ส่งต่อให้ บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ นำไปปรับปรุงโรงงานให้เป็นไปตามข้อกำหนดการผลิตวัคซีนของ AstraZeneca จนที่สุดก็ได้วัคซีนที่มีราคาต่อโดสอยู่ราว 5 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแม้จะแพงกว่ายุโรป 2.18 ดอลล่าร์สหรัฐต่อโดส แต่ก็ถูกกว่าอีกหลาย ๆ ประเทศ
มีประเด็นที่เป็นที่พูดถึงว่า ทำไมในยุโรปถึงสามารถซื้อวัคซีนต่อโดสของ AstraZeneca ได้ถูกกว่าไทยและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่ 2.18 ดอลล่าร์สหรัฐต่อโดส จนเกิดการเปรียบเทียบราคาขึ้นมาเป็นประเด็นต่อยอดในสังคม โดยเฉพาะกับประเทศไทยที่ถูกชี้ว่าซื้อแพง มีนอกมีในอะไรหรือไม่?
เรื่องนี้มีคำตอบ!!
ทว่าก่อนหน้าที่จะไปถึงคำตอบนั้น ต้องขอพาไปดูข้อมูลจากยูนิเซฟ, รัฐบาลสหรัฐ และองค์การอนามัยโลก ก่อนว่า ราคาต่อโดสของ AstraZenecaนั้นจริงๆ แล้วมีราคาอยู่ในช่วงระดับเท่าไร เมื่อเทียบกับวัคซีนต่อโดสของบริษัทต่างๆ โดยเรียงจากถูกไปแพงดังนี้
– AstraZenecaราคา : 4 – 8.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส (ถูกที่สุด)
– Johnson & Johnsonราคา : 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส
– Sputnik Vราคา : 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส
– Sanofi/GSKราคา : 10.65 – 21 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส
– Curevac ราคา : 11.84 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส
– Sinovac ราคา : 13:6 – 29.75 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส
– Novavax ราคา : 16 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส
– Pfizer/BioNTech ราคา : 18.39 – 19 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส
– Moderna ราคา : 25 – 37 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส
ข้อมูลจากสำนักข่าว BBCอังกฤษที่มีการนำเสนอเรื่อง ‘Covid vaccines: Will drug companies make bumper profits?’ กล่าวถึงข้อมูลของการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด – 19 โดยเป็นการร่วมพัฒนาจากหน่วยงานเอกชน บริษัท มูลนิธิเพื่อการกุศล หรือแม้แต่มหาเศรษฐีชื่อดังระดับโลก รวมทั้งมีรัฐบาลของประเทศต่างๆ ที่สนับสนุนการผลิตวัคซีนโดยเทงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ร่วมด้วย
จุดประสงค์หลักก็คือ การผลิตวัคซีนที่มีราคาไม่สูงมาก และเข้าถึงกลุ่มของประชาชนทุกชนชั้นไม่ว่าจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วหรือประเทศยกจนก็ต้องได้รับวัคซีนในปริมาณต่อคนที่ 2 โดสตามเกณฑ์ เพื่อประสิทธิภาพในการสูงสุดในการป้องกัน
บริษัทบางแห่งไม่ต้องการถูกมองว่าทำกำไรจากวิกฤตครั้งนี้ โดยเฉพาะหลังจากได้รับเงินทุนจากภายนอกจำนวนมาก เช่น Johnson & Johnson ผู้ผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐ และบริษัท AstraZeneca ของสหราชอาณาจักรซึ่งทำงานร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ที่ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะขายวัคซีนในราคาที่ไม่สูงและคุ้มค่า เข้าถึงได้ ปัจจุบัน AstraZeneca มีราคาถูกที่สุดที่ 4 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส
ส่วน Moderna บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพขนาดเล็กซึ่งทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังวัคซีน RNA ที่ล้ำสมัยมานานหลายปี กำลังกำหนดราคาที่สูงขึ้นมากถึง 37 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส จุดมุ่งหมายคือการทำกำไรให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท (แม้ว่าส่วนหนึ่งของราคาที่สูงขึ้นจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการขนส่งวัคซีนในอุณหภูมิต่ำมาก)
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าราคาวัคซีนที่ว่ามาจะคงที่ โดยปกติบริษัทยาจะเรียกเก็บเงินที่มีสัดส่วนแตกต่างกันในแต่ละประเทศตามที่รัฐบาลสามารถจ่ายได้ ซึ่งในรายของ AstraZeneca ยืนยันว่าจะรักษาระดับราคาให้อยู่ในระดับต่ำในช่วงเวลาของการระบาดเท่านั้น และเมื่อวิกฤติซาลงอาจเริ่มจำหน่ายวัคซีนในราคาที่สูงขึ้นในต้นปีหน้า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของการระบาดช่วงนั้นด้วย
จากจุดนี้ คงทราบได้ถึงราคาของวัคซีนในตลาด ซึ่งมี AstraZenecaเป็นตัวเลือกที่มีราคาต่ำที่สุด (แต่ประสิทธิภาพไม่ได้ต่ำเท่าราคา) และการเลือกวัคซีนตัวนี้มาใช้ ซึ่งใช้เวลาในการพัฒนาและการส่งต่อล่าช้ากว่าตัวอื่นๆ จึงเป็นอีกเหตุผลที่ไทยเลือกวัคซีนตัวนี้ ทั้งในแง่ของราคา และการทดลองที่รัฐบาลประเมินได้ถึงประสิทธิภาพ
ทีนี้มาดูประเด็นหลักเกี่ยวกับ ราคาวัคซีน AstraZeneca ว่าราคาในยุโรป สหรัฐ และประเทศไทย ถึงมีราคาไม่ต่างกัน โดยข้อมูลสืบค้นจากหลายแหล่งข้อมูลทั้ง คณะกรรมาธิการยุโรป, วอชิงตัน โพสต์ และBusiness insiderระบุว่า สาเหตุที่ทางประเทศในยุโรปได้วัคซีนราคาถูกกว่าไทยคือ
1.) สหภาพยุโรปได้ให้เงินทุนสนับสนุนเพื่อร่วมพัฒนาวัคซีนตั้งแต่อยู่ในงานวิจัยเฟส 2 ซึ่งเงินสนับสนุนนี้เป็นเหมือนกับการจองแบบ ‘พรีออเดอร์’ ก่อนใครจำนวน 200 ล้านโดส และจองอีก 100 ล้านโดส ในนามของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป รวมทั้งระดมเงินทุนอีก 16,000 ล้านยูโร เพื่อสนับสนุนการสำหรับการเข้าถึงการทดสอบ การรักษา และการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสทั้งในยุโรปและทั่วโลก ดังนั้นก็ย่อมได้ของที่ราคาถูกกว่าอยู่แล้ว แต่ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงหากวัคซีนนั้นไม่ประสบความสำเร็จดังคาดหวัง
2.) รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนเงินทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาวัคซีนให้กับAstraZenecaมากถึง 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Modernaได้รับทุนที่ 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สหรัฐได้วัคซีนสูตรOxfordในราคาที่ 4 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส ส่วนวัคซีนModernaที่ 15 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส พร้อมกับเงื่อนไขซื้อเหมาวัคซีนAstraZenecaที่ 300 ล้านโดส และซื้อเพิ่มอีก 100 ล้านโดส ซึ่งมากกว่าไทยที่จองวัคซีนจำนวน 29 ล้านโดสถึง 20 เท่า
3.) วัตถุดิบ และสารเคมี ที่ใช้เป็นองค์ประกอบการทำวัคซีนทั้งหลายถูกผลิตขึ้นในยุโรป และไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ไม่เสียค่าขนส่ง แถมได้รับการผลักดันสนับสนุนร่วมกันทั้งภูมิภาคในการผลิตวัคซีน รวมทั้งรัฐบาลของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป ก็ข้ามไปให้เงินลงทุนวิจัยวัคซีนบริษัทอเมริกันอีกด้วย ซึ่งหน่วยงานด้านการเงินของสหภาพยุโรปเสนอเงินกู้ 122 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับPfizer/BioNTechเพื่อช่วยในการพัฒนาวัคซีน ตามด้วยเงินอีก 458 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากรัฐบาลเยอรมนีอีกก้อน
ดังนั้นราคาวัคซีนในยุโรปจึงถูกกว่าภูมิภาคอื่นก็ไม่แปลกอะไร เพราะว่ารัฐบาลอียูมีการอุดหนุนทุ่มเงินให้กับการวิจัยกันมหาศาลของบริษัทวัคซีนต่างๆ อย่างมหาศาล แถมต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่า และการเป็นเจ้าของสิทธิบัตรนั่นเอง
กลับมาที่ประเทศไทย ผู้ซึ่งไม่ได้ออกเงินช่วยAstraZenecaวิจัยเลยสักสตางค์แดงเดียวก็จริง แต่รัฐบาลไทยใช้งบประมาณราว 500 ล้านบาท หรือเพียง 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ปรับปรุงโรงงานให้เป็นไปตามข้อกำหนดการผลิตวัคซีนของAstraZenecaและได้วัคซีนที่ราคาต่อโดสคือ 5 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้อีก เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนกระจ่ายสู่ภูมิภาคในอนาคต
ขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น แอฟริกาใต้โดนไป 5.25 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส / ปากีสถาน 6 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส / ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนก็ 7.8 – 8.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส และอินเดียที่เป็นพื้นที่ทดสอบวัคซีนของAstraZenecaร่วมกับบริษัทในประเทศแท้ๆ ยังมีราคาวัคซีนต่อโดสสูงถึง 13.4 ดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้นการที่ไทยได้วัคซีนของAstraZenecaได้ราคาที่ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส โดยที่ไม่ได้ทุ่มงบลงทุนการวิจัยให้กับบริษัทแห่งนี้เลย แต่กลับได้วัคซีนที่มีราคาอยู่ในระดับนี้ จะเรียกว่าแพงหรือไม่นั้น? น่าจะเป็นคำตอบเชิงวิทยาศาสตร์ที่ใครก็คงตอบได้ว่า ‘ เหมาะสม’ หรือไม่เหมาะสม ซึ่งอันนี้คงต้องไปคิดต่อกันเอาเอง...
แหล่งที่มา/อ้างอิง
Reporter Journey
ข้อเท็จจริงเรื่องราคาวัคซีน AstraZeneca ที่สื่อใหญ่พูดไม่หมด ทำไมแพงกว่ายุโรป เทียบราคาต่อยี่ห้อ เงื่อนไขที่มีผลต่อราคา – REPORTER JOURNEY (reporter-journey.com)
BBC
The Washington Post
European Commission
Business Insider