มเพื่อนำเรียนผู้บังคับบัญชาต่อไป 

นายจักรพงศ์ ระบุว่า ต้องการเรียกร้องให้ฝ่ายความมั่นคง ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบ เกี่ยวกับการรักษาความสงบประเทศ ออกมาช่วยกันปกป้องสถาบัน โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุม ต้องการขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องเคลื่อนไหวให้ถูกประเด็น และห้ามนำสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้อง

‘นฤมล’ มอบเครื่องอุปโภค-บริโภคเพิ่มเติม ช่วยเหลือพี่น้องแรงงานแคมป์คนงานก่อสร้าง

รมช.แรงงาน ส่งทีมมอบเครื่องอุปโภค-บริโภคเพิ่มเติม แก่แคมป์คนงานก่อสร้างและเคหะชุมชนออมเงิน เขตสายไหม บรรเทาพิษโควิด-19

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) และสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) (สสปท.) ยังคงมุ่งหน้าที่จะพัฒนาศักยภาพแรงงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสร้างแรงงานคุณภาพ ยกระดับแรงงานให้มีความรู้และทักษะตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน และให้แรงงานกลุ่มเปราะบางทางสังคมได้เข้าถึงการพัฒนาฝีมือแรงงาน รวมถึงเดินหน้าสร้างความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยที่ดีแก่แรงงานอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางวิกฤตการณ์ มีอาชีพ มีรายได้อย่างยั่งยืน

สำหรับแผนการดำเนินงานรวมถึงมาตรการในการช่วยเหลือพี่น้องแรงงานยังคงเดินหน้าต่อไป โดยได้ปรับแผนการให้สอดคล้องตามสถานการณ์ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องแรงงานมากที่สุด และในช่วงนี้ยังคงมอบหมายให้ทีมงานลงพื้นที่มอบข้าวกล่องในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์เพื่อร่วมเป็นกำลังใจในการปฏิบัติงาน โดยในครั้งนี้ได้นำไปมอบให้แคมป์คนงานของบริษัท ยูเวิร์ค 999 จำกัด และเคหะชุมชนออมเงิน เขตสายไหม เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาพิษโควิด-19

รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการมอบหมายทีมงานลงพื้นที่มอบข้าวกล่องเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2564 พบว่า มีแคมป์คนงานของบริษัท ยูเวิร์ค 999 จำกัด ตั้งอยู่ซอยวัชรพล 18 แขวงคลองถนน เขตสายไหม ที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐรวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเท่าที่ควร จึงได้มอบหมายให้ทีมงานนำข้าวกล่องและเครื่องอุปโภค-บริโภคที่ยังขาดแคลนไปมอบให้เพิ่มเติม เช่น ข้าวสาร อาหารแห้ง ยารักษาโรค หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์สเปรย์ ของใช้สำหรับเด็กทารกแรกเกิด เป็นต้น โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่นำไปมอบให้เพิ่มเติมในครั้งนี้จะทำให้พี่น้องแรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นท่ามกลางวิกฤติโควิด-19

คุณสมทรง อัฐนาค คนงานแคมป์ก่อสร้าง บริษัท ยูเวิร์ค999 จำกัด กล่าวว่า รู้สึกดีใจและขอบคุณท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานเป็นอย่างสูงที่ได้ช่วยเหลือพวกเราชาวแรงงานในแคมป์คนงานก่อสร้างแห่งนี้เนื่องจากที่ผ่านมาพวกเราที่อาศัยอยู่ใจแคมป์ต้องใช้ชีวิตค่อนข้างลำบาก เพราะแคมป์คนงานยังถูกสั่งปิดมาจนถึงตอนนี้ สิ่งของที่ท่านได้มามอบให้เพิ่มเติมจะทำให้เรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในช่วงสถานการณ์นี้


 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี โปรดเกล้าถวายเงิน 88.8 ล้าน แด่สมเด็จพระสังฆราช และพระราชทานเงิน 99.9 ล้าน ผ่านนายกรัฐมนตรี เพื่อที่จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักคอย สถานที่กักตัว สถานที่ฌาปนกิจศพ รองรับสถานการณ์โควิด-19

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 4 ส.ค. 64 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เชิญเงินพระราชทาน จำนวน 88,800,000 บาท ไปถวายแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร สมทบทุนแก่วัดต่าง ๆ ที่จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักคอย สถานที่กักตัว และที่ฌาปนกิจศพ

จากนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เชิญเงินพระราชทาน จำนวน 99,900,000 บาท ไปมอบแก่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของโรงเรียน สถาบันอาชีวศึกษา มหาวิทยาลัยต่าง ๆ และเหล่าทัพ ที่จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักคอย และสถานที่กักตัว ทั่วประเทศ

รวมเป็นเงินที่ได้พระราชทานในครั้งนี้จำนวน 188,700,000 บาท เพื่อใช้ในการจัดหาชุดป้องกันส่วนบุคคล (ชุด PPE) เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้วตลอดจนอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ พร้อมทั้งสนับสนุนค่าสาธารณูปโภค ค่าซ่อมแซมปรับปรุง อาคารสถานที่ ค่าบำรุงเมรุ และค่าดำเนินการฌาปนกิจศพ

นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วัดสถานศึกษา และเหล่าทัพ ซึ่งกระจายอยู่ในชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ และหน่วยงานต้นสังกัด จึงได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักคอย และสถานที่กักตัว เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกได้โปรดให้วัดต่าง ๆ สงเคราะห์ประชาชนในการฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ครั้นความดังกล่าวทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเงินสนับสนุนการดำเนินงานของวัด โรงเรียน สถาบันอาชีวศึกษา มหาวิทยาลัย และหน่วยงานของเหล่าทัพ ทั่วประเทศ ที่จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักคอย สถานที่กักตัว และสถานที่ฌาปนกิจศพ เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นส่วนหนึ่งของการบำเพ็ญพระราชกุศล 2 โอกาส คือ

1.) พระราชทานเงินสนับสนุนวัด และเหล่าทัพ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2564

2.) พระราชทานเงินสนับสนุนโรงเรียน สถาบันอาชีวศึกษา และมหาวิทยาลัย เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง 12 สิงหาคม 2564

ทั้งนี้ เมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในประเทศไทยหลายพื้นที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีความห่วงใยและได้ทรงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกลัชิด ทรงรับเป็นพระราชภารกิจสำคัญในการดูแลทุกข์สุขของอาณาราษฎรทุกหมู่เหล่าให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดหาอุปกรณ์ และเครื่องมือทางการแพทย์พระราชทาน

อีกทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ และรถต่อพ่วงชีวนิรภัย พระราชทานแก่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อใช้รับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ประชาชนทุกพื้นที่เข้าถึงการตรวจและการรักษาอย่างทันท่วงที โดยตั้งแต่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พระราชทานเงินช่วยเหลือไปแล้ว 1,051 ล้านบาท รวมกับที่ได้พระราชทานในครั้งนี้ เป็นเงินพระราชทานทั้งสิ้นกว่า 1,240 ล้านบาท


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'นิกกี้ ณฉัตร' เป็นงง ห้ามสั่งเองแม้จะอยู่หน้าร้าน ต้องกดแอปเรียกไรเดอร์

ทำเอานักแสดงหนุ่ม นิกกี้ ณฉัตร จันทพันธ์ ถึงกับสุดงงจนต้องโพสต์รูปตัวเอง พร้อมกับตั้งคำถามกับสิ่งที่ตัวเองได้เจอมา คือ อยู่หน้าร้านกาแฟแต่ไม่สามารถสั่งของในร้านกินได้ เพราะทางร้านมีมาตรการป้องกันโควิดที่เข้มงวด โดยนิกกี้เขียนแคปชั่นบรรยายและสงสัยในสิ่งที่ตัวเองได้เจอว่า...

"อยู่หน้าร้าน เเต่ห้ามสั่งเอง ต้องกดเเอปให้ไรเดอร์หยิบอาหารให้ เเล้วไรเดอร์ ไม่ต้องยื่นของให้ผมหรอ สงสารแม่ ๆ เล่นเเอป ไม่เป็น บอกผมลูกเอ้ย กว่าเเม่จะได้กินทีละอย่าง เยี่ยมจริง ๆ เยี่ยมจริง ๆ ไม่ได้ว่าร้านนะครับ เขาทำตามกฎหมาย"

หลังจากที่ นิกกี้ ณฉัตร โพสต์เรื่องนี้ไป ก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างมากมายว่า เมื่อวานน้องไปสั่งชาหน้าร้าน สรุปต้องเรียกพี่ไรเดอร์มาเอาให้อยู่ดี ทั้ง ๆ ที่อยู่หน้าร้าน, แก้ หรือเพิ่มปัญหา หัวจะปวด, ลดปริมาณ คนที่จะเข้าห้างหรือป่าวครับ มองแบบอีกมุม เพราะกฎนี้ใช้แค่ในห้าง


ที่มา : https://www.instagram.com/p/CSJDTxFBsbq/?utm_medium=copy_link

https://www.thairath.co.th/entertain/news/2158317


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สุดเศร้า! ลูกชายกักตัว 14 วัน เขียนจดหมายถึง รพ.บางพลี ช่วยอนุเคราะห์ทำศพแม่ หลังโควิดคร่าชีวิต

จากเหตุการณ์สุดสะเทือนใจ กรณีนายโสรจน์ ฟักทอง ซึ่งเป็นลูกชายนางยุพิน ฟักทอง (มารดา) อายุ 78 ปี แต่เนื่องจากนางยุพิน ฟักทอง ได้ติดเชื้อโควิด-19 หลังจากนั้นนางยุพิน ฟักทอง ได้เสียชีวิตลงภายในโรงพยาบาลบางพลี อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ขณะที่กำลังพักรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลแห่งนี้

ภายหลังจาก ที่นายโสรจน์ ฟักทอง (ลูกชาย) ทราบว่า ผู้เป็นแม่ได้เสียชีวิตลงแล้วจากการป่วยด้วยโรคโควิด-19 จึงได้เขียนจดหมายมอบอำนาจขอความอนุเคราะห์ทางโรงพยาบาลบางพลี ให้ช่วยเป็นธุระประสานการทำศพนางยุพิน ฟักทอง (มารดา) เนื่องจากนายโสรจน์  ฟักทอง (ลูกชาย) ไม่สามารถไปเดินเรื่องติดต่อขอทำศพกับทางวัดได้ เพราะตนเองนั้นต้องกักตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลบางพลี เป็นเวลา 14 วัน 

หลังจากที่นางจริยา จันทร์เรือง พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลบางพลี ได้ทราบเรื่องโดยได้รับจดหมายจากนายโสรจน์ ฟักทอง ลูกชายนางยุพิน ฟักทอง (ผู้เสียชีวิต) ภายในจดหมายได้มีการเขียนระบุข้อความ โดยมีใจความว่า “ผมนายโสรจน์ ฟักทอง เป็นบุตรนางยุพิน ฟักทอง ข้าพเจ้าขอมอบอำนาจให้ทางโรงพยาบาลบางพลี จัดทำพิธีศพของคุณแม่ เนื่องจากข้าพเจ้า ต้องกักตัวเป็นระยะเวลา 14 วัน จากนั้นนางจริยา จันทร์เรือง พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลบางพลี สมุทรปราการ นำข้อมูลดังกล่าวประสานไปยังท่าน พระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง  เพื่อขอความอนุเคราะห์ให้ช่วยดำเนินการรับเผาศพ นางยุพิน ฟักทอง ผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 เนื่องจากทางญาติไม่สามารถมาดำเนินการเผาศพได้ อีกทั้ง ทางโรงพยาบาลทราบว่าวัดบางพลีใหญ่กลางแห่งนี้รับเผาศพโควิดฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด จึงได้ประสานมายังท่านพระครูแจ้ เพื่อขอความเมตตาช่วยรับเผาศพนางยุพิน ฟักทอง

หลังจากที่ ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว จึงได้เมตตาตอบตกลง และรับอนุเคราะห์ดำเนินการเผาศพให้ฟรี ตั้งแต่ขั้นตอนในการติดต่อขอรับศพออกจากโรงพยาบาลเพื่อนำศพมาทำพิธีฌาปนกิจยังวัดบางพลีใหญ่กลาง โดยได้รับเกียรติจากนายธนิต ปานรอด รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร  โรงพยาบาลบางพลี ให้เกียรติมาเป็นประธาน ทอดผ้าบังสุกุลเพื่อฌาปนกิจศพให้กับนางยุพิน ฟักทอง โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างเงียบเหงา เนื่องจากทางญาติไม่สามารถมาร่วมในพิธีได้ เพราะต้องพักรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลบางพลี สมุทรปราการ เป็นเวลา 14 วัน


ภาพ/ข่าว  คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

อัฟกานิสถานระส่ำ กลุ่มตาลีบันวางคาร์บอมบ์หวังสังหาร รมว.กลาโหม ในเมืองคาบูล

คาบูล (เอพี/รอยเตอร์/บีบีซี นิวส์) - สถานการณ์ในอัฟกานิสถานย่ำแย่ลงทุกขณะ หลังสหรัฐฯ และพันธมิตรนาโตกำลังถอนทหารออกไป ล่าสุด เกิดเหตุโจมตีบ้านพักของรัฐมนตรีกลาโหมในกรุงคาบูล จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ขณะที่การสู้รบระหว่างทหารกองทัพรัฐบาลกับกลุ่มติดอาวุธตาลีบันในเมืองสำคัญก็กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด

กลุ่มติดอาวุธก่อเหตุโจมตีด้วยระเบิดรถยนต์ ตามด้วยระดมยิงปืนเข้าใส่บ้านพักของนายบิสมิลเลาะห์ ข่าน โมฮัมมาดี รักษาการรัฐมนตรีกลาโหมอัฟกานิสถาน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่รักษาความปลอดภัยสูงสุด หรือกรีนโซน ในกรุงคาบูล เมื่อช่วงกลางดึกคืนวันอังคารที่ผ่านมา ส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิต 8 ศพ บาดเจ็บอีกกว่า 20 คน ขณะเกิดเหตุ นายข่าน โมฮัมมาดีไม่ได้อยู่ที่บ้าน ส่วนสมาชิกครอบครัวได้รับการช่วยเหลือออกมาได้อย่างปลอดภัย เช่นเดียวกับผู้คนนับร้อยในพื้นที่ ขณะที่ผู้ก่อเหตุทั้ง 4 คนถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและทหารสังหารในเวลาต่อมาหลังการยิงปะทะกันอย่างดุเดือด

บริเวณเกิดเหตุในเช้าหลังการโจมตี มีสภาพความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือนและรถยนต์ที่จอดอยู่ใกล้เคียง แม้ว่าขณะนี้ยังไม่ยืนยันว่าใครเป็นผู้ลงมือ แต่น่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มตาลีบันที่กำลังรุกคืบเข้ายึดครองหลายพื้นที่ทั่วประเทศตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานจนเกรงกันว่า กลุ่มตาลีบันที่เคยปกครองประเทศก่อนถูกสหรัฐฯ ยกทัพไปโค่นล้มหลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 จะกลับมายึดครองอัฟกานิสถานได้อีกครั้ง โดยหลังเกิดเหตุโจมตีครั้งนี้ ชาวอัฟกันในกรุงคาบูลและเมืองอื่น ๆ ต่างร่วมกันประณามการกระทำที่อุกอาจ และความรุนแรง พร้อมประกาศสนับสนุนกองกำลังของรัฐบาลเต็มที่

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของสถานการณ์ในอัฟกานิสถานขณะนี้กำลังตกอยู่ในภาวะล่อแหลม หลายพื้นที่โดยเฉพาะในเมืองลัชคาร์ กาฮ์ เมืองเอกของจังหวัดเฮลมานด์ ทางภาคใต้กลายเป็นสมรภูมิเดือด เกิดการต่อสู้อย่างหนักระหว่างทหารรัฐบาลและกลุ่มตาลีบันตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 40 ศพ ตั้งแต่วันอังคาร ขณะที่ชาวบ้านจำนวนมากเริ่มเก็บข้าวของหนีตายอพยพจากบ้านเรือน แม้ว่าสหรัฐฯ และกองกำลังนาโตจะยังคงโจมตีทางอากาศสนับสนุน แต่ตาลีบันสามารถเข้ายึดเมืองและสถานที่สำคัญได้ต่อเนื่อง สหประชาชาติเตือนว่า กำลังจะเกิดวิกฤติด้านมนุษยธรรมตามมาเมื่อพลเรือนต้องตกอยู่ในวงล้อมการสู้รบ

ขณะเดียวกัน นายเนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวานนี้ตามเวลาท้องถิ่นว่า กลุ่มตาลีบันได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ของการเจรจาต่อรอง และมีส่วนร่วมในการเจรจาดังกล่าวที่นครโดฮาของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถ้ากลุ่มตาลีบันพยายามที่จะฝ่าฝืนในสิ่งที่เคยให้คำมั่นไว้ พวกเขาก็จะไม่เป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ และขณะนี้ทุกคนก็วิตกกังวลว่าอาจเกิดสงครามกลางเมืองในอัฟกานิสถาน


ที่มา : https://www.naewna.com/inter/592739


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โครงการ "ต้องรอด" โดยกลุ่ม Up for Thai เดินหน้าภารกิจใหญ่ 'Mission บุษราคัม75' จัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาในโรงพยาบาลสนามบุษราคัมเป็นระยะเวลา 75 วัน

โครงการ "ต้องรอด" โดยกลุ่ม Up for Thai เดินหน้าทำภารกิจใหญ่ Mission บุษราคัม75 เพื่อจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาในโรงพยาบาลสนามบุษราคัมเป็นระยะเวลา 75 วัน หรือจนกว่าจำนวนสิ่งของจะครบตามรายการ โดยเป็นการระดมสิ่งของและเงินทุนจากทุกภาคส่วน

หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ "ต้องรอด" กลุ่ม Up for Thai เปิดเผยว่า วันนี้ทางโครงการต้องรอดเดินหน้าทำภารกิจช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด และผู้ได้รับความเดือดร้อน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 มา 90 วันแล้ว

ซึ่งภารกิจหลักในวันนี้ คือโครงการเฉพาะกิจ #missionบุษราคัม75 ที่เดินหน้ามาตั้งแต่วันที่ 1สิงหาคม จนถึงวันที่ 15 ตุลาคมนี้ ถือเป็นโครงการใหญ่ที่กลุ่ม Up for Thai "ต้องรอด" และพันธมิตรภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และภาคสื่อสารมวลชนจึงร่วมกันจัดตั้งโครงการเฉพาะกิจ #missionบุษราคัม75 ขึ้น

เพื่อจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาในโรงพยาบาลสนามบุษราคัมเป็นระยะเวลา 75 วัน หรือจนกว่าจำนวนสิ่งของจะครบตามรายการ ก่อนจะมีการย้ายไปยังสถานที่ใหม่ เพื่อให้ผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนได้รับปัจจัยเพียงพอและให้การดำเนินการของโรงพยาบาลเป็นไปอย่างราบรื่น โดยวันนี้มีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมาร่วมภารกิจกว่า 70 คน ช่วยกันขนสิ่งของอุปโภคบริโภคใส่รถทั้งหมดกว่า 30 คัน ไปที่โรงพยาบาลบุษราคัม รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท

นอกจากนี้ศูนย์อาสาต้องรอด Up for Thai ยังคงปฏิบัติภารกิจหลักควบคู่กันไป ทั้งการนำส่งอาหารปรุงสุกวันละ 7,000 กล่อง และเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ชุมชน โรงครัวชุมชน แคมป์คนงาน ผู้กักตัว ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ คนชรา ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้ป่วยรอเตียง ส่งมอบอุปกรณ์ป้องกันสำหรับด่านหน้า โรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม อสม. ศูนย์พักคอย สถานีอนามัย มูลนิธิและอาสากลุ่มอื่น ๆ

ด้าน นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ ผอ.รพ.บุษราคัม ได้กล่าว ขอบคุณทีมงานเพจต้องรอด ที่นำสิ่งของอุปโภคบริโภคมาสนับสนุนให้กับผู้ป่วย และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าในเรื่องของอุปกรณ์แพทย์ ในขณะนี้สิ่งของที่ผู้ใจบุญนำมาบริจาคยังเพียงพอ ขาดแต่บุคลากรที่มาช่วยเหลือ เนื่องจากผู้ป่วยมีจำนวนค่อนข้างมาก ทั้งผู้ป่วยหนักและผู้ป่วยที่พอช่วยตัวเองได้ หลากหลายกลุ่มสี ทางรพ.ยังสามารถรับมือได้อยู่

ผอ.รพ.บุษราคัม ยังตอบประเด็นที่เคยเป็นกระแสข่าวก่อนหน้านี้เรื่องของห้องสุขาที่ไม่ค่อยถูกสุขลักษณะว่า คนไข้ ที่อยู่ในโรงพยาบาลกว่า 3,000 คน ซึ่งมีผู้ป่วยหลากหลายประเภททั้ง เด็ก คนชรา คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง ประกอบกับรอบทำความสะอาดน้อย ภาพจึงปรากฎอย่างที่เห็น แต่ในขณะนี้ได้มีการประสานกับทางรพ. พระนั่งเกล้า ซึ่งเป็นผู้ทำความสะอาด หรือ Outsource ที่ทางรพ.จ้างมา เพื่อเพิ่มจำนวนรอบทำความสะอาด รวมทั้งเพิ่มรถวิลแชร์ / เก้าอี้นั่งทำความสะอาดเข้าไปมากขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอต่อความต้องการในการดูแล

ส่วนกรณีสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วย นพ.กิตติศักดิ์ ยอมรับว่า สิ่งของเครื่องใช้บางอย่างที่อาจจะไม่จำเป็นอาจไม่ถึงมือผู้ป่วย เนื่องจากทางรพ.จะแจ้งผู้ป่วยอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกเข้าว่าให้นำสิ่งของเท่าที่จำเป็นมาเท่านั้น ไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับเจ้าหน้าที่ได้

ส่วนกรณีผู้เสียชีวิต ซึ่งมีจำนวนไม่แน่นอนในแต่ละวัน เฉลี่ย 4-5 ราย บางวันไม่มี บางวันมี 7-8 ราย ในช่วงกลางวันสามารถบริหารจัดการได้ แต่ที่เป็นปัญหาจะเป็นช่วงกลางคืน เนื่องจากข้อจำกัดของรพ.พระนั่งเกล้า บางครั้งจุดพักศพไม่เพียงพอ หรือ ถ้าต้องส่งไปที่วัด ถ้าหลัง 20.00 น. ทางวัดจะปิด ก็จะนำศพไว้ที่รพ.บุษราคัม ซึ่งจะมีห้องพักศพและก็ปิดซิปล็อกอย่างดี

สำหรับข้อมูลการบริจาคประกอบไปด้วย...

สบู่เหลว 1,920 ขวด

แชมพู 3,888 ขวด

ยาสีฟัน 6,120 หลอด

ผงซักฟอก 2,372 ห่อ

ทิชชู่ม้วน 25,864 ม้วน

ทิชชู่เปียก 1,200 แพ็ก

ผ้าอนามัย ห่อ 4 ชิ้น 19,860 ห่อ

ผ้าอ้อมเด็ก 4,712 ชิ้น

ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับ 10,776 ชิ้น

แก้วกระดาษ 3,850 แก้ว

โจ๊กถ้วย 1,404 ถ้วย

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถ้วย 2,304 ถ้วย

ขนมยูโร่ 1,872 ชิ้น

ขนมถุง 1,584 ถุง

กาแฟซอง 96,714 ซอง

โอวัลติน/ไมโลซอง 2,430 ซอง

นมกล่อง 3,840 กล่อง

ราวตากผ้า 167 ราว

น้ำยาล้างจาน 36 ขวด

กะละมัง 70 ใบ

น้ำยาล้างห้องน้ำ 452 แกลลอน

ชุดไม้ถูพื้น+ถัง 18 ชุด

ไม้แปรงขัดพื้น 24 อัน

แปรงขัดส้วม 20 อัน

ถุงมือยาง 120 คู่

รองเท้าบู๊ทยาง 24 คู่

ชุดไม้กวาด+ที่โกยผง 36 ชุด

เครื่องดื่มสำหรับบุคลากร 3,240 ขวด

รถเข็น 45 คัน

น้ำ (แพ็ก) 2,379 แพ็ก

Oximeter 1,000 ชิ้น

หน้ากากอนามัยสำหรับเด็ก 1,000 ชิ้น

KN95 2,125 ชิ้น

หน้ากาอนามัยทางการแพทย์ 10,000 ชิ้น

เจลตั้งโต๊ะ 1,502 ขวด

เจลถุงเติม 800 ถุง

เจลแอลกอฮอล์แกลลอน (1 ลิตร) 416 แกลลอน

เจลแอลกอฮอล์แกลลอน (5 ลิตร) 28 แกลลอน

เจลแอลกอฮอล์แกลลอน (10 ลิตร) 18

แกลลอนแอลกอฮอล์ถัง (5 ลิตร) 42 ถัง

ยาดม 1,080 ขวดเล็ก

สเตรชเชอร์ 2 เตียง

อาหารเช้าซีเรียล 126 กล่อง

PPE 5,000 ชุด

เตียงผู้ป่วย 1 เตียง


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'นุช-นนท์'​ ร้านทุเรียน (ตลาดสี่มุมเมือง) บริจาคน้ำดื่ม 6,000 ขวด / ผลไม้ 500 กล่อง สนับสนุน 'หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล'​ ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ 'ต้องรอด'​

(4 ส.ค.64)​ ณ วัดเทวสุนทร แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.​ คุณชาลินี ลอยนุ้ย เจ้าของร้านทุเรียน​ 'นุช-นนท์' (ตลาดสี่มุมเมือง) มอบให้ 'สะพานบุญ'​ นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย / นายโกสินธ์ จินาอ่อน บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์สยามโฟกัสไทม์ / ที่ปรึกษาสมาคมสื่อมวลชนเพื่อสังคม นายณัฐวุฒิ เหมือนเพ็ชร ผู้อำนวยการข่าวจังหวัดสมุทรปราการ (น.ส.พ.โฟกัสไทม์) เป็นตัวแทนมอบน้ำดื่มจำนวน 6,000 ขวด / ผลไม้ 500 กล่อง เพื่อสนับสนุน 

โครงการ 'ต้องรอด'​ กลุ่ม Up for Thai เดินหน้าทำภารกิจใหญ่ missionบุษราคัม75 เพื่อจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาในโรงพยาบาลสนามบุษราคัมเป็นระยะเวลา 75 วัน หรือจนกว่าจำนวนสิ่งของจะครบตามรายการ โดยเป็นการระดมสิ่งของและเงินทุนจากทุกภาคส่วน

ซึ่ง 'หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล'​ ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ 'ต้องรอด'​ กลุ่ม Up for Thai  เปิดเผยว่า วันนี้ทางโครงการต้องรอด เดินหน้าทำภารกิจช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด และผู้ได้รับความเดือดร้อน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ covid 19 มา​ 90​ วันแล้ว ภารกิจหลักในวันนี้ คือโครงการเฉพาะกิจ #missionบุษราคัม75 ที่เดินหน้ามาตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม จนถึงวันที่ 15 ตุลาคมนี้ ถือเป็นโครงการใหญ่ที่กลุ่ม Up for Thai "ต้องรอด"  และพันธมิตรภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และภาคสื่อสารมวลชน จึงร่วมกันจัดตั้งโครงการเฉพาะกิจ #missionบุษราคัม75 ขึ้นมา​ เพื่อจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาในโรงพยาบาลสนามบุษราคัมเป็นระยะเวลา 75 วัน หรือจนกว่าจำนวนสิ่งของจะครบตามรายการ ก่อนจะมีการย้ายไปยังสถานที่ใหม่ เพื่อให้ผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนได้รับปัจจัยเพียงพอและให้การดำเนินการของโรงพยาบาลเป็นไปอย่างราบรื่น โดยวันนี้มีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมาร่วมภารกิจกว่า​ 70 คน ช่วยกันขนสิ่งของอุปโภคบริโภคใส่รถทั้งหมดกว่า 35​ คัน ไปที่โรงพยาบาลบุษราคัม รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท

นอกจากนี้ศูนย์อาสาต้องรอด Up for Thai ยังคงปฏิบัติภารกิจหลักควบคู่กันไป ทั้งการนำส่งอาหารปรุงสุกวันละ​ 7,000​ กล่อง และเครื่องอุปโภคบริโภค ให้แก่ชุมชน โรงครัวชุมชน แคมป์คนงาน ผู้กักตัว ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ คนชรา ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้ป่วยรอเตียง ส่งมอบอุปกรณ์ป้องกันสำหรับด่านหน้า โรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม อสม. ศูนย์พักคอย สถานีอนามัย มูลนิธิและอาสากลุ่มอื่นๆ 

ทั้งนี้ นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์​ ผอ.รพ.บุษราคัม เปิดเผยว่า ขอบคุณทีมงาน "เพจต้องรอด" ที่นำสิ่งของอุปโภคบริโภคมาสนับสนุนให้กับผู้ป่วย และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าในเรื่องของอุปกรณ์แพทย์ ในขณะนี้สิ่งของที่ผู้ใจบุญนำมาบริจาคยังเพียงพอ ขาดแต่บุคลากรที่มาช่วยเหลือ เนื่องจากผู้ป่วยมีจำนวนค่อนข้างมาก ทั้งผู้ป่วยหนักและผู้ป่วยที่พอช่วยตัวเองได้ หลากหลายกลุ่มสี ทางรพ.ยังสามารถรับมือได้อยู่ 

ผอ.รพ.บุษราคัม ยังตอบประเด็นที่เคยเป็นกระแสข่าวก่อนหน้านี้เรื่องของห้องสุขาที่ไม่ค่อยถูกสุขลักษณะว่า คนไข้ ที่อยู่ในโรงพยาบาลกว่า 3000 คน ซึ่งมีผู้ป่วยหลากหลายประเภททั้ง เด็ก คนชรา คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง ประกอบกับรอบทำความสะอาดน้อย ภาพจึงปรากฎอย่างที่เห็น แต่ในขณะนี้ได้มีการประสานกับทางรพ. พระนั่งเกล้า ซึ่งเป็นผู้ทำความสะอาด หรือเอ้าซอสที่ทางรพ.จ้างมา เพื่อเพิ่มจำนวนรอบทำความสะอาด รวมทั้งเพิ่มรถวิลแชร์ / เก้าอี้นั่งทำความสะอาดเข้าไปมากขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอต่อความต้องการในการดูแล 

ส่วนกรณีสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วย​ "นพ.กิตติศักดิ์" ยอมรับว่า สิ่งของเครื่องใช้บางอย่างที่อาจจะไม่จำเป็นอาจไม่ถึงมือผู้ป่วย เนื่องจากทางรพ.จะแจ้งผู้ป่วยอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกเข้าว่าให้นำสิ่งของเท่าที่จำเป็นมาเท่านั้น ไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับเจ้าหน้าที่ได้ 

ส่วนกรณีผู้เสียชีวิต ซึ่งมีจำนวนไม่แน่นอนในแต่ละวัน เฉลี่ย 4-5 ราย บางวันไม่มี บางวันมี 7-8 ราย ในช่วงกลางวันสามารถบริหารจัดการได้ แต่ที่เป็นปัญหาจะเป็นช่วงกลางคืน เนื่องจากข้อจำกัดของรพ.พระนั่งเกล้า บางครั้งจุดพักศพไม่เพียงพอ หรือ ถ้าต้องส่งไปที่วัด ถ้าหลัง 20.00 น.ทางวัดจะปิด ก็จะนำศพไว้ที่รพ.บุษราคัม ซึ่งจะมีห้องพักศพและก็ปิดซิปล็อคอย่างดี

ในท้ายนี้ "นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์" ผอ.รพ.บุษราคัม ขอบคุณทีมงาน เพจต้องรอด เป็นอย่างสูง

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ ห้าม นำ-ใช้ ครีมกันแดดที่มีสารเคมีอันตราย เข้าอุทยานแห่งชาติ ฝ่าฝืนปรับ 1 แสนบาท

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เรื่อง ห้ามนำและใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ ใจความสำคัญระบุว่า ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติทางทะเลเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีการนำและใช้ครีมกันแดดที่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการัง เข้าไปในอุทยานแห่งชาติ

โดยจากข้อมูลทางวิชาการพบว่าสารเคมีหลายชนิดที่พบในครีมกันแดด มีส่วนทำให้ปะการังเสื่อมโทรมลง เนื่องจากสารเคมีเหล่านั้นทำลายตัวอ่อนปะการัง ขัดขวางระบบสืบพันธุ์ และทำให้ปะการังฟอกขาว

กรมอุทยานฯ พิจารณาแล้ว เพื่อเป็นการสงวน อนุรักษ์ คุ้มครองดูแลทรัพยากร และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อปะการังและระบบนิเวศในอุทยานแห่งชาติ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 จึงออกประกาศดังนี้

1.) ห้ามนำและใช้ครีมกันแดด ที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ ได้แก่ Oxybenzone, Octinoxate, 4-Methylbenzylid Camphor และ Butylparaben หากผู้ใดฝ่าฝืนมีความผิดมาตรา 20 ประกอบมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

2.) ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top